ลั่วชิงยวนกำลังเดินเล่น เพื่ออยากหาโอกาสเจอซ่งเชียนฉู่ ซ่งเชียนฉู่มิออกมา แต่กลับมีผู้คนมากมายปรากฏในสายตาของนางแทน การแต่งตัวที่เหมือนชาวบ้าน ในมือถือจอบและเสียมที่เอาไว้ทำนา ท่าทีของพวกเขาดุดัน จือเฉาได้ยินเสียง จึงรีบวิ่งออกมาดู นางตะลึงในทันที “เหตุใดจู่ ๆ ชาวบ้านเหล่านี้จึงมาเล่า? ดูแล้วเหมือนจะมาหาเรื่องเลยเจ้าค่ะ” จือเฉาพูดอย่างกังวล ลั่วชิงยวนขมวดคิ้ว “น่าจะเพราะรู้ว่าซ่งเชียนฉู่ซ่อนตัวอยู่ที่นี่” มิฉะนั้นคงมิมากันกลุ่มใหญ่เช่นนี้ ในมือของทุกคนยังถืออาวุธเอาไว้ ชาวบ้านทุกเพศทุกวัยต่างมากันหมด ผู้คนมหาศาลเป็นร้อยคน ปรากฏอยู่ตรงเบื้องหน้าของลั่วชิงยวน “ซ่งเชียนฉู่! ไสหัวมา!” “เจ้าริอ่านหลบหนีจนทำเทวาภูผาพิโรธ หากปีนี้หมู่บ้านของเราเจอภัยใด ๆ นั่นเป็นเพราะเจ้าทั้งนั้น!” ชาวบ้านหลายคนตะโกนขึ้น ชายหนุ่มที่อยู่ตรงกลางดูแล้วค่อนข้างมีอำนาจ เขามองไปทางลั่วชิงยวน น้ำเสียงขุ่นเคืองเล็กน้อย “แม่นางท่านนี้ ท่านเป็นคนซ่อนตัวซ่งเชียนฉู่งั้นหรือ? ท่านรู้หรือไม่ การกระทำเช่นนี้ของท่านจะเดือดร้อนพวกเราทั้งหมู่บ้าน!” ลั่วชิงยวนกล่าวอย่างสงบนิ่ง “ซ่งเชียนฉู่กระไรกัน ข้ามิร
ให้นางเข้าป่าไปเจอท่านนั้นก่อน ในตอนที่ซ่งเชียนฉู่กำลังจะไปกับชาวบ้าน ลั่วชิงยวนกลับรั้งนางไว้ และเอ่ยเสียงเย็น “ข้าไปแทนเอง!” ทันทีที่สิ้นประโยคนี้ ใบหน้าทุกคนต่างเต็มไปด้วยความตะลึง ซ่งเชียนฉู่มองนางอย่างไม่น่าเชื่อ “ว่ากระไรนะ? ท่านบ้าไปแล้วหรือ?” ลั่วชิงยวนลากซ่งเชียนฉู่ให้ถอยหลัง นางหันหน้าไปทางชาวบ้าน “ข้ามิมีทางส่งซ่งเชียนฉู่ให้พวกเจ้าแน่!” มีชาวบ้านพูดยุยง “เหตุใดนางผู้นี้จึงตั้งใจต่อกรกับพวกเรา เช่นนั้นเราจับเจ้าไปสังเวยเทวาภูผา!” ฝูงชนกรูกันขึ้นไป จับไหล่และแขนของลั่วชิงยวนเอาไว้ทันที พวกเขากดนางเอาไว้อย่างแน่น จนนางขยับตัวมิได้ จือเฉาตะครุบขึ้นมาด้วยจิตใจที่ร้อนรนเป็นฟืนเป็นไฟ “พวกเจ้ารู้หรือไม่ว่านางคือใคร? ปล่อย!” ลั่วชิงยวนกลับมองไปทางจือเฉา ส่ายหัว และส่งสายตาวางใจให้นาง จือเฉาชะงัก พระชายาเป็นฝ่ายอยากไปเองงั้นหรือ? หรือพระชายามีแผนอย่างอื่นกัน? จือเฉาสติหลุดเพียงครู่หนึ่ง ก็ถูกชาวบ้านผลักจนล้มลงพื้นอย่างแรงทันที เหล่าชาวบ้านจับตัวลั่วชิงยวนไป ซ่งเชียนฉู่อยากจะกีดกันแต่สวี่ชิงหลินห้ามไว้ “นางผู้นี้ประสงค์ร้าย ใครจะรู้ว่านางเล่นเล่ห์กระไรอยู่
