แม่นมเติ้งตกใจมาก “พระชายาน่าทึ่งมาก นางทำให้คุณหนูรองลั่วพูดความจริงออกมาได้ ท่านอ๋องต้องทรงได้ยินแน่เจ้าค่ะ”ลั่วชิงยวนหรี่ตาเล็กน้อย นางยกยิ้มมุมปากมองไปทางตำหนักที่ยังมีแสงไฟอยู่ ก่อนพูดเบา ๆ “แน่นอนว่าต้องได้ยิน”“แต่คงบอกยากว่า เมื่อได้ยินแล้วทีท่าจะเป็นเช่นไร”แม่นมเติ้งพูดอย่างยินดี “หากท่านอ๋องทรงทราบว่า คุณหนูรองลั่วมิได้อ่อนหวานเหมือนฉากหน้า แต่ที่จริงนางโหดเหี้ยมชั่วร้ายนัก เขาต้องไม่ปฏิบัติกับนางเหมือนเดิมแน่เจ้าค่ะ”ที่จริงช่วงหลังมานี้ท่านอ๋องหลบหน้าคุณหนูรองลั่ว และท่าทีของเขาก็เปลี่ยนไป พอตอนนี้เมื่อความจริงเปิดเผยแล้ว ท่านอ๋องจะต้องไม่ยอมรับคุณหนูรองลั่วแน่จู่ ๆ ประตูตำหนักก็เปิดออก และฟู่เฉินหวนก็เดินหน้าโกรธขึ้งออกมาเมื่อเขาเห็นลั่วเยวี่ยอิงอยู่ไม่ไกลดูตื่นตระหนก นางไม่รู้ถึงการมาของเขาเลยแม้แต่น้อยเมื่อลั่วชิงยวนเห็นเช่นนั้น นางก็ยกมือปิดปากและบอกว่า “เจ้าคิดวิธีนี้เพื่อจัดการกับลั่วชิงยวนเช่นนั้นรึ? เจ้าร่วมมือกับลั่วชิงยวนทำร้ายข้างั้นรึ?”ตอนนั้นในสายตาของลั่วเยวี่ยอิง คำพูดเหล่านี้ล้วนออกมาจากปากของเมิ่งจินอวี่ลั่วเยวี่ยอิงรีบอธิบาย “ข้าเปล่านะ ข้า
ลั่วเยวี่ยอิงกัดฟันแน่น นางไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องทุ่มสุดตัวเช่นนี้ ไม่เช่นนั้นเรื่องนี้จะจบเช่นไรเล่า?หากว่าการที่ลั่วชิงยวนรนหาที่ตายนั้นสามารถเปลี่ยนท่าทีที่ท่านอ๋องมีให้นางได้ ตัวนางเองก็ทำได้เช่นกันนางวิ่งเข้าใส่กำแพงอย่างแรงตอนนี้หน้าผากกำลังจะชนผนังก็มีมือมารั้งนางไว้อย่างแรงสีหน้าของฟู่เฉินหวนนั้นบิดเบี้ยวดูไม่ได้ลั่วเยวี่ยอิงร้องไห้และคุกเข่าลง “ท่านอ๋อง หม่อมฉันรู้จริง ๆ ว่าเกิดเรื่องอันใดขึ้น หม่อมฉันไม่รู้ว่าพูดเรื่องไร้สาระอะไรออกไปบ้าง ทั้งหมดนั้นหม่อมฉันไม่ได้ตั้งใจ…”ตอนนั้นเองท่านหมอกู้ก็รีบเดินเข้ามา เขามองหน้าลั่วเยวี่ยอิงและพูดกับฟู่เฉินหวนว่า “ท่านอ๋อง คุณหนูรองลั่วดููสับสนนัก นางอาจจะกินยาบางอย่างที่ทำให้นางมึนงงสับสน”เมื่อได้ยินเช่นนี้ ลั่วเยวี่ยอิงก็เหมือนเห็นฟางช่วยชีวิต นางรีบพูดว่า “เพคะ ท่านอ๋อง ต้องมีคนพยายามทำร้ายหม่อมฉันแน่”“ท่านหมอกู้เองก็พูดเช่นนี้ ท่านอ๋องต้องเชื่อหม่อมฉันนะเพคะ”แน่นอนว่าฟู่เฉินหวนรู้ว่าลั่วเยวี่ยอิงนั้นไม่รู้ตัว หากว่านางมีสตินางจะพูดเรื่องพวกนี้ออกมาได้อย่างไรสิ่งที่ลั่วเยวี่ยอิงทำคืนนี้นั้นแปลกมากเขาอดไม่ได้
