เสียงนั้นดังสนั่นลั่วชิงยวนหันกลับมามองเว่ยอวิ๋นเซี๋ยลั่วชิงยวนหรี่ตาลงเล็กน้อย กัดฟันหนักขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อเห็นท่าทางเหน็บแนมของเว่ยอวิ๋นเซี๋ย“เจ้ามองข้าหาปะไร ข้าพูดอะไรผิดรึ? เจ้าอยู่ในห้องขององค์ชายห้าทั้งคืนจริง ๆ นี่ ไฉนข้าจะพูดเรื่องพฤติกรรมของเจ้ามิได้”เว่ยอวิ๋นเซี๋ยยังจงใจทำเสียงของนางให้ดังขึ้นเพื่อให้ทุกคนรอบข้างได้ยินอีกต่างหากขณะนี้ทุกคนกำลังเตรียมตัวขึ้นรถม้าลงจากภูเขาเพื่อกลับไปยังเมืองหลวง มีคนมารวมตัวกันค่อนข้างน้อยหลังจากได้ยินดังนั้น พวกเขาทั้งหมดก็เริ่มซุบซิบกัน“พระชายาอ๋องค้างคืนในห้องขององค์ชายห้าจริง ๆ หรือ?”“ข้าได้ยินมาก่อนหน้านี้ว่าพวกเขาทั้งสองดูเหมือนจะมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกัน เป็นไปได้ไหมที่พวกเขา...”“ชู่ว!”ในอดีต ในตอนที่ลั่วชิงยวนยังอัปลักษณ์ ไม่มีใครพูดถึงนางมากนัก เพราะอย่างไรเสียลั่วชิงยวนก็น่าเกลียดมาก ผู้ใดจะนึกพิศวาสนาง?แต่ตอนนี้เมื่อทุกคนได้เห็นความงามที่แท้จริงของนางแล้ว ความสงสัยและการคาดเดาอันน่าเกลียดเหล่านี้ก็หลั่งไหลเข้ามาเว่ยอวิ๋นเซี๋ยและลั่วเยวี่ยอิงที่ยกยิ้มอย่างได้ใจอยู่ที่มุมหนึ่ง“เว่ยอวิ๋นเซี๋ย เจ้าทำให้ตระกูล
ชายคนนั้นตบอย่างแรง เขาตบเว่ยอวิ๋นเซี๋ยเพียงไม่กี่ครั้งก็ทำให้นางกระอักเลือด ใบหน้าของนางทั้งแดงและบวมเว่ยอวิ๋นเซี๋ยถูกตบแล้วตบอีก มิอาจแม้แต่จะเอ่ยร้องขอความเมตตาได้ความเงียบก่อตัวขึ้นทั่วบริเวณฉินเชียนหลี่เอ่ยขึ้นอย่างเหมาะเจาะ “ท่านอ๋องทรงห่วงใยผู้เป็นน้อง จึงทุ่มเทพยายามดูแลองค์ชายห้าตลอดทั้งคืน ช่างเป็นสายสัมพันธ์ฉันพี่น้องที่น่าซาบซึ้งยิ่ง!”“องค์ชายห้าได้รับบาดเจ็บสาหัส แต่พระชายาก็ฟื้นฟูร่างกายที่เจ็บสาหัสของเขาให้กลับมามีชีวิตอีกครั้งและช่วยชีวิตองค์ชายห้าไว้ได้ ช่างน่าชื่นชม น่าชื่นชมมากจริง ๆ!”