ผ่านผืนป่าทมิฬ ที่ถูกแนวผาด้านหน้าปกคลุมเป็นเงามืด เมื่อมาถึง ที่นี่มีลมหนาวพัดโบก ทำให้คนรู้สึกเสียวสันหลังทุกครั้งที่โดนลม ชายหนุ่มหลายคนต่างเหงื่อเย็นไหลซิบ พวกเขารีบยกเกี้ยวไปไว้หน้าถ้ำ และหนีไปอย่างร้อนรน ลั่วชิงยวนมองดูปากถ้ำที่มืดสนิท มีงูอาศัยที่นี่ นางแกะเชือกที่ข้อมือออกนานแล้ว รอบด้านดังขึ้นเป็นเสียงฟ่อ ๆ ฝูงงูปรากฏ และแลบลิ้นออกมาเพื่อตรวจหากลิ่นของสิ่งมีชีวิตต่างเผ่า ลั่วชิงยวนกำผงไล่งูขึ้นมาสาดอย่างสงบ ฝูงงูที่เตรียมจะเข้าใกล้กระจายตัวออก ภายในถ้ำนั้นลึกมาก หลังเดินผ่านอุโมงค์มืดมิด สิ่งตรงหน้าดูเริงร่าขึ้นมา มันเป็นพื้นที่โล่งเตียนอันกว้างขวาง บนผาหินเต็มไปด้วยเถาวัลย์ และยังมีเสียงของน้ำตกส่งมา ในขณะที่นางกำลังอยากเดินไปทางเสียงน้ำตก จู่ ๆ กลับมีลมหนาวพัดมา เสียงน้ำดังฉ่า หยดกระเด็นลงบนร่างของลั่วชิงยวน นางยกมือบดบัง วินาทีต่อมา เสียงน้ำหายไปจนสิ้น แต่เมื่อหันหน้าอีกที งูตัวหนึ่งกำลังอ้าปากกว้างและกระโจนเข้ามาหานาง “ราชันอสรพิษ มีอะไรคุยกันดี ๆ ก่อน!” ลั่วชิงยวนหยิบเข็มทิศออกมาอย่างรวดเร็ว เพื่อบดบังการลอบโจมตีของอีกฝ่าย ทันทีเข็มทิศถูกเอาออกมา แ
เป็นทาสใบ้นั่นเอง! ทาสใบ้อยู่ข้าง ๆ ลั่วเยวี่ยอิง! ลั่วชิงยวนสัมผัสได้ถึงโทสะที่พลุ่งขึ้นอีกระลอกหนึ่ง มิน่าชาวบ้านสองคนที่แบกเกี้ยวถึงได้บอกว่าพวกเขาก็แค่รับเงินมาจากหัวหน้าหมู่บ้าน ที่แท้พวกเขาก็รับเงินที่ลั่วเยวี่ยอิงให้มา! การที่ทาสใบ้ตามเข้าไปในถ้ำบนภูเขาน่าจะเป็นเพราะอยากรู้ว่านางตายไปแล้วหรือไม่ เพื่อจะได้กลับไปรายงานให้ลั่วเยวี่ยอิงทราบ หลังจากค้นหาอยู่ในถ้ำได้สักพัก เมื่อทาสใบ้ไม่พบใครก็รีบจากไป นางไม่มีผงไล่งู มันเป็นผงไล่งูที่ลั่วชิงยวนเคยใช้ตอนที่เข้ามาเพื่อไล่งู ดังนั้นนางจึงไม่กล้าอยู่ให้นานเกินไปนัก หลังจากทาสใบ้จากไปแล้ว ลั่วชิงยวนก็โผล่ออกมาจากหลังเถาวัลย์แล้วเดินมาจนถึงน้ำตก นางไม่กล้าเข้าใกล้มากเท่าไหร่นัก ทั้ง ๆ ที่นางแทบไม่เห็นว่าข้างล่างมีสระน้ำลึกขนาดใหญ่มากอยู่ แค่เข้าใกล้ก็รู้สึกกลัวแล้ว นางรู้สึกกายาสั่นสะท้านแล้วรีบก้าวถอยหลังไป ไม่นานก็มีงูยักษ์โผล่ออกมาแล้วส่งเสียงแหบพร่าขึ้นมาว่า "มอบตัวซ่งเชียนฉู่มาให้ข้า" ลั่วชิงยวนขมวดคิ้ว "เพราะเหตุใดกัน? เมื่อสักครู่นี้เจ้าว่าซ่งเชียนฉู่เป็นกระไร?" แต่คำพูดต่อมาของงูยักษ์กลับทำให้นางต้องตื่นตะลึง
