ประตูโดนถีบให้เปิดออก แสงสว่างจ้าสาดส่องเข้ามาในห้องมืดสลัวอีกครั้ง หลิวหม่านผงะอึ้ง “ผู้ใดกัน?” ยามที่ลั่วชิงยวนที่แสนกะปลกกะเปลี้ยหันหน้าไปมอง ก็เห็นเงาร่างเย็นชารีบเดินเข้ามาท่ามกลางแสงสว่าง เมื่อฟู่เฉินหวนเห็นเหตุการณ์ฉากนี้ เส้นโลหิตบนหน้าผากก็ปูดโปนขึ้นมา จากนั้นเจตนาสังหารก็ปะทุขึ้นในแววตาแล้วเขาก็เตะหลิวหม่านอย่างแรง เมื่อเห็นรอยเลือดบนพื้น เสื้อคลุมที่ขาดวิ่นและรอยแดงเป็นจำนวนมากบนหลังมือของนาง โทสะของฟู่เฉินหวนก็ปะทุราวกับภูเขาไฟที่จวนจะระเบิด เขารีบถอดเสื้อคลุมของตนมาห่มคลุมบนร่างของนาง เขาห่อตัวนางเอาไว้แล้วรีบอุ้มนางออกไป ลั่วชิงยวนเอนซบอกของเขาอย่างอ่อนแรงพลางมองเขาด้วยสายตาอันพร่าเลือน จากนั้นเสียงแผ่วเบาทว่าคมกริบราวกับดาบน้ำแข็งของนางก็เอ่ยขึ้นมาว่า "ไยท่านต้องช่วยหม่อมฉันด้วย? นี่มิใช่สิ่งที่ท่านอยากจะเห็นหรอกรึ?" ไม่มีทางที่เขาจะมิโทษตนเองเลย น้ำเสียงเย็นชาไร้อารมณ์ใด ๆ เช่นนั้น กลับกลายเป็นมีดคมกริบนับไม่ถ้วนที่แทงทะลุหัวใจของฟู่เฉินหวนขึ้นมาทันที คิ้วตาเปี่ยมไปด้วยความเกลียดชัง ดวงตาแดงก่ำไปด้วยเจตนาสังหาร พร้อมโทสะที่กลืนกินตัวเขาราวกับไฟลามท
ซ่งเชียนฉู่ทอดถอนใจอย่างอับจนหนทาง “พวกท่านทั้งสองช่างถูกลิขิตให้พัวพันกันเช่นนี้โดยแท้” …… ฟู่เฉินหวนรีบเดินออกมาจากเรือน โดยที่ซูโหยวกำลังรอคอยอยู่ข้างนอก “ท่านอ๋องพ่ะย่ะค่ะ” “ไปที่จวนตระกูลหลิว” ฟู่เฉินหวนเดินออกจากประตู จากนั้นกระโดดขึ้นบนอาชาแล้วไปที่จวนตระกูลหลิวอีกครั้ง แขกเหรื่อทุกคนในงานเลี้ยงของตระกูลหลิวถูกควบคุมตัวเอาไว้เป็นการชั่วคราว เนื่องจากพวกเขาต่างสนิทสนมกับหลิวหม่านจึงจำเป็นต้องไต่สวนว่าพวกเขาเกี่ยวข้องกับคดีที่หลิวหม่านลอบซุกซ่อนเงินบรรเทาทุกข์หรือไม่ แต่ยังเหลืออยู่อีกคนหนึ่ง นั่นก็คือแม่ทัพสวี่ “ไยพวกท่านต้องจับข้าไว้ด้วยเล่า! ข้าหาได้เกี่ยวข้องอันใดกับเรื่องนี้ไม่! หากพวกท่านมิเชื่อก็ไปตรวจสอบดูได้เลย!" “ข้าเป็นเพียงแขกผู้มาเยือนเท่านั้น ข้ามิทราบเรื่องที่หลิวหม่านกระทำจริง ๆ!” แม่ทัพสวี่คุกเข่าลงกับพื้นแล้วขอร้ององครักษ์ที่ควบคุมตัวเขาไว้ ในยามนี้เอง ฟู่เฉินหวนก็เดินเข้ามาด้วยย่างก้าวอันหนักหน่วง พร้อมกับแผ่กลิ่นอายแห่งเจตนาสังหารออกมาด้วย ความน่าเกรงขามที่เต็มเปี่ยมไปทั่วทั้งร่างทำให้คนมิกล้าแหงนหน้ามอง แม่ทัพสวี่คุกเข่าอยู่กับพื้น เห็น
ทันทีที่เอ่ยวาจาเหล่านี้ออกมา ทุกคนในลานต่างตกตะลึง หลิวหม่านตกใจเสียจนเนื้อตัวสั่นสะท้าน “ท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการช่างสมกับการเป็นท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการจริง ๆ เพื่อให้บรรลุเป้าหมายถึงกับใช้สตรีของตน ช่างอำมหิตนัก!” มือของฟู่เฉินหวนที่ไพล่หลังเอาไว้กำเป็นหมัดแน่น ภายนอกยังคงสงบนิ่งไร้ซึ่งคลื่นอารมณ์ความรู้สึกใด ๆ ในวันนี้เอง เสียงแผดร้องที่ดังขึ้นมาจากจวนตระกูลหลิวสร้างความตกตะลึงให้แก่ทุกคนบนท้องถนน ข่าวที่ท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการเปิดโปงเรื่องการยักยอกเงินบรรเทาทุกข์ครั้งใหญ่แพร่สะพัดไปทั่วทั้งเมืองหลวง สิ่งที่ท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการกระทำในจวนตระกูลหลิวเพื่อนางรำผู้นั้นเองก็แพร่สะพัดไปทั่วทั้งเมืองหลวงเช่นกัน ข่าวที่ท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการกล่าวว่านางรำผู้นั้นเป็นสตรีของตนจึงแพร่สะพัดไปด้วย …… ลั่วชิงยวนนอนอยู่บนเตียงตลอดสามวัน ช่วงนี้นางฟื้นตื่นขึ้นมาด้วยความมึนงงอยู่หลายครั้ง ทว่าสติกลับมิแจ่มชัดและมิได้ฟื้นสติเต็มที่นัก สิ่งที่นางรู้ก็คือมีคนเฝ้านางอยู่ข้างเตียงตลอดทั้งคืนและคอยป้อนโอสถให้นาง เมื่อนางฟื้นตื่นขึ้นมาก็เห็นซ่งเชียนฉู่อย่างที่คาดคิดเอาไว้ “ท่านฟื้
เมื่อฟู่เฉินหวนที่อยู่นอกประตูได้ยินวาจาเหล่านี้ก็อดมิได้ที่จะขมวดคิ้ว จากนั้นเขาก็เดินเข้ามาในห้อง ลั่วเยวี่ยอิงรู้สึกตื่นตกใจอยู่บ้างจึงรีบลุกขึ้น “ท่านอ๋อง” ฟู่เฉินหวนเหลือบมองผู้ที่อยู่บนเตียงด้วยสายตาเฉยชาพลางกล่าวกับลั่วเยวี่ยอิงว่า “แม่นางฝูเสวี่ยได้รับบาดเจ็บ ให้นางพักผ่อนเถอะ” “เพคะ คราวนี้แม่นางฝูเสวี่ยได้รับบาดเจ็บสาหัส หม่อมฉันจักลงครัวไปตุ๋นน้ำแกงไก่มาให้นาง” ลั่วเยวี่ยอิงกล่าวด้วยสีหน้าเข้าอกเข้าใจ เมื่อมองจากภายนอกจึงทำให้แลดูใจดีมีเมตตายิ่งนัก ทว่ากลับมิอาจซุกซ่อนแววตาคับข้องใจได้ ชวนให้คนยิ่งรู้สึกเศร้าใจแทนนางมากขึ้น เมื่อลั่วเยวี่ยอิงออกจากห้องไป ฟู่เฉินหวนเฝ้ามองนางเดินจากไปแล้วกำหมัดแน่นโดยมิรู้ตัว ภาพเหตุการณ์ฉากนี้ปรากฏแก่สายตาของลั่วชิงยวนเข้าพอดี นางจึงยิ้มเยาะขึ้นมา “เลิกมองได้แล้วน่า ท่านมิเห็นหรือไรว่าคุณหนูรองของท่านต้องเจ็บปวดมากเพียงใด” “นางคงน้ำตาตกในอยู่เป็นแน่ ทว่านางก็ยังต้องแสร้งทำเป็นใจกว้างและเข้าอกเข้าใจถึงขั้นยอมตุ๋นน้ำแกงไก่ให้ศัตรูหัวใจอีกต่างหาก” “ท่านอ๋อง ไยท่านมิรีบหย่ากับหม่อมฉันแล้วคืนตำแหน่งพระชายาให้แก่นางเพื่อชดเ
“ทั้งตระกูลถูกจับกุมตัวไปหมดแล้ว คุณชายฟ่านเองก็ชี้บอกว่าเป็นคนของตระกูลหลิว ของมีค่าในจวนก็เลยถูกยึดไปด้วย” “จดหมายกับของแทนใจระหว่างคุณชายฟ่านกับฮูหยินหลิวเองก็ถูกเอาไปเช่นกัน ตอนนี้ตระกูลหลิวว่างเปล่าหามีสิ่งใดเหลือไม่!”เมื่อท่านอาฉินได้ยินเช่นนี้เข้า นางก็ตบโต๊ะด้วยท่าทีเกรี้ยวกราด “ท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการผู้นี้ช่างไร้ปรานีจริง ๆ! แม้แต่ของเล็ก ๆ น้อย ๆ เช่นนั้นก็ยังเอาไปอีก!” น้ำเสียงของท่านอาฉินกลับฟังดูหนักหน่วง “ในที่สุดข้าก็จัดแจงให้คุณชายฟ่านเข้าหาฮูหยินหลิว เพื่อที่ข้าจักได้ตักตวงผลประโยชน์จากฮูหยินหลิวและเอาชนะใต้เท้าหลิวได้แล้วแท้ ๆ” “แต่ข้ากลับมิคาดคิดเลยว่าจะถูกฟู่เฉินหวนทำลายแผนเอาเสียได้!” “ทุกอย่างที่ก่อนหน้านี้สู้อุตส่าห์วางแผนและคิดคำนวณมาล้วนสูญเปล่า!” ท่านอาฉินโกรธจัด เมื่อลั่วชิงยวนได้ยินเช่นนี้เข้าก็ตกตะลึง มิน่าแปลกใจเลยที่ซิ่งอวี่เคยเล่าให้นางฟังว่า ฮูหยินหลิวเป็นคนเข้มงวดมาก และใต้เท้าหลิวก็มักจะสั่งให้หอนางโลมส่งตัวแม่นางทั้งหลายมาที่จวนอยู่เสมอ วันนั้นหลังจากถูกฟาดจนหมดสติแล้ว นางจึงได้เห็นฮูหยินหลิวคุกเข่าขอร้องใต้เท้าหลิวให้ปล่อยเขาไปด้ว
โลกใบนี้มักจะเปิดกว้างให้แก่บุรุษเสมอมา อย่างมากบุรุษที่แสวงหาความสำราญนอกบ้านก็ลงเอยด้วยชื่อเสียงฉาวโฉ่ ทว่าหากฮูหยินที่บ้านโดนผู้ใดสักคนล่อลวงและคบชู้กับคนนอก กลับเป็นความผิดอันมิอาจอภัยได้และจำต้องถูกฝังทั้งเป็นโดยมิสนวิธีการ กิจการหอนางโลมหามีอันใดมากไปกว่าการให้แม่นางทั้งหลายพยายามหว่านเสน่ห์ แต่หากพวกเขาส่งบุรุษมาล่อลวงฮูหยินของผู้ใดสักคนและเจตนาใช้เป็นข้ออ้างในการคบชู้ ก็เท่ากับว่าพวกเขากำลังตั้งใจสังหารคน! ท่ามกลางบุรุษที่อยู่ ณ ที่แห่งนี้ จะมีผู้ใดทนรับความอัปยศอดสูจากการถูกภรรยานอกใจได้เล่า? ทันทีทีลั่วชิงยวนเอ่ยวาจาออกมา ทั่วทั้งหอนางโลมต่างระเบิดอารมณ์ออกมาทันที “ว่ากระไรนะ? มีวิธีน่ารังเกียจเช่นนั้นด้วยรึ?!” “ช่างไร้เหตุผลสิ้นดี! ดำเนินกิจการเช่นนี้ช่างไร้ศีลธรรมอย่างถึงที่สุดจริง ๆ!” บุรุษทุกคนที่มีครอบครัวต่างโกรธจัด ท่านอาฉินที่ยืนอยู่บนชั้นสอง สีหน้าซีดเผือดพลางร้องตะโกนเสียงเคร่งว่า “อย่าได้ฟังนางพูดเหลวไหล! รีบจับตัวนางไว้สิ!” วันนี้คงมิอาจปล่อยนังแพศยาผู้นี้ไปง่าย ๆ เสียแล้ว! เหล่าผู้คุ้มกันต่างพุ่งเข้ามาหาอีกครั้ง ลั่วชิงยวนถูกล้อมจากทั่วทุก
ลั่วชิงยวนรู้สึกประหลาดใจแล้วถามว่า “เขาตายได้อย่างไรกัน?” “เขาถูกน้ำตาเทียนลวกทั้งเป็นน่ะสิ!” ซ่งเชียนฉู่โน้มตัวมากระซิบข้างหู เมื่อลั่วชิงยวนได้ยินเช่นนี้เข้าก็ตกตะลึง “ว่ากระไรนะ?” ซ่งเชียนฉู่กล่าวว่า “ข้ามิเอาเรื่องเช่นนี้มาโกหกท่านหรอก ท่านคงได้ยินเรื่องนั้นตามท้องถนนได้มิยากเลย เรื่องมันยาวทีเดียว” “คนแซ่สวี่เองก็ตายเหมือนกัน มิหนำซ้ำมือทั้งสองข้างก็โดนตัด ช่างน่าสยดสยองยิ่งนัก!” ลั่วชิงยวนตกตะลึงขึ้นมาทันที แซ่สวี่หรือ? หรือว่าจะเป็นนายกองสวี่? “ประเด็นสำคัญก็คือท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการบอกต่อหน้าคนแซ่สวี่ว่า กล้าแตะต้องสตรีของข้า นี่ก็คือผลที่ตามมา ต่างหากเล่า” “ยามนี้ข่าวแพร่สะพัดไปเกือบทั้งเมืองหลวงแล้วว่า ท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการหลงรักนางรำแห่งหอนางโลมนางหนึ่ง!” “ช่างน่าเหลือเชื่อจริง ๆ” ซ่งเชียนฉู่ทอดถอนใจกับตนเอง จิตใจของลั่วชิงยวนบังเกิดความปั่นป่วน ทว่าก็คงอยู่เพียงชั่วขณะก่อนที่นางจะสงบนิ่งอีกครั้ง สิ่งสุดท้ายที่นางควรจะเชื่อให้น้อยที่สุดก็คือ วาจาของฟู่เฉินหวน บางทีอาจเป็นเพราะหน้าฉากที่เขาแสดงต่อหน้าผู้อื่น หรืออาจจะมีเหตุผลหรือแรงจูงใจอื่นใด
“ส่วนเรื่องที่เจ้าคิดกระทำอันใดก็สุดแท้แต่เจ้า ข้ามิใช่คนจำพวกที่จะก้าวก่ายเรื่องของผู้อื่น” “ยิ่งไปกว่านั้น สิ่งที่ข้ามอบให้แล้วไม่มีทางเอากลับคืนเป็นอันขาด!” เมื่อฟู่จิ่งหลีทราบเรื่องที่เกิดขึ้นในจวนตระกูลหลิว เขาเองก็รู้สึกเสียใจแทนแม่นางฝูเสวี่ย แต่เขาก็เข้าใจว่าเสด็จพี่สามเป็นห่วงเรื่องแคว้นบ้านเมือง อย่างไรเสียเขาก็ได้ยินมาว่าหลิวหม่านลอบโยกย้ายเงินบรรเทาทุกข์บางส่วน หากเสด็จพี่สามลงมือช้ากว่านี้อีกสักวันก็คงจะสายเกินไป นั่นก็คือสาเหตุที่ทำให้เขาคิดจะอธิบายเรื่องราวต่าง ๆ แทนเสด็จพี่สาม “ขอบพระทัยที่เข้าใจเพคะ องค์ชายเจ็ด” ลั่วชิงยวนผงกศีรษะเล็กน้อย “แม่นางฝูเสวี่ย ไฉนเจ้าต้องเกรงใจข้าถึงเพียงนั้นด้วย?” ฟู่จิ่งหลียิ้มให้ “จริงด้วยสิ วันนี้ข้าได้ยินมาว่าเจ้าก่อเรื่องวุ่นวายใหญ่โตในหอเจาเซียง ข้าต้องชื่นชมในความใจกล้าบ้าบิ่นของแม่นางฝูเสวี่ยจริง ๆ! หอเจาเซียงแห่งนั้นใช่ว่าผู้ใดจะเข้าไปข้องแวะได้หรอกนะ!” “แม่นางฝูเสวี่ย เจ้าควรจะระวังตัวให้ดี” ฟู่จิ่งหลีเอ่ยเตือนสติ แววตาของลั่วชิงยวนแปรเปลี่ยนเป็นเย็นชา นางเคยตกหลุมพรางของท่านอาฉินผู้นั้นมาหนหนึ่งแล้ว นางย่อมไม่
“ท่านอยู่ต่อ ส่วนคนอื่น ๆ ออกไปก่อนเถิด” ลั่วชิงยวนกล่าวกับชายชราจากนั้นคนอื่น ๆ ก็ทยอยออกไปชายชราลุกขึ้นเดินมายืนตรงหน้าลั่วชิงยวน “ท่านเจ้าเมืองมีสิ่งใดจะสั่งหรือขอรับ?”ลั่วชิงยวนถามว่า “บนเขาแห่งนี้มีคนมาแย่งชิงยาสมุนไพรไปจริงหรือ? ที่ส่งคนไปตามหา มีเบาะแสอะไรบ้างหรือไม่?”“มีคนมาจริง ๆ ขอรับ พรรคพวกของพวกมันมีประมาณสิบคนได้ แต่พวกมันหนีไปเร็วมาก ตอนนั้นทุกคนมัวแต่สนใจด้านหน้า ไม่มีใครสังเกตว่ามีคนบุกเข้าไปในคลังโอสถ”“พวกเขาถึงได้หนีรอดไปได้ขอรับ”เมื่อได้ยินดังนั้น ลั่วชิงยวนก็ยิ่งสงสัยว่าเป็นคนของสำนักเทียนฉยง และจงใจมาเป็นปฏิปักษ์กับนาง จึงได้ชิงบัวถวายไปก่อนมองดูชายชราตรงหน้าแล้ว ลั่วชิงยวนก็ยังมิเข้าใจเขาดีนักนางจึงถามว่า “บนหลังของท่านมีรอยประทับทาสหรือไม่?”เมื่อได้ยินดังนั้น ชายชราก็ตกใจเล็กน้อย จากนั้นก็พยักหน้า “มีขอรับ”ลั่วชิงยวนรู้ว่าคำพูดของนางย่อมทำให้เขาเคลือบแคลงใจว่านางมิใช่อวี๋ตันเฟิ่งแต่นางก็มิได้คิดจะแสร้งเป็นอวี๋ตันเฟิ่งเพื่อเข้าควบคุมเมืองแห่งภูตผีแห่งนี้“ท่านควรรู้ว่าข้ามิใช่อวี๋ตันเฟิ่ง”ชายชราผู้นั้นอึ้งไป มิรู้ว่าจะพูดอย่างไรดี ในเมื่อ
หวังเพียงว่าจะกักขังโหยวจิ้งเฉิงไว้บนเขาได้ เพราะหากเขาไปสิงอยู่ในร่างผู้อื่นแล้วหนีลงเขาไปได้ก็จะเป็นเรื่องยุ่งยากเพียงแต่ในตอนนี้ นางไม่มีแรงพอที่จะไล่ตามแล้ว จึงไปหายาในคลังกับคนใบ้เมื่อไปถึง โฉวสือชีและอวี๋โหรวก็อยู่ที่นั่นอวี๋โหรวปรุงโอสถเสร็จแล้วโฉวสือชีกำลังค้นหาสมุนไพรอยู่ข้าง ๆ“เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง?” โฉวสือชีถามด้วยความเป็นห่วงลั่วชิงยวนส่ายหน้า “ข้ามิเป็นอะไร”โฉวสือชียื่นกล่องในมือออกมา แล้วพูดว่า “เจอโสมมังกรเพียงกิ่งเดียวเอง”ลั่วชิงยวนรับกล่องมา แล้วส่งให้คนใบ้ “รอจัดการเรื่องนี้เสร็จก่อน ข้าจะจัดยาให้เจ้าชุดหนึ่ง แม้จะมิสามารถรักษาอาการของเจ้าให้หายขาดได้ แต่ก็พอจะยืดชีวิตได้”คนใบ้พยักหน้า รับโสมมังกรมาด้วยสีหน้าซับซ้อนภายใต้หน้ากากโฉวสือชีกล่าวเสียงหนักแน่น “คลังโอสถนี่ใหญ่โตเกินไป ข้าหาบัวถวายมิเจอจริง ๆ”“และเมื่อดูแล้วในนี้ก็มีร่องรอยการถูกรื้อค้น ต่งอวิ๋นซิ่วคงมิได้หลอกพวกเรา บัวถวายคงถูกใครบางคนชิงไปแล้ว”เมื่อได้ยินดังนั้น ลั่วชิงยวนก็ขมวดคิ้วแน่น “บังเอิญเกินไปแล้ว บัวถวายถูกชิงไปตอนที่เรามาถึงพอดี”“แถมยังถูกกวาดไปจนเกลี้ยง”“สมุนไพรอื่นก็มิ
ร่างที่ไร้ศีรษะร่างหนึ่งถือกระบี่เดินเข้ามาหาลั่วชิงยวน โซ่เหล็กด้านหลังลากคนสามคนไว้แม้จะออกแรงสุดกำลังแล้วก็ยังฉุดรั้งโหยวจิ้งเฉิงไว้มิได้แต่ร่างของโหยวจิ้งเฉิงในตอนนี้ไม่มีศีรษะแล้ว ยากที่จะควบคุมร่างกายได้ลั่วชิงยวนถือกระบี่เงื้อฟันไปยังร่างของฝูเหมิ่ง เช่นเดียวกับตอนที่โหยวจิ้งเฉิงตัดแขนขาของอวี๋ตันเฟิ่งนางกำลังแก้แค้นและระบายความแค้นอย่างบ้าคลั่งตัดแขนของเขาขาดทีละข้างกระบี่ห้วงสวรรค์ร่วงลงสู่พื้นไปพร้อมกับแขนจากนั้นขาทั้งสองข้างของเขาก็ขาดกระเด็นอวี๋ตันเฟิ่งอาละวาดแก้แค้นอย่างบ้าคลั่งเมื่อมองไปยังซากศพที่กองอยู่บนพื้น ดวงตาของลั่วชิงยวนก็ราวกับถูกย้อมไปด้วยสีแดงฉานใต้หล้าเต็มไปด้วยกลิ่นคาวเลือดทั้งสามที่อยู่มิไกลต่างตกตะลึงมิเคยเห็นฉากที่นองเลือดเช่นนี้มาก่อนแต่ถึงแม้ร่างกายจะแหลกละเอียด โหยวจิ้งเฉิงก็ยังมิตายทันใดนั้นมีร่างหนึ่งพุ่งออกมาจากซากศพ แล้วลอยละลิ่วไปอวี๋ตันเฟิ่งกรีดร้องแหลม “โหยวจิ้งเฉิง เจ้าอย่าหวังว่าจะหนีไปไหนได้อีก! ข้าจะทำให้เจ้ามิได้ผุดได้เกิด!”พลังในร่างของนางพลันเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว เกิดเป็นลมพายุโหมกระหน่ำ ลั่วชิงยวนรู้สึกราว
ใบหน้านั้นบ่งบอกชัดเจนว่าเป็นโหยวจิ้งเฉิง“ต่อไปก็ถึงตาพวกเจ้าแล้ว” เขาเอ่ยด้วยเสียงแหบแห้งเย็นเยือกโฉวสือชีกำกระบี่ในมือแน่น ปกป้องคนใบ้และอวี๋โหรวไว้ส่วนลั่วชิงยวนค่อย ๆ ก้าวเท้าไปข้างหน้าในดวงตาค่อย ๆ ก่อเกิดจิตสังหารนางหลับตาลง แล้วกล่าวว่า “อวี๋ตันเฟิ่ง ไปแก้แค้นของเจ้าเถิด”ลั่วชิงยวนมอบร่างของตนให้อวี๋ตันเฟิ่งโดยสมบูรณ์เมื่อลืมตาขึ้นอีกครั้ง ใบหน้าของนางยังคงเป็นใบหน้าเดิม เพียงแต่แววตานั้นกลับดุดันยิ่งนัก ดวงตาสีแดงก่ำเต็มไปด้วยความแค้นเสียงของอวี๋ตันเฟิ่งดังขึ้น “โหยวจิ้งเฉิง ความแค้นระหว่างข้ากับเจ้า วันนี้ถึงคราวสะสางแล้ว”“สิบกว่าปีที่ผ่านมา ข้าคิดอยู่ตลอดเวลาว่าจะฉีกร่างเจ้าเป็นชิ้น ๆ อย่างไรถึงจะสาสมกับความแค้นในใจข้า”“แต่คาดมิถึงว่าเจ้าจะตายไปแล้ว”“แต่ก็มิเป็นไร วันนี้ข้าจะฉีกร่างเจ้าให้เป็นชิ้น ๆ ให้ได้!”เมื่อกล่าวจบ ลั่วชิงยวนก็กระโจนเข้าไปเสียงอาวุธปะทะกันอย่างรุนแรงดังขึ้นแต่ในเวลานี้เอง โหยวจิ้งเฉิงก็พุ่งไปยังกำแพง คว้ากระบี่ห้วงสวรรค์มาได้ จากนั้นกระโจนออกนอกห้องไปอวี๋ตันเฟิ่งรีบไล่ตามไปสีหน้าคนใบ้เปลี่ยนไป กระบี่ห้วงสวรรค์! หากฝูเหมิ่ง
ต่งอวิ๋นซิ่วตกใจจนหน้าซีดเผือด รีบยกมือขึ้นมาป้องกัน แล้วต่อสู้กับฝูเหมิ่งแต่พลังในตอนนี้ของต่งอวิ๋นซิ่วเทียบกับฝูเหมิ่งแล้วยังอ่อนแอกว่ามากนักสุดท้ายก็ถูกฝูเหมิ่งบีบคอไว้แน่นลั่วชิงยวนเห็นชัดเจนว่าในร่างของฝูเหมิ่งตอนนี้คือโหยวจิ้งเฉิง!เขาเป็นบ้าไปแล้วหรือ? เขาจะฆ่าต่งอวิ๋นซิ่วภรรยาของตนหรือ?เมื่อเห็นดังนั้น โหยวเซียงก็ชักกระบี่พุ่งเข้าไปหมายจะช่วยต่งอวิ๋นซิ่ว แต่ฝูเหมิ่งกลับมิหลบเลยแม้แต่น้อย ปล่อยให้กระบี่ในมือนางแทงทะลุร่างจากนั้นฝูเหมิ่งก็ฟาดมือไปทีหนึ่ง โหยวเซียงจึงกระเด็นปลิวไปโหยวเซียงกระอักเลือดออกมาต่งอวิ๋นซิ่วร้อนใจยิ่งนัก “เซียงเอ๋อร์ มิต้องสนใจแม่ รีบหนีไป!”โหยวเซียงจะทนมองดูมารดาของตนถูกฆ่าได้อย่างไร นางพยายามลุกขึ้นมาสู้ต่อแต่ฝูเหมิ่งกลับมองโหยวเซียงอย่างดุดัน แล้วกล่าวขู่ “คนที่ข้าต้องการฆ่ามีเพียงต่งอวิ๋นซิ่วเท่านั้น เจ้าจงหลีกไป”“มิเช่นนั้นอย่าหาว่าข้ามิเห็นแก่ความเป็นพ่อลูก”เมื่อได้ยินดังนั้น โหยวเซียงก็ตกใจจนยืนอึ้งไปกับที่ แล้วกล่าวเสียงสั่นเครือ “พ่อ… พ่อลูกหรือ?”ตอนนี้เสียงของฝูเหมิ่งก็มิใช่เสียงของฝูเหมิ่งอีกต่อไปแล้วเมื่อต่งอวิ๋นซิ่ว
ขณะนี้เอง โหยวเซียงก็ฉวยโอกาสหลบหนีจากมือของลั่วชิงยวนไปได้ต่งอวิ๋นซิ่วมองพวกเขาอย่างเย็นชา “ในเมื่อมาถึงที่นี่แล้วก็เตรียมตัวตายได้เลย!”ทันใดนั้นบนคานเรือนก็ปรากฏชายชุดดำจำนวนมากพร้อมถือหน้าไม้เล็งมาที่พวกเขาลูกดอกอันคมกริบประกายแสงเย็นลั่วชิงยวนยกยิ้มมุมปาก หัวเราะอย่างเย็นชา “ดูเหมือนว่าเจ้าจะเตรียมการมาอย่างดี ตอนนี้พวกข้าคงหนีออกจากห้องนี้ไปมิได้แล้วใช่หรือไม่?”ลั่วชิงยวนสังเกตประตูห้อง รวมถึงผนังห้องทุกด้าน แล้วพบว่ามีกลไกบนประตูเหนือศีรษะ ต่งอวิ๋นซิ่วหัวเราะเบา ๆ “แน่นอน นี่คือห้องกลไกที่สร้างขึ้นมาเพื่อรับมือพวกเจ้าที่บุกรุกเข้ามาบนเขา”“วันนี้พวกเจ้าอย่าหวังว่าจะได้ออกไปแม้แต่คนเดียว!”ลั่วชิงยวนจับกระบี่ห้วงสวรรค์แน่นแล้วพุ่งไปที่กลไกจุดหนึ่งบนผนังห้อง ฟาดฟันกระบี่ลงไปอย่างแรงต่งอวิ๋นซิ่วรีบดึงโหยวเซียงหลบหลีกไปแต่ใครเล่าจะรู้ว่าลั่วชิงยวนมิได้โจมตีพวกนาง แต่กลับฟันกลไกบนผนังห้องทำให้ประตูห้องลงกลอนอย่างสมบูรณ์เมื่อเห็นเช่นนั้น ต่งอวิ๋นซิ่วก็หัวเราะเยาะ “เจ้าช่างรนหาที่ตายยิ่งนัก”ลั่วชิงยวนยกยิ้มอย่างมีความหมาย “เช่นนั้นรึ? ยังมิรู้เลยว่าใครกันแน่ที่จะ
ร่างที่เดินออกมาจากฝูงชนนั้นมีท่าทางคุกคามยิ่งนักลั่วชิงยวนหรี่ตาลงเล็กน้อย นั่นคือสตรีที่นางเห็นในความทรงจำของอวี๋ตันเฟิ่งต่งอวิ๋นซิ่ว!โหยวเซียงดิ้นรนพลางเงยหน้ามองต่งอวิ๋นซิ่วด้วยดวงตาแดงก่ำ “ท่านแม่… เป็นความผิดของลูกเองที่ปล่อยให้พวกมันขึ้นเขามาได้”หากมิใช่เพราะลั่วชิงยวนรู้ทางลับของวัดร้างแห่งนั้น พวกนางคงไม่มีทางขึ้นเขามาได้ง่ายดายถึงเพียงนี้!ต่งอวิ๋นซิ่วมองด้วยความเจ็บปวดแล้วตวาดใส่ลั่วชิงยวน “ปล่อยลูกสาวข้าเดี๋ยวนี้! มิเช่นนั้นข้าจะทำให้พวกเจ้าตายเยี่ยงไร้ที่ฝัง!”ลั่วชิงยวนหัวเราะเบา ๆ แล้วพูดด้วยน้ำเสียงดูถูกเหยียดหยาม “เมื่อคืนยังพยายามทำลายวิญญาณที่เหลือของอวี๋ตันเฟิ่งอยู่เลย วันนี้เจ้าลืมไปแล้วหรือว่าศัตรูของเจ้าคือใคร?”“ใครกันแน่ที่จะตายแบบไร้ที่ฝัง ยังบอกมิได้หรอก”เมื่อได้ยินดังนั้น ต่งอวิ๋นซิ่วก็สะดุ้งเฮือก สีหน้าเปลี่ยนไปอย่างมากท่าทางของนางดูตึงเครียดขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด แต่ก็ยังพยายามซ่อนไว้ได้ดีนางมองลั่วชิงยวนอย่างใจเย็น แล้วกล่าวว่า “ในเมื่อพวกเจ้ามาถึงเมืองแห่งภูตผี ก็คงต้องการของล้ำค่าของเมืองแห่งภูตผีสินะ”“พวกเจ้าอยากได้อะไร ข้าสามารถให้เจ
นางปฏิเสธอย่างหนักแน่นลั่วชิงยวนกลับยกยิ้มอย่างพึงพอใจแล้วค่อย ๆ ลุกขึ้น “พานางไปด้วย ไปวัดร้าง!”พวกเนางมุ่งหน้าไปทางทิศใต้ โหยวเซียงดิ้นรนตลอดทาง แต่โฉวสือชีและคนใบ้จ้องมองทุกการกระทำของนางอย่างใกล้ชิด มิเปิดโอกาสให้นางหลบหนีไปได้แม้แต่น้อยเมื่อเดินไปได้ไกลมากพอสมควร เสียงไก่ขันยามรุ่งอรุณก็ดังขึ้นแล้วในที่สุดพวกเขาก็มาถึงวัดร้างแห่งนั้นในวัดร้างมีพระพุทธรูปที่เป็นซากปรักหักพังล้มลงบนพื้น ดูเหมือนว่าที่นี่จะไม่มีใครมานานแล้วเมื่อมองหาอย่างละเอียดก็พบรอยเท้าบนพื้นลั่วชิงยวนมั่นใจยิ่งขึ้น นี่คือสถานที่ที่ถูกต้อง!โหยวเซียงจ้องมองทุกการกระทำของลั่วชิงยวนอย่างกระวนกระวาย เกรงว่าลั่วชิงยวนจะพบกลไกเข้าแต่ลั่วชิงยวนกลับสังเกตปฏิกิริยาของโหยวเซียง ค่อย ๆ เดินไปในแต่ละที่โดยอาศัยการสังเกตปฏิกิริยาโหยวเซียงสุดท้ายลั่วชิงยวนจึงเพ่งเล็งไปที่ผนังด้านหนึ่งแล้วเริ่มค้นหากลไกเสียงเปิดกลไกดังแกร๊กดังขึ้นประตูบานหนึ่งบนพื้นพลันเปิดออกหลังจากที่ลั่วชิงยวนเปิดประตูแล้วก็พบว่าด้านล่างยังมีประตูอีกบานหนึ่ง และบนนั้นก็มีกลไกเช่นกันแต่สำหรับลั่วชิงยวนแล้วเรื่องนี้ง่ายมากเมื่อประต
“เจ้ารีบอะไรนักหนา รอมาตั้งนานแล้ว รออีกสักหน่อยจะเป็นกระไร”เมื่อได้ยินดังนั้น อวี๋ตันเฟิ่งก็หยุดมือลั่วชิงยวนเดินเข้าไปคว้าตัวโหยวเซียงไว้ให้โฉวสือชีมัดนางไว้แน่นหนา จากนั้นจึงปลุกโหยวเซียงให้ฟื้นขึ้นมาเมื่อฟื้นคืนสติ โหยวเซียงก็จ้องหน้าลั่วชิงยวนเขม็งอย่างโกรธแค้น “เจ้ากล้าจับข้า เจ้าคอยดูเถอะว่าจะตายอย่างไร!”ลั่วชิงยวนย่อตัวลงนั่งตรงหน้านาง แล้วหัวเราะเบา ๆ “ใช่แล้ว ใครจะกล้าแตะต้องคุณหนูใหญ่เมืองแห่งภูตผีเล่า”“น่าเสียดาย เมืองแห่งภูตผีแห่งนี้ บิดามารดาของเจ้าไปปล้นเขามา มิใช่ของพวกเขามาแต่เดิม ย่อมมิใช่ของเจ้าเช่นกัน”“ถึงเวลาคืนเจ้าของตัวจริงแล้ว”โหยวเซียงจ้องเขม็งนางอย่างโกรธแค้น “เจ้าพูดจาเหลวไหลอะไร! เมืองแห่งภูตผีแห่งนี้เป็นของบิดามารดาข้ามาแต่เดิม!”เมื่อได้ยินดังนั้น ลั่วชิงยวนก็ประหลาดใจ “หรือว่าต่งอวิ๋นซิ่วมิได้บอกความจริงแก่เจ้า”“ก็ถูกแล้ว เรื่องน่าอับอายเช่นนี้ นางจะบอกลูกสาวได้อย่างไร”“เมืองแห่งภูตผีแห่งนี้มิใช่เพียงถูกบิดามารดาเจ้ายึดมาเท่านั้น แต่ยังใช้วิธีการที่น่ารังเกียจในการยึดครองด้วย!”“เดาว่าจนถึงตอนนี้เจ้าก็คงยังมิรู้เลยว่าศัตรูของเจ้าคือผ