“หากมิใช่เพราะข้า นางคงไม่ตาย”“นางคงจะโทษข้าและไม่ยอมอโหสิกรรมให้”เมื่อได้ยินคำพูดนี้ ลั่วชิงยวนก็ตระหนักได้ทันที แต่นางกลับขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “หากเป็นเพียงเรื่องนี้เพียงเรื่องเดียว เป็นไปมิได้ที่เสียนเฟยจะเกลียดท่านถึงเพียงนี้เพคะ”“ผู้อื่นที่มีความแค้นต่อท่านไม่มีอีกแล้วงั้นหรือเพคะ?”หลิวไท่เฟยส่ายหน้า “นอกจากนางแล้วข้าก็นึกมิออก”“บางทีนางอาจจะยังโทษข้าอยู่” หลิวไท่เฟยพูดทั้งน้ำตา ลั่วชิงยวนรับรู้ได้ถึงความรู้สึกผิดและการตำหนิตนเองในใจของหลิวไท่เฟย บางทีอาจเป็นเพราะเหตุนี้ นางจึงดูแลองค์ชายเจ็ดเป็นอย่างดี ทว่า นี่เป็นมุมมองความรู้สึกผิดเพียงฝ่ายเดียวของหลิวไท่เฟยเท่านั้น ท้ายที่สุดแล้ว สิ่งนี้ก็เป็นความผิดพลาดโดยมิได้ตั้งใจของนาง เช่นนั้นแล้วจึงมิอาจทำให้เสียนเฟยเกลียดนางถึงเพียงนี้ เมื่อเห็นว่าลั่วชิงยวนมิได้พูดสิ่งใด หลิวไท่เฟยก็เช็ดน้ำตาอีกครั้งก่อนจะมองอีกฝ่ายด้วยแววตาจริงจัง “เจ้ามิเชื่อข้าหรือ?”ลั่วชิงยวนตกตะลึงเล็กน้อยขณะที่กำลังจะพูด หลิวไท่เฟยกล่าวอย่างรวดเร็ว “ข้าขอสาบานต่อสวรรค์ว่า มีเพียงเสียนเฟยผู้เดียวเท่านั้นที่ข้าต้องขอโทษ”“ต้องเป็นนาง! ต้องเป็นนา
พระตำหนักที่นี่ถูกไฟไหม้ครั้งใหญ่ มีรอยไหม้อยู่ทุกที่ อีกทั้งพระตำหนักก็พังทลายลงหลายแห่ง กลายเป็นซากปรักหักพังทั้งสองเดินเข้าไปข้างในอย่างช้า ๆ เมื่อก้าวเท้าเหยียบเศษซากเหล่านั้นก็เกิดเสียงดังขึ้นทันทีเข็มทิศในอ้อมแขนของลั่วชิงยวนมีปฏิกิริยาอย่างชัดเจน นางยังคงเดินหน้าเข้าไปต่อ เมื่อเข้าไปในห้องโถงด้านใน ม่านที่ถูกไฟไหม้ก็พลิ้วไหวราวกับผ้าขี้ริ้ว ทันทีที่ลมกระโชกแรงพัดเข้ามาหานาง ร่างสีดำก็พุ่งออกมาข้างหน้าพร้อมกับเสียงกรีดร้องอันโศกเศร้าที่ดังก้องอยู่ในหูของลั่วชิงยวน ลั่วชิงยวนหลบไปด้านข้าง นางรีบดึงฟู่เฉินหวนออกไปอย่างรวดเร็ว “ระวัง!”ฟู่เฉินหวนเฝ้าดูรอบ ๆ อย่างระมัดระวัง เขามิอาจสัมผัสได้ถึงสิ่งใดเลยนอกจากสายลม ขณะที่ลั่วชิงยวนกำลังเฝ้าดูสิ่งที่กำลังหลบหนี นางจึงหยิบเข็มทิศของนางออกมาทันที วงเวทย์สีทองก็ปรากฏขึ้นมาปิดกั้นเส้นทางของสิ่งนั้นทันที ร่างของสตรีที่ลอยอยู่ในอากาศค่อย ๆ ปรากฏขึ้นในสายตาของลั่วชิงยวนผมสีดำซึ่งยาวมาก ปลายผมไม่สม่ำเสมอ มีร่องรอยจากการถูกไฟเผา และแม้แต่ประกายไฟติดอยู่บางส่วนใบหน้าของสตรีผู้นั้นเต็มไปด้วยรอยแผลที่ถูกไฟเผา ดวงตาของนางก็เต็มไปด้