ลั่วชิงยวนรู้สึกประหลาดใจ "บัวมรกตเหมันต์" นี่คือพิษประหลาดที่ยากจะพบในใต้หล้าซึ่งบันทึกอยู่ในตำราโบราณเท่านั้น นางไม่เคยเห็นบัวมรกตเหมันต์ของจริงมาก่อนเลย "แลกเปลี่ยนกับการที่เจ้ากำจัดสวี่ชิงหลินกับคนของมันเพื่อให้แน่ใจได้ว่าซ่งเชียนฉู่จะปลอดภัย จากนั้นก็มอบตัวนางให้ข้าโดยไร้ซึ่งรอยขีดข่วน" ช่างใจคอกว้างขวางนัก! ลั่วชิงยวนรู้สึกแปลกใจนัก พิษจากกลีบดอกเหล่านี้เพียงพอให้จัดการกับสวี่ชิงหลินและคนของมันได้แล้ว! "ได้เลย ตกลงตามนั้น!" ของล้ำค่าเช่นนั้น ยิ่งมีมากเท่าไหร่ก็ยิ่งดี ลั่วชิงยวนห่อบัวมรกตเหมันต์เอาไว้ในผ้าเช็ดมือแล้วออกไปจากถ้ำ ตามที่บันทึกเอาไว้ในตำราโบราณ บัวมรกตเหมันต์จะเบ่งบานเพียงครั้งเดียว เมื่อดอกบานและสร้างฝักบัวขึ้นมาแล้ว เม็ดบัวที่อยู่ข้างในนั้นก็จะเป็นโอสถหายากในใต้หล้า ต่อให้เป็นผู้ที่มีชีวิตแขวนอยู่บนเส้นด้ายก็สามารถเอากลับมาจากประตูนรกได้ ดูเหมือนว่าบัวมรกตเหมันต์ดอกนี้จะสร้างฝักบัวในช่วงคิมหันตฤดู ทว่าตอนนี้กลับถูกเด็ดออกมาเสียก่อน แต่การที่ได้รับบัวมรกตเหมันต์มาก็นับว่าโชคดีมากแล้ว! คนเราไม่ควรละโมบเกินไป ลั่วชิงยวนเดินลงมาจากเขาที่แวดล้อม
ลั่วชิงยวนขมวดคิ้ว สังหารนางหรือ? ซ่งเชียนฉู่เอ่ยขึ้นมาว่า "ตอนที่ข้ายังเด็กก็เกิดเรื่องประหลาดขึ้นกับข้า จากนั้นข้าก็มักจะฝันถึงงูอยู่บ่อย ๆ" "ความฝันเหล่านี้เคี่ยวกรำข้ามาหลายสิบปี สุขภาพของข้านับวันก็ย่ำแย่ลงไปเรื่อย ๆ มิหนำซ้ำข้ายังต้องทนทุกข์ทรมานจากโรคร้ายมากมายอีกต่างหาก" "ข้าเคยปรึกษาซินแสท่านหนึ่ง ท่านบอกว่าชะตาของข้าจะมีเคราะห์หนัก มันเป็นหนี้กรรมที่ข้าติดค้างมาตั้งแต่ชาติปางก่อน สิ่งนั้นจะคอยตามหลอกหลอนจนกว่าข้าจะตายไป" "ท่านซินแสแนะนำว่าต้องตัดบ่วงกรรมนี้ไปเสีย ข้าต้องมาที่นี่แล้วจัดการให้เรียบร้อยก่อนวันเกิดปีที่ยี่สิบสี่ของข้า มิฉะนั้นข้าจะต้องตาย" "ข้าโกหกว่ามาที่นี่เพื่อมาตามหาญาติ ข้าแค่อยากจะจัดการปัญหาของตัวเอง ท่านซินแสเองก็บอกว่าข้าจะได้พบผู้มีพระคุณที่นี่" "แม่นางลั่ว ดูเหมือนว่าท่านก็คือผู้มีพระคุณของข้า" ซ่งเชียนฉู่จับมือของลั่วชิงยวนด้วยท่าทีตื่นเต้น เมื่อลั่วชิงยวนได้ยินเช่นนี้เข้าก็รู้สึกประหลาดใจอยู่บ้าง แต่ก็เป็นอย่างที่คาดคิดเอาไว้ นางรู้สึกว่าซ่งเชียนฉู่กำลังปกปิดอะไรบางอย่าง ดังนั้นลั่วชิงยวนจึงทำนายโชคชะตาของนาง ชะตาของนางมีเคราะห์หนัก
