ฟู่เฉินหวนอุ้มลั่วชิงยวนเดินมาไกลด้วยความร้อนใจ กระทั่งในที่สุดเขาก็มองเห็นเรือหลายลำในแม่น้ำ เป็นคนจากตำหนักอ๋อง! ฟู่เฉินหวนรีบอุ้มลั่วชิงยวนไปที่ริมฝั่งแม่น้ำ "ตรงนั้น ตรงนั้นไง! ท่านอ๋องอยู่ตรงนั้น ท่านอ๋องอยู่ตรงนั้น!" เมื่อคนที่อยู่บนเรือมองเห็นพวกเขาก็ร้องอุทานขึ้นมาด้วยความตื่นเต้น…… ลั่วชิงยวนถูกพาตัวกลับมาที่ตำหนักอ๋อง เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นสร้างความโกลาหลและตื่นตระหนกกันไปทั้งตำหนัก ดังนั้นองค์จักรพรรดิจึงส่งตัวหมอหลวงมาเป็นพิเศษ ทั่วทั้งตำหนักยุ่งง่วนกันมาทั้งวัน ในที่สุดก็ช่วยชีวิตของนางเอาไว้ได้ เมื่อลั่วชิงยวนตื่นขึ้นมาด้วยอาการมึนงง นางก็รู้สึกศีรษะหนักอึ้งและอ่อนเปลี้ยเพลียแรงไปทั่วทั้งตัวเสียจนลุกขึ้นนั่งไม่ไหว "พระชายา โชคดีที่ท่านไม่เป็นอะไรเจ้าค่ะ..." จือเฉาค่อย ๆ เก็บผ้าห่ม "ท่านอ๋องกลับมาแล้วงั้นรึ?" เมื่อลั่วชิงยวนตื่นขึ้นมา ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดนางจึงเอ่ยถึงฟู่เฉินหวนเป็นอย่างแรก "ท่านเสด็จกลับมาแล้วเจ้าค่ะ ตอนที่ท่านอ๋องอุ้มท่านกลับมาค่อนข้างตื่นตระหนกทีเดียว ท่านอ๋องดูเหมือนจะเป็นห่วงท่านแทบตายเชียวนะเจ้าคะ" เมื่อจือเฉานึกถึงเรื่องนี้ก็ให้รู้ส
"ถ้าหากท่านอ๋องแสดงท่าทีลำเอียง พระชายาคิดจะขอความช่วยเหลือจากองค์ชายห้าหรือไม่เจ้าคะ?" เมื่อลั่วชิงยวนได้ยินเช่นนี้ นางก็รู้สึกประหลาดใจอยู่บ้างแล้วรีบโบกมือปฏิเสธทันที "เจ้าไม่ต้องไปหาองค์ชายห้าและห้ามบอกเรื่องพวกนี้กับท่านเด็ดขาด ท่านตกที่นั่งลำบากจนแทบจะปกป้องตัวเองมิได้อยู่แล้ว ท่านจะมาขอร้องแทนข้าได้อย่างไรกันเล่า? เรื่องนี้หาได้เกี่ยวข้องอะไรกับองค์ชายห้าไม่ ตัวข้าเองก็มิอยากให้ท่านต้องเอาตัวเข้ามาพัวพันด้วย" เนื่องจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเกี่ยวพันกับหอชิงเฟิงและลั่วเยวี่ยอิง สถานการณ์ระหว่างพวกนางทั้งสามคนก็ยุ่งยากมากพออยู่แล้ว ถ้ามีฟู่อวิ๋นโจวเข้ามาพัวพัน เรื่องราวก็รังแต่จะเกิดปัญหาและยุ่งยากขึ้นไปอีก แม่นมเติ้งผงกศีรษะ "เพคะ หม่อมฉันจะทำตามคำสั่งของพระชายา" "แต่เรื่องนี้ควรจะทำเช่นไรดีหรือเจ้าคะ?" แม่นมเติ้งเองก็รู้สึกเศร้าใจแทนพระชายาที่ต้องประสบเคราะห์ร้ายมากเสียจนแทบจะต้องเอาชีวิตไปทิ้งอยู่แล้ว ลั่วชิงยวนขมวดคิ้วพลางครุ่นคิด "ก่อนอื่นต้องพักฟื้นให้หายดี ตัวข้าเองก็อยากจะรู้ว่า ฟู่เฉินหวนจะจัดการเรื่องนี้เช่นไร" ดังนั้นนางจึงอยู่แต่กินโอสถแล้วพักฟื้นในห้องโด