“นี่เป็นสิ่งที่ดีที่ควรค่าแก่การยกย่อง แต่กลับถูกคนใส่ร้ายป้ายสีเช่นนี้ หากคำพูดดังกล่าวถูกแพร่ออกไปจะเป็นการทำลายชื่อเสียงของราชวงศ์ ใครคิดแพร่ข่าวลือ คงมิคิดเสียดายชีวิตแล้ว!”ประโยคสุดท้ายนี้ทำให้ทุกคนที่อยู่ในเหตุการณ์รู้สึกตกตะลึงเล็กน้อยคำพูดของฉินเชียนหลี่ถือได้ว่าเป็นคำเตือนสำหรับทุกคน หากข่าวลือเหล่านี้กล้าแพร่กระจายออกไป จะถูกจัดการอย่างเด็ดขาดทุกคนต่างปิดปากเงียบฟู่จิ่งหลีเอ่ยปากขึ้นทันที “นี่ก็สายแล้ว ออกเดินทางกันเถอะ!”หลังจากกลับสู่ความสงบ คนก็ขนย้ายสิ่ง
เขาไม่ใช่หมอหลวง!เมื่อวานนางเห็นเขาที่ลานตำหนักของเหยียนหน่ายซิน!การแสดงออกของลั่วชิงยวนเปลี่ยนไป นางกระโดดลงจากรถวิ่งไปที่รถม้าข้างหน้า และเข้าไปในรถม้าของฟู่อวิ๋นโจวทันที หมอหลวงปลอมนั่งข้างเขา ในมือถือถาดขนมหวานเอาไว้ ขณะที่ฟู่อวิ๋นโจวก็ถือชามน้ำแกงไว้ในมือและกำลังจะดื่มมันเมื่อเห็นการบุกรุกอย่างกะทันหันของนาง เขาก็ตกใจเล็กน้อย“ท่านเสวยมิได้!” ลั่วชิงยวนยกมือขึ้นทันทีและปัดชามยาในมือของฟู่อวิ๋นโจวใบหน้าของหมอหลวงปลอมที่อยู่ด้านข้างเปลี่ยนไป ประกายเย็นชาแวบขึ้นมาใต้แขนเสื้อของเขา และกริชก็พุ่งเข้าแทงลั่วชิงยวนทันทีลั่วชิงยวนถูกบังคับให้ล่าถอยและกระโดดลงจากรถม้าหมอหลวงปลอมโฉบเข้ามา กริชในมือของเขาคมมากลั่วชิงยวนพาเขาลงไปที่พื้นเพื่อให้อีกฝ่ายอยู่ห่างจากฟู่อวิ๋นโจว หลังจากหลบหนีไปได้สองก้าว นางก็หันกลับมาและเริ่มต่อสู้กับหมอหลวงปลอมทันทีแต่ในขณะนี้ จู่ ๆ ชายอีกคนที่แต่งตัวเป็นขันทีก็บินเข้ามาและลอบโจมตีลั่วชิงยวนที่ด้านหลัง สีหน้าของลั่วชิงยวนเปลี่ยนไป ก่อนจะรีบหลบหนีในขณะนี้ มีร่างหนึ่งบินเข้ามาเตะขันทีที่กำลังย่องเข้ามาด้วยลูกเตะอันทรงพลัง“เจ้าบาดเจ็บหรือไม่?”
