“พี่สามขอให้ข้ามา เขาบอกว่าไทเฮาต้องการจะฆ่าท่าน หลิวไท่เฟยเรียกท่านเข้าไปในพระราชวัง เขาไม่รู้ว่าจะมีอันตรายใดเกิดขึ้นบ้าง เขาอยากไปหาหลิวไท่เฟย แต่เขาก็กลัวว่าจะทำให้หลิวไท่เฟยกลัวจึงขอให้ข้ามาแทน”ฟู่จิ่งหลีไม่ได้ปิดบังแม้แต่น้อยลั่วชิงยวนตกใจเล็กน้อย ปรากฏว่าเป็นเขานั่นเอง“ถึงกระนั้นแล้ว หม่อมฉันก็ไม่เคยได้ยินท่านพูดถึงหลิวไท่เฟยมาก่อน ท่านมีความสัมพันธ์เช่นไรกับพระนางหรือเพคะ?” ลั่วชิงยวนเปลี่ยนเรื่อง“นางอายุน้อยกว่าแม่ของข้ามาก ว่ากันว่าช่วงที่แม่ของข้ายังมีชีวิตอยู่นางก็ดูแลแม่ของข้า ทั้งสองคนเป็นเหมือนพี่น้องที่คลานตามกันมา”“แม่ของข้าตายลงในช่วงกลียุคในวัง คนส่วนใหญ่ที่ตายมักจะเป็นคู่แม่ลูก แต่แม่ของข้าตายในขณะที่ข้ารอดมาได้ คนในวังมากมายล้วนไม่รู้จักข้า ในวังหลังแห่งนี้ไม่มีนางสนมคนไหนอยากจะเลี้ยงดูข้า"“ไม่มีใครต้องการข้าเลย”น้ำเสียงของฟู่จิ่งหลีผ่อนคลายราวกับว่าเขากำลังเล่าเรื่องของคนอื่น มาพูดมาถึงตรงจุดนี้เขาก็หัวเราะออกมาเบา ๆเมื่อได้ยินคำพูดเหล่านี้ ลั่วชิงยวนก็ผงะเล็กน้อยและรีบทำท่าทางห้ามเสียงดัง ก่อนจะหันมองไปรอบ ๆเพื่อดูว่ามีใครได้ยินสิ่งที่เขาพูดบ้างหร
“ข้าก็เลยคิดว่าแม่ของเขาก็ไม่ใช่คนเลวเหมือนกัน”ลั่วชิงยวนปวดศีรษะหนักมากเมื่อนางได้ยินคำพูดอันตรายของฟู่จิ่งหลี “กษัตริย์ผู้ปราดเปรื่องอะไรกันเล่า ท่านกล้าพูดคำพวกนี้ได้เช่นไร?”หากมีใครได้ยินเกี่ยวกับเรื่องนี้ พวกเขาจะคิดทันทีว่าฟู่เฉินหวนมีใจก่อกบฏ“ไม่ใช่อย่างนั้นหรือ เขาดีกว่าคนที่นั่งอยู่บนบัลลังก์มังกรตอนนี้เสียอีก หากมิใช่เพราะพี่สามเป็นคนสนับสนุนทุกครั้ง เขาคงกลายเป็นหุ่นเชิดในมือของมารดาของเขาไปนานแล้ว”เมื่อพูดถึงไทเฮา ลั่วชิงยวนก็นึกถึงสิ่งที่นางพบในห้องของหลิวไท่เฟยในวันนี้ นางลังเลอยู่ครู่หนึ่ง จนในที่สุดนางก็ตัดสินใจเล่าเรื่องนี้ให้กับฟู่จิ่งหลีฟังหลังจากฟังจบแล้ว ใบหน้าของฟู่จิ่งหลีก็เปลี่ยนไปอย่างมาก จอกสุราที่เขาถืออยู่ในมือไว้นั้นก็หกลงมา“แก้ได้จริงงั้นหรือ?” ฟู่จิ่งหลีถามอย่างร้อนใจลั่วชิงยวนพยักหน้า “ตอนนี้แก้ไขได้แล้ว”ฟู่จิงหลี่โกรธมาก เขากระแทกกำปั้นลงบนโต๊ะ “คราวนี้คลี่คลายได้ แล้วครั้งต่อไปเล่า?”“หลิวไท่เฟยอาศัยอยู่ตามลำพังในสถานที่เงียบสงบเช่นนี้ นางไม่เคยรบกวนผู้ใด แล้วเหตุใดพวกนั้นถึงอยากฆ่านาง!”หลังจากฟู่จิ่งหลีโกรธจัด เขาก็สงบลงอีกครั้งและพ