ลั่วชิงยวนรู้สึกตกใจและต่อต้านอยู่บ้าง "บอกว่าข้าไม่ไปเพราะยังไม่หายดี" ทว่าแม่นมเติ้งกลับเอ่ยขึ้นด้วยความจนใจว่า "บ่าวเกรงว่าจะทำเช่นนั้นมิได้เจ้าค่ะ จิ่นชูมารับท่านด้วยตัวเองและรถม้าก็เตรียมเอาไว้พร้อมแล้ว แม้แต่หมอหลวงก็มาด้วย" หมอหลวงก็มาด้วยเช่นนั้นหรือ? ต่อให้ต้องตายก็ต้องพานางเข้าวังให้ได้ใช่หรือไม่? ขณะที่นางเพิ่งจะพูดจบ นางก็เห็นจิ่นชูเดินนำหน้าหมอหลวงเข้ามาในเรือน "พระชายาอาการเป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะ? ไทเฮารับสั่งให้ข้าพาหมอหลวงเลี่ยวมาตรวจอาการพระชายาเป็นพิเศษ และขอเชิญพระชายาเข้าวังไปสนทนากันสักครู่เจ้าค่ะ" ลั่วชิงยวนไอสองครั้งแล้วบอกว่า "ในเมื่อข้าต้องเข้าวัง เช่นนั้นก็ให้ข้าได้แต่งตัวสักหน่อยเถอะ" แต่จิ่นชูกลับพูดว่า "ไทเฮารับสั่งว่า พระชายาไม่จำเป็นต้องแต่งตัวหรอกเจ้าค่ะเมื่อไทเฮานึกได้ว่าพระชายาไม่สบาย ย่อมไม่โทษท่าน" "พระชายาเชิญทำตัวตามสบายเถิดเจ้าค่ะ" ลั่วชิงยวนไม่มีทางเลือกนอกจากพยักหน้าให้แม่นมเติ้งสวมเสื้อคลุมให้ จากนั้นนางก็ตามจิ่นชูออกไปจากตำหนัก หลังจากขึ้นรถม้าแล้ว พวกเขาก็เดินทางเข้าวัง หมอหลวงจับชีพจรให้นางอยู่ในรถม้าพลางกล่าวว่า "ถึงแม้ว่า
ไทเฮากล่าวต่อไปอีกว่า "เจ้าอยากจะตบหน้าตัวเองห้าสิบครั้งต่อหน้านางหรือไม่?" แต่ผู้ที่จิ่นชูพาเข้ามากลับไม่ใช่ลั่วเยวี่ยอิง แต่เป็น... หลิวฮุ่ยเซียง! หลิวฮุ่ยเซียงสวมอาภรณ์บางเบาพลางเดินกะโผลกกะเผลก เส้นผมของนางค่อนข้างเปียกชื้นราวกับว่าคุกเข่าอยู่ข้างนอกมาได้สักพักหนึ่งแล้ว เสื้อผ้าอาภรณ์และเส้นผมชุ่มไปด้วยน้ำค้างจนทำให้นางตัวสั่นสะท้านเพราะความหนาวเหน็บ หลิวฮุ่ยเซียงสืบเท้ามาข้างหน้าพลางคุกเข่าลงดังตุ้บ "ตัวหม่อมฉันผู้ต่ำต้อย หลิวฮุ่ยเซียง ถวายบังคมไทเฮาเพคะ" สายตาของไทเฮาพลันแปรเปลี่ยนเป็นเย็นชาพลางค่อย ๆ เอ่ยขึ้นมาว่า "เจ้ารู้หรือไม่ว่าเพราะเหตุใดตัวข้าถึงให้เจ้าคุกเข่าถึงหนึ่งชั่วยาม?" "ตัว... ตัวหม่อมฉันผู้ต่ำต้อยหาทราบไม่เพคะ!" หลิวฮุ่ยเซียงน้ำเสียงสั่นเครือ ทั้งยังขาดความมั่นใจอีกด้วย ก่อนที่ลั่วชิงยวนจะมาถึง นางไม่รู้จริง ๆ ว่าเหตุใดตนจึงถูกลงโทษ แต่ยามนี้ลั่วชิงยวนถูกเชิญมาที่นี่แล้วนางจะไม่รู้ได้อย่างไรกัน? ทว่านี่เป็นเรื่องคอขาดบาดตาย นางไม่กล้ายอมรับผิดไปส่ง ๆ แน่ ทันใดนั้นเสียงของไทเฮาก็พลันแปรเปลี่ยนเป็นเยียบเย็น "เจ้ามิรู้เช่นนั้นรึ? เจ้ารู้จักหอชิงเฟิง