ดวงตาของลั่วชิงยวนเย็นชา “นางมิตายหรอก มีดมิได้แทงลึกเสียหน่อย”เมื่อได้ยินสิ่งนี้ฟู่อวิ๋นโจวก็ประหลาดใจ แต่แล้วก็พยักหน้า “ดีแล้ว มิเช่นนั้นเสด็จพี่จะต้องรู้สึกเป็นหนี้บุญคุณกับนางเป็นแน่”“นี่มิใช่ติดเป็นหนี้บุญคุณแล้วหรือ?” ลั่วชิงยวนเหลือบมองรถม้าที่อยู่ข้างหลังหมอหลวงกำลังรักษาผู้ป่วยในรถม้า และฟู่เฉินหวนนั่งอยู่นอกรถม้า โดยให้ความสนใจกับสถานการณ์ภายในอย่างประหม่าลั่วชิงยวนมองออกไปเพียงเล็กน้อย และไม่ได้มองไปอีกเลยรถม้าค่อย ๆ เคลื่อนไปยังเมืองหลวง หลังจากนั้นทุกอย่างก็สงบไปตลอดทางในที่สุดพวกเขาก็ถึงเมืองหลวงโดยสวัสดิภาพเนื่องจากลั่วเยวี่ยอิงได้รับบาดเจ็บ ฟู่เฉินหวนจึงพานางไปที่ตำหนักอ๋อง แทนที่จะส่งนางกลับไปที่จวนอัครเสนาบดีแต่ฟู่เฉินหวนเพิ่งบอกให้ซูโหยวดูแลนางหมอหลวงหลายคนได้รับเชิญให้มาที่นี่และฟู่เฉินหวนก็ไปที่วังหลวงอีกครั้ง อย่างไรก็มีเรื่องที่เกี่ยวข้องกับตระกูลเหยียนที่ต้องรายงาน สิ่งที่พวกเขากังวลมากที่สุดในตอนนี้น่าจะเป็นการตัดสินโทษของเหยียนหน่ายซินแต่ก็ยากที่จะบอกว่านี่จะสร้างปัญหาให้กับตระกูลเหยียนได้หรือไม่ ท้ายที่สุดแล้ว ยังมีไทเฮาอยู่ทั้งคนฟู่อ
ฟู่เฉินหวนมิโกรธ และตอนนี้เขาอดทนกับลั่วชิงยวนได้มากขึ้น“ข้ามิได้ขู่เจ้า ข้าแค่คุยกับเจ้า”“ลั่วเยวี่ยอิงจะอยู่ในตำหนักเราไปสักพักจนกว่าอาการบาดเจ็บของนางจะหาย แล้วข้าจะช่วยฉินเชียนหลี่ให้เอง นี่เป็นเพียงข้อตกลง”ลั่วชิงยวนกำมือแน่น แต่แล้วก็ปล่อยไป“ได้”ฟู่เฉินหวนตัดสินใจปล่อยให้ลั่วเยวี่ยอิงอาศัยอยู่ในตำหนักของเขานางคัดค้านไปก็ไม่มีประโยชน์เนื่องจากเขาเต็มใจที่จะใช้เงื่อนไขนี้เพื่อแลกกับการใช้ชีวิตอย่างสงบสุขของลั่วเยวี่ยอิงในตำหนักอ๋อง นางยอมได้เพื่อแลกกับงบประมาณที่ฉินเชียนหลี่ต้องการ…… สิ่งที่ทำให้ลั่วชิงยวนตกใจคือพวกเขามาถึงพระตำหนักโช่วสี่จริง ๆไทเฮากำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้ มองไปยังลั่วชิงยวนที่กลับมาได้อย่างปลอดภัย“ข้าได้ยินมาว่าครั้งนี้พระชายาก็ได้รับบาดเจ็บเช่นกัน ตัวข้าเตรียมยาสมานแผลมาให้เจ้าเป็นพิเศษ”จากนั้นจินซูก็ยื่นยาสมานแผลให้ลั่วชิงยวนลั่วชิงยวนรับมา “ขอบพระทัยเพคะ ไทเฮา”“วันนี้ข้าเรียกเจ้ามาที่นี่เพราะว่าข้าต้องการชี้แจงอะไรบางอย่าง เชิญนั่งก่อน”เมื่อได้ยินสิ่งนี้ ลั่วชิงยวนและฟู่เฉินหวนก็นั่งลงมีเก้าอี้อยู่สองสามตัวตรงข้าม แต่ไม่มีใครมาหลั