ลั่วชิงยวนมองเขาอย่างประหม่า หัวใจของนางแทบจะกระโดดออกจากอกนางกับฝูเสวี่ยเป็นคนคนเดียวกัน เช่นนั้นจึงมีความคล้ายคลึงกันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้สิ่งเหล่านี้ย่อมสะดุดตาฟู่จิ่งหลี“เหมือนกันอย่างไร?” ลั่วชิงยวนถามทว่า คำตอบต่อมาของฟู่จิ่งหลีก็ทำให้นางถอนหายใจด้วยความโล่งอกทันที“ชอบสวมหน้ากากเหมือนกัน”ลั่วชิงยวนผงะเล็กน้อย จากนั้นจึงพูดด้วยเสี่ยงทุ้มต่ำว่า “ข้ามีรอยแผลเป็นบนใบหน้า นั่นคือสาเหตุที่ข้าสวมหน้ากาก”“เข้าใจแล้ว” ฟู่จิงหลี่ดึงนางเข้าไปในหอฝูเสวี่ย ภายใต้การต้อนรับของแม่เล้าเฉิน เขาจึงได้ที่นั่งที่ดีที่สุด “ท่านคงยังไม่รู้ แม่นางฝูเสวี่ยจากหอฝูเสวี่ยผู้นั้นคือพระชายาของอ๋องผู้สำเร็จราชการจริง ๆ!”“ท่านไม่โชคดีพอที่จะได้ดูนางร่ายรำ พี่สามของข้าปกป้องนางราวกับว่าข้าเป็นหัวขโมยตอนนี้ ท่านเซียนแทบไม่มีโอกาสแล้ว”ฟู่จิ่งหลีพูดพร้อมกับดื่มสุราในจอก ลั่วชิงยวนพยักหน้าเล็กน้อยแต่ไม่ได้ตอบอะไร ฟู่จิ่งหลีมีเรื่องสำคัญกับนางไม่ใช่หรือ? เหตุใดเขาถึงได้มาเหลวไหลอยู่ที่นี่ได้?“ข้าคิดไม่ถึงเลยว่าฝูเสวี่ยจะกลายเป็นลั่วชิงยวน นางเป็นคนของพี่สามอยู่ก่อนแล้ว เคราะห์ดีที่ตอนนั้นเป
ซ่งเชียนฉู่กำลังไปต้มยา ลั่วชิงยวนจึงตามไปด้วยเช่นกันปล่อยให้สองพี่น้องพูดคุยกันที่ลานลั่วชิงยวนมาที่ห้องครัว แล้วนั่งลงข้างซ่งเชียนฉู่เพื่อช่วยต้มยาพร้อมกับพูดว่า “ข้าคิดว่าอาการบาดเจ็บของเฉินเซี่ยวหานค่อนข้างร้ายแรง”ซ่งเชียนฉู่พูดอย่างเศร้าใจ “มีอาการบาดเจ็บภายนอกสาหัสจนเห็นกระดูกทีเดียว”“หากไม่ใช่เพราะสมุนไพรที่หายากเหล่านี้ของข้า ครั้งนี้ข้าก็คงไม่อาจยื้อชีวิตเขาไว้ได้”เมื่อนึกถึงสถานการณ์ในขณะนั้น คลื่นความกลัวครั้งเก่าก่อนแล่นเข้าสู่หัวใจของซ่งเชียนฉู่อีกครั้งลั่วชิงยวนขมวดคิ้ว “ราชันย์อสรพิษปกป้องเจ้า แต่เขาจะไม่ปกป้องเฉินเซี่ยวหาน”“ไม่เช่นนั้นก็ให้เฉินเสี่ยวหานกลับไปเถอะ เขาเป็นถึงรัฐทายาท คนเหล่านั้นจะได้ไม่ไล่ล่าเขา”“เจ้าก็ย้ายมาอยู่ที่ตำหนักอ๋องกับข้า เช่นนั้นเจ้าจะได้ไม่ต้องกลัวราชันย์อสรพิษ”การดำรงอยู่ของเฉินเซี่ยวหาน ตั้งแต่แรกเริ่มเป็นเพราะซ่งเชียนฉู่กลัวราชันย์อสรพิษหากไม่มีเฉินเซี่ยวหาน ราชันย์อสรพิษก็คงไม่อาจควบคุมตัวเองและเข้าใกล้ซ่งเชียนฉู่ได้อย่างแน่นอน แต่สิ่งนี้จะนำความกลัวอย่างมากสำหรับซ่งเชียนฉู่ทว่า ซ่งเชียนฉู่กลับส่ายหน้าฏิเสธ ก่อนจะยิ้ม