"พระชายา เจ้าคิดว่าควรทำอย่างไรดี?" คำถามของไทเฮาทำให้ลั่วชิงยวนไม่ทันได้ตั้งตัว "หม่อมฉันหรือเพคะ?" ถึงเวลาที่นางต้องจัดการกับเรื่องนั้นแล้วใช่หรือไม่? หลิวฮุ่ยเซียงรีบคุกเข่าโขกหัวคำนับตรงหน้าลั่วชิงยวน "พระชายาเจ้าคะ! ก่อนหน้านี้ล้วนเป็นความผิดของข้า ข้าขอโทษท่านแล้ว!" แม้ว่าหลิวฮุ่ยเซียงจะเอ่ยขึ้นด้วยความร้อนรนกังวลใจ แต่นางก็ยังโขกหัวคำนับจนตอนนี้หน้าผากเลือดออกพลางขอร้องว่า "พระชายา ได้โปรดอภัยให้ข้าด้วยเจ้าค่ะ! ขอเพียงท่านอภัยให้ จะให้ทำกระไรข้าก็ยอม!" ตระกูลฉินไม่ปกป้องนางอีกต่อไปแล้ว นางจึงไม่มีทางเลือกนอกเสียจากคุกเข่าขอโทษลั่วชิงยวน แต่ลั่วชิงยวนกลับมองด้วยสายตาเย็นชาโดยมิพูดอะไรสักคำ ทำให้หลิวฮุ่ยเซียงโขกหัวคำนับนางมิหยุดหย่อน ถึงหลิวฮุ่ยเซียงจะโขกหัวคำนับจนหน้าผากมีเลือดหยด ทว่าลั่วชิงยวนกลับมิเอ่ยวาจาใดสักคำเดียว กระทั่งไทเฮาต้องร้องเรียกว่า "พระชายา เช่นนี้เจ้าพอใจหรือไม่?" ลั่วชิงยวนก้มหน้ามองหลิวฮุ่ยเซียงด้วยสายตาที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความเย็นชาแล้วตอบเสียงเย็นว่า "ไม่เพคะ" วันที่คนพวกนั้นบังคับจับตัวนางไปทำให้นางรู้สึกอัปยศอดสูเพียงใด? นางต้องถูกก่นด่
นางเอ่ยมาขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า "คราวนี้เพื่อเห็นแก่ไทเฮา ข้าจะไม่ติดใจเอาความ แต่ถ้ามีครั้งหน้าอีกล่ะก็ ข้าจะไม่ปล่อยเจ้าไปแน่!" หลิวฮุ่ยเซียงก้มหน้าแล้วให้สัญญาว่า "ข้ามิกล้าทำอีกแล้วเจ้าค่ะ!" เมื่อหลิวฮุ่ยเซียงพูดจบก็เงยหน้าขึ้นมาพร้อมสายตาจองหอง ทันใดนั้นหลิวฮุ่ยเซียงก็เผยสีหน้าเจ็บปวดและกุมหน้าอกเอาไว้ทันที เพราะรู้สึกปวดช่องท้องขึ้นมากะทันหัน นางเริ่มทรงตัวได้ไม่มั่นคงแล้วล้มลงกับพื้น ลั่วชิงยวนรู้สึกตกใจจนลุกพรวดขึ้นมาทันที "ไทเฮา..." หลิวฮุ่ยเซียงดิ้นรนกระเสือกกระสนแล้วกระตุกไปสองครั้ง นางเงยหน้าแล้วยื่นมือมาทางไทเฮาราวกับว่ากำลังขอความช่วยเหลือ แต่ไทเฮากลับนั่งตัวตรงบนเก้าอี้ พลางหยิบถ้วยชาขึ้นมาด้วยท่าทีสงบนิ่งและไม่ใส่ใจ หลิวฮุ่ยเซียงกระตุกไปสองครั้งทั้งอย่างนั้น จากนั้นก็กระอักเลือดแล้วสิ้นชีพลง ลั่วชิงยวนรู้สึกตื่นตกใจมากเสียจนขมวดคิ้วขึ้นมาทันที ไทเฮาประทานสุราพิษให้แก่หลิวฮุ่ยเซียง! ไทเฮาบอกว่าพระนางอยากให้ลั่วชิงยวนเลิกแล้วต่อกันไปเพื่อเห็นแก่พระนาง แต่พระนางกลับประทานพิษให้แก่หลิวฮุ่ยเซียง "ไทเฮาเพคะ นี่มัน..." ตอนนี้สีหน้าซีดขาวของลั่วชิงยวน
