หลังออกจากเรือนทิศใต้มาแล้วลั่วชิงยวนก็ออกปากให้ฟู่อวิ๋นโจวส่งนางเท่านี้ ไม่ต้องถึงขั้นว่าอยู่ในห้องหับด้วยกันตามลำพังหรอก เพียงแค่เดินด้วยกันสองต่อสองยามค่ำคืนเช่นนี้หากว่ามีคนมาเห็นเข้าไม่แคล้วต้องโดนนำไปติฉินนินทาแน่ขณะที่เดินกลับเรือนตามลำพัง นางก็ครุ่นคิดถึงเรื่องนี้ ยิ่งคิดนางก็ยิ่งรู้สึกว่ามีบางอย่างเกี่ยวกับท่านหมอที่ผิดปกติไป ท่านหมอกู้นั้นมีสถานะสูงส่งในตำหนักนี้ นอกจากห้องตำราของฟู่เฉินหวนแล้ว เขาสามารถไปไหนมาไหนได้ทุกที่ การไปที่เรือนของนางก็ไม่มีใครสนใจเช่นกันยิ่งไปกว่านั้นเขานั้นมีทักษะทางการแพทย์สูงส่งซึ่งสามารถปรุงยาที่ทำให้คนคลุ้มคลั่งได้อย่างง่ายดายน่าสงสัยยิ่งนัก!นางไม่รู้ว่าเขามีเจตนาที่จะทดสอบนาง หรือเขาขอให้นางช่วยกำจัดวิญญาณร้ายในร่างเพื่อบรรเทาอาการจริง ๆนางใช้วิธีการวาดอักขระเวทย์ให้เขา ไม่ว่าจุดประสงค์ของท่านหมอคืออะไร ก็ไม่ควรเป็นปัญหาดูเหมือนว่าจากนี้ไปนางจะต้องคอยจับสังเกตท่านหมอกู้ให้มากขึ้นบางทีเขาอาจจะเป็นปราชญ์ฮวงจุ้ยที่เร้นกายอยู่ในตำหนักก็เป็นได้ขณะที่นางกำลังเดินไปตามทางเดิน จู่ ๆ ก็มีเงาร่างสีดำโผล่มาตรงหน้า ใจนางเต้นระรัวและกำหมัด
นางพยายามกลั้นสะอื้นและกล่าวว่า “แล้วอย่างไร? ท่านอ๋องวางแผนจะจัดการกับหม่อมฉันเช่นไร?”ฟู่เฉินหวนสีหน้ามืดครึ้ม “ลั่วชิงยวน อย่ารนหาเรื่อง”“ข้าบอกตอนไหนว่าจะทำข้อตกลงกับเจ้า?”ลั่วชิงยวนสงบจิตใจลง แววตานางกลับเป็นเย็นชา นางมองเขาและถามเรียบ ๆ “ทำไมท่านอ๋องต้องแสร้งทำเป็นโง่ด้วย? ท่านรู้ดีอยู่แล้วมิใช่หรือว่าหม่อมฉันต้องการอะไร?”“นอกจากของของท่านแม่ หม่อมฉันก็ไม่ต้องการอย่างอื่น”ฟู่เฉินหวนนิ่วหน้า เขาเงียบไปชั่วครู่ก่อนที่จะเห็นด้วย “ตกลง”“แต่ข้าเองก็มีเงื่อนไข”ลั่วชิงยวนเลิกคิ้วอย่างเฉยชา ฟู่เฉินหวนพูดเสียงต่ำ ๆ ว่า “ประการแรก กำจัดค่ายกลชุมนุมปีศาจซะ”“สอง ห้ามจ้องเล่นงานเยวี่ยอิงอีก”“ตราบใดที่เจ้าทำตัวดี ข้าก็จะให้ถุงหอมเจ้า”เมื่อได้ยินเช่นนี้ลั่วชิงยวนก็กำมือแน่น นี่มันไม่ต่างกับมาทำร้ายทั้งร่างกายและจิตใจกันโดยที่นางไม่มีโอกาสได้ตอบโต้เลยใช่หรือไม่?“เงื่อนไขนี้ต้องดำเนินไปนานแค่ไหน?” นางถามพร้อมกัดฟันแน่น“ไม่มีเวลาแน่ชัด และข้าก็ไม่แน่ใจว่าจะให้ถุงหอมเจ้าตอนไหน” ขณะที่ฟู่เฉินหวนพูดเช่นนี้ สีหน้าเขาก็จริงจัง“ท่าน!” ลั่วชิงยวนผุดลุกขึ้นทันทีนี่มันจะมากเกิน