ฟู่เฉินหวนกำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้อย่างเคร่งขรึมสีหน้าและแววตาเยือกเย็นราวกับใบมีดคมกริบทันทีที่ลั่วชิงยวนก้าวเท้าเข้ามา นางก็รู้สึกราวกับถูกลูกศรนับหมื่นแทงทะลุหัวใจ ลมหนาวนับไม่ถ้วนพัดผ่านเข้ามาในร่างกายของนาง นั่นจึงทำให้นางรู้สึกหนาวสั่นไปทั่วทั้งร่าง“ท่าน… ท่านนั่งทำอะไรอยู่ที่นี่? ท่านอยากให้หม่อมฉันกลัวจนตกใจตายงั้นหรือ?” ลั่วชิงยวนตกใจเป็นอย่างมากใบหน้าของฟู่เฉินหวนดูบูดบึ้ง เขาเอ่ยถามอย่างเย็นชาทันทีว่า “เจ้ามัวไปเที่ยวเล่นที่ใดมา?”“ฟู่จิ่งหลีส่งเจ้ากลับมาตำหนักแล้ว แต่เจ้ากับแอบออกไปอีกรอบ เจ้ารู้หรือไม่ว่าข้าใช้คนในการตามหาเจ้ามากน้อยเพียงใด?”วันนี้หลังจากลั่วชิงยวนกลับมาจากวังหลวง เขายังคงอยู่ในห้องตำรา หลังจากทำงานเสร็จสิ้นแล้ว เขาจึงอยากไปถามนางว่าหลิวไท่เฟยมีเรื่องอันใดกับนาง ทว่าเมื่อเขาไปหานาง นางกลับไม่ได้อยู่ในตำหนักอ๋องแล้วเมื่อรู้ว่านางออกไปข้างนอก ฟู่เฉินหวนก็โกรธมากจนกินข้าวเย็นไม่ลงด้วยซ้ำ อีกทั้งยังนั่งรอนางอยู่ที่นี่!ลั่วชิงยวนตกใจมาก “ตามหาหม่อมฉันงั้นหรือ?”นางไม่เคยเห็นเขาใส่ใจนางมากถึงเพียงนี้มาก่อน เมื่อนางไม่กลับตำหนักอ๋องสองสามวันจะไม่ม
ฟู่เฉินหวนก็อยู่ที่นี่เช่นกัน ลั่วชิงยวนจึงหันไปมองเขาแล้ว ก่อนจะถามถึงความหมายสิ่งที่เขาทำจิ่นซูยิ้มแล้วพูดว่า “หากท่านอ๋องต้องการไปกับพวกเราก็ย่อมได้เช่นกันเพคะ”ฟู่เฉินหวนเอ่ยขึ้นเบา ๆว่า “หากอย่างนั้นก็ไปกันเถอะ”เช่นนั้นแล้วทั้งฟู่เฉินหวนและลั่วชิงยวนต่างก็ติดตามจิ่นซูเข้าไปในวังหลวงด้วยกันเมื่อมาถึงพระตำหนักโช่วสี่ ที่ห้องโถงก็มีการจัดเตรียมน้ำชาและอาหารว่างเอาไว้แล้ว ไทเฮาแต่งกายค่อนข้างเรียบง่ายในวันนี้ ทว่าทุกการเคลื่อนไหวของนางก็ยังเต็มไปด้วยความสง่างามและมีเกียรติ “เป็นเรื่องยากที่ท่านอ๋องกับพระชายาจะมายังตำหนักของข้า อย่าได้เกร็งกันเกินไปนัก เชิญทำตัวตามสบายเถิด”ไทเฮาเอ่ยถามลั่วชิงยวนว่า “ชิงยวน เจ้าได้มอบยาที่ข้าให้เจ้าเมื่อครั้งก่อนแก่ท่านอ๋องหรือไม่?”ดวงตาของฟู่เฉินหวนหรี่ลง จากนั้นเขาจึงเงยหน้ามองไปยังลั่วชิงยวนลั่วชิงยวนขมวดคิ้วพร้อมกับมองไปที่ไทเฮา เมื่อมองดูรอยยิ้มอันเปี่ยมด้วยความรักบนใบหน้าของอีกฝ่าย นางก็รู้สึกไม่สบายใจ“ยาอะไรหรือเพคะ หม่อมฉันไม่เข้าใจว่าไทเฮาตรัสถึงสิ่งใด” ลั่วชิงยวนตอบอย่างสุภาพ“เจ้าเด็กน้อย เจ้าลืมสิ่งสำคัญทั้งหมดไปแล้วงั้นห
ลั่วชิงยวนต่อสู้อย่างหนักเพื่อหลุดพ้นจากนางกำนัลทั้งสอง จากนั้นนางยกมือขึ้นแล้วผลักจิ่นซูอย่างแรงตอนนี้ลั่วชิงยวนหายจากอาการบาดเจ็บแล้ว จิ่นซูและคนอื่น ๆจึงไม่สามารถรั้งนางไว้ได้เลย เมื่อชามยาตกแตกเป็นเสี่ยง ๆ ลั่วชิงยวนจึงคายยาในปากออกมาทันทียานั้นไม่ได้เป็นพิษ แต่ก็ทำให้ระคายเคืองเป็นอย่างมาก เมื่อยาถูกเทเข้าจมูกไป นางก็รู้สึกแสบร้อนที่จมูก