ลมหนาวเสียดกระดูก กลุ่มคนชุดดำกำลังหลบหนีอยู่ในท้องถนนอันเงียบสงัด บุรุษผู้มีแผลเป็นกำลังวิ่งไปทั่ว เมื่อเห็นว่าตนถูกล้อมกระหนาบไว้จากทั้งสองด้าน เขาก็กระโดดขึ้นรถม้าแล้วพยายามที่จะปีนขึ้นหลังคาเพื่อหนีไป แต่ทันทีที่เขากระโดดขึ้นมาบนหลังคาเพื่อจะหนีไป จู่ ๆ ก็มีคนชุดดำปรากฏตัวขึ้นตรงหน้าเขา ก่อนที่บุรุษผู้มีแผลเป็นจะทันได้มองให้ชัด ๆ เขาก็โดนถีบเข้าที่หน้าอก เขาโดนถีบจนร่วงตกลงมาจากหลังคาทันที เขาหล่นลงมาที่พื้นอย่างแรงแล้วคนชุดดำก็เข้ามารุมเล่นงานเขา กระบี่เยียบเย็นกลับยิ่งเฉียบคมในสายลมหนาวแล้วกดลงมาที่ลำคอของเขา “กราบทูลท่านอ๋อง! จับตัวได้แล้วพ่ะย่ะค่ะ!" องครักษ์ชุดดำรายงานด้วยความเคารพนบนอบ ฟู่เฉินหวนยืนเอามือไพล่หลังอยู่บนหลังคาด้วยสายตาเฉียบขาดและเย็นชา "รีบเอาตัวมันไปไต่สวน" หลังจากไล่ตามไม่หยุดหย่อนมาหลายวัน ในที่สุดจับปลาไม่กี่ตัวที่หลุดลอดแหไปได้สักที คนพวกนี้คือไม่กี่คนที่สืบหาได้จากเงื่อนงำที่คนในหอชิงเฟิงเคยให้ไว้ คราวนี้พวกเขาจะต้องไต่สวนหาผู้บงการอยู่เบื้องหลังเหตุการณ์ได้แน่! …… เมื่อรถม้าในวังหลวงหยุดลงตรงหน้าตำหนักอ๋อง จิ่นชูก็ส่งนางแล้วกลับไป
…… เมื่อลั่วชิงยวนกลับมาที่เรือน นางก็ยังครุ่นคิดเรื่องคนที่ฟู่เฉินหวนจับตัวมาได้ เขาไม่ได้พักฟื้นอยู่ในห้องหรอกหรือ? เขาออกไปตั้งแต่เมื่อใดกัน? คนพวกนั้นที่ถูกจับตัวมาเป็นผู้ใดกัน? สายลมหนาวหอบหนึ่งปะทะใส่นางจนไอขึ้นมาทันที แม่นมเติ้งรีบช่วยพานางเข้าห้องไป "วันนี้อากาศหนาวมากทีเดียว ขอพระชายาโปรดเข้าไปข้างในแล้วรีบนอนลงเถิดเจ้าค่ะ" หลังจากนางพูดจบก็รีบสั่งจือเฉาให้เติมถ่านหินลงไปในกองไฟ ทั้ง ๆ ที่ห้องอบอุ่น แต่ลั่วชิงยวนกลับรู้สึกหนาวเหน็บไปทั้งจิตใจแล้วค่อยล้มตัวลงนอน กว่าจะหายป่วยต้องใช้เวลากี่วันกันนะ? ตอนที่นางไม่มีอะไรจะทำนางจะสั่งให้แม่นมเติ้งกักตุนเครื่องยาสมุนไพรส่วนที่เหลือ นางอยากจะรักษาโรคอ้วนและไม่อาจหยุดยาได้ เนื่องจากแม่นมเติ้งคำนวณดูแล้วพบว่ามีเหลือไม่มากนัก "พรุ่งนี้เจ้าเอาเงินไปซื้อเครื่องยาสมุนไพรเสียเถอะ" "เจ้าค่ะ" เมื่อนางนึกขึ้นได้ว่าทำเงินรางวัลหนึ่งพันตำลึงที่ได้จากแม่ทัพใหญ่ฉินสูญหายไปท่ามกลางความโกลาหล นางก็รู้สึกปวดใจมากเสียจนไม่อาจปล่อยให้เรื่องราวเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าได้ …… ในคุกแห่งหนึ่ง มีเสียงแผดร้องดังขึ้น ทว่าก็มาพร้
ร่างที่ไร้ศีรษะร่างหนึ่งถือกระบี่เดินเข้ามาหาลั่วชิงยวน โซ่เหล็กด้านหลังลากคนสามคนไว้แม้จะออกแรงสุดกำลังแล้วก็ยังฉุดรั้งโหยวจิ้งเฉิงไว้มิได้แต่ร่างของโหยวจิ้งเฉิงในตอนนี้ไม่มีศีรษะแล้ว ยากที่จะควบคุมร่างกายได้ลั่วชิงยวนถือกระบี่เงื้อฟันไปยังร่างของฝูเหมิ่ง เช่นเดียวกับตอนที่โหยวจิ้งเฉิงตัดแขนขาของอวี๋ตันเฟิ่งนางกำลังแก้แค้นและระบายความแค้นอย่างบ้าคลั่งตัดแขนของเขาขาดทีละข้างกระบี่ห้วงสวรรค์ร่วงลงสู่พื้นไปพร้อมกับแขนจากนั้นขาทั้งสองข้างของเขาก็ขาดกระเด็นอวี๋ตันเฟิ่งอาละวาดแก้แค้นอย่างบ้าคลั่งเมื่อมองไปยังซากศพที่กองอยู่บนพื้น