ลั่วชิงยวนกำมือแน่นจนเล็บแทบจิกเข้าไปในเนื้อเพราะความขุ่นเคือง“องค์ชายห้ากับหม่อมฉันบริสุทธิ์ใจ! ระหว่างเราไม่เคยทำอะไรเกินเลยที่ไม่เหมาะสม”นางถามเสียงเย็น “ท่านอ๋องสิ พลอดรักกับลั่วเยวี่ยอิงทั้งต่อหน้าและลับหลังผู้คน เหตุใดท่านถึงไม่กลัวว่าจะโดนติฉินนินทาเรื่องนั้นบ้าง?”เส้นเลือดบนหน้าผากของฟู่เฉินหวนยิ่งเต้นกระตุกแรงขึ้น ดวงตาเขาเต็มไปด้วยโทสะและมือที่วางบนโต๊ะก็กำเป็นหมัดแน่น เขาเงยหน้าขึ้นมองด้วยแววตาเปี่ยมโทสะ “ตอนนี้เจ้ากล้ามาวิจารณ์ความสัมพันธ์ระหว่างข้ากับเยวี่ยอิงเช่นนั้นรึ? หากว่าไม่มีเจ้าตอนนี้เราก็ต้องได้ครองคู่กันแล้ว”“ลั่วชิงยวน ข้าหวังว่าเจ้าจะเจียมตัวกว่านี้นะ”ทันใดนั้นใจของนางก็บีบรัดจนแทบหายใจไม่ออก นางกำมือแน่นพยายามเก็บกลั้นความรู้สึกในใจใช่แล้ว การสวมรอยแต่งงานของนางนี้ทำลายการแต่งงานดี ๆ ของพวกเขาไปแต่นางไม่ควรต้องโดนกล่าวหาเช่นนี้หลังจากที่กล้ำกลืนความขมฝาดในใจลงไป นางก็มองเขานิ่ง ๆ ด้วยสายตาเย็นชาและเอ่ยว่า “หากเช่นนั้นได้โปรดคืนถุงหอมหม่อมฉันมาโดยเร็ว เพื่อที่หม่อมฉันจะได้มอบการแต่งงานที่ดีนี้คืนให้แก่พวกท่าน”หลังจากพูดจบนางก็หันหลังเดินออกไ
ลั่วเยวี่ยอิงยกมือขึ้นแตะปากที่ยังคงบวมอยู่แม้ว่าจะทายาไปแล้ว นางเจ็บแค้นจนดวงตาวาวโรจน์ไปด้วยโทสะ ลั่วเยวี่ยอิงกัดฟันกรอดด้วยความเดียดฉันท์ “แล้วท่านอ๋องมิได้ลงโทษนางรึ?”เฉียงเวยพยักหน้า “นางได้ขับไล่ปีศาจ ดังนั้นแทนที่จะลงโทษนาง ดูเหมือนท่านอ๋องจะให้รางวัลนาง ทรงเรียกให้นางเข้าไปพบที่ห้องตำราแล้วอยู่ในนั้นกันนานเลยเจ้าค่ะ”ดวงตาของลั่วเยวี่ยอิงแดงฉาน เล็บมือจิกแน่นเข้าไปในเนื้อจนเลือดออกเพราะทั้งโทสะและความเกลียดชังเป็นแบบนี้ไปได้อย่างไรกันท่านอ๋องปล่อยนางสารเลวลั่วชิงยวนไป ทั้ง ๆ ที่นางต้องเจ็บตัวขนาดนี้! ท่านอ๋องไม่เจ็บแค้นเอาคืนแทนนางเลยเหรอ?เฉียงเวยเห็นว่าสีหน้าของลั่วเยวี่ยอิงไม่ดี จึงรีบเอ่ยปลอบ “คุณหนูรองไม่ต้องเป็นกังวลหรอกเจ้าค่ะ ในใจท่านอ๋องมีแค่คุณหนูเท่านั้น แต่ตอนนี้นางฉกฉวยโอกาสสร้างความดีความชอบท่านอ๋องก็เลยลงโทษนางมิได้ ตอนนี้เราเองก็คงทำอะไรมิได้เจ้าค่ะ”“แต่ถึงอย่างไรท่านอ๋องก็ต้องยังคงจดจำถึงความลำบากที่คุณหนูรองต้องเผชิญได้ เรามาหาทางทำให้ท่านอ๋องรับรู้ดีกว่า บ่าวว่าท่านอ๋องต้องทำโทษนางแน่เจ้าค่ะ” ดวงตาเฉียงเวยฉายแววชั่วร้ายเมื่อได้ยินเช่นนี้ ลั่วเยวี่
ลั่วชิงยวนนอนหลับไปจนถึงบ่าย ตะวันโด่งฟ้าส่องแสงเจิดจ้า นางฝืนร่างกายที่เหนื่อยล้าให้ลุกขึ้นและตั้งใจจะออกไปนั่งอาบแดดแม่นมเติ้งนำอาหารและยาเข้ามาให้ “พระชายาเจ้าคะ ตื่นได้แล้ว กินอะไรสักหน่อยแล้วกินยา ยานี้เป็นโอสถบำรุงโลหิตที่ทางเรือนโอสถจ่ายมาให้เจ้าค่ะ”“โอสถบำรุงโลหิตงั้นรึ?” คนอย่างเขาก็มีจิตสำนึกเหมือนกันนะลั่วชิงยวนลุกนั่งและหยิบชามยาขึ้นมาดื่ม แต่หลังจากจิบไปอึกใหญ่ก็รู้สึกได้ว่า ยานั้นมีบางอย่างผิดปกติและรีบพ่นออกมานางนิ่วหน้าและวางชามยาลง อาการบวมและความเจ็บปวดของแผลบนแขนนางเกิดขึ้นมาทันที และเลือดก็ดูเหมือนจะเดือดพล่านซึมออกมาจากแผล“พระชายา เกิดอะไรขึ้นเจ้าคะ?” แม่นมเติ้งตกใจดวงตาลั่วชิงยวนเย็นเยียบ นางปรายตามองไปที่ยาในชาม นี่ไม่ใช่ยาบำรุงเลยแม้แต่น้อย ตัวยาที่อยู่ในนี้มีแต่จะทำให้บาดแผลอาการเลวร้ายลงและเลือดไหลออกมาได้อีกโดยเฉพาะเมื่อมีการเพิ่มแมลงเก้ากลิ่นซึ่งถือว่ารุนแรงมากเข้าไปด้วยหากว่านางกินน้ำแกงยาชามนี้เข้าไป ไม่เพียงแต่พลังชี่และเลือดของนางจะปั่นป่วน แต่บาดแผลของนางก็จะเปิดออกและเลือดจะไหลทะลักไม่หยุด ด้วยสภาพของร่างกายนางในตอนนี้หากไม่ตายก็คงจวนเจ
เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายนั้นจ้องเล่นงานนาง ไม่ว่าสุดท้ายจือเฉาจะเป็นหรือตาย ตราบใดที่นางแตะต้องร่างกายของจือเฉาก็ต้องโดนพิษไปด้วยระหว่างทางไปเรือนโอสถโดยมือจือเฉาอยู่ในอ้อมแขน เลือดที่ร้อนลวกก็หลั่งออกมาจากรอยแผลปริแตกบนแขนของนาง เลือดทะลักออกมาทันใดจนอาบย้อมให้อาภรณ์เป็นสีแดงฉานนางไม่สนใจความเจ็บปวดที่แขน หัวใจของนางร้อนรนเพียงต้องการจะช่วยชีวิตจือเฉาเท่านั้น“พระชายา… บ่าวมีพิษ ปล่อยบ่าวไปเจ้าค่ะ…” จือเฉาอดกลั้นความเจ็บปวดเอ่ยออกมา พร้อมหลั่งน้ำตาอย่างเจ็บปวด“เด็กโง่ หากปล่อยเจ้าไปแล้วเจ้าจะเป็นเยี่ยงไร? ทั้งร่างเจ้าเต็มไปด้วยพิษหากปล่อยไว้ก็เป็นอันตราย แน่นอนว่าเจ้าต้องแก้แค้น” แววตาลั่วชิงยวนคมกริบพร้อมเร่งฝีเท้าเร็วขึ้นจือเฉายิ่งร่ำไห้หนัก นางไม่คิดว่าเรื่องจะกลับเป็นเช่นนี้และถึงกับลากพระชายาเข้ามาเกี่ยวด้วย……ภายในเรือนโอสถคนรับใช้หลายคนกำลังแทะเมล็ดแตงและพูดคุยกันอยู่ “พี่ซู แผนของเจ้านี่เฉลียวฉลาดเสียจริง โอสถนั่นเป็นพิษทั้งนั้นแล้วก็ไม่มีใครกล้าจะทดสอบ คราวแรกเราต้องเสียหลายร้อยตำลึงเงินเพื่อหากคนเป็นร้อยมาทดลองยา ข้าไม่คิดเลยว่า วันนี้จือเฉาจะมาทดสอบให้ เรื่องนี้
จังหวะที่นางพุ่งเข้ามาก็มีเงาทาบทับมาพอดีลั่วชิงยวนรับรู้ได้ดังนั้นนางจึงผุดลุกขึ้นพร้อมถือชามยาไว้แน่นในมือเพื่อปกป้องยาถอนพิษที่อยู่ในชามนั้นเฉียงเวยพุ่งเข้าหาชามยาแต่นางก็ไม่คาดคิดว่าลั่วชิงยวนจะผลุนผลันลุกขึ้นเช่นนี้ตอนที่ลั่วชิงยวนลุกขึ้นนั้นเอง หัวก็กระแทกเข้ากับคางของเฉียงเวยเต็มรักเมื่อเทียบขนาดร่างกายของลั่วชิงยวนเมื่อชนเข้ากับเฉียงเวยแล้ว แน่นอนว่าคนที่ต้องกระเด็นไปก็คือเฉียงเวยเฉียงเวยล้มลงนั่งจ้ำเบ้ากับพื้น นางยกมือกุมปากไว้พร้อมทั้งมีเลือดหยดลงมาไม่หยุดจนเต็มไปทั้งฝ่ามือ ฟันของนางก็หลุดออกมาถึงสองซี่“ท่าน ท่าน” เฉียงเวยชี้ลั่วชิงยวนอย่างโกรธเคือง นางกัดลิ้นตนเองจนเลือดออก ตอนนี้ก็เจ็บปวดจนไม่สามารถพูดเป็นประโยคได้ลั่วชิงยวนปรายตามองเล็กน้อยก่อนที่จะย่อตัวลงนั่งป้อนยาจือเฉาต่อ นางรู้สึกปวดใจมากเมื่อเห็นจือเฉาร้องไห้อย่างทรมาน“จือเฉาเร็วเข้า เจ้าต้องทนเจ็บปวดแล้วกินโอสถให้หมด”มีอีกเงาหนึ่งทาบทับมา แปลว่ามีอีกผู้หนึ่งเดินเข้ามานางนั้นไม่กลัวที่จะต้องรับมือกับใครหน้าไหนทั้งนั้น แต่นางกลัวเพียงแต่จะทำยาแก้พิษที่ยังกินไม่หมดนี้หกไปเสียก่อนเท่านั้นการช่วยถอน
เป็นเพราะลั่วชิงยวนนั้นขี้ขลาดและไม่มีความมั่นใจในตัวเองทำให้ลั่วเยวี่ยอิงสามารถทำร้ายนางได้ซ้ำแล้วซ้ำเล่ายามนี้ลั่วเยวี่ยอิงมีฟู่เฉินหวนคอยคุ้มครองก็ยิ่งเหิมเกริม หากว่านางไม่ตอบโต้กลับแล้วใครจะมาออกหน้าเรียกร้องความยุติธรรมแทนนางกันเล่า?ลั่วเยวี่ยอิงนั่นมีแต่คนคอยประคบประหงมและโดดเด่นมาตั้งแต่เกิดและไม่เคยต้องหัวเสียขนาดนี้ นางไม่อยากจะเป็นเหมือนลั่วชิงยวนคนก่อนลั่วเยวี่ยอิงจ้องนางอยู่พักหนึ่ง ก่อนที่จะเดินน้ำตาคลอจากไปอย่างโกรธเกรี้ยวคับแค้น……เป็นดังคาดว่าไม่นานนัก ก็มีคนมาเชิญให้นางไปที่เรือนของท่านอ๋องเมื่อนางไปถึงที่ห้องตำรา ลั่วเยวี่ยอิงก็นั่งอยู่บนเก้าอี้ท่าทางโศกเศร้าอย่างมากราวกับบุพการีตายเฉียงเวยนั้นคุกเข่าอยู่ที่พื้นและดูเป็นทุกข์“ลั่วชิงยวน ข้าบอกเจ้าว่าอย่างไร?” ดวงตาฟู่เฉินหวนฉายแววโทสะเขาเตือนนางแล้วว่าไม่ให้รังแกลั่วเยวี่ยอิงอีกลั่วชิงยวนยังคงรู้สึกว่า ตนไม่ได้ทำอะไรผิด นางไม่ได้เป็นฝ่ายไปยั่วยุลั่วเยวี่ยอิงและไม่ได้ไปรังแกนาง แต่ว่าเป็นลั่วเยวี่ยอิงที่มาหาเรื่องนางถึงที่ แล้วเช่นนี้จะตำหนินางได้อย่างไร?แต่นางก็ไม่ได้อธิบายและไม่คิดว่าจะอ้าปากอธิ
ร่างที่ไร้ศีรษะร่างหนึ่งถือกระบี่เดินเข้ามาหาลั่วชิงยวน โซ่เหล็กด้านหลังลากคนสามคนไว้แม้จะออกแรงสุดกำลังแล้วก็ยังฉุดรั้งโหยวจิ้งเฉิงไว้มิได้แต่ร่างของโหยวจิ้งเฉิงในตอนนี้ไม่มีศีรษะแล้ว ยากที่จะควบคุมร่างกายได้ลั่วชิงยวนถือกระบี่เงื้อฟันไปยังร่างของฝูเหมิ่ง เช่นเดียวกับตอนที่โหยวจิ้งเฉิงตัดแขนขาของอวี๋ตันเฟิ่งนางกำลังแก้แค้นและระบายความแค้นอย่างบ้าคลั่งตัดแขนของเขาขาดทีละข้างกระบี่ห้วงสวรรค์ร่วงลงสู่พื้นไปพร้อมกับแขนจากนั้นขาทั้งสองข้างของเขาก็ขาดกระเด็นอวี๋ตันเฟิ่งอาละวาดแก้แค้นอย่างบ้าคลั่งเมื่อมองไปยังซากศพที่กองอยู่บนพื้น ดวงตาของลั่วชิงยวนก็ราวกับถูกย้อมไปด้วยสีแดงฉานใต้หล้าเต็มไปด้วยกลิ่นคาวเลือดทั้งสามที่อยู่มิไกลต่างตกตะลึงมิเคยเห็นฉากที่นองเลือดเช่นนี้มาก่อนแต่ถึงแม้ร่างกายจะแหลกละเอียด โหยวจิ้งเฉิงก็ยังมิตายทันใดนั้นมีร่างหนึ่งพุ่งออกมาจากซากศพ แล้วลอยละลิ่วไปอวี๋ตันเฟิ่งกรีดร้องแหลม “โหยวจิ้งเฉิง เจ้าอย่าหวังว่าจะหนีไปไหนได้อีก! ข้าจะทำให้เจ้ามิได้ผุดได้เกิด!”พลังในร่างของนางพลันเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว เกิดเป็นลมพายุโหมกระหน่ำ ลั่วชิงยวนรู้สึกราว
ใบหน้านั้นบ่งบอกชัดเจนว่าเป็นโหยวจิ้งเฉิง“ต่อไปก็ถึงตาพวกเจ้าแล้ว” เขาเอ่ยด้วยเสียงแหบแห้งเย็นเยือกโฉวสือชีกำกระบี่ในมือแน่น ปกป้องคนใบ้และอวี๋โหรวไว้ส่วนลั่วชิงยวนค่อย ๆ ก้าวเท้าไปข้างหน้าในดวงตาค่อย ๆ ก่อเกิดจิตสังหารนางหลับตาลง แล้วกล่าวว่า “อวี๋ตันเฟิ่ง ไปแก้แค้นของเจ้าเถิด”ลั่วชิงยวนมอบร่างของตนให้อวี๋ตันเฟิ่งโดยสมบูรณ์เมื่อลืมตาขึ้นอีกครั้ง ใบหน้าของนางยังคงเป็นใบหน้าเดิม เพียงแต่แววตานั้นกลับดุดันยิ่งนัก ดวงตาสีแดงก่ำเต็มไปด้วยความแค้นเสียงของอวี๋ตันเฟิ่งดังขึ้น “โหยวจิ้งเฉิง ความแค้นระหว่างข้ากับเจ้า วันนี้ถึงคราวสะสางแล้ว”“สิบกว่าปีที่ผ่านมา ข้าคิดอยู่ตลอดเวลาว่าจะฉีกร่างเจ้าเป็นชิ้น ๆ อย่างไรถึงจะสาสมกับความแค้นในใจข้า”“แต่คาดมิถึงว่าเจ้าจะตายไปแล้ว”“แต่ก็มิเป็นไร วันนี้ข้าจะฉีกร่างเจ้าให้เป็นชิ้น ๆ ให้ได้!”เมื่อกล่าวจบ ลั่วชิงยวนก็กระโจนเข้าไปเสียงอาวุธปะทะกันอย่างรุนแรงดังขึ้นแต่ในเวลานี้เอง โหยวจิ้งเฉิงก็พุ่งไปยังกำแพง คว้ากระบี่ห้วงสวรรค์มาได้ จากนั้นกระโจนออกนอกห้องไปอวี๋ตันเฟิ่งรีบไล่ตามไปสีหน้าคนใบ้เปลี่ยนไป กระบี่ห้วงสวรรค์! หากฝูเหมิ่ง
ต่งอวิ๋นซิ่วตกใจจนหน้าซีดเผือด รีบยกมือขึ้นมาป้องกัน แล้วต่อสู้กับฝูเหมิ่งแต่พลังในตอนนี้ของต่งอวิ๋นซิ่วเทียบกับฝูเหมิ่งแล้วยังอ่อนแอกว่ามากนักสุดท้ายก็ถูกฝูเหมิ่งบีบคอไว้แน่นลั่วชิงยวนเห็นชัดเจนว่าในร่างของฝูเหมิ่งตอนนี้คือโหยวจิ้งเฉิง!เขาเป็นบ้าไปแล้วหรือ? เขาจะฆ่าต่งอวิ๋นซิ่วภรรยาของตนหรือ?เมื่อเห็นดังนั้น โหยวเซียงก็ชักกระบี่พุ่งเข้าไปหมายจะช่วยต่งอวิ๋นซิ่ว แต่ฝูเหมิ่งกลับมิหลบเลยแม้แต่น้อย ปล่อยให้กระบี่ในมือนางแทงทะลุร่างจากนั้นฝูเหมิ่งก็ฟาดมือไปทีหนึ่ง โหยวเซียงจึงกระเด็นปลิวไปโหยวเซียงกระอักเลือดออกมาต่งอวิ๋นซิ่วร้อนใจยิ่งนัก “เซียงเอ๋อร์ มิต้องสนใจแม่ รีบหนีไป!”โหยวเซียงจะทนมองดูมารดาของตนถูกฆ่าได้อย่างไร นางพยายามลุกขึ้นมาสู้ต่อแต่ฝูเหมิ่งกลับมองโหยวเซียงอย่างดุดัน แล้วกล่าวขู่ “คนที่ข้าต้องการฆ่ามีเพียงต่งอวิ๋นซิ่วเท่านั้น เจ้าจงหลีกไป”“มิเช่นนั้นอย่าหาว่าข้ามิเห็นแก่ความเป็นพ่อลูก”เมื่อได้ยินดังนั้น โหยวเซียงก็ตกใจจนยืนอึ้งไปกับที่ แล้วกล่าวเสียงสั่นเครือ “พ่อ… พ่อลูกหรือ?”ตอนนี้เสียงของฝูเหมิ่งก็มิใช่เสียงของฝูเหมิ่งอีกต่อไปแล้วเมื่อต่งอวิ๋นซิ่ว
ขณะนี้เอง โหยวเซียงก็ฉวยโอกาสหลบหนีจากมือของลั่วชิงยวนไปได้ต่งอวิ๋นซิ่วมองพวกเขาอย่างเย็นชา “ในเมื่อมาถึงที่นี่แล้วก็เตรียมตัวตายได้เลย!”ทันใดนั้นบนคานเรือนก็ปรากฏชายชุดดำจำนวนมากพร้อมถือหน้าไม้เล็งมาที่พวกเขาลูกดอกอันคมกริบประกายแสงเย็นลั่วชิงยวนยกยิ้มมุมปาก หัวเราะอย่างเย็นชา “ดูเหมือนว่าเจ้าจะเตรียมการมาอย่างดี ตอนนี้พวกข้าคงหนีออกจากห้องนี้ไปมิได้แล้วใช่หรือไม่?”ลั่วชิงยวนสังเกตประตูห้อง รวมถึงผนังห้องทุกด้าน แล้วพบว่ามีกลไกบนประตูเหนือศีรษะ ต่งอวิ๋นซิ่วหัวเราะเบา ๆ “แน่นอน นี่คือห้องกลไกที่สร้างขึ้นมาเพื่อรับมือพวกเจ้าที่บุกรุกเข้ามาบนเขา”“วันนี้พวกเจ้าอย่าหวังว่าจะได้ออกไปแม้แต่คนเดียว!”ลั่วชิงยวนจับกระบี่ห้วงสวรรค์แน่นแล้วพุ่งไปที่กลไกจุดหนึ่งบนผนังห้อง ฟาดฟันกระบี่ลงไปอย่างแรงต่งอวิ๋นซิ่วรีบดึงโหยวเซียงหลบหลีกไปแต่ใครเล่าจะรู้ว่าลั่วชิงยวนมิได้โจมตีพวกนาง แต่กลับฟันกลไกบนผนังห้องทำให้ประตูห้องลงกลอนอย่างสมบูรณ์เมื่อเห็นเช่นนั้น ต่งอวิ๋นซิ่วก็หัวเราะเยาะ “เจ้าช่างรนหาที่ตายยิ่งนัก”ลั่วชิงยวนยกยิ้มอย่างมีความหมาย “เช่นนั้นรึ? ยังมิรู้เลยว่าใครกันแน่ที่จะ
ร่างที่เดินออกมาจากฝูงชนนั้นมีท่าทางคุกคามยิ่งนักลั่วชิงยวนหรี่ตาลงเล็กน้อย นั่นคือสตรีที่นางเห็นในความทรงจำของอวี๋ตันเฟิ่งต่งอวิ๋นซิ่ว!โหยวเซียงดิ้นรนพลางเงยหน้ามองต่งอวิ๋นซิ่วด้วยดวงตาแดงก่ำ “ท่านแม่… เป็นความผิดของลูกเองที่ปล่อยให้พวกมันขึ้นเขามาได้”หากมิใช่เพราะลั่วชิงยวนรู้ทางลับของวัดร้างแห่งนั้น พวกนางคงไม่มีทางขึ้นเขามาได้ง่ายดายถึงเพียงนี้!ต่งอวิ๋นซิ่วมองด้วยความเจ็บปวดแล้วตวาดใส่ลั่วชิงยวน “ปล่อยลูกสาวข้าเดี๋ยวนี้! มิเช่นนั้นข้าจะทำให้พวกเจ้าตายเยี่ยงไร้ที่ฝัง!”ลั่วชิงยวนหัวเราะเบา ๆ แล้วพูดด้วยน้ำเสียงดูถูกเหยียดหยาม “เมื่อคืนยังพยายามทำลายวิญญาณที่เหลือของอวี๋ตันเฟิ่งอยู่เลย วันนี้เจ้าลืมไปแล้วหรือว่าศัตรูของเจ้าคือใคร?”“ใครกันแน่ที่จะตายแบบไร้ที่ฝัง ยังบอกมิได้หรอก”เมื่อได้ยินดังนั้น ต่งอวิ๋นซิ่วก็สะดุ้งเฮือก สีหน้าเปลี่ยนไปอย่างมากท่าทางของนางดูตึงเครียดขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด แต่ก็ยังพยายามซ่อนไว้ได้ดีนางมองลั่วชิงยวนอย่างใจเย็น แล้วกล่าวว่า “ในเมื่อพวกเจ้ามาถึงเมืองแห่งภูตผี ก็คงต้องการของล้ำค่าของเมืองแห่งภูตผีสินะ”“พวกเจ้าอยากได้อะไร ข้าสามารถให้เจ
นางปฏิเสธอย่างหนักแน่นลั่วชิงยวนกลับยกยิ้มอย่างพึงพอใจแล้วค่อย ๆ ลุกขึ้น “พานางไปด้วย ไปวัดร้าง!”พวกเนางมุ่งหน้าไปทางทิศใต้ โหยวเซียงดิ้นรนตลอดทาง แต่โฉวสือชีและคนใบ้จ้องมองทุกการกระทำของนางอย่างใกล้ชิด มิเปิดโอกาสให้นางหลบหนีไปได้แม้แต่น้อยเมื่อเดินไปได้ไกลมากพอสมควร เสียงไก่ขันยามรุ่งอรุณก็ดังขึ้นแล้วในที่สุดพวกเขาก็มาถึงวัดร้างแห่งนั้นในวัดร้างมีพระพุทธรูปที่เป็นซากปรักหักพังล้มลงบนพื้น ดูเหมือนว่าที่นี่จะไม่มีใครมานานแล้วเมื่อมองหาอย่างละเอียดก็พบรอยเท้าบนพื้นลั่วชิงยวนมั่นใจยิ่งขึ้น นี่คือสถานที่ที่ถูกต้อง!โหยวเซียงจ้องมองทุกการกระทำของลั่วชิงยวนอย่างกระวนกระวาย เกรงว่าลั่วชิงยวนจะพบกลไกเข้าแต่ลั่วชิงยวนกลับสังเกตปฏิกิริยาของโหยวเซียง ค่อย ๆ เดินไปในแต่ละที่โดยอาศัยการสังเกตปฏิกิริยาโหยวเซียงสุดท้ายลั่วชิงยวนจึงเพ่งเล็งไปที่ผนังด้านหนึ่งแล้วเริ่มค้นหากลไกเสียงเปิดกลไกดังแกร๊กดังขึ้นประตูบานหนึ่งบนพื้นพลันเปิดออกหลังจากที่ลั่วชิงยวนเปิดประตูแล้วก็พบว่าด้านล่างยังมีประตูอีกบานหนึ่ง และบนนั้นก็มีกลไกเช่นกันแต่สำหรับลั่วชิงยวนแล้วเรื่องนี้ง่ายมากเมื่อประต
“เจ้ารีบอะไรนักหนา รอมาตั้งนานแล้ว รออีกสักหน่อยจะเป็นกระไร”เมื่อได้ยินดังนั้น อวี๋ตันเฟิ่งก็หยุดมือลั่วชิงยวนเดินเข้าไปคว้าตัวโหยวเซียงไว้ให้โฉวสือชีมัดนางไว้แน่นหนา จากนั้นจึงปลุกโหยวเซียงให้ฟื้นขึ้นมาเมื่อฟื้นคืนสติ โหยวเซียงก็จ้องหน้าลั่วชิงยวนเขม็งอย่างโกรธแค้น “เจ้ากล้าจับข้า เจ้าคอยดูเถอะว่าจะตายอย่างไร!”ลั่วชิงยวนย่อตัวลงนั่งตรงหน้านาง แล้วหัวเราะเบา ๆ “ใช่แล้ว ใครจะกล้าแตะต้องคุณหนูใหญ่เมืองแห่งภูตผีเล่า”“น่าเสียดาย เมืองแห่งภูตผีแห่งนี้ บิดามารดาของเจ้าไปปล้นเขามา มิใช่ของพวกเขามาแต่เดิม ย่อมมิใช่ของเจ้าเช่นกัน”“ถึงเวลาคืนเจ้าของตัวจริงแล้ว”โหยวเซียงจ้องเขม็งนางอย่างโกรธแค้น “เจ้าพูดจาเหลวไหลอะไร! เมืองแห่งภูตผีแห่งนี้เป็นของบิดามารดาข้ามาแต่เดิม!”เมื่อได้ยินดังนั้น ลั่วชิงยวนก็ประหลาดใจ “หรือว่าต่งอวิ๋นซิ่วมิได้บอกความจริงแก่เจ้า”“ก็ถูกแล้ว เรื่องน่าอับอายเช่นนี้ นางจะบอกลูกสาวได้อย่างไร”“เมืองแห่งภูตผีแห่งนี้มิใช่เพียงถูกบิดามารดาเจ้ายึดมาเท่านั้น แต่ยังใช้วิธีการที่น่ารังเกียจในการยึดครองด้วย!”“เดาว่าจนถึงตอนนี้เจ้าก็คงยังมิรู้เลยว่าศัตรูของเจ้าคือผ
โหยวเซียงกัดฟันพูดด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบลั่วชิงยวนมองไปที่อวี๋โหรว หลายวันมานี้อวี๋โหรวผอมซูบไปมาก“เจ้าจับตัวอวี๋โหรวมาเพื่อล่อข้ามาที่นี่รึ?”ลั่วชิงยวนหรี่ตามองโหยวเซียง“แต่เจ้ามิน่าจะมีความสามารถพอที่จะพาอวี๋โหรวออกจากวังหลวงไปได้”“เวินซินถงเป็นคนทำใช่หรือไม่?”“เจ้าทำข้อตกลงอะไรกับนางไว้?”โหยวเซียงหัวเราะเยาะ “อยากรู้รึ?”“คุกเข่าอ้อนวอนข้าสิ”“เจ้าอ้อนวอนข้า ข้าถึงจะบอกเจ้าว่าผู้ใดจับตัวอวี๋โหรวมา และผู้ใดร่วมมือกับข้าวางแผนให้เจ้ามาที่เมืองแห่งภูตผี”ลั่วชิงยวนมองท่าทีหยิ่งยโสของโหยวเซียงแล้วก็อดมิได้ที่จะหัวเราะเบา ๆ นางกวาดสายตามองไปรอบ ๆ แล้วถามว่า “ต่งอวิ๋นซิ่วมิมาด้วยรึ?”“เมื่อครู่นี้คนที่ต่อสู้กับข้าก็คือนางใช่หรือไม่?”เมื่อได้ยินน้ำเสียงเยาะเย้ยของลั่วชิงยวน โหยวเซียงก็โกรธจัด ในใจนางตกใจ ลั่วชิงยวนรู้แล้วหรือว่ามารดาของนางเป็นใคร“สารเลว!”นางบีบคออวี๋โหรวอย่างแรงเพื่อข่มขู่ลั่วชิงยวน “จะคุกเข่าหรือไม่?!”“ลั่วชิงยวน เจ้ามีโอกาสแค่ครั้งเดียว!”“หากเจ้ามิยอมคุกเข่ายอมจำนนแต่โดยดี ข้าจะหักคอนางเดี๋ยวนี้!”กล่าวจบ โหยวเซียงก็ออกแรงบีบบีบจนอวี๋โหรวหาย
ทันทีที่คนใบ้หันมาเห็นจึงรีบเข้ามาย่อตัวลงข้างนางแล้วช่วยประคองนางไว้ลั่วชิงยวนเช็ดเลือดที่มุมปาก ใบหน้าซีดเผือดกว่าเดิม“ข้ามิเป็นอะไร”นางเงยหน้าขึ้นมองอวี๋ตันเฟิ่งที่อยู่กลางอากาศ ในที่สุดจิตวิญญาณของนางก็สมบูรณ์แล้วบนใบหน้าซีดขาวนั้นปรากฏรอยยิ้ม รอยยิ้มนั้นทั้งพึงพอใจและเย่อหยิ่ง“ในที่สุดข้าก็ได้… เป็นอิสระแล้ว! ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า...”อวี๋ตันเฟิ่งหัวเราะลั่น ทำเอาป่าทั้งผืนเกิดพายุโหมกระหน่ำคนใบ้รีบยกมือขึ้นช่วยลั่วชิงยวนปัดป้องฝุ่นและใบไม้ที่ปลิวว่อน......จู่ ๆ ต่งอวิ๋นซิ่วก็กระอักเลือดออกมาเต็มปาก จากนั้นหมดสติล้มลงบนพื้น“ท่านแม่!”โหยวเซียงตกใจ รีบเข้าไปประคองนาง “ท่านแม่! ท่านแม่! ท่านเป็นอะไรไป!”หลังจากตะโกนเรียกอยู่นาน มารดาของนางก็มิฟื้นโหยวเซียงโกรธจนกัดฟันพูด “ลั่วชิงยวน สารเลว!”“เจ้าคอยดูเถอะ!”......ผ่านไปครู่ใหญ่ อวี๋ตันเฟิ่งถึงจะสงบสติอารมณ์ลงได้ลมพายุในป่าก็สงบลงเช่นกันถูหมิงที่อยู่ข้าง ๆ จึงค่อย ๆ ขยับเข้ามาใกล้ฉีเสวี่ยเวยที่ยังคงตกตะลึงมองภาพเหตุการณ์เมื่อครู่ด้วยความมิอยากเชื่อ “เมื่อกี้เกิดอะไรขึ้น?”“ต่อไปพวกเราต้องทำอะไร?”ลั่วชิงยวน