สวี่ชิงหลินพาซ่งเชียนฉู่กลับขึ้นเขาไปอีกครั้ง ลั่วชิงยวนติดตามพวกเขาอยู่ไกล ๆ อีกหนหนึ่ง ในที่สุดคราวนี้พวกมันก็ลงมืออย่างที่คิดเอาไว้เลย สวี่ชิงหลินมุ่งหน้าไปยังถ้ำอสรพิษ ในวันเดียวกันนั้นเอง ข่าวที่พวกชาวบ้านเอาลั่วชิงยวนไปเซ่นสังเวยให้แก่เทวาภูผาก็ดังมาเข้าหูของฟู่เฉินหวน เมื่อฟู่เฉินหวนได้ยินข่าวนี้ ทีแรกเขาก็ไม่อยากเชื่อนัก "เจ้าพูดอีกทีซิ?!" ซูโหยวก้มหน้าลงด้วยเคร่งเครียด "ท่านอ๋อง ทั้งหมดล้วนเป็นความผิดของกระหม่อมที่ไม่จับตาดูนางให้ดี กระหม่อมไม่คาดคิดว่าชาวบ้านพวกนั้นจะกล้า..." ทุกคนคิดว่าหลังจากส่งพระชายาไปที่จวนนอกเมืองเพื่อรับโทษสักสองสามวัน จากนั้นท่านอ๋องก็จะรับนางกลับมา แต่ผู้ใดจะคิดว่า... "เหลวไหลทั้งเพ! พระชายาอ๋องผู้สำเร็จราชการผู้สูงศักดิ์กลับถูกไพร่กลุ่มหนึ่งเอาไปเซ่นสังเวยเทวาภูผาเช่นนั้นหรือ?!" ฟู่เฉินหวนโกรธจัดรู้สึกหัวใจบีบรัดอย่างบอกไม่ถูกจนแทบจะหายใจไม่ออก "ผู้ติดตามของกระหม่อมส่งคนไปถามดูแล้ว ตอนที่นางถูกพาตัวเข้าไปในหุบเขายังมีชีวิตอยู่ ถ้าโชคเข้าข้างพวกเรา พระชายาก็น่าจะยังมีชีวิตอยู่พ่ะย่ะค่ะ" ซูโหยวกล่าวพลางก้มหน้าลง ฟู่เฉินหวนที่โกรธ
คนผู้นั้นหลอกนาง! สวี่ชิงหลินวิ่งเข้ามาแล้วเถาวัลย์บนผนังผาก็เปิดออกจนเผยให้เห็นเส้นทางลับอีกแห่งหนึ่ง ลั่วชิงยวนเองก็ติดตามมาอย่างกระชั้นชิด ทันทีที่เกิดความเคลื่อนไหวขึ้นในถ้ำ นักฆ่ากลุ่มหนึ่งที่ถืออาวุธนานาชนิดอยู่นอกถ้ำก็เตรียมพร้อมบุกเข้ามาในถ้ำ ซ่งเชียนฉู่ที่ถูกลากเข้าไปในถ้ำพยายามดิ้นรนกระเสือกกระสนด้วยความหวาดกลัว "ปล่อยข้า!" ความหวาดกลัวท่วมท้นจิตใจของนาง ในที่สุดพวกมันก็หยุดลง ถ้ำมืดจนชวนให้นางหัวใจสั่นสะท้าน ทันใดนั้นความเย็นยะเยือกก็คืบคลานมาตามแผ่นหลังแล้วโอบรอบลำคอของนางเอาไว้ น้ำเสียงน่าสะพรึงกลัวที่ซ่งเชียนฉู่ฝันถึงนับครั้งไม่ถ้วนดังก้องโสตของนาง "อาจวิน ในที่สุดข้าก็หาเจ้าพบเสียที" ซ่งเชียนฉู่ร้องไห้ด้วยความหวาดกลัวแล้วสำลักก้อนสะอื้น "ข้าไม่ใช่อาจวิน เจ้าจำคนผิดแล้ว" "ข้าจำมิผิดหรอก ตอนนั้นเจ้าสาบานว่าจะหาโอสถมาให้ข้า แต่เจ้าก็ทิ้งข้าไปและไม่กลับมาอีกเลยทำให้ข้าต้องกลายเป็นเช่นนี้!" "ข้าละทิ้งชื่อเสียงและครอบครัวเอาไว้ข้างหลังเพื่อที่จะได้โบยบินไปกับเจ้า แต่เจ้ากลับทำกับข้าอย่างโหดร้ายถึงเพียงนั้น เจ้ารู้หรือไม่ว่าข้ารอคอยเจ้ามากี่ทิวาราตรีแล้ว?"