“หม่อมฉันนำสิ่งนี้มาจากหลิวไท่เฟย ผ้าเช็ดหน้าผืนนี้เป็นของที่ระลึกเพียงสิ่งเดียวจากพระมารดาของท่าน”ฟู่จิ่งหลีถือผ้าเช็ดหน้าผืนนั้นไว้ในมือ สีหน้าของเขาก็ดูหนักอึ้งอยู่พักนึง จากนั้นเขาก็เก็บผ้าเช็ดหน้าออกแล้วยิ้มอีกครั้ง “ขอบคุณเจ้ามาก”ฟู่จิ่งหลีและฟู่เฉินหวนเริ่มพูดคุยกัน ลั่วชิงยวนจึงลุกขึ้นกลับไปยังห้องของนางก่อนนางกำชับแม่นมเติ้งและจือเฉาให้เฝ้าอยู่นอกประตูอย่าให้ใครเข้ามาได้ นางเปิดดวงแก้วออก ร่างของสตรีผู้นั้นก็ปรากฏขึ้นอย่างช้า ๆ แต่ลั่วชิงยวนกลับไม่ได้ปล่อยนางออกมาอย่างสมบูรณ์ “เจ้าเป็นใคร หลิวไท่เฟยทำสิ่งใดให้เจ้าจงเกลียดจงชังถึงเช่นนี้?”สตรีผู้นั้นพูดอย่างดุร้ายว่า “นางเป็นฆาตกร! ฆาตกร!”“นางฆ่าใคร?”“เสียนเฟย!”เมื่อได้ยินคำตอบนี้ ลั่วชิงยวนก็ผงะ นางขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “นั่นเป็นเพียงความผิดพลาดอย่างมิได้ตั้งใจของพระนาง”เมื่อได้ยินคำพูดนั้น นางก็เริ่มมีอารมณ์และใบหน้าของนางก็ดุร้ายอีกครั้ง “ไร้สาระ! ผิดพลาดโดยมิได้ตั้งใจรึ?! เป็นนางที่ตั้งใจทำ! นางเป็นคนที่ทำร้ายเสียนเฟย!”“ในคืนที่เกิดเหตุการณ์นั้น นางได้นัดหมายกับเสียนเฟยเพื่อไปงานเลี้ยง แต่นางกลับมิปรากฏ
ทันทีที่เขาเห็นภาพนั้น สีหน้าของฟู่จิ่งหลีเปลี่ยนไปอย่างมากเขามองดูนางด้วยความตกใจ “เหตุใดท่านจึงมีภาพเหมือนของนาง?”“ท่านได้ภาพนี้มาได้อย่างไร?”ลั่วชิงยวนรีบถามว่า “เช่นนั้นท่านรู้จักนางหรือไม่?”ฟู่จิ่งหลีขมวดคิ้ว ความคิดของเขาย้อนกลับไปเมื่อนานมาแล้ว จากนั้นเขาจึงพูดขึ้นด้วยเสียงหนักแน่นว่า “เจินหลัน นางเป็นนางรับใช้ข้างกายของท่านแม่ข้า”“ในช่วงที่เกิดกลียุค พระตำหนักของท่านแม่ก็ถูกฟ้าผ่า เป็นนางที่ช่วยข้าไว้จนตัวตาย จากนั้นร่างของนางก็ถูกฝังไปกับทะเลเพลิง”ฟู่จิ่งหลีกล่าวด้วยสีหน้าเจ็บปวดแม้ว่าตอนนั้นเขาจะยังเด็กอยู่ แต่ความทรงจำเหล่านี้ยังคงฝังรากลึกอยู่ในใจของเขาอย่างไม่มีวันเลือนหาย ลั่วชิงยวนตกใจมาก ตัวตนของเจินหลันไม่ใช่เรื่องเท็จ! นางเป็นนางรับใช้ข้างกายมารดาขององค์ชายเจ็ดจริง ๆ เช่นนั้นสิ่งที่นางพูดทั้งหมดก็อาจเป็นความจริง เช่นนั้นหลิวไท่เฟย...“ท่านได้ภาพนี้มาได้เช่นไร นางตายไปหลายปีแล้ว เหตุใดภาพของนางจึงมาอยู่ในมือท่าน?”“ไม่สิ หมึกบนภาพวาดนี้ยังไม่แห้งเลย…”ทันใดนั้น ฟู่จิ่งหลีก็ตระหนักได้ถึงประเด็นสำคัญบางอย่างทันที ลั่วชิงยวนกำลังครุ่นคิดว่าจะอธิบ
“หม่อมฉันรู้สึกว่านางรู้อยู่แล้วว่าหม่อมฉันอยากจะถามอะไร”“หม่อมฉันต้องเข้าไปในพระตำหนักอีกครั้ง”เมื่อฟู่เฉินหวนได้ยินคำพูดนี้ เขาก็ขมวดคิ้ว “เจ้าจะเข้าไปในพระตำหนักคนเดียวรึ? ไม่ได้เด็ดขาด!”เขาปฏิเสธทันทีโดยไม่ต้องคิด สำหรับลั่วชิงยวนแล้ววังหลวงเป็นดั่งทะเลดาบและเปลวเพลิง เขาไม่มีทางที่จะปล่อยให้นางเข้าไปในวังเพียงลำพังแน่ลั่วชิงยวนขมวดคิ้ว “แต่หากท่านอ๋องไปกับหม่อมฉัน หลิวไท่เฟยจะไม่ยอมปริปาก!”ฟู่เฉินหวนพูดอย่างเย็นชาว่า “นั่นก็เป็นไปไม่ได้เช่นกัน เจ้าจะเข้าไปในวังหลวงโดยลำพังมิได้”ลั่วชิงยวนกำลังจะเอ่ยปากพูดฟู่เฉินหวนมองนางอย่างจริงจังแล้วพูดว่า “หากสิ่งที่เจินหลันพูดเป็นความจริง เช่นนั้นเจ้าก็ได้ล่วงรู้ความลับของหลิวไท่เฟยแล้ว พระนางจะยังคงปฏิบัติต่อเจ้าเสมือนแขกผู้มีเกียรติอีกหรือไร?”“วันพรุ่ง ข้าจะเข้าวังไปเข้าเฝ้าองค์จักรพรรดิ ส่วนเจ้าก็ไปหาหลิวไท่เฟยเถอะ”เขาและคนของเขาทั้งหมดอยู่ในวังแล้ว หากมีอะไรเกิดขึ้น เขาก็จะสามารถไปถึงที่นั่นได้รวดเร็วลั่วชิงยวนพยักหน้า “เพคะ”คงจะดีหากทั้งนางและเขาพูดคุยกันได้เช่นนี้ต่อไป แน่นอนว่านางก็หวงแหนชีวิตของนางเช่นกัน และจะเป
ลั่วชิงยวนสะดุ้งเล็กน้อย เมื่อนางหันกลับมาก็พบว่าเป็นหลิวไท่เฟยที่กำลังยิ้มอยู่ลั่วชิงยวนพยักหน้าเล็กน้อยหลิวไท่เฟยชวนนางไปที่พระตำหนัก “เข้าไปคุยกันข้างในเถอะ”ลั่วชิงยวนมองไปที่สวนหลังพระตำหนักอันเงียบสงบ นางลังเลอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นจึงพยักหน้า “เพคะ”ขณะที่นางเดินเข้าไปในพระตำหนัก กลิ่นเลือดก็ยิ่งรุนแรงขึ้นมีรอยเลือดฝังรากลึกอยู่บนพื้นซึ่งเดิมเป็นกองซากปลาที่ถูกผ่าครั้งที่แล้ว ไม่รู้ว่าเป็นเพราะตอนนั้นทำความสะอาดเลือดไม่ทั่วถึงหรือไม่ ในขณะที่เดินผ่านไปนางก็ยังคงได้กลิ่นคาวเลือด นางให้ความสนใจกับท่าทางของหลิวไท่เฟยเป็นพิเศษ แต่กลับไม่มีความผิดปกติใด ๆ ขณะที่นางเดินผ่าน นางไม่รู้ว่าถานสี่อธิบายให้อีกฝ่ายฟังเรื่องที่ปลาเหล่านั้นหายไปแล้วเช่นไรเมื่อเข้ามาในห้อง ความมืดทำให้ลั่วชิงยวนรู้สึกอึดอัดเล็กน้อย เมื่อมองไปรอบ ๆ นางก็พบว่าหน้าต่างทุกบานถูกปิดไว้ทั้งหมด “หลิวไท่เฟยเพคะ เหตุใดจึงต้องปิดหน้าต่าง?” ลั่วชิงยวนถามด้วยความสับสนหลิวไท่เฟยยิ้มและพูดว่า “บอกตามตรง ห้องนี้เป็นห้องที่ข้าขังตัวเองไว้ยามที่ข้าเสียสติ”ขณะที่หลิวไท่เฟยพูด นางก็ดึงกล่องออกมาจากใต้เตียงซึ่งม
ปฏิกิริยาของหลิวไท่เฟยทำให้ลั่วชิงยวนรู้สึกแปลกใจ สิ่งที่นางพูดหมายถึงอะไร?คิดว่าด้วยคำพูดเหล่านั้นแล้ว นางจะหันไปช่วยหลิวไท่เฟยจัดการกับฟู่เฉินหวนอย่างนั้นหรือ?“หม่อมฉันเชื่อพระนางเพคะ แต่หม่อมฉันมิอาจตัดสินใจได้ว่าควรช่วยใคร หม่อมฉันเพียงอยากรู้ความจริงเกี่ยวกับกลียุคในวังเท่านั้นเพคะ”หลิวไท่เฟยขมวดคิ้วพร้อมกับท่าทีร้อนรน นางลังเลที่จะพูดอยู่หลายครั้ง แต่ท้ายที่สุด นางก็พึมพำคำพูดอย่างฟังไม่ได้ศัพท์ออกมาเท่านั้นดูจากสภาพจิตใจของนางแล้ว นี่นับว่าไม่ปกติเลยจริง ๆ “หลิวไท่เฟยเพคะ?” นางพยายามตะโกนทันใดนั้นหลิวไท่เฟยก็สะดุ้งและมองดูนางด้วยความตกใจ ดวงตาของนางก็เบิกกว้างด้วยความกลัว“เจ้าโกหกข้า! เจ้าไม่เกี่ยวข้องกับกลียุคในวังสักนิด เหตุใดเจ้าจึงอยากรู้ความจริง? นอกจากช่วยฟู่เฉินหวนรวบรวมข้อมูล เจ้าทำสิ่งอื่นใดอีกรึ?”“เจ้าอยากจะบอกเจ้าเจ็ดว่าข้าเป็นผู้ที่ฆ่าแม่ผู้ให้กำเนิดของเขางั้นรึ? เจ้าอยากจะพรากเขาไปจากข้าใช่หรือไม่?”“อ๋องผู้นี้เลวทรามจริง ๆ!”ขณะที่หลิวไท่เฟยพูด ดวงตาของนางก็แดงต่ำ นางเต็มไปด้วยอารมณ์คลุ้มคลั่งจนน้ำตาไหลอาบหน้า ทว่าสายตานางกลับดูดุร้ายผิดปกติ ไม่เ
ผมของลั่วชิงยวนตั้งตระหง่านขณะที่นางมองไปที่หลิวไท่เฟยด้วยความตกใจ “ท่านเป็นบ้าไปแล้วหรือ?!”“ใช่ ข้าบ้าไปแล้ว” หลิวไท่เฟยหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาเช็ดมีดที่เปื้อนเลือด“พวกนางอยู่กับข้ามาหลายปีแล้ว และเป็นคนที่ข้าไว้วางใจมากที่สุด” นางเอ่ยขึ้นพร้อมรอยยิ้ม“แล้วท่านก็ฆ่าพวกนางเช่นนั้นหรือ?”หลิวไท่เฟยยิ้มอย่างขมขื่นแล้วพูดว่า “แม้พวกนางจะยังไม่ตายในตอนนี้ แต่สุดท้ายอย่างไรเสียพวกนางก็ต้องตายอยู่ดี หากพวกนางรับใช้ข้า ไม่ช้าก็เร็วพวกนางจะต้องตาย แทนที่จะปล่อยให้พวกนางตายด้วยน้ำมือผู้อื่น ไม่สู้ให้ข้าเป็นผู้ลงมือเองจะดีกว่า ถือเสียว่าส่งพวกนางไปพร้อมเจ้าด้วย”ลั่วชิงยวนขมวดคิ้วแน่นหลิวไท่เฟยเดินเข้ามาหานางช้า ๆ พร้อมกับมองนางด้วยสายตาอันเย็นชา ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงขุ่นเคืองว่า “หากมิใช่เพราะเจ้า พวกนางคงมีชีวิตอยู่ต่อไปอีกสองสามปีหรืออาจจะมากกว่าสิบปี”“เกี่ยวอันใดกับหม่อมฉัน?” ลั่วชิงยวนต้องการถามสิ่งที่มีประโยชน์มากที่สุด“เพราะเจ้าทำให้ใครบางคนขุ่นเคือง พวกเขาต้องการฆ่าเจ้า เช่นนั้นพวกเขาจึงนึกถึงมีดเล่มนี้ในมือข้า” หลิวไท่เฟยพูดพร้อมมองมีดในมือของนางแล้วยิ้มเยาะลั่วชิงยวนตกตะลึง