ดวงตาของลั่วชิงยวนก็ราวกับถูกย้อมไปด้วยสีแดงฉานใต้หล้าเต็มไปด้วยกลิ่นคาวเลือดทั้งสามที่อยู่มิไกลต่างตกตะลึงมิเคยเห็นฉากที่นองเลือดเช่นนี้มาก่อนแต่ถึงแม้ร่างกายจะแหลกละเอียด โหยวจิ้งเฉิงก็ยังมิตายทันใดนั้นมีร่างหนึ่งพุ่งออกมาจากซากศพ แล้วลอยละลิ่วไปอวี๋ตันเฟิ่งกรีดร้องแหลม “โหยวจิ้งเฉิง เจ้าอย่าหวังว่าจะหนีไปไหนได้อีก! ข้าจะทำให้เจ้ามิได้ผุดได้เกิด!”พลังในร่างของนางพลันเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว เกิดเป็นลมพายุโหมกระหน่ำ ลั่วชิงยวนรู้สึกราว
ใบหน้านั้นบ่งบอกชัดเจนว่าเป็นโหยวจิ้งเฉิง“ต่อไปก็ถึงตาพวกเจ้าแล้ว” เขาเอ่ยด้วยเสียงแหบแห้งเย็นเยือกโฉวสือชีกำกระบี่ในมือแน่น ปกป้องคนใบ้และอวี๋โหรวไว้ส่วนลั่วชิงยวนค่อย ๆ ก้าวเท้าไปข้างหน้าในดวงตาค่อย ๆ ก่อเกิดจิตสังหารนางหลับตาลง แล้วกล่าวว่า “อวี๋ตันเฟิ่ง ไปแก้แค้นของเจ้าเถิด”ลั่วชิงยวนมอบร่างของตนให้อวี๋ตันเฟิ่งโดยสมบูรณ์เมื่อลืมตาขึ้นอีกครั้ง ใบหน้าของนางยังคงเป็นใบหน้าเดิม เพียงแต่แววตานั้นกลับดุดันยิ่งนัก ดวงตาสีแดงก่ำเต็มไปด้วยความแค้นเสียงของอวี๋ตันเฟิ่งดังขึ้น “โหยวจิ้งเฉิง ความแค้นระหว่างข้ากับเจ้า วันนี้ถึงคราวสะสางแล้ว”“สิบกว่าปีที่ผ่านมา ข้าคิดอยู่ตลอดเวลาว่าจะฉีกร่างเจ้าเป็นชิ้น ๆ อย่างไรถึงจะสาสมกับความแค้นในใจข้า”“แต่คาดมิถึงว่าเจ้าจะตายไปแล้ว”“แต่ก็มิเป็นไร วันนี้ข้าจะฉีกร่างเจ้าให้เป็นชิ้น ๆ ให้ได้!”เมื่อกล่าวจบ ลั่วชิงยวนก็กระโจนเข้าไปเสียงอาวุธปะทะกันอย่างรุนแรงดังขึ้นแต่ในเวลานี้เอง โหยวจิ้งเฉิงก็พุ่งไปยังกำแพง คว้ากระบี่ห้วงสวรรค์มาได้ จากนั้นกระโจนออกนอกห้องไปอวี๋ตันเฟิ่งรีบไล่ตามไปสีหน้าคนใบ้เปลี่ยนไป กระบี่ห้วงสวรรค์! หากฝูเหมิ่ง
ต่งอวิ๋นซิ่วตกใจจนหน้าซีดเผือด รีบยกมือขึ้นมาป้องกัน แล้วต่อสู้กับฝูเหมิ่งแต่พลังในตอนนี้ของต่งอวิ๋นซิ่วเทียบกับฝูเหมิ่งแล้วยังอ่อนแอกว่ามากนักสุดท้ายก็ถูกฝูเหมิ่งบีบคอไว้แน่นลั่วชิงยวนเห็นชัดเจนว่าในร่างของฝูเหมิ่งตอนนี้คือโหยวจิ้งเฉิง!เขาเป็นบ้าไปแล้วหรือ? เขาจะฆ่าต่งอวิ๋นซิ่วภรรยาของตนหรือ?เมื่อเห็นดังนั้น โหยวเซียงก็ชักกระบี่พุ่งเข้าไปหมายจะช่วยต่งอวิ๋นซิ่ว แต่ฝูเหมิ่งกลับมิหลบเลยแม้แต่น้อย ปล่อยให้กระบี่ในมือนางแทงทะลุร่างจากนั้นฝูเหมิ่งก็ฟาดมือไปทีหนึ่ง โหยวเซียงจึงกระเด็นปลิวไปโหยวเซียงกระอักเลือดออกมาต่งอวิ๋นซิ่วร้อนใจยิ่งนัก “เซียงเอ๋อร์ มิต้องสนใจแม่ รีบหนีไป!”