ร่างที่ไร้ศีรษะร่างหนึ่งถือกระบี่เดินเข้ามาหาลั่วชิงยวน โซ่เหล็กด้านหลังลากคนสามคนไว้แม้จะออกแรงสุดกำลังแล้วก็ยังฉุดรั้งโหยวจิ้งเฉิงไว้มิได้แต่ร่างของโหยวจิ้งเฉิงในตอนนี้ไม่มีศีรษะแล้ว ยากที่จะควบคุมร่างกายได้ลั่วชิงยวนถือกระบี่เงื้อฟันไปยังร่างของฝูเหมิ่ง เช่นเดียวกับตอนที่โหยวจิ้งเฉิงตัดแขนขาของอวี๋ตันเฟิ่งนางกำลังแก้แค้นและระบายความแค้นอย่างบ้าคลั่งตัดแขนของเขาขาดทีละข้างกระบี่ห้วงสวรรค์ร่วงลงสู่พื้นไปพร้อมกับแขนจากนั้นขาทั้งสองข้างของเขาก็ขาดกระเด็นอวี๋ตันเฟิ่งอาละวาดแก้แค้นอย่างบ้าคลั่งเมื่อมองไปยังซากศพที่กองอยู่บนพื้น ดวงตาของลั่วชิงยวนก็ราวกับถูกย้อมไปด้วยสีแดงฉานใต้หล้าเต็มไปด้วยกลิ่นคาวเลือดทั้งสามที่อยู่มิไกลต่างตกตะลึงมิเคยเห็นฉากที่นองเลือดเช่นนี้มาก่อนแต่ถึงแม้ร่างกายจะแหลกละเอียด โหยวจิ้งเฉิงก็ยังมิตายทันใดนั้นมีร่างหนึ่งพุ่งออกมาจากซากศพ แล้วลอยละลิ่วไปอวี๋ตันเฟิ่งกรีดร้องแหลม “โหยวจิ้งเฉิง เจ้าอย่าหวังว่าจะหนีไปไหนได้อีก! ข้าจะทำให้เจ้ามิได้ผุดได้เกิด!”พลังในร่างของนางพลันเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว เกิดเป็นลมพายุโหมกระหน่ำ ลั่วชิงยวนรู้สึกราว
ใบหน้านั้นบ่งบอกชัดเจนว่าเป็นโหยวจิ้งเฉิง“ต่อไปก็ถึงตาพวกเจ้าแล้ว” เขาเอ่ยด้วยเสียงแหบแห้งเย็นเยือกโฉวสือชีกำกระบี่ในมือแน่น ปกป้องคนใบ้และอวี๋โหรวไว้ส่วนลั่วชิงยวนค่อย ๆ ก้าวเท้าไปข้างหน้าในดวงตาค่อย ๆ ก่อเกิดจิตสังหารนางหลับตาลง แล้วกล่าวว่า “อวี๋ตันเฟิ่ง ไปแก้แค้นของเจ้าเถิด”ลั่วชิงยวนมอบร่างของตนให้อวี๋ตันเฟิ่งโดยสมบูรณ์เมื่อลืมตาขึ้นอีกครั้ง ใบหน้าของนางยังคงเป็นใบหน้าเดิม เพียงแต่แววตานั้นกลับดุดันยิ่งนัก ดวงตาสีแดงก่ำเต็มไปด้วยความแค้นเสียงของอวี๋ตันเฟิ่งดังขึ้น “โหยวจิ้งเฉิง ความแค้นระหว่างข้ากับเจ้า วันนี้ถึงคราวสะสางแล้ว”“สิบกว่าปีที่ผ่านมา ข้าคิดอยู่ตลอดเวลาว่าจะฉีกร่างเจ้าเป็นชิ้น ๆ อย่างไรถึงจะสาสมกับความแค้นในใจข้า”“แต่คาดมิถึงว่าเจ้าจะตายไปแล้ว”“แต่ก็มิเป็นไร วันนี้ข้าจะฉีกร่างเจ้าให้เป็นชิ้น ๆ ให้ได้!”เมื่อกล่าวจบ ลั่วชิงยวนก็กระโจนเข้าไปเสียงอาวุธปะทะกันอย่างรุนแรงดังขึ้นแต่ในเวลานี้เอง โหยวจิ้งเฉิงก็พุ่งไปยังกำแพง คว้ากระบี่ห้วงสวรรค์มาได้ จากนั้นกระโจนออกนอกห้องไปอวี๋ตันเฟิ่งรีบไล่ตามไปสีหน้าคนใบ้เปลี่ยนไป กระบี่ห้วงสวรรค์! หากฝูเหมิ่ง
ต่งอวิ๋นซิ่วตกใจจนหน้าซีดเผือด รีบยกมือขึ้นมาป้องกัน แล้วต่อสู้กับฝูเหมิ่งแต่พลังในตอนนี้ของต่งอวิ๋นซิ่วเทียบกับฝูเหมิ่งแล้วยังอ่อนแอกว่ามากนักสุดท้ายก็ถูกฝูเหมิ่งบีบคอไว้แน่นลั่วชิงยวนเห็นชัดเจนว่าในร่างของฝูเหมิ่งตอนนี้คือโหยวจิ้งเฉิง!เขาเป็นบ้าไปแล้วหรือ? เขาจะฆ่าต่งอวิ๋นซิ่วภรรยาของตนหรือ?เมื่อเห็นดังนั้น โหยวเซียงก็ชักกระบี่พุ่งเข้าไปหมายจะช่วยต่งอวิ๋นซิ่ว แต่ฝูเหมิ่งกลับมิหลบเลยแม้แต่น้อย ปล่อยให้กระบี่ในมือนางแทงทะลุร่างจากนั้นฝูเหมิ่งก็ฟาดมือไปทีหนึ่ง โหยวเซียงจึงกระเด็นปลิวไปโหยวเซียงกระอักเลือดออกมาต่งอวิ๋นซิ่วร้อนใจยิ่งนัก “เซียงเอ๋อร์ มิต้องสนใจแม่ รีบหนีไป!”โหยวเซียงจะทนมองดูมารดาของตนถูกฆ่าได้อย่างไร นางพยายามลุกขึ้นมาสู้ต่อแต่ฝูเหมิ่งกลับมองโหยวเซียงอย่างดุดัน แล้วกล่าวขู่ “คนที่ข้าต้องการฆ่ามีเพียงต่งอวิ๋นซิ่วเท่านั้น เจ้าจงหลีกไป”“มิเช่นนั้นอย่าหาว่าข้ามิเห็นแก่ความเป็นพ่อลูก”เมื่อได้ยินดังนั้น โหยวเซียงก็ตกใจจนยืนอึ้งไปกับที่ แล้วกล่าวเสียงสั่นเครือ “พ่อ… พ่อลูกหรือ?”ตอนนี้เสียงของฝูเหมิ่งก็มิใช่เสียงของฝูเหมิ่งอีกต่อไปแล้วเมื่อต่งอวิ๋นซิ่ว
ขณะนี้เอง โหยวเซียงก็ฉวยโอกาสหลบหนีจากมือของลั่วชิงยวนไปได้ต่งอวิ๋นซิ่วมองพวกเขาอย่างเย็นชา “ในเมื่อมาถึงที่นี่แล้วก็เตรียมตัวตายได้เลย!”ทันใดนั้นบนคานเรือนก็ปรากฏชายชุดดำจำนวนมากพร้อมถือหน้าไม้เล็งมาที่พวกเขาลูกดอกอันคมกริบประกายแสงเย็นลั่วชิงยวนยกยิ้มมุมปาก หัวเราะอย่างเย็นชา “ดูเหมือนว่าเจ้าจะเตรียมการมาอย่างดี ตอนนี้พวกข้าคงหนีออกจากห้องนี้ไปมิได้แล้วใช่หรือไม่?”ลั่วชิงยวนสังเกตประตูห้อง รวมถึงผนังห้องทุกด้าน แล้วพบว่ามีกลไกบนประตูเหนือศีรษะ ต่งอวิ๋นซิ่วหัวเราะเบา ๆ “แน่นอน นี่คือห้องกลไกที่สร้างขึ้นมาเพื่อรับมือพวกเจ้าที่บุกรุกเข้ามาบนเขา”“วันนี้พวกเจ้าอย่าหวังว่าจะได้ออกไปแม้แต่คนเดียว!”ลั่วชิงยวนจับกระบี่ห้วงสวรรค์แน่นแล้วพุ่งไปที่กลไกจุดหนึ่งบนผนังห้อง ฟาดฟันกระบี่ลงไปอย่างแรงต่งอวิ๋นซิ่วรีบดึงโหยวเซียงหลบหลีกไปแต่ใครเล่าจะรู้ว่าลั่วชิงยวนมิได้โจมตีพวกนาง แต่กลับฟันกลไกบนผนังห้องทำให้ประตูห้องลงกลอนอย่างสมบูรณ์เมื่อเห็นเช่นนั้น ต่งอวิ๋นซิ่วก็หัวเราะเยาะ “เจ้าช่างรนหาที่ตายยิ่งนัก”ลั่วชิงยวนยกยิ้มอย่างมีความหมาย “เช่นนั้นรึ? ยังมิรู้เลยว่าใครกันแน่ที่จะ
ร่างที่เดินออกมาจากฝูงชนนั้นมีท่าทางคุกคามยิ่งนักลั่วชิงยวนหรี่ตาลงเล็กน้อย นั่นคือสตรีที่นางเห็นในความทรงจำของอวี๋ตันเฟิ่งต่งอวิ๋นซิ่ว!โหยวเซียงดิ้นรนพลางเงยหน้ามองต่งอวิ๋นซิ่วด้วยดวงตาแดงก่ำ “ท่านแม่… เป็นความผิดของลูกเองที่ปล่อยให้พวกมันขึ้นเขามาได้”หากมิใช่เพราะลั่วชิงยวนรู้ทางลับของวัดร้างแห่งนั้น พวกนางคงไม่มีทางขึ้นเขามาได้ง่ายดายถึงเพียงนี้!ต่งอวิ๋นซิ่วมองด้วยความเจ็บปวดแล้วตวาดใส่ลั่วชิงยวน “ปล่อยลูกสาวข้าเดี๋ยวนี้! มิเช่นนั้นข้าจะทำให้พวกเจ้าตายเยี่ยงไร้ที่ฝัง!”ลั่วชิงยวนหัวเราะเบา ๆ แล้วพูดด้วยน้ำเสียงดูถูกเหยียดหยาม “เมื่อคืนยังพยายามทำลายวิญญาณที่เหลือของอวี๋ตันเฟิ่งอยู่เลย วันนี้เจ้าลืมไปแล้วหรือว่าศัตรูของเจ้าคือใคร?”“ใครกันแน่ที่จะตายแบบไร้ที่ฝัง ยังบอกมิได้หรอก”เมื่อได้ยินดังนั้น ต่งอวิ๋นซิ่วก็สะดุ้งเฮือก สีหน้าเปลี่ยนไปอย่างมากท่าทางของนางดูตึงเครียดขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด แต่ก็ยังพยายามซ่อนไว้ได้ดีนางมองลั่วชิงยวนอย่างใจเย็น แล้วกล่าวว่า “ในเมื่อพวกเจ้ามาถึงเมืองแห่งภูตผี ก็คงต้องการของล้ำค่าของเมืองแห่งภูตผีสินะ”“พวกเจ้าอยากได้อะไร ข้าสามารถให้เจ
นางปฏิเสธอย่างหนักแน่นลั่วชิงยวนกลับยกยิ้มอย่างพึงพอใจแล้วค่อย ๆ ลุกขึ้น “พานางไปด้วย ไปวัดร้าง!”พวกเนางมุ่งหน้าไปทางทิศใต้ โหยวเซียงดิ้นรนตลอดทาง แต่โฉวสือชีและคนใบ้จ้องมองทุกการกระทำของนางอย่างใกล้ชิด มิเปิดโอกาสให้นางหลบหนีไปได้แม้แต่น้อยเมื่อเดินไปได้ไกลมากพอสมควร เสียงไก่ขันยามรุ่งอรุณก็ดังขึ้นแล้วในที่สุดพวกเขาก็มาถึงวัดร้างแห่งนั้นในวัดร้างมีพระพุทธรูปที่เป็นซากปรักหักพังล้มลงบนพื้น ดูเหมือนว่าที่นี่จะไม่มีใครมานานแล้วเมื่อมองหาอย่างละเอียดก็พบรอยเท้าบนพื้นลั่วชิงยวนมั่นใจยิ่งขึ้น นี่คือสถานที่ที่ถูกต้อง!โหยวเซียงจ้องมองทุกการกระทำของลั่วชิงยวนอย่างกระวนกระวาย เกรงว่าลั่วชิงยวนจะพบกลไกเข้าแต่ลั่วชิงยวนกลับสังเกตปฏิกิริยาของโหยวเซียง ค่อย ๆ เดินไปในแต่ละที่โดยอาศัยการสังเกตปฏิกิริยาโหยวเซียงสุดท้ายลั่วชิงยวนจึงเพ่งเล็งไปที่ผนังด้านหนึ่งแล้วเริ่มค้นหากลไกเสียงเปิดกลไกดังแกร๊กดังขึ้นประตูบานหนึ่งบนพื้นพลันเปิดออกหลังจากที่ลั่วชิงยวนเปิดประตูแล้วก็พบว่าด้านล่างยังมีประตูอีกบานหนึ่ง และบนนั้นก็มีกลไกเช่นกันแต่สำหรับลั่วชิงยวนแล้วเรื่องนี้ง่ายมากเมื่อประต
“เจ้ารีบอะไรนักหนา รอมาตั้งนานแล้ว รออีกสักหน่อยจะเป็นกระไร”เมื่อได้ยินดังนั้น อวี๋ตันเฟิ่งก็หยุดมือลั่วชิงยวนเดินเข้าไปคว้าตัวโหยวเซียงไว้ให้โฉวสือชีมัดนางไว้แน่นหนา จากนั้นจึงปลุกโหยวเซียงให้ฟื้นขึ้นมาเมื่อฟื้นคืนสติ โหยวเซียงก็จ้องหน้าลั่วชิงยวนเขม็งอย่างโกรธแค้น “เจ้ากล้าจับข้า เจ้าคอยดูเถอะว่าจะตายอย่างไร!”ลั่วชิงยวนย่อตัวลงนั่งตรงหน้านาง แล้วหัวเราะเบา ๆ “ใช่แล้ว ใครจะกล้าแตะต้องคุณหนูใหญ่เมืองแห่งภูตผีเล่า”“น่าเสียดาย เมืองแห่งภูตผีแห่งนี้ บิดามารดาของเจ้าไปปล้นเขามา มิใช่ของพวกเขามาแต่เดิม ย่อมมิใช่ของเจ้าเช่นกัน”“ถึงเวลาคืนเจ้าของตัวจริงแล้ว”โหยวเซียงจ้องเขม็งนางอย่างโกรธแค้น “เจ้าพูดจาเหลวไหลอะไร! เมืองแห่งภูตผีแห่งนี้เป็นของบิดามารดาข้ามาแต่เดิม!”เมื่อได้ยินดังนั้น ลั่วชิงยวนก็ประหลาดใจ “หรือว่าต่งอวิ๋นซิ่วมิได้บอกความจริงแก่เจ้า”“ก็ถูกแล้ว เรื่องน่าอับอายเช่นนี้ นางจะบอกลูกสาวได้อย่างไร”“เมืองแห่งภูตผีแห่งนี้มิใช่เพียงถูกบิดามารดาเจ้ายึดมาเท่านั้น แต่ยังใช้วิธีการที่น่ารังเกียจในการยึดครองด้วย!”“เดาว่าจนถึงตอนนี้เจ้าก็คงยังมิรู้เลยว่าศัตรูของเจ้าคือผ
โหยวเซียงกัดฟันพูดด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบลั่วชิงยวนมองไปที่อวี๋โหรว หลายวันมานี้อวี๋โหรวผอมซูบไปมาก“เจ้าจับตัวอวี๋โหรวมาเพื่อล่อข้ามาที่นี่รึ?”ลั่วชิงยวนหรี่ตามองโหยวเซียง“แต่เจ้ามิน่าจะมีความสามารถพอที่จะพาอวี๋โหรวออกจากวังหลวงไปได้”“เวินซินถงเป็นคนทำใช่หรือไม่?”“เจ้าทำข้อตกลงอะไรกับนางไว้?”โหยวเซียงหัวเราะเยาะ “อยากรู้รึ?”“คุกเข่าอ้อนวอนข้าสิ”“เจ้าอ้อนวอนข้า ข้าถึงจะบอกเจ้าว่าผู้ใดจับตัวอวี๋โหรวมา และผู้ใดร่วมมือกับข้าวางแผนให้เจ้ามาที่เมืองแห่งภูตผี”ลั่วชิงยวนมองท่าทีหยิ่งยโสของโหยวเซียงแล้วก็อดมิได้ที่จะหัวเราะเบา ๆ นางกวาดสายตามองไปรอบ ๆ แล้วถามว่า “ต่งอวิ๋นซิ่วมิมาด้วยรึ?”“เมื่อครู่นี้คนที่ต่อสู้กับข้าก็คือนางใช่หรือไม่?”เมื่อได้ยินน้ำเสียงเยาะเย้ยของลั่วชิงยวน โหยวเซียงก็โกรธจัด ในใจนางตกใจ ลั่วชิงยวนรู้แล้วหรือว่ามารดาของนางเป็นใคร“สารเลว!”นางบีบคออวี๋โหรวอย่างแรงเพื่อข่มขู่ลั่วชิงยวน “จะคุกเข่าหรือไม่?!”“ลั่วชิงยวน เจ้ามีโอกาสแค่ครั้งเดียว!”“หากเจ้ามิยอมคุกเข่ายอมจำนนแต่โดยดี ข้าจะหักคอนางเดี๋ยวนี้!”กล่าวจบ โหยวเซียงก็ออกแรงบีบบีบจนอวี๋โหรวหาย
ทันทีที่คนใบ้หันมาเห็นจึงรีบเข้ามาย่อตัวลงข้างนางแล้วช่วยประคองนางไว้ลั่วชิงยวนเช็ดเลือดที่มุมปาก ใบหน้าซีดเผือดกว่าเดิม“ข้ามิเป็นอะไร”นางเงยหน้าขึ้นมองอวี๋ตันเฟิ่งที่อยู่กลางอากาศ ในที่สุดจิตวิญญาณของนางก็สมบูรณ์แล้วบนใบหน้าซีดขาวนั้นปรากฏรอยยิ้ม รอยยิ้มนั้นทั้งพึงพอใจและเย่อหยิ่ง“ในที่สุดข้าก็ได้… เป็นอิสระแล้ว! ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า...”อวี๋ตันเฟิ่งหัวเราะลั่น ทำเอาป่าทั้งผืนเกิดพายุโหมกระหน่ำคนใบ้รีบยกมือขึ้นช่วยลั่วชิงยวนปัดป้องฝุ่นและใบไม้ที่ปลิวว่อน......จู่ ๆ ต่งอวิ๋นซิ่วก็กระอักเลือดออกมาเต็มปาก จากนั้นหมดสติล้มลงบนพื้น“ท่านแม่!”โหยวเซียงตกใจ รีบเข้าไปประคองนาง “ท่านแม่! ท่านแม่! ท่านเป็นอะไรไป!”หลังจากตะโกนเรียกอยู่นาน มารดาของนางก็มิฟื้นโหยวเซียงโกรธจนกัดฟันพูด “ลั่วชิงยวน สารเลว!”“เจ้าคอยดูเถอะ!”......ผ่านไปครู่ใหญ่ อวี๋ตันเฟิ่งถึงจะสงบสติอารมณ์ลงได้ลมพายุในป่าก็สงบลงเช่นกันถูหมิงที่อยู่ข้าง ๆ จึงค่อย ๆ ขยับเข้ามาใกล้ฉีเสวี่ยเวยที่ยังคงตกตะลึงมองภาพเหตุการณ์เมื่อครู่ด้วยความมิอยากเชื่อ “เมื่อกี้เกิดอะไรขึ้น?”“ต่อไปพวกเราต้องทำอะไร?”ลั่วชิงยวน