เมื่อได้ยินสิ่งนี้ ลั่วชิงยวนก็ตกตะลึงนางเห็นองครักษ์เดินเข้ามา ก่อนจะดึงดาบออกจากฝักโม่เชียนคุกเข่าลงบนพื้นพร้อมกับน้ำตาที่ไหลอาบหน้า ความกลัวตายทำให้เขาตัวสั่นอย่างควบคุมมิได้อย่างไรก็ตาม ดวงตาของเหยียนหน่ายซินดูดุร้าย นางหยิบดาบออกจากมือขององครักษ์และพูดอย่างหนักแน่น “เขาสมควรตายจริง ๆ หม่อมฉันจะฆ่าเขาด้วยมือของหม่อมฉันเอง!”ทันทีที่นางพูดจบ ดาบยาวก็แทงเข้าที่ร่างของโม่เชียนโดยมิลังเลใจเมื่อนางแทงด้วยดาบหนหนึ่ง ก็เกิดกลัวว่าเขาจะมิตาย ดังนั้นนางจึงแทงด้วยแรงที่มากขึ้น เจาะเข้าไปในร่างของโม่เชียนปากของโม่เชียนมีเลือดออกอย่างหนัก เขามองไปยังสตรีที่หมายแทงเขาจนตายด้วยความตกใจ สตรีที่เขารักมากที่สุด สตรีที่เขาเต็มใจจะตายเพื่อนาง ในขณะนี้ ไม่มีความลังเล ไม่มีความเจ็บปวด และมีเพียงความโหดร้ายในสายตาที่เย็นชาของนางเท่านั้นเมื่อเห็นการกระทำที่เด็ดขาดของเหยียนหน่ายซิน ไทเฮาก็ตกใจเช่นกัน แต่แล้วนางก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก“ลากศพเขาออกไป” ไทเฮาสั่งอย่างเย็นชาศพถูกลากออกไป เหยียนหน่ายซินไม่แม้แต่จะมอง นางโยนดาบเปื้อนเลือดในมือทิ้ง สีหน้ามิเปลี่ยนไปแม้แต่น้อยลั่วชิงยวนหรี่ตาลงเ
ลั่วชิงยวนสะดุ้งและเงยหน้าขึ้นเพื่อพบกับดวงตาที่ประหลาดใจและตกตะลึงของฟู่เฉินหวน"เจ้า..."ลั่วชิงยวนมองเขาอย่างเย็นชา หันหลังกลับและจากไปฟู่เฉินหวนตามไปทันอย่างรวดเร็ว “เจ้าได้ยินทุกอย่างหรือ?”ลั่วชิงยวนหยุดและมองดูเขา “ท่านได้บรรลุข้อตกลงกับไทเฮาแล้ว และยังต้องการใช้เรื่องนี้ตั้งเป็นเงื่อนไขกับหม่อมฉันอีกหรือ”“ฟู่เฉินหวน ท่านคิดว่าทุกสิ่งในใต้หล้าอยู่ภายใต้การควบคุมของท่านเช่นนั้นหรือ?”นางถูกฟู่เฉินหวนหลอกใช้ครั้งแล้วครั้งเล่า เป็นเพียงเบี้ยในมือของเขา ความห่วงใยเป็นครั้งคราวที่แสดงออกมานั้นมีแต่นางเท่านั้นที่จริงจังเมื่อเห็นว่าไม่มีใครอยู่รอบ ๆ ฟู่เฉินหวนจึงดึงลั่วชิงยวนไปที่มุมถนนแล้วอธิบายว่า “นี่เป็นทางออกที่ดีที่สุดในตอนนี้! สิ่งที่เหยียนหน่ายซินพูดมีแต่เจ้าเท่านั้นที่ได้ยิน ไม่มีใครเป็นพยานยืนยันเรื่องนี้ได้!”