โหยวเซียงจะทนมองดูมารดาของตนถูกฆ่าได้อย่างไร นางพยายามลุกขึ้นมาสู้ต่อแต่ฝูเหมิ่งกลับมองโหยวเซียงอย่างดุดัน แล้วกล่าวขู่ “คนที่ข้าต้องการฆ่ามีเพียงต่งอวิ๋นซิ่วเท่านั้น เจ้าจงหลีกไป”“มิเช่นนั้นอย่าหาว่าข้ามิเห็นแก่ความเป็นพ่อลูก”เมื่อได้ยินดังนั้น โหยวเซียงก็ตกใจจนยืนอึ้งไปกับที่ แล้วกล่าวเสียงสั่นเครือ “พ่อ… พ่อลูกหรือ?”ตอนนี้เสียงของฝูเหมิ่งก็มิใช่เสียงของฝูเหมิ่งอีกต่อไปแล้วเมื่อต่งอวิ๋นซิ่ว
ขณะนี้เอง โหยวเซียงก็ฉวยโอกาสหลบหนีจากมือของลั่วชิงยวนไปได้ต่งอวิ๋นซิ่วมองพวกเขาอย่างเย็นชา “ในเมื่อมาถึงที่นี่แล้วก็เตรียมตัวตายได้เลย!”ทันใดนั้นบนคานเรือนก็ปรากฏชายชุดดำจำนวนมากพร้อมถือหน้าไม้เล็งมาที่พวกเขาลูกดอกอันคมกริบประกายแสงเย็นลั่วชิงยวนยกยิ้มมุมปาก หัวเราะอย่างเย็นชา “ดูเหมือนว่าเจ้าจะเตรียมการมาอย่างดี ตอนนี้พวกข้าคงหนีออกจากห้องนี้ไปมิได้แล้วใช่หรือไม่?”ลั่วชิงยวนสังเกตประตูห้อง รวมถึงผนังห้องทุกด้าน แล้วพบว่ามีกลไกบนประตูเหนือศีรษะ ต่งอวิ๋นซิ่วหัวเราะเบา ๆ “แน่นอน นี่คือห้องกลไกที่สร้างขึ้นมาเพื่อรับมือพวกเจ้าที่บุกรุกเข้ามาบนเขา”“วันนี้พวกเจ้าอย่าหวังว่าจะได้ออกไปแม้แต่คนเดียว!”ลั่วชิงยวนจับกระบี่ห้วงสวรรค์แน่นแล้วพุ่งไปที่กลไกจุดหนึ่งบนผนังห้อง ฟาดฟันกระบี่ลงไปอย่างแรงต่งอวิ๋นซิ่วรีบดึงโหยวเซียงหลบหลีกไปแต่ใครเล่าจะรู้ว่าลั่วชิงยวนมิได้โจมตีพวกนาง แต่กลับฟันกลไกบนผนังห้องทำให้ประตูห้องลงกลอนอย่างสมบูรณ์เมื่อเห็นเช่นนั้น ต่งอวิ๋นซิ่วก็หัวเราะเยาะ “เจ้าช่างรนหาที่ตายยิ่งนัก”ลั่วชิงยวนยกยิ้มอย่างมีความหมาย “เช่นนั้นรึ? ยังมิรู้เลยว่าใครกันแน่ที่จะ
ร่างที่เดินออกมาจากฝูงชนนั้นมีท่าทางคุกคามยิ่งนักลั่วชิงยวนหรี่ตาลงเล็กน้อย นั่นคือสตรีที่นางเห็นในความทรงจำของอวี๋ตันเฟิ่งต่งอวิ๋นซิ่ว!โหยวเซียงดิ้นรนพลางเงยหน้ามองต่งอวิ๋นซิ่วด้วยดวงตาแดงก่ำ “ท่านแม่… เป็นความผิดของลูกเองที่ปล่อยให้พวกมันขึ้นเขามาได้”หากมิใช่เพราะลั่วชิงยวนรู้ทางลับของวัดร้างแห่งนั้น พวกนางคงไม่มีทางขึ้นเขามาได้ง่ายดายถึงเพียงนี้!ต่งอวิ๋นซิ่วมองด้วยความเจ็บปวดแล้วตวาดใส่ลั่วชิงยวน “ปล่อยลูกสาวข้าเดี๋ยวนี้! มิเช่นนั้นข้าจะทำให้พวกเจ้าตายเยี่ยงไร้ที่ฝัง!”ลั่วชิงยวนหัวเราะเบา ๆ แล้วพูดด้วยน้ำเสียงดูถูกเหยียดหยาม “เมื่อคืนยังพยายามทำลายวิญญาณที่เหลือของอวี๋ตันเฟิ่งอยู่เลย วันนี้เจ้าลืมไปแล้วหรือว่าศัตรูของเจ้าคือใคร?”“ใครกันแน่ที่จะตายแบบไร้ที่ฝัง ยังบอกมิได้หรอก”เมื่อได้ยินดังนั้น ต่งอวิ๋นซิ่วก็สะดุ้งเฮือก สีหน้าเปลี่ยนไปอย่างมากท่าทางของนางดูตึงเครียดขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด แต่ก็ยังพยายามซ่อนไว้ได้ดีนางมองลั่วชิงยวนอย่างใจเย็น แล้วกล่าวว่า “ในเมื่อพวกเจ้ามาถึงเมืองแห่งภูตผี ก็คงต้องการของล้ำค่าของเมืองแห่งภูตผีสินะ”“พวกเจ้าอยากได้อะไร ข้าสามารถให้เจ
นางปฏิเสธอย่างหนักแน่นลั่วชิงยวนกลับยกยิ้มอย่างพึงพอใจแล้วค่อย ๆ ลุกขึ้น “พานางไปด้วย ไปวัดร้าง!”พวกเนางมุ่งหน้าไปทางทิศใต้ โหยวเซียงดิ้นรนตลอดทาง แต่โฉวสือชีและคนใบ้จ้องมองทุกการกระทำของนางอย่างใกล้ชิด มิเปิดโอกาสให้นางหลบหนีไปได้แม้แต่น้อยเมื่อเดินไปได้ไกลมากพอสมควร เสียงไก่ขันยามรุ่งอรุณก็ดังขึ้นแล้วในที่สุดพวกเขาก็มาถึงวัดร้างแห่งนั้นในวัดร้างมีพระพุทธรูปที่เป็นซากปรักหักพังล้มลงบนพื้น ดูเหมือนว่าที่นี่จะไม่มีใครมานานแล้วเมื่อมองหาอย่างละเอียดก็พบรอยเท้าบนพื้นลั่วชิงยวนมั่นใจยิ่งขึ้น นี่คือสถานที่ที่ถูกต้อง!โหยวเซียงจ้องมองทุกการกระทำของลั่วชิงยวนอย่างกระวนกระวาย เกรงว่าลั่วชิงยวนจะพบกลไกเข้าแต่ลั่วชิงยวนกลับสังเกตปฏิกิริยาของโหยวเซียง ค่อย ๆ เดินไปในแต่ละที่โดยอาศัยการสังเกตปฏิกิริยาโหยวเซียงสุดท้ายลั่วชิงยวนจึงเพ่งเล็งไปที่ผนังด้านหนึ่งแล้วเริ่มค้นหากลไกเสียงเปิดกลไกดังแกร๊กดังขึ้นประตูบานหนึ่งบนพื้นพลันเปิดออกหลังจากที่ลั่วชิงยวนเปิดประตูแล้วก็พบว่าด้านล่างยังมีประตูอีกบานหนึ่ง และบนนั้นก็มีกลไกเช่นกันแต่สำหรับลั่วชิงยวนแล้วเรื่องนี้ง่ายมากเมื่อประต
“เจ้ารีบอะไรนักหนา รอมาตั้งนานแล้ว รออีกสักหน่อยจะเป็นกระไร”เมื่อได้ยินดังนั้น อวี๋ตันเฟิ่งก็หยุดมือลั่วชิงยวนเดินเข้าไปคว้าตัวโหยวเซียงไว้ให้โฉวสือชีมัดนางไว้แน่นหนา จากนั้นจึงปลุกโหยวเซียงให้ฟื้นขึ้นมาเมื่อฟื้นคืนสติ โหยวเซียงก็จ้องหน้าลั่วชิงยวนเขม็งอย่างโกรธแค้น “เจ้ากล้าจับข้า เจ้าคอยดูเถอะว่าจะตายอย่างไร!”ลั่วชิงยวนย่อตัวลงนั่งตรงหน้านาง แล้วหัวเราะเบา ๆ “ใช่แล้ว ใครจะกล้าแตะต้องคุณหนูใหญ่เมืองแห่งภูตผีเล่า”“น่าเสียดาย เมืองแห่งภูตผีแห่งนี้ บิดามารดาของเจ้าไปปล้นเขามา มิใช่ของพวกเขามาแต่เดิม ย่อมมิใช่ของเจ้าเช่นกัน”“ถึงเวลาคืนเจ้าของตัวจริงแล้ว”โหยวเซียงจ้องเขม็งนางอย่างโกรธแค้น “เจ้าพูดจาเหลวไหลอะไร! เมืองแห่งภูตผีแห่งนี้เป็นของบิดามารดาข้ามาแต่เดิม!”เมื่อได้ยินดังนั้น ลั่วชิงยวนก็ประหลาดใจ “หรือว่าต่งอวิ๋นซิ่วมิได้บอกความจริงแก่เจ้า”“ก็ถูกแล้ว เรื่องน่าอับอายเช่นนี้ นางจะบอกลูกสาวได้อย่างไร”“เมืองแห่งภูตผีแห่งนี้มิใช่เพียงถูกบิดามารดาเจ้ายึดมาเท่านั้น แต่ยังใช้วิธีการที่น่ารังเกียจในการยึดครองด้วย!”“เดาว่าจนถึงตอนนี้เจ้าก็คงยังมิรู้เลยว่าศัตรูของเจ้าคือผ
โหยวเซียงกัดฟันพูดด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบลั่วชิงยวนมองไปที่อวี๋โหรว หลายวันมานี้อวี๋โหรวผอมซูบไปมาก“เจ้าจับตัวอวี๋โหรวมาเพื่อล่อข้ามาที่นี่รึ?”ลั่วชิงยวนหรี่ตามองโหยวเซียง“แต่เจ้ามิน่าจะมีความสามารถพอที่จะพาอวี๋โหรวออกจากวังหลวงไปได้”“เวินซินถงเป็นคนทำใช่หรือไม่?”“เจ้าทำข้อตกลงอะไรกับนางไว้?”โหยวเซียงหัวเราะเยาะ “อยากรู้รึ?”“คุกเข่าอ้อนวอนข้าสิ”“เจ้าอ้อนวอนข้า ข้าถึงจะบอกเจ้าว่าผู้ใดจับตัวอวี๋โหรวมา และผู้ใดร่วมมือกับข้าวางแผนให้เจ้ามาที่เมืองแห่งภูตผี”ลั่วชิงยวนมองท่าทีหยิ่งยโสของโหยวเซียงแล้วก็อดมิได้ที่จะหัวเราะเบา ๆ นางกวาดสายตามองไปรอบ ๆ แล้วถามว่า “ต่งอวิ๋นซิ่วมิมาด้วยรึ?”“เมื่อครู่นี้คนที่ต่อสู้กับข้าก็คือนางใช่หรือไม่?”เมื่อได้ยินน้ำเสียงเยาะเย้ยของลั่วชิงยวน โหยวเซียงก็โกรธจัด ในใจนางตกใจ ลั่วชิงยวนรู้แล้วหรือว่ามารดาของนางเป็นใคร“สารเลว!”นางบีบคออวี๋โหรวอย่างแรงเพื่อข่มขู่ลั่วชิงยวน “จะคุกเข่าหรือไม่?!”“ลั่วชิงยวน เจ้ามีโอกาสแค่ครั้งเดียว!”“หากเจ้ามิยอมคุกเข่ายอมจำนนแต่โดยดี ข้าจะหักคอนางเดี๋ยวนี้!”กล่าวจบ โหยวเซียงก็ออกแรงบีบบีบจนอวี๋โหรวหาย
ทันทีที่คนใบ้หันมาเห็นจึงรีบเข้ามาย่อตัวลงข้างนางแล้วช่วยประคองนางไว้ลั่วชิงยวนเช็ดเลือดที่มุมปาก ใบหน้าซีดเผือดกว่าเดิม“ข้ามิเป็นอะไร”นางเงยหน้าขึ้นมองอวี๋ตันเฟิ่งที่อยู่กลางอากาศ ในที่สุดจิตวิญญาณของนางก็สมบูรณ์แล้วบนใบหน้าซีดขาวนั้นปรากฏรอยยิ้ม รอยยิ้มนั้นทั้งพึงพอใจและเย่อหยิ่ง“ในที่สุดข้าก็ได้… เป็นอิสระแล้ว! ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า...”อวี๋ตันเฟิ่งหัวเราะลั่น ทำเอาป่าทั้งผืนเกิดพายุโหมกระหน่ำคนใบ้รีบยกมือขึ้นช่วยลั่วชิงยวนปัดป้องฝุ่นและใบไม้ที่ปลิวว่อน......จู่ ๆ ต่งอวิ๋นซิ่วก็กระอักเลือดออกมาเต็มปาก จากนั้นหมดสติล้มลงบนพื้น“ท่านแม่!”โหยวเซียงตกใจ รีบเข้าไปประคองนาง “ท่านแม่! ท่านแม่! ท่านเป็นอะไรไป!”หลังจากตะโกนเรียกอยู่นาน มารดาของนางก็มิฟื้นโหยวเซียงโกรธจนกัดฟันพูด “ลั่วชิงยวน สารเลว!”“เจ้าคอยดูเถอะ!”......ผ่านไปครู่ใหญ่ อวี๋ตันเฟิ่งถึงจะสงบสติอารมณ์ลงได้ลมพายุในป่าก็สงบลงเช่นกันถูหมิงที่อยู่ข้าง ๆ จึงค่อย ๆ ขยับเข้ามาใกล้ฉีเสวี่ยเวยที่ยังคงตกตะลึงมองภาพเหตุการณ์เมื่อครู่ด้วยความมิอยากเชื่อ “เมื่อกี้เกิดอะไรขึ้น?”“ต่อไปพวกเราต้องทำอะไร?”ลั่วชิงยวน