ความรู้สึกแสบร้อนก็ค่อย ๆ เคลื่อนลงมา จิ่นซูลุกขึ้นและต้องการจับนางอีกครั้งทันใดนั้น ก็ปรากฏร่างคนผู้หนึ่งพุ่งเข้ามาคว้าข้อมือของจิ่นซูทันที ก่อนที่เขาจะปล่อยมือนางอย่างแรงบีบบังคับให้จิ่นซูต้องล่าถอยจิ่นซูเงยหน้าขึ้นมองคนตรงหน้า สีหน้าของนางก็ตื่นตระหนกเล็กน้อย นางจึงก้าวถอยหลังกลับไป ฟู่เฉินหวนเต็มไปด้วยเจตนาสังหาร ดวงตาของเขาจ้องมองไปที่ไทเฮาอย่างเลือดเย็น ก่อนพูดด้วยน้ำเสียงเย็นเยือกว่า “ไทเฮากันกระหม่อมออกไป ท่านต้องการทำอะไรกับลั่วชิงยวนกันแน่?”ท่าทีของไทเฮายังคงนิ่งสงบปราศจากความตื่นตระหนกใด ๆ นางเอ่ยอย่างใจเย็นว่า “ข้าเพียงกังวลเกี่ยวกับการตั้งครรภ์ของพระชายาเท่านั้นและต้องการให้นางตั้งครรภ์โดยเร็วที่สุด”“พระชายามักจะปฏ
เสียงทุ้มลึกของฟู่เฉินหวนดังขึ้นอย่างช้า ๆ “ข้ามิได้โง่”“ไทเฮาขอให้ข้าออกไปข้างนอก แต่ที่นอกตำหนักกลับไม่มีใครอยู่เลย เท่านี้ก็เท่ากับเปิดโอกาสให้ข้าแอบฟังได้แล้ว เจ้าคิดว่าข้าจะไม่ได้ยินอย่างนั้นหรือ?”“คำพูดเหล่านั้นจงใจให้ข้าได้ยินทั้งหมด”เมื่อได้ยินคำพูดเหล่านี้แล้ว ลั่วชิงยวนก็รู้สึกโล่งใจ นางอดไม่ได้ที่จะยิ้ม เขาเชิดคางขึ้นและมองดูท้องฟ้าอย่างผ่อนคลาย “ในที่สุดท่านก็เชื่อหม่อมฉันได้อีกครั้งสักที”เมื่อฟู่เฉินหวนได้ยินคำพูดนี้ ใบหน้าของเขาก็มืดมนขึ้นทันทีทันใดนั้น ฟู่เฉินหวนก็ลุกขึ้นยืนแล้วจากไปลั่วชิงยวนผงะเล็กน้อย ก่อนที่จะรีบลุกขึ้นยืนเพื่อไล่ตามเขาไปในทันที “หากท่านต้องการไป เหตุใดถึงไม่พูดอะไรเลยเล่า? รอหม่อมฉันด้วยสิเพคะ”ลั่วชิงยวนติดตามฟู่เฉินหวนไป เดิมทีพวกเขากำลังจะออกจากวังหลวงขณะนี้ท้องฟ้าใกล้จะค่ำแล้วแต่ขณะที่พวกเขากำลังก้าวผ่านประตูพระราชวัง กลับมีเสียงตะโกนดังมาจากด้านหลัง“ท่านอ๋อง! พระชายา!”พวกเขาทั้งสองหยุดเดินแล้วหันกลับไปเห็นป้าถานสี่วิ่งมาหาพวกเขาด้วยความตื่นตระหนก“ป้าถ่านสี่”ป้าถานสี่พูดอย่างเร่งรีบว่า “พระชายา โปรดช่วยหลิวไท่เฟยด้วยเจ้า
ร่างที่ไร้ศีรษะร่างหนึ่งถือกระบี่เดินเข้ามาหาลั่วชิงยวน โซ่เหล็กด้านหลังลากคนสามคนไว้แม้จะออกแรงสุดกำลังแล้วก็ยังฉุดรั้งโหยวจิ้งเฉิงไว้มิได้แต่ร่างของโหยวจิ้งเฉิงในตอนนี้ไม่มีศีรษะแล้ว ยากที่จะควบคุมร่างกายได้ลั่วชิงยวนถือกระบี่เงื้อฟันไปยังร่างของฝูเหมิ่ง เช่นเดียวกับตอนที่โหยวจิ้งเฉิงตัดแขนขาของอวี๋ตันเฟิ่งนางกำลังแก้แค้นและระบายความแค้นอย่างบ้าคลั่งตัดแขนของเขาขาดทีละข้างกระบี่ห้วงสวรรค์ร่วงลงสู่พื้นไปพร้อมกับแขนจากนั้นขาทั้งสองข้างของเขาก็ขาดกระเด็นอวี๋ตันเฟิ่งอาละวาดแก้แค้นอย่างบ้าคลั่งเมื่อมองไปยังซากศพที่กองอยู่บนพื้น ดวงตาของลั่วชิงยวนก็ราวกับถูกย้อมไปด้วยสีแดงฉานใต้หล้าเต็มไปด้วยกลิ่นคาวเลือดทั้งสามที่อยู่มิไกลต่างตกตะลึงมิเคยเห็นฉากที่นองเลือดเช่นนี้มาก่อนแต่ถึงแม้ร่างกายจะแหลกละเอียด โหยวจิ้งเฉิงก็ยังมิตายทันใดนั้นมีร่างหนึ่งพุ่งออกมาจากซากศพ แล้วลอยละลิ่วไปอวี๋ตันเฟิ่งกรีดร้องแหลม “โหยวจิ้งเฉิง เจ้าอย่าหวังว่าจะหนีไปไหนได้อีก! ข้าจะทำให้เจ้ามิได้ผุดได้เกิด!”พลังในร่างของนางพลันเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว เกิดเป็นลมพายุโหมกระหน่ำ ลั่วชิงยวนรู้สึกราว
ใบหน้านั้นบ่งบอกชัดเจนว่าเป็นโหยวจิ้งเฉิง“ต่อไปก็ถึงตาพวกเจ้าแล้ว” เขาเอ่ยด้วยเสียงแหบแห้งเย็นเยือกโฉวสือชีกำกระบี่ในมือแน่น ปกป้องคนใบ้และอวี๋โหรวไว้ส่วนลั่วชิงยวนค่อย ๆ ก้าวเท้าไปข้างหน้าในดวงตาค่อย ๆ ก่อเกิดจิตสังหารนางหลับตาลง แล้วกล่าวว่า “อวี๋ตันเฟิ่ง ไปแก้แค้นของเจ้าเถิด”ลั่วชิงยวนมอบร่างของตนให้อวี๋ตันเฟิ่งโดยสมบูรณ์เมื่อลืมตาขึ้นอีกครั้ง ใบหน้าของนางยังคงเป็นใบหน้าเดิม เพียงแต่แววตานั้นกลับดุดันยิ่งนัก ดวงตาสีแดงก่ำเต็มไปด้วยความแค้นเสียงของอวี๋ตันเฟิ่งดังขึ้น “โหยวจิ้งเฉิง ความแค้นระหว่างข้ากับเจ้า วันนี้ถึงคราวสะสางแล้ว”“สิบกว่าปีที่ผ่านมา ข้าคิดอยู่ตลอดเวลาว่าจะฉีกร่างเจ้าเป็นชิ้น ๆ อย่างไรถึงจะสาสมกับความแค้นในใจข้า”“แต่คาดมิถึงว่าเจ้าจะตายไปแล้ว”“แต่ก็มิเป็นไร วันนี้ข้าจะฉีกร่างเจ้าให้เป็นชิ้น ๆ ให้ได้!”เมื่อกล่าวจบ ลั่วชิงยวนก็กระโจนเข้าไปเสียงอาวุธปะทะกันอย่างรุนแรงดังขึ้นแต่ในเวลานี้เอง โหยวจิ้งเฉิงก็พุ่งไปยังกำแพง คว้ากระบี่ห้วงสวรรค์มาได้ จากนั้นกระโจนออกนอกห้องไปอวี๋ตันเฟิ่งรีบไล่ตามไปสีหน้าคนใบ้เปลี่ยนไป กระบี่ห้วงสวรรค์! หากฝูเหมิ่ง
ต่งอวิ๋นซิ่วตกใจจนหน้าซีดเผือด รีบยกมือขึ้นมาป้องกัน แล้วต่อสู้กับฝูเหมิ่งแต่พลังในตอนนี้ของต่งอวิ๋นซิ่วเทียบกับฝูเหมิ่งแล้วยังอ่อนแอกว่ามากนักสุดท้ายก็ถูกฝูเหมิ่งบีบคอไว้แน่นลั่วชิงยวนเห็นชัดเจนว่าในร่างของฝูเหมิ่งตอนนี้คือโหยวจิ้งเฉิง!เขาเป็นบ้าไปแล้วหรือ? เขาจะฆ่าต่งอวิ๋นซิ่วภรรยาของตนหรือ?เมื่อเห็นดังนั้น โหยวเซียงก็ชักกระบี่พุ่งเข้าไปหมายจะช่วยต่งอวิ๋นซิ่ว แต่ฝูเหมิ่งกลับมิหลบเลยแม้แต่น้อย ปล่อยให้กระบี่ในมือนางแทงทะลุร่างจากนั้นฝูเหมิ่งก็ฟาดมือไปทีหนึ่ง โหยวเซียงจึงกระเด็นปลิวไปโหยวเซียงกระอักเลือดออกมาต่งอวิ๋นซิ่วร้อนใจยิ่งนัก “เซียงเอ๋อร์ มิต้องสนใจแม่ รีบหนีไป!”โหยวเซียงจะทนมองดูมารดาของตนถูกฆ่าได้อย่างไร นางพยายามลุกขึ้นมาสู้ต่อแต่ฝูเหมิ่งกลับมองโหยวเซียงอย่างดุดัน แล้วกล่าวขู่ “คนที่ข้าต้องการฆ่ามีเพียงต่งอวิ๋นซิ่วเท่านั้น เจ้าจงหลีกไป”“มิเช่นนั้นอย่าหาว่าข้ามิเห็นแก่ความเป็นพ่อลูก”เมื่อได้ยินดังนั้น โหยวเซียงก็ตกใจจนยืนอึ้งไปกับที่ แล้วกล่าวเสียงสั่นเครือ “พ่อ… พ่อลูกหรือ?”ตอนนี้เสียงของฝูเหมิ่งก็มิใช่เสียงของฝูเหมิ่งอีกต่อไปแล้วเมื่อต่งอวิ๋นซิ่ว
ขณะนี้เอง โหยวเซียงก็ฉวยโอกาสหลบหนีจากมือของลั่วชิงยวนไปได้ต่งอวิ๋นซิ่วมองพวกเขาอย่างเย็นชา “ในเมื่อมาถึงที่นี่แล้วก็เตรียมตัวตายได้เลย!”ทันใดนั้นบนคานเรือนก็ปรากฏชายชุดดำจำนวนมากพร้อมถือหน้าไม้เล็งมาที่พวกเขาลูกดอกอันคมกริบประกายแสงเย็นลั่วชิงยวนยกยิ้มมุมปาก หัวเราะอย่างเย็นชา “ดูเหมือนว่าเจ้าจะเตรียมการมาอย่างดี ตอนนี้พวกข้าคงหนีออกจากห้องนี้ไปมิได้แล้วใช่หรือไม่?”ลั่วชิงยวนสังเกตประตูห้อง รวมถึงผนังห้องทุกด้าน แล้วพบว่ามีกลไกบนประตูเหนือศีรษะ ต่งอวิ๋นซิ่วหัวเราะเบา ๆ “แน่นอน นี่คือห้องกลไกที่สร้างขึ้นมาเพื่อรับมือพวกเจ้าที่บุกรุกเข้ามาบนเขา”“วันนี้พวกเจ้าอย่าหวังว่าจะได้ออกไปแม้แต่คนเดียว!”ลั่วชิงยวนจับกระบี่ห้วงสวรรค์แน่นแล้วพุ่งไปที่กลไกจุดหนึ่งบนผนังห้อง ฟาดฟันกระบี่ลงไปอย่างแรงต่งอวิ๋นซิ่วรีบดึงโหยวเซียงหลบหลีกไปแต่ใครเล่าจะรู้ว่าลั่วชิงยวนมิได้โจมตีพวกนาง แต่กลับฟันกลไกบนผนังห้องทำให้ประตูห้องลงกลอนอย่างสมบูรณ์เมื่อเห็นเช่นนั้น ต่งอวิ๋นซิ่วก็หัวเราะเยาะ “เจ้าช่างรนหาที่ตายยิ่งนัก”ลั่วชิงยวนยกยิ้มอย่างมีความหมาย “เช่นนั้นรึ? ยังมิรู้เลยว่าใครกันแน่ที่จะ
ร่างที่เดินออกมาจากฝูงชนนั้นมีท่าทางคุกคามยิ่งนักลั่วชิงยวนหรี่ตาลงเล็กน้อย นั่นคือสตรีที่นางเห็นในความทรงจำของอวี๋ตันเฟิ่งต่งอวิ๋นซิ่ว!โหยวเซียงดิ้นรนพลางเงยหน้ามองต่งอวิ๋นซิ่วด้วยดวงตาแดงก่ำ “ท่านแม่… เป็นความผิดของลูกเองที่ปล่อยให้พวกมันขึ้นเขามาได้”หากมิใช่เพราะลั่วชิงยวนรู้ทางลับของวัดร้างแห่งนั้น พวกนางคงไม่มีทางขึ้นเขามาได้ง่ายดายถึงเพียงนี้!ต่งอวิ๋นซิ่วมองด้วยความเจ็บปวดแล้วตวาดใส่ลั่วชิงยวน “ปล่อยลูกสาวข้าเดี๋ยวนี้! มิเช่นนั้นข้าจะทำให้พวกเจ้าตายเยี่ยงไร้ที่ฝัง!”ลั่วชิงยวนหัวเราะเบา ๆ แล้วพูดด้วยน้ำเสียงดูถูกเหยียดหยาม “เมื่อคืนยังพยายามทำลายวิญญาณที่เหลือของอวี๋ตันเฟิ่งอยู่เลย วันนี้เจ้าลืมไปแล้วหรือว่าศัตรูของเจ้าคือใคร?”“ใครกันแน่ที่จะตายแบบไร้ที่ฝัง ยังบอกมิได้หรอก”เมื่อได้ยินดังนั้น ต่งอวิ๋นซิ่วก็สะดุ้งเฮือก สีหน้าเปลี่ยนไปอย่างมากท่าทางของนางดูตึงเครียดขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด แต่ก็ยังพยายามซ่อนไว้ได้ดีนางมองลั่วชิงยวนอย่างใจเย็น แล้วกล่าวว่า “ในเมื่อพวกเจ้ามาถึงเมืองแห่งภูตผี ก็คงต้องการของล้ำค่าของเมืองแห่งภูตผีสินะ”“พวกเจ้าอยากได้อะไร ข้าสามารถให้เจ
นางปฏิเสธอย่างหนักแน่นลั่วชิงยวนกลับยกยิ้มอย่างพึงพอใจแล้วค่อย ๆ ลุกขึ้น “พานางไปด้วย ไปวัดร้าง!”พวกเนางมุ่งหน้าไปทางทิศใต้ โหยวเซียงดิ้นรนตลอดทาง แต่โฉวสือชีและคนใบ้จ้องมองทุกการกระทำของนางอย่างใกล้ชิด มิเปิดโอกาสให้นางหลบหนีไปได้แม้แต่น้อยเมื่อเดินไปได้ไกลมากพอสมควร เสียงไก่ขันยามรุ่งอรุณก็ดังขึ้นแล้วในที่สุดพวกเขาก็มาถึงวัดร้างแห่งนั้นในวัดร้างมีพระพุทธรูปที่เป็นซากปรักหักพังล้มลงบนพื้น ดูเหมือนว่าที่นี่จะไม่มีใครมานานแล้วเมื่อมองหาอย่างละเอียดก็พบรอยเท้าบนพื้นลั่วชิงยวนมั่นใจยิ่งขึ้น นี่คือสถานที่ที่ถูกต้อง!โหยวเซียงจ้องมองทุกการกระทำของลั่วชิงยวนอย่างกระวนกระวาย เกรงว่าลั่วชิงยวนจะพบกลไกเข้าแต่ลั่วชิงยวนกลับสังเกตปฏิกิริยาของโหยวเซียง ค่อย ๆ เดินไปในแต่ละที่โดยอาศัยการสังเกตปฏิกิริยาโหยวเซียงสุดท้ายลั่วชิงยวนจึงเพ่งเล็งไปที่ผนังด้านหนึ่งแล้วเริ่มค้นหากลไกเสียงเปิดกลไกดังแกร๊กดังขึ้นประตูบานหนึ่งบนพื้นพลันเปิดออกหลังจากที่ลั่วชิงยวนเปิดประตูแล้วก็พบว่าด้านล่างยังมีประตูอีกบานหนึ่ง และบนนั้นก็มีกลไกเช่นกันแต่สำหรับลั่วชิงยวนแล้วเรื่องนี้ง่ายมากเมื่อประต
“เจ้ารีบอะไรนักหนา รอมาตั้งนานแล้ว รออีกสักหน่อยจะเป็นกระไร”เมื่อได้ยินดังนั้น อวี๋ตันเฟิ่งก็หยุดมือลั่วชิงยวนเดินเข้าไปคว้าตัวโหยวเซียงไว้ให้โฉวสือชีมัดนางไว้แน่นหนา จากนั้นจึงปลุกโหยวเซียงให้ฟื้นขึ้นมาเมื่อฟื้นคืนสติ โหยวเซียงก็จ้องหน้าลั่วชิงยวนเขม็งอย่างโกรธแค้น “เจ้ากล้าจับข้า เจ้าคอยดูเถอะว่าจะตายอย่างไร!”ลั่วชิงยวนย่อตัวลงนั่งตรงหน้านาง แล้วหัวเราะเบา ๆ “ใช่แล้ว ใครจะกล้าแตะต้องคุณหนูใหญ่เมืองแห่งภูตผีเล่า”“น่าเสียดาย เมืองแห่งภูตผีแห่งนี้ บิดามารดาของเจ้าไปปล้นเขามา มิใช่ของพวกเขามาแต่เดิม ย่อมมิใช่ของเจ้าเช่นกัน”“ถึงเวลาคืนเจ้าของตัวจริงแล้ว”โหยวเซียงจ้องเขม็งนางอย่างโกรธแค้น “เจ้าพูดจาเหลวไหลอะไร! เมืองแห่งภูตผีแห่งนี้เป็นของบิดามารดาข้ามาแต่เดิม!”เมื่อได้ยินดังนั้น ลั่วชิงยวนก็ประหลาดใจ “หรือว่าต่งอวิ๋นซิ่วมิได้บอกความจริงแก่เจ้า”“ก็ถูกแล้ว เรื่องน่าอับอายเช่นนี้ นางจะบอกลูกสาวได้อย่างไร”“เมืองแห่งภูตผีแห่งนี้มิใช่เพียงถูกบิดามารดาเจ้ายึดมาเท่านั้น แต่ยังใช้วิธีการที่น่ารังเกียจในการยึดครองด้วย!”“เดาว่าจนถึงตอนนี้เจ้าก็คงยังมิรู้เลยว่าศัตรูของเจ้าคือผ
โหยวเซียงกัดฟันพูดด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบลั่วชิงยวนมองไปที่อวี๋โหรว หลายวันมานี้อวี๋โหรวผอมซูบไปมาก“เจ้าจับตัวอวี๋โหรวมาเพื่อล่อข้ามาที่นี่รึ?”ลั่วชิงยวนหรี่ตามองโหยวเซียง“แต่เจ้ามิน่าจะมีความสามารถพอที่จะพาอวี๋โหรวออกจากวังหลวงไปได้”“เวินซินถงเป็นคนทำใช่หรือไม่?”“เจ้าทำข้อตกลงอะไรกับนางไว้?”โหยวเซียงหัวเราะเยาะ “อยากรู้รึ?”“คุกเข่าอ้อนวอนข้าสิ”“เจ้าอ้อนวอนข้า ข้าถึงจะบอกเจ้าว่าผู้ใดจับตัวอวี๋โหรวมา และผู้ใดร่วมมือกับข้าวางแผนให้เจ้ามาที่เมืองแห่งภูตผี”ลั่วชิงยวนมองท่าทีหยิ่งยโสของโหยวเซียงแล้วก็อดมิได้ที่จะหัวเราะเบา ๆ นางกวาดสายตามองไปรอบ ๆ แล้วถามว่า “ต่งอวิ๋นซิ่วมิมาด้วยรึ?”“เมื่อครู่นี้คนที่ต่อสู้กับข้าก็คือนางใช่หรือไม่?”เมื่อได้ยินน้ำเสียงเยาะเย้ยของลั่วชิงยวน โหยวเซียงก็โกรธจัด ในใจนางตกใจ ลั่วชิงยวนรู้แล้วหรือว่ามารดาของนางเป็นใคร“สารเลว!”นางบีบคออวี๋โหรวอย่างแรงเพื่อข่มขู่ลั่วชิงยวน “จะคุกเข่าหรือไม่?!”“ลั่วชิงยวน เจ้ามีโอกาสแค่ครั้งเดียว!”“หากเจ้ามิยอมคุกเข่ายอมจำนนแต่โดยดี ข้าจะหักคอนางเดี๋ยวนี้!”กล่าวจบ โหยวเซียงก็ออกแรงบีบบีบจนอวี๋โหรวหาย
ทันทีที่คนใบ้หันมาเห็นจึงรีบเข้ามาย่อตัวลงข้างนางแล้วช่วยประคองนางไว้ลั่วชิงยวนเช็ดเลือดที่มุมปาก ใบหน้าซีดเผือดกว่าเดิม“ข้ามิเป็นอะไร”นางเงยหน้าขึ้นมองอวี๋ตันเฟิ่งที่อยู่กลางอากาศ ในที่สุดจิตวิญญาณของนางก็สมบูรณ์แล้วบนใบหน้าซีดขาวนั้นปรากฏรอยยิ้ม รอยยิ้มนั้นทั้งพึงพอใจและเย่อหยิ่ง“ในที่สุดข้าก็ได้… เป็นอิสระแล้ว! ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า...”อวี๋ตันเฟิ่งหัวเราะลั่น ทำเอาป่าทั้งผืนเกิดพายุโหมกระหน่ำคนใบ้รีบยกมือขึ้นช่วยลั่วชิงยวนปัดป้องฝุ่นและใบไม้ที่ปลิวว่อน......จู่ ๆ ต่งอวิ๋นซิ่วก็กระอักเลือดออกมาเต็มปาก จากนั้นหมดสติล้มลงบนพื้น“ท่านแม่!”โหยวเซียงตกใจ รีบเข้าไปประคองนาง “ท่านแม่! ท่านแม่! ท่านเป็นอะไรไป!”หลังจากตะโกนเรียกอยู่นาน มารดาของนางก็มิฟื้นโหยวเซียงโกรธจนกัดฟันพูด “ลั่วชิงยวน สารเลว!”“เจ้าคอยดูเถอะ!”......ผ่านไปครู่ใหญ่ อวี๋ตันเฟิ่งถึงจะสงบสติอารมณ์ลงได้ลมพายุในป่าก็สงบลงเช่นกันถูหมิงที่อยู่ข้าง ๆ จึงค่อย ๆ ขยับเข้ามาใกล้ฉีเสวี่ยเวยที่ยังคงตกตะลึงมองภาพเหตุการณ์เมื่อครู่ด้วยความมิอยากเชื่อ “เมื่อกี้เกิดอะไรขึ้น?”“ต่อไปพวกเราต้องทำอะไร?”ลั่วชิงยวน