“เหยียนหน่ายซินอาจมิถูกตัดสินว่ามีความผิดฐานหลอกลวงองค์จักรพรรดิ แต่จะยิ่งทำให้นางต้องโทษเรื่องที่ใส่ความเจ้าได้ง่ายขึ้น!”“นี่ทำให้เกิดประโยชน์สูงสุดภายใต้เงื่อนไขที่จำกัด!”ลั่วชิงยวนมองเขาด้วยความตกใจและขมวดคิ้วมุ่น “ท่านอ๋องมิทราบด้วยซ้ำว่าหม่อมฉันโกรธเ
ในช่วงบ่าย จือเฉากลับมาเพื่อแจ้งข่าว“พระชายา บ่าวไปสอบถามมาแล้วเจ้าค่ะ ที่เหยียนหน่ายซินมิอาจขึ้นเป็นฮงเฮาได้อีกต่อไปเป็นเรื่องจริง แต่ตระกูลเหยียนมิได้รับการลงโทษไปด้วย มีเพียงเหยียนหน่ายซินที่ต้องรับผลของการกระทำ”“เรื่องก็จบลงไปเช่นนั้น”ลั่วชิงยวนก็เดาผลลัพธ์นี้ไว้แล้วเช่นกันตั้งแต่วินาทีที่นางได้ยินเกี่ยวกับข้อตกลงระหว่างฟู่เฉินหวนและไทเฮา นางก็รู้ดีว่าเรื่องนี้จะจบลงเช่นนั้นในไม่ช้า สิ่งของของไทเฮาที่มอบให้เป็นการชดเชยนางก็ถูกส่งมอบมาทีละชิ้นทองคำหนึ่งร้อยตำลึง อีกทั้งยังมีเครื่องยาสมุนไพรและผ้าไหมจำนวนมากขณะที่ผู้คนของวังหลวงจากไป แม่ทัพใหญ่ฉินและฉินเชียนหลี่ก็มาเยี่ยมเยียนด้วย“พระชายา ข้าได้ยินมาว่าครั้งนี้เจ้าได้รับบาดเจ็บสาหัส ข้าได้พบเครื่องยาสมุนไพรล้ำค่าบางอย่างมา มันน่าจะมีผลอย่างน่าอัศจรรย์ต่ออาการบาดเจ็บของเจ้า”แม่ทัพใหญ่ฉินถือบางอย่างมาให้นางอย่างกระตือรือร้นจือเฉารับไปอย่างรวดเร็วลั่วชิงยวนยิ้มและพูดว่า “ขอบใจท่านมาก แม่ทัพใหญ่ฉิน”“โธ่ ขอบใจเรื่องใด ข้าสิที่อยากจะขอบคุณเจ้า! พระชายาเป็นคนซื่อสัตย์และตรงไปตรงมา ข้ารู้เรื่องที่เจ้าถูกเหยียนหน่ายซิน
ร่างที่ไร้ศีรษะร่างหนึ่งถือกระบี่เดินเข้ามาหาลั่วชิงยวน โซ่เหล็กด้านหลังลากคนสามคนไว้แม้จะออกแรงสุดกำลังแล้วก็ยังฉุดรั้งโหยวจิ้งเฉิงไว้มิได้แต่ร่างของโหยวจิ้งเฉิงในตอนนี้ไม่มีศีรษะแล้ว ยากที่จะควบคุมร่างกายได้ลั่วชิงยวนถือกระบี่เงื้อฟันไปยังร่างของฝูเหมิ่ง เช่นเดียวกับตอนที่โหยวจิ้งเฉิงตัดแขนขาของอวี๋ตันเฟิ่งนางกำลังแก้แค้นและระบายความแค้นอย่างบ้าคลั่งตัดแขนของเขาขาดทีละข้างกระบี่ห้วงสวรรค์ร่วงลงสู่พื้นไปพร้อมกับแขนจากนั้นขาทั้งสองข้างของเขาก็ขาดกระเด็นอวี๋ตันเฟิ่งอาละวาดแก้แค้นอย่างบ้าคลั่งเมื่อมองไปยังซากศพที่กองอยู่บนพื้น