ภาพใบหน้านั้นไปอยู่บนหน้าของเวินซีหลันประกอบกับชุดสีแดงและผมดำดุจม่านน้ำตก ใบหน้านั้นยิ่งงดงามชวนตะลึงเหวินซีหลันยกมือสัมผัสหน้าและแปลกใจจนรีบคุกเข่าลงอีกครั้ง “ขอบคุณท่านมาก”ลั่วชิงยวนใช้วิธีการเดียวกันกับใบหน้าของลูกชายเวินซีหลันเมื่อไม่มีแผลเป็นน่ากลัว เด็กน้อยก็กล้าจะเงยหน้าขึ้นลั่วชิงยวนไอสองครั้งและค่อย ๆ นั่งลง “ตอนนี้เจ้าบอกข้าเรื่องของครอบครัวและตัวตนของเจ้ามา ข้าจะได้ช่วยเจ้าได้”ลั่วชิงยวนอยากจะช่วยจัดการปัญหานี้ให้เร็ว และช่วยเวินซีหลันได้ภายในพรุ่งนี้แต่นางไม่คิดว่าเมื่อเวินซีหลันเอ่ยปากจะทำให้นางต้องตกตะลึงไป…“สามีของข้าคือบุตรชายคนรองของจวนแม่ทัพใหญ่ ฉินไป๋ลี่”ลั่วชิงยวนเกือบสำลักชาที่กำลังดื่มอยู่“จวนแม่ทัพใหญ่งั้นรึ?” นางคิดไว้อยู่แล้วว่าสามีของเวินซีหลันนั้นน่าจะมีฐานะร่ำรวย แต่นางไม่คาดว่าสถานะของเขาจะสูงส่งเช่นนี้เวินซีหลันดูโศกเศร้าและบอกว่า “ก่อนนี้ข้าปกปิดบางเรื่องไว้ จวนแม่ทัพใหญ่นั้นไม่ใช่ธรรมดา ข้าอยากจะออกไปตามหาเขาหลายครั้งแต่ว่า มียันต์อักขระเวทย์ในจวนแม่ทัพใหญ่และบนร่างของเขา ทำให้ข้าเข้าใกล้เขามิได้”“หากว่าเรื่องนี้ยากเกินมือ ก็ไม่จ
ลั่วอวิ๋นสี่ลั่วอวิ๋นสี่เกาะแขนสตรีผู้นั้นอยู่ พร้อมมองลงมาและแค่นเสียงเดียดฉันท์“ใครในเมืองนี้ไม่รู้บ้างว่าท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการนั้นชอบพอเยวี่ยอิง? แค่ไม่สังหารนังผู้หญิงอัปลักษณ์ผู้นี้ก็ถือว่าเมตตามากแล้ว นางจะกล้ามาอวดอ้างอำนาจของท่านอ๋องได้อย่างไร?”นี่มันถือว่าเป็นการเจอศัตรูบนทางแคบจริง ๆ ลั่วอวิ๋นสี่อยู่ที่นี่ด้วยแต่สิ่งที่ทำให้นางประหลาดใจมากกว่าคือเสียงตื่นเต้นของเวินซีหลันดังเข้ามาในหูนางว่า“หลิวฮุ่ยเซียง คนที่ถือพัดกลมนั่นคือหลิวฮุ่ยเซียง”เมื่อได้ยินเช่นนี้ลั่วชิงยวนก็แปลกใจนางหรี่ตามอง เห็นว่าลั่วอวิ๋นสี่นั้นเกาะแขนของหลิวฮุ่ยเซียงอย่างรักใคร่ ดูเหมือนว่าทั้งสองนั้นสนิทสนมกันอย่างมากไยลั่วอวิ๋นสี่ถึงได้มาคบหากับคนชั่วช้าแบบนี้ได้? นี่นางไม่มีสหายที่ดีอยู่ข้างกายบ้างเลยหรือไร?ลั่วชิงยวนอดปวดหัวแทนท่านอาลั่วหลงไม่ได้“เจ้ามองหาพระแสงอันใด? หากเจ้ามองอีกครั้งข้าจะควักลูกตาเจ้าออกมา” คนที่พูดนั้นคือคนที่เยาะเย้ยลั่วชิงยวนในตอนแรกแม้ว่าลั่วชิงยวนจะจำไม่ได้ว่านางเป็นใคร แต่ก็รู้สึกคุ้นหน้าว่าน่าจะเป็นคนที่อยู่กับลั่วเยวี่ยอิงนางเดาว่าคนผู้นี้ก็คงไม่ได้มีพื
”ท่านป้า อยากพูดอะไรก็พูดมาตรง ๆ เถิด ไม่ต้องมากมารยาทหรอก” ลั่วชิงยวนยิ้มอ่อนหวานและมองหลิวฮุ่ยเซียงเมื่อได้ยินคำว่าป้าอีกครั้งก็ทำให้หลิวฮุ่ยเซียงทนไม่ไหวอีกต่อไป นางยกมือขึ้นจะตบและบอกว่า “หุบปาก”ลั่วชิงยวนนั้นทั้งตาไว มือไว นางเตะหลิวฮุ่ยเซียงทันทีลูกเตะนั้นซัดใส่ร่างของหลิวฮุ่ยเซียงจนนางกระเด็นเมื่อเวินซีหลันเห็นดังนั้น นางก็รีบก่อกระแสลมลูกหนึ่งและใช้พลังนั้นพัดส่งหลิวฮุ่ยเซียงออกไปนอกหอตอนนั้นเองสีหน้าของทุกคนก็เปลี่ยนไปอย่างรุนแรงทุกคนต่างตกตะลึงตาค้างตูมจากนั้นก็มีเสียงดังสนั่นทุกคนรีบวิ่งไปดู และเห็นหลิวฮุ่ยเซียงตกลงไปในน้ำ มีน้ำสาดกระจายไปทั่ว“ตายแล้ว”“ลั่วชิงยวนคนนี้กล้าเกินไปแล้ว”“รีบไปช่วยคนเร็ว”ทั้งหอเริงรมย์พลันชุลมุนฟู่เฉินหวนเองก็โดนจักรพรรดิฟู่จิ่งหานที่ปลอมตัวเป็นสามัญชนลากมาที่หอเริงรมย์“พี่สาม ท่านมาดูกับข้าสิ ได้ยินมาว่าหอเริงรมย์นั้นน่าสนใจยิ่ง แต่ข้ายังไม่เคยมาที่นี่มาก่อน”ฟู่เฉินหวนส่ายหน้าอย่างจนปัญญา “หากว่าไทเฮาทรงรู้ว่าพระองค์ทรงแอบออกมาจากวังหลวงอีกแล้ว พระนางต้องเรียกไปตำหนิอีกแน่”“ข้าไม่ได้ออกจากวังมาครึ่งปีแล้วนะ ข้าอึ
เขารีบเข้าไปในหอ เขานั้นไม่รู้ว่าลั่วชิงยวนกำลังทำอะไรแต่เขาต้องไม่ปล่อยให้นางลงมือฆ่าคนตายต่อหน้าผู้คนหลังจากลั่วชิงยวนออกคำสั่งเสร็จ เวินซีหลันก็กลับมาและปล่อยหลิวฮุ่ยเซียงตอนนี้หลิวฮุ่ยเซียงก็ถูกช่วยขึ้นมาได้แล้วอึดใจต่อมาข้อมือของลั่วชิงยวนก็โดนจับไว้แน่น และนางก็โดนลากเข้าไปในห้องส่วนตัวนางไม่ทันได้ตั้งตัวจึงปลิวเข้าไปในอ้อมกอดของอีกฝ่ายลั่วชิงยวนเงยหน้าขึ้นและก็เห็นแววตาเกรี้ยวกราดของฟู่เฉินหวน เขาลดเสียงลงและบอกว่า “หยุดเดี๋ยวนี้ เจ้าคิดจะฆ่าคนจริง ๆ รึ?”เมื่อได้ยินเช่นนี้ลั่วชิงยวนก็ตะลึงไป สีหน้านางดูตกใจฟู่เฉินหวนรู้อะไรมาหรือไม่?แต่นางก็กลับมามีทีท่านิ่งสงบ ก่อนยกยิ้มมุมปากเล็กน้อย “ไยหม่อมฉันถึงไม่เข้าใจว่าท่านอ๋องพูดเรื่องอันใด?”“แล้วเจ้าคิดว่าข้าผู้เป็นอ๋องพูดเรื่องอันใดเล่า?” ฟู่เฉินหวนนิ่วหน้าลั่วชิงยวนยิ้ม “ท่านอ๋องพูดถึงนางหรือ?”นางเดินออกไปด้านนอกและมองลงไปข้างล่างฟู่เฉินหวนเองก็ก้าวตามมาและตกใจไปเมื่อได้เห็นว่าหลิวฮุ่ยเซียงนั้นถูกช่วยขึ้นมาแล้วลั่วชิงยวนมองสีหน้าแปลกใจของฟู่เฉินหวน นางยกยิ้มและพูดเสียงเย็นชาว่า “ท่านอ๋อง ได้โปรดอย่ากล่าวหาก
หลิวฮุ่ยเซียงมิกล้าลงมือต่อ นางชักมือกลับ ยืนตัวสั่นระริกอยู่กลางลมหนาว และพูดดุอย่างเกรี้ยวกราด “ท่านอ๋องคิดปกป้องพระชายาต่อหน้าทุกคนหรือเจ้าคะ!” “เมื่อครู่ทุกคนต่างเห็นแล้ว ลั่วชิงยวนเตะข้าตกน้ำ! นางคิดจะสังหารข้าโดยจงใจ! โทษนี้ ท่านอ๋องมิใส่ใจแม้แต่นิดงั้นหรือเพคะ? หากวันนี้ท่านคืนความยุติธรรมให้หม่อมฉันมิได้ หม่อมฉันคงได้เพียงรายงานแก่ฝ่าบาท!” หลิวฮุ่ยเซียงโกรธถึงขีดสุด นางเป็นถึงหลานสะใภ้ของท่านแม่ทัพใหญ่หลิว! จักทนกับความน่าอับอายเช่นนี้ได้เยี่ยงไร! หากวันนี้ลั่วชิงยวนมิได้รับการลงโทษ นางมิยอมแน่! ฟู่จิ่งหานที่กำลังดูเรื่องสนุกในฝูงชนกลับชะงัก จากนั้นเผยยิ้มสนใจขึ้น ใครจะคิด จักรพรรดิในตอนนี้ จะกำลังดูเรื่องสนุกอยู่อีกด้าน นัยน์ตาฟู่เฉินหวนกะพริบแววรำคาญใจ แต่แล้วเขากลับเหลือบไปเห็นฟู่จิ่งหานในฝูงชน หากเพียงหลิวฮุ่ยเซียง เขามิสนใจแม้แต่นิด แต่องค์จักรพรรดิอยู่ด้วย เขาจะทำตัวบุ่มบ่ามมิได้ “แต่ข้าได้ยินพระชายากล่าว เรื่องราวมิได้เป็นเช่นนี้” น้ำเสียงของฟู่เฉินหวนเยือกเย็น และแฝงไปด้วยความน่าเกรงขาม ลั่วชิงยวนที่อยู่อีกด้านชะงัก นางเงยหน้ามองไปทางฟู่เฉินหวนทีหนึ่
“หากแม่นางหลิวต้องการจะตัดสินความผิดถูกในวัง เช่นนั้นก็เชิญเถิด!” สิ้นเสียง หลิวฮุ่ยเซียงยังไม่ทันตอบสนอง จู่ ๆ ขบวนองครักษ์ก็เดินเข้ามา เว้นเป็นทางเดินอย่างเป็นระเบียบ ดูน่าเกรงขามเป็นที่สุด หลิวฮุ่ยเซียงกลืนน้ำลายอย่างอดมิได้ ไม่รู้ว่าเพราะหนาวหรือเพราะกลัว ร่างของนางสั่นระริกไม่หยุด เถ้าแก่หอเริงรมย์เห็นเรื่องกำลังยากที่จะควบคุม จึงเดินมาช่วยพูดกู้ “เมื่อถึงที่หอเริงรมย์ ทุกท่านต่างเป็นมิตรสหายกัน อยู่กันอย่างสงบสุขจะนำพาความร่ำรวยนะขอรับ!” “ในเมื่อเรื่องมันเกิดในหอเริงรมย์ ต่างฝ่ายก็ต่างมีเหตุผล เช่นนั้นเราจัดการตามระเบียบของหอเริงรมย์เถิด!” “เมื่อออกจากหอเริงรมย์ ความคับแค้นนานาต่างหายสิ้น! ทุกท่านว่าอย่างไร?” แขกที่เข้ามาในหอเริงรมย์ต่างเป็นคุณชายคุณหนูตระกูลร่ำรวยที่ฐานะมิธรรมดา วันนี้กระทั่งอ๋องสำเร็จราชการยังเสด็จมา เถ้าแก่จึงทำได้เพียงแปลงเรื่องใหญ่ให้เป็นเรื่องเล็ก หากเป็นเรื่องจนถึงในวังจริง ๆ ก็คงมิเป็นผลดีต่อหอเริงรมย์ของเขาเช่นกัน ได้ยินประโยคนี้ หลิวฮุ่ยเซียงได้ข้ออ้างในการจบเรื่องทันที “ใช่ เถ้าแก่พูดถูก ใช้ระเบียบของหอเริงรมย์ในการแก้ปัญหา! ลั่วช
ร่างที่ไร้ศีรษะร่างหนึ่งถือกระบี่เดินเข้ามาหาลั่วชิงยวน โซ่เหล็กด้านหลังลากคนสามคนไว้แม้จะออกแรงสุดกำลังแล้วก็ยังฉุดรั้งโหยวจิ้งเฉิงไว้มิได้แต่ร่างของโหยวจิ้งเฉิงในตอนนี้ไม่มีศีรษะแล้ว ยากที่จะควบคุมร่างกายได้ลั่วชิงยวนถือกระบี่เงื้อฟันไปยังร่างของฝูเหมิ่ง เช่นเดียวกับตอนที่โหยวจิ้งเฉิงตัดแขนขาของอวี๋ตันเฟิ่งนางกำลังแก้แค้นและระบายความแค้นอย่างบ้าคลั่งตัดแขนของเขาขาดทีละข้างกระบี่ห้วงสวรรค์ร่วงลงสู่พื้นไปพร้อมกับแขนจากนั้นขาทั้งสองข้างของเขาก็ขาดกระเด็นอวี๋ตันเฟิ่งอาละวาดแก้แค้นอย่างบ้าคลั่งเมื่อมองไปยังซากศพที่กองอยู่บนพื้น ดวงตาของลั่วชิงยวนก็ราวกับถูกย้อมไปด้วยสีแดงฉานใต้หล้าเต็มไปด้วยกลิ่นคาวเลือดทั้งสามที่อยู่มิไกลต่างตกตะลึงมิเคยเห็นฉากที่นองเลือดเช่นนี้มาก่อนแต่ถึงแม้ร่างกายจะแหลกละเอียด โหยวจิ้งเฉิงก็ยังมิตายทันใดนั้นมีร่างหนึ่งพุ่งออกมาจากซากศพ แล้วลอยละลิ่วไปอวี๋ตันเฟิ่งกรีดร้องแหลม “โหยวจิ้งเฉิง เจ้าอย่าหวังว่าจะหนีไปไหนได้อีก! ข้าจะทำให้เจ้ามิได้ผุดได้เกิด!”พลังในร่างของนางพลันเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว เกิดเป็นลมพายุโหมกระหน่ำ ลั่วชิงยวนรู้สึกราว
ใบหน้านั้นบ่งบอกชัดเจนว่าเป็นโหยวจิ้งเฉิง“ต่อไปก็ถึงตาพวกเจ้าแล้ว” เขาเอ่ยด้วยเสียงแหบแห้งเย็นเยือกโฉวสือชีกำกระบี่ในมือแน่น ปกป้องคนใบ้และอวี๋โหรวไว้ส่วนลั่วชิงยวนค่อย ๆ ก้าวเท้าไปข้างหน้าในดวงตาค่อย ๆ ก่อเกิดจิตสังหารนางหลับตาลง แล้วกล่าวว่า “อวี๋ตันเฟิ่ง ไปแก้แค้นของเจ้าเถิด”ลั่วชิงยวนมอบร่างของตนให้อวี๋ตันเฟิ่งโดยสมบูรณ์เมื่อลืมตาขึ้นอีกครั้ง ใบหน้าของนางยังคงเป็นใบหน้าเดิม เพียงแต่แววตานั้นกลับดุดันยิ่งนัก ดวงตาสีแดงก่ำเต็มไปด้วยความแค้นเสียงของอวี๋ตันเฟิ่งดังขึ้น “โหยวจิ้งเฉิง ความแค้นระหว่างข้ากับเจ้า วันนี้ถึงคราวสะสางแล้ว”“สิบกว่าปีที่ผ่านมา ข้าคิดอยู่ตลอดเวลาว่าจะฉีกร่างเจ้าเป็นชิ้น ๆ อย่างไรถึงจะสาสมกับความแค้นในใจข้า”“แต่คาดมิถึงว่าเจ้าจะตายไปแล้ว”“แต่ก็มิเป็นไร วันนี้ข้าจะฉีกร่างเจ้าให้เป็นชิ้น ๆ ให้ได้!”เมื่อกล่าวจบ ลั่วชิงยวนก็กระโจนเข้าไปเสียงอาวุธปะทะกันอย่างรุนแรงดังขึ้นแต่ในเวลานี้เอง โหยวจิ้งเฉิงก็พุ่งไปยังกำแพง คว้ากระบี่ห้วงสวรรค์มาได้ จากนั้นกระโจนออกนอกห้องไปอวี๋ตันเฟิ่งรีบไล่ตามไปสีหน้าคนใบ้เปลี่ยนไป กระบี่ห้วงสวรรค์! หากฝูเหมิ่ง
ต่งอวิ๋นซิ่วตกใจจนหน้าซีดเผือด รีบยกมือขึ้นมาป้องกัน แล้วต่อสู้กับฝูเหมิ่งแต่พลังในตอนนี้ของต่งอวิ๋นซิ่วเทียบกับฝูเหมิ่งแล้วยังอ่อนแอกว่ามากนักสุดท้ายก็ถูกฝูเหมิ่งบีบคอไว้แน่นลั่วชิงยวนเห็นชัดเจนว่าในร่างของฝูเหมิ่งตอนนี้คือโหยวจิ้งเฉิง!เขาเป็นบ้าไปแล้วหรือ? เขาจะฆ่าต่งอวิ๋นซิ่วภรรยาของตนหรือ?เมื่อเห็นดังนั้น โหยวเซียงก็ชักกระบี่พุ่งเข้าไปหมายจะช่วยต่งอวิ๋นซิ่ว แต่ฝูเหมิ่งกลับมิหลบเลยแม้แต่น้อย ปล่อยให้กระบี่ในมือนางแทงทะลุร่างจากนั้นฝูเหมิ่งก็ฟาดมือไปทีหนึ่ง โหยวเซียงจึงกระเด็นปลิวไปโหยวเซียงกระอักเลือดออกมาต่งอวิ๋นซิ่วร้อนใจยิ่งนัก “เซียงเอ๋อร์ มิต้องสนใจแม่ รีบหนีไป!”โหยวเซียงจะทนมองดูมารดาของตนถูกฆ่าได้อย่างไร นางพยายามลุกขึ้นมาสู้ต่อแต่ฝูเหมิ่งกลับมองโหยวเซียงอย่างดุดัน แล้วกล่าวขู่ “คนที่ข้าต้องการฆ่ามีเพียงต่งอวิ๋นซิ่วเท่านั้น เจ้าจงหลีกไป”“มิเช่นนั้นอย่าหาว่าข้ามิเห็นแก่ความเป็นพ่อลูก”เมื่อได้ยินดังนั้น โหยวเซียงก็ตกใจจนยืนอึ้งไปกับที่ แล้วกล่าวเสียงสั่นเครือ “พ่อ… พ่อลูกหรือ?”ตอนนี้เสียงของฝูเหมิ่งก็มิใช่เสียงของฝูเหมิ่งอีกต่อไปแล้วเมื่อต่งอวิ๋นซิ่ว
ขณะนี้เอง โหยวเซียงก็ฉวยโอกาสหลบหนีจากมือของลั่วชิงยวนไปได้ต่งอวิ๋นซิ่วมองพวกเขาอย่างเย็นชา “ในเมื่อมาถึงที่นี่แล้วก็เตรียมตัวตายได้เลย!”ทันใดนั้นบนคานเรือนก็ปรากฏชายชุดดำจำนวนมากพร้อมถือหน้าไม้เล็งมาที่พวกเขาลูกดอกอันคมกริบประกายแสงเย็นลั่วชิงยวนยกยิ้มมุมปาก หัวเราะอย่างเย็นชา “ดูเหมือนว่าเจ้าจะเตรียมการมาอย่างดี ตอนนี้พวกข้าคงหนีออกจากห้องนี้ไปมิได้แล้วใช่หรือไม่?”ลั่วชิงยวนสังเกตประตูห้อง รวมถึงผนังห้องทุกด้าน แล้วพบว่ามีกลไกบนประตูเหนือศีรษะ ต่งอวิ๋นซิ่วหัวเราะเบา ๆ “แน่นอน นี่คือห้องกลไกที่สร้างขึ้นมาเพื่อรับมือพวกเจ้าที่บุกรุกเข้ามาบนเขา”“วันนี้พวกเจ้าอย่าหวังว่าจะได้ออกไปแม้แต่คนเดียว!”ลั่วชิงยวนจับกระบี่ห้วงสวรรค์แน่นแล้วพุ่งไปที่กลไกจุดหนึ่งบนผนังห้อง ฟาดฟันกระบี่ลงไปอย่างแรงต่งอวิ๋นซิ่วรีบดึงโหยวเซียงหลบหลีกไปแต่ใครเล่าจะรู้ว่าลั่วชิงยวนมิได้โจมตีพวกนาง แต่กลับฟันกลไกบนผนังห้องทำให้ประตูห้องลงกลอนอย่างสมบูรณ์เมื่อเห็นเช่นนั้น ต่งอวิ๋นซิ่วก็หัวเราะเยาะ “เจ้าช่างรนหาที่ตายยิ่งนัก”ลั่วชิงยวนยกยิ้มอย่างมีความหมาย “เช่นนั้นรึ? ยังมิรู้เลยว่าใครกันแน่ที่จะ
ร่างที่เดินออกมาจากฝูงชนนั้นมีท่าทางคุกคามยิ่งนักลั่วชิงยวนหรี่ตาลงเล็กน้อย นั่นคือสตรีที่นางเห็นในความทรงจำของอวี๋ตันเฟิ่งต่งอวิ๋นซิ่ว!โหยวเซียงดิ้นรนพลางเงยหน้ามองต่งอวิ๋นซิ่วด้วยดวงตาแดงก่ำ “ท่านแม่… เป็นความผิดของลูกเองที่ปล่อยให้พวกมันขึ้นเขามาได้”หากมิใช่เพราะลั่วชิงยวนรู้ทางลับของวัดร้างแห่งนั้น พวกนางคงไม่มีทางขึ้นเขามาได้ง่ายดายถึงเพียงนี้!ต่งอวิ๋นซิ่วมองด้วยความเจ็บปวดแล้วตวาดใส่ลั่วชิงยวน “ปล่อยลูกสาวข้าเดี๋ยวนี้! มิเช่นนั้นข้าจะทำให้พวกเจ้าตายเยี่ยงไร้ที่ฝัง!”ลั่วชิงยวนหัวเราะเบา ๆ แล้วพูดด้วยน้ำเสียงดูถูกเหยียดหยาม “เมื่อคืนยังพยายามทำลายวิญญาณที่เหลือของอวี๋ตันเฟิ่งอยู่เลย วันนี้เจ้าลืมไปแล้วหรือว่าศัตรูของเจ้าคือใคร?”“ใครกันแน่ที่จะตายแบบไร้ที่ฝัง ยังบอกมิได้หรอก”เมื่อได้ยินดังนั้น ต่งอวิ๋นซิ่วก็สะดุ้งเฮือก สีหน้าเปลี่ยนไปอย่างมากท่าทางของนางดูตึงเครียดขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด แต่ก็ยังพยายามซ่อนไว้ได้ดีนางมองลั่วชิงยวนอย่างใจเย็น แล้วกล่าวว่า “ในเมื่อพวกเจ้ามาถึงเมืองแห่งภูตผี ก็คงต้องการของล้ำค่าของเมืองแห่งภูตผีสินะ”“พวกเจ้าอยากได้อะไร ข้าสามารถให้เจ
นางปฏิเสธอย่างหนักแน่นลั่วชิงยวนกลับยกยิ้มอย่างพึงพอใจแล้วค่อย ๆ ลุกขึ้น “พานางไปด้วย ไปวัดร้าง!”พวกเนางมุ่งหน้าไปทางทิศใต้ โหยวเซียงดิ้นรนตลอดทาง แต่โฉวสือชีและคนใบ้จ้องมองทุกการกระทำของนางอย่างใกล้ชิด มิเปิดโอกาสให้นางหลบหนีไปได้แม้แต่น้อยเมื่อเดินไปได้ไกลมากพอสมควร เสียงไก่ขันยามรุ่งอรุณก็ดังขึ้นแล้วในที่สุดพวกเขาก็มาถึงวัดร้างแห่งนั้นในวัดร้างมีพระพุทธรูปที่เป็นซากปรักหักพังล้มลงบนพื้น ดูเหมือนว่าที่นี่จะไม่มีใครมานานแล้วเมื่อมองหาอย่างละเอียดก็พบรอยเท้าบนพื้นลั่วชิงยวนมั่นใจยิ่งขึ้น นี่คือสถานที่ที่ถูกต้อง!โหยวเซียงจ้องมองทุกการกระทำของลั่วชิงยวนอย่างกระวนกระวาย เกรงว่าลั่วชิงยวนจะพบกลไกเข้าแต่ลั่วชิงยวนกลับสังเกตปฏิกิริยาของโหยวเซียง ค่อย ๆ เดินไปในแต่ละที่โดยอาศัยการสังเกตปฏิกิริยาโหยวเซียงสุดท้ายลั่วชิงยวนจึงเพ่งเล็งไปที่ผนังด้านหนึ่งแล้วเริ่มค้นหากลไกเสียงเปิดกลไกดังแกร๊กดังขึ้นประตูบานหนึ่งบนพื้นพลันเปิดออกหลังจากที่ลั่วชิงยวนเปิดประตูแล้วก็พบว่าด้านล่างยังมีประตูอีกบานหนึ่ง และบนนั้นก็มีกลไกเช่นกันแต่สำหรับลั่วชิงยวนแล้วเรื่องนี้ง่ายมากเมื่อประต
“เจ้ารีบอะไรนักหนา รอมาตั้งนานแล้ว รออีกสักหน่อยจะเป็นกระไร”เมื่อได้ยินดังนั้น อวี๋ตันเฟิ่งก็หยุดมือลั่วชิงยวนเดินเข้าไปคว้าตัวโหยวเซียงไว้ให้โฉวสือชีมัดนางไว้แน่นหนา จากนั้นจึงปลุกโหยวเซียงให้ฟื้นขึ้นมาเมื่อฟื้นคืนสติ โหยวเซียงก็จ้องหน้าลั่วชิงยวนเขม็งอย่างโกรธแค้น “เจ้ากล้าจับข้า เจ้าคอยดูเถอะว่าจะตายอย่างไร!”ลั่วชิงยวนย่อตัวลงนั่งตรงหน้านาง แล้วหัวเราะเบา ๆ “ใช่แล้ว ใครจะกล้าแตะต้องคุณหนูใหญ่เมืองแห่งภูตผีเล่า”“น่าเสียดาย เมืองแห่งภูตผีแห่งนี้ บิดามารดาของเจ้าไปปล้นเขามา มิใช่ของพวกเขามาแต่เดิม ย่อมมิใช่ของเจ้าเช่นกัน”“ถึงเวลาคืนเจ้าของตัวจริงแล้ว”โหยวเซียงจ้องเขม็งนางอย่างโกรธแค้น “เจ้าพูดจาเหลวไหลอะไร! เมืองแห่งภูตผีแห่งนี้เป็นของบิดามารดาข้ามาแต่เดิม!”เมื่อได้ยินดังนั้น ลั่วชิงยวนก็ประหลาดใจ “หรือว่าต่งอวิ๋นซิ่วมิได้บอกความจริงแก่เจ้า”“ก็ถูกแล้ว เรื่องน่าอับอายเช่นนี้ นางจะบอกลูกสาวได้อย่างไร”“เมืองแห่งภูตผีแห่งนี้มิใช่เพียงถูกบิดามารดาเจ้ายึดมาเท่านั้น แต่ยังใช้วิธีการที่น่ารังเกียจในการยึดครองด้วย!”“เดาว่าจนถึงตอนนี้เจ้าก็คงยังมิรู้เลยว่าศัตรูของเจ้าคือผ
โหยวเซียงกัดฟันพูดด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบลั่วชิงยวนมองไปที่อวี๋โหรว หลายวันมานี้อวี๋โหรวผอมซูบไปมาก“เจ้าจับตัวอวี๋โหรวมาเพื่อล่อข้ามาที่นี่รึ?”ลั่วชิงยวนหรี่ตามองโหยวเซียง“แต่เจ้ามิน่าจะมีความสามารถพอที่จะพาอวี๋โหรวออกจากวังหลวงไปได้”“เวินซินถงเป็นคนทำใช่หรือไม่?”“เจ้าทำข้อตกลงอะไรกับนางไว้?”โหยวเซียงหัวเราะเยาะ “อยากรู้รึ?”“คุกเข่าอ้อนวอนข้าสิ”“เจ้าอ้อนวอนข้า ข้าถึงจะบอกเจ้าว่าผู้ใดจับตัวอวี๋โหรวมา และผู้ใดร่วมมือกับข้าวางแผนให้เจ้ามาที่เมืองแห่งภูตผี”ลั่วชิงยวนมองท่าทีหยิ่งยโสของโหยวเซียงแล้วก็อดมิได้ที่จะหัวเราะเบา ๆ นางกวาดสายตามองไปรอบ ๆ แล้วถามว่า “ต่งอวิ๋นซิ่วมิมาด้วยรึ?”“เมื่อครู่นี้คนที่ต่อสู้กับข้าก็คือนางใช่หรือไม่?”เมื่อได้ยินน้ำเสียงเยาะเย้ยของลั่วชิงยวน โหยวเซียงก็โกรธจัด ในใจนางตกใจ ลั่วชิงยวนรู้แล้วหรือว่ามารดาของนางเป็นใคร“สารเลว!”นางบีบคออวี๋โหรวอย่างแรงเพื่อข่มขู่ลั่วชิงยวน “จะคุกเข่าหรือไม่?!”“ลั่วชิงยวน เจ้ามีโอกาสแค่ครั้งเดียว!”“หากเจ้ามิยอมคุกเข่ายอมจำนนแต่โดยดี ข้าจะหักคอนางเดี๋ยวนี้!”กล่าวจบ โหยวเซียงก็ออกแรงบีบบีบจนอวี๋โหรวหาย
ทันทีที่คนใบ้หันมาเห็นจึงรีบเข้ามาย่อตัวลงข้างนางแล้วช่วยประคองนางไว้ลั่วชิงยวนเช็ดเลือดที่มุมปาก ใบหน้าซีดเผือดกว่าเดิม“ข้ามิเป็นอะไร”นางเงยหน้าขึ้นมองอวี๋ตันเฟิ่งที่อยู่กลางอากาศ ในที่สุดจิตวิญญาณของนางก็สมบูรณ์แล้วบนใบหน้าซีดขาวนั้นปรากฏรอยยิ้ม รอยยิ้มนั้นทั้งพึงพอใจและเย่อหยิ่ง“ในที่สุดข้าก็ได้… เป็นอิสระแล้ว! ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า...”อวี๋ตันเฟิ่งหัวเราะลั่น ทำเอาป่าทั้งผืนเกิดพายุโหมกระหน่ำคนใบ้รีบยกมือขึ้นช่วยลั่วชิงยวนปัดป้องฝุ่นและใบไม้ที่ปลิวว่อน......จู่ ๆ ต่งอวิ๋นซิ่วก็กระอักเลือดออกมาเต็มปาก จากนั้นหมดสติล้มลงบนพื้น“ท่านแม่!”โหยวเซียงตกใจ รีบเข้าไปประคองนาง “ท่านแม่! ท่านแม่! ท่านเป็นอะไรไป!”หลังจากตะโกนเรียกอยู่นาน มารดาของนางก็มิฟื้นโหยวเซียงโกรธจนกัดฟันพูด “ลั่วชิงยวน สารเลว!”“เจ้าคอยดูเถอะ!”......ผ่านไปครู่ใหญ่ อวี๋ตันเฟิ่งถึงจะสงบสติอารมณ์ลงได้ลมพายุในป่าก็สงบลงเช่นกันถูหมิงที่อยู่ข้าง ๆ จึงค่อย ๆ ขยับเข้ามาใกล้ฉีเสวี่ยเวยที่ยังคงตกตะลึงมองภาพเหตุการณ์เมื่อครู่ด้วยความมิอยากเชื่อ “เมื่อกี้เกิดอะไรขึ้น?”“ต่อไปพวกเราต้องทำอะไร?”ลั่วชิงยวน