ดวงตาของลั่วชิงยวนก็ราวกับถูกย้อมไปด้วยสีแดงฉานใต้หล้าเต็มไปด้วยกลิ่นคาวเลือดทั้งสามที่อยู่มิไกลต่างตกตะลึงมิเคยเห็นฉากที่นองเลือดเช่นนี้มาก่อนแต่ถึงแม้ร่างกายจะแหลกละเอียด โหยวจิ้งเฉิงก็ยังมิตายทันใดนั้นมีร่างหนึ่งพุ่งออกมาจากซากศพ แล้วลอยละลิ่วไปอวี๋ตันเฟิ่งกรีดร้องแหลม “โหยวจิ้งเฉิง เจ้าอย่าหวังว่าจะหนีไปไหนได้อีก! ข้าจะทำให้เจ้ามิได้ผุดได้เกิด!”พลังในร่างของนางพลันเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว เกิดเป็นลมพายุโหมกระหน่ำ ลั่วชิงยวนรู้สึกราว
ใบหน้านั้นบ่งบอกชัดเจนว่าเป็นโหยวจิ้งเฉิง“ต่อไปก็ถึงตาพวกเจ้าแล้ว” เขาเอ่ยด้วยเสียงแหบแห้งเย็นเยือกโฉวสือชีกำกระบี่ในมือแน่น ปกป้องคนใบ้และอวี๋โหรวไว้ส่วนลั่วชิงยวนค่อย ๆ ก้าวเท้าไปข้างหน้าในดวงตาค่อย ๆ ก่อเกิดจิตสังหารนางหลับตาลง แล้วกล่าวว่า “อวี๋ตันเฟิ่ง ไปแก้แค้นของเจ้าเถิด”ลั่วชิงยวนมอบร่างของตนให้อวี๋ตันเฟิ่งโดยสมบูรณ์เมื่อลืมตาขึ้นอีกครั้ง ใบหน้าของนางยังคงเป็นใบหน้าเดิม เพียงแต่แววตานั้นกลับดุดันยิ่งนัก ดวงตาสีแดงก่ำเต็มไปด้วยความแค้นเสียงของอวี๋ตันเฟิ่งดังขึ้น “โหยวจิ้งเฉิง ความแค้นระหว่างข้ากับเจ้า วันนี้ถึงคราวสะสางแล้ว”“สิบกว่าปีที่ผ่านมา ข้าคิดอยู่ตลอดเวลาว่าจะฉีกร่างเจ้าเป็นชิ้น ๆ อย่างไรถึงจะสาสมกับความแค้นในใจข้า”“แต่คาดมิถึงว่าเจ้าจะตายไปแล้ว”“แต่ก็มิเป็นไร วันนี้ข้าจะฉีกร่างเจ้าให้เป็นชิ้น ๆ ให้ได้!”เมื่อกล่าวจบ ลั่วชิงยวนก็กระโจนเข้าไปเสียงอาวุธปะทะกันอย่างรุนแรงดังขึ้นแต่ในเวลานี้เอง โหยวจิ้งเฉิงก็พุ่งไปยังกำแพง คว้ากระบี่ห้วงสวรรค์มาได้ จากนั้นกระโจนออกนอกห้องไปอวี๋ตันเฟิ่งรีบไล่ตามไปสีหน้าคนใบ้เปลี่ยนไป กระบี่ห้วงสวรรค์! หากฝูเหมิ่ง
ต่งอวิ๋นซิ่วตกใจจนหน้าซีดเผือด รีบยกมือขึ้นมาป้องกัน แล้วต่อสู้กับฝูเหมิ่งแต่พลังในตอนนี้ของต่งอวิ๋นซิ่วเทียบกับฝูเหมิ่งแล้วยังอ่อนแอกว่ามากนักสุดท้ายก็ถูกฝูเหมิ่งบีบคอไว้แน่นลั่วชิงยวนเห็นชัดเจนว่าในร่างของฝูเหมิ่งตอนนี้คือโหยวจิ้งเฉิง!เขาเป็นบ้าไปแล้วหรือ? เขาจะฆ่าต่งอวิ๋นซิ่วภรรยาของตนหรือ?เมื่อเห็นดังนั้น โหยวเซียงก็ชักกระบี่พุ่งเข้าไปหมายจะช่วยต่งอวิ๋นซิ่ว แต่ฝูเหมิ่งกลับมิหลบเลยแม้แต่น้อย ปล่อยให้กระบี่ในมือนางแทงทะลุร่างจากนั้นฝูเหมิ่งก็ฟาดมือไปทีหนึ่ง โหยวเซียงจึงกระเด็นปลิวไปโหยวเซียงกระอักเลือดออกมาต่งอวิ๋นซิ่วร้อนใจยิ่งนัก “เซียงเอ๋อร์ มิต้องสนใจแม่ รีบหนีไป!”โหยวเซียงจะทนมองดูมารดาของตนถูกฆ่าได้อย่างไร นางพยายามลุกขึ้นมาสู้ต่อแต่ฝูเหมิ่งกลับมองโหยวเซียงอย่างดุดัน แล้วกล่าวขู่ “คนที่ข้าต้องการฆ่ามีเพียงต่งอวิ๋นซิ่วเท่านั้น เจ้าจงหลีกไป”“มิเช่นนั้นอย่าหาว่าข้ามิเห็นแก่ความเป็นพ่อลูก”เมื่อได้ยินดังนั้น โหยวเซียงก็ตกใจจนยืนอึ้งไปกับที่ แล้วกล่าวเสียงสั่นเครือ “พ่อ… พ่อลูกหรือ?”ตอนนี้เสียงของฝูเหมิ่งก็มิใช่เสียงของฝูเหมิ่งอีกต่อไปแล้วเมื่อต่งอวิ๋นซิ่ว
ขณะนี้เอง โหยวเซียงก็ฉวยโอกาสหลบหนีจากมือของลั่วชิงยวนไปได้ต่งอวิ๋นซิ่วมองพวกเขาอย่างเย็นชา “ในเมื่อมาถึงที่นี่แล้วก็เตรียมตัวตายได้เลย!”ทันใดนั้นบนคานเรือนก็ปรากฏชายชุดดำจำนวนมากพร้อมถือหน้าไม้เล็งมาที่พวกเขาลูกดอกอันคมกริบประกายแสงเย็นลั่วชิงยวนยกยิ้มมุมปาก หัวเราะอย่างเย็นชา “ดูเหมือนว่าเจ้าจะเตรียมการมาอย่างดี ตอนนี้พวกข้าคงหนีออกจากห้องนี้ไปมิได้แล้วใช่หรือไม่?”ลั่วชิงยวนสังเกตประตูห้อง รวมถึงผนังห้องทุกด้าน แล้วพบว่ามีกลไกบนประตูเหนือศีรษะ ต่งอวิ๋นซิ่วหัวเราะเบา ๆ “แน่นอน นี่คือห้องกลไกที่สร้างขึ้นมาเพื่อรับมือพวกเจ้าที่บุกรุกเข้ามาบนเขา”“วันนี้พวกเจ้าอย่าหวังว่าจะได้ออกไปแม้แต่คนเดียว!”ลั่วชิงยวนจับกระบี่ห้วงสวรรค์แน่นแล้วพุ่งไปที่กลไกจุดหนึ่งบนผนังห้อง ฟาดฟันกระบี่ลงไปอย่างแรงต่งอวิ๋นซิ่วรีบดึงโหยวเซียงหลบหลีกไปแต่ใครเล่าจะรู้ว่าลั่วชิงยวนมิได้โจมตีพวกนาง แต่กลับฟันกลไกบนผนังห้องทำให้ประตูห้องลงกลอนอย่างสมบูรณ์เมื่อเห็นเช่นนั้น ต่งอวิ๋นซิ่วก็หัวเราะเยาะ “เจ้าช่างรนหาที่ตายยิ่งนัก”ลั่วชิงยวนยกยิ้มอย่างมีความหมาย “เช่นนั้นรึ? ยังมิรู้เลยว่าใครกันแน่ที่จะ
ร่างที่เดินออกมาจากฝูงชนนั้นมีท่าทางคุกคามยิ่งนักลั่วชิงยวนหรี่ตาลงเล็กน้อย นั่นคือสตรีที่นางเห็นในความทรงจำของอวี๋ตันเฟิ่งต่งอวิ๋นซิ่ว!โหยวเซียงดิ้นรนพลางเงยหน้ามองต่งอวิ๋นซิ่วด้วยดวงตาแดงก่ำ “ท่านแม่… เป็นความผิดของลูกเองที่ปล่อยให้พวกมันขึ้นเขามาได้”หากมิใช่เพราะลั่วชิงยวนรู้ทางลับของวัดร้างแห่งนั้น พวกนางคงไม่มีทางขึ้นเขามาได้ง่ายดายถึงเพียงนี้!ต่งอวิ๋นซิ่วมองด้วยความเจ็บปวดแล้วตวาดใส่ลั่วชิงยวน “ปล่อยลูกสาวข้าเดี๋ยวนี้! มิเช่นนั้นข้าจะทำให้พวกเจ้าตายเยี่ยงไร้ที่ฝัง!”ลั่วชิงยวนหัวเราะเบา ๆ แล้วพูดด้วยน้ำเสียงดูถูกเหยียดหยาม “เมื่อคืนยังพยายามทำลายวิญญาณที่เหลือของอวี๋ตันเฟิ่งอยู่เลย วันนี้เจ้าลืมไปแล้วหรือว่าศัตรูของเจ้าคือใคร?”“ใครกันแน่ที่จะตายแบบไร้ที่ฝัง ยังบอกมิได้หรอก”เมื่อได้ยินดังนั้น ต่งอวิ๋นซิ่วก็สะดุ้งเฮือก สีหน้าเปลี่ยนไปอย่างมากท่าทางของนางดูตึงเครียดขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด แต่ก็ยังพยายามซ่อนไว้ได้ดีนางมองลั่วชิงยวนอย่างใจเย็น แล้วกล่าวว่า “ในเมื่อพวกเจ้ามาถึงเมืองแห่งภูตผี ก็คงต้องการของล้ำค่าของเมืองแห่งภูตผีสินะ”“พวกเจ้าอยากได้อะไร ข้าสามารถให้เจ
นางปฏิเสธอย่างหนักแน่นลั่วชิงยวนกลับยกยิ้มอย่างพึงพอใจแล้วค่อย ๆ ลุกขึ้น “พานางไปด้วย ไปวัดร้าง!”พวกเนางมุ่งหน้าไปทางทิศใต้ โหยวเซียงดิ้นรนตลอดทาง แต่โฉวสือชีและคนใบ้จ้องมองทุกการกระทำของนางอย่างใกล้ชิด มิเปิดโอกาสให้นางหลบหนีไปได้แม้แต่น้อยเมื่อเดินไปได้ไกลมากพอสมควร เสียงไก่ขันยามรุ่งอรุณก็ดังขึ้นแล้วในที่สุดพวกเขาก็มาถึงวัดร้างแห่งนั้นในวัดร้างมีพระพุทธรูปที่เป็นซากปรักหักพังล้มลงบนพื้น ดูเหมือนว่าที่นี่จะไม่มีใครมานานแล้วเมื่อมองหาอย่างละเอียดก็พบรอยเท้าบนพื้นลั่วชิงยวนมั่นใจยิ่งขึ้น นี่คือสถานที่ที่ถูกต้อง!โหยวเซียงจ้องมองทุกการกระทำของลั่วชิงยวนอย่างกระวนกระวาย เกรงว่าลั่วชิงยวนจะพบกลไกเข้าแต่ลั่วชิงยวนกลับสังเกตปฏิกิริยาของโหยวเซียง ค่อย ๆ เดินไปในแต่ละที่โดยอาศัยการสังเกตปฏิกิริยาโหยวเซียงสุดท้ายลั่วชิงยวนจึงเพ่งเล็งไปที่ผนังด้านหนึ่งแล้วเริ่มค้นหากลไกเสียงเปิดกลไกดังแกร๊กดังขึ้นประตูบานหนึ่งบนพื้นพลันเปิดออกหลังจากที่ลั่วชิงยวนเปิดประตูแล้วก็พบว่าด้านล่างยังมีประตูอีกบานหนึ่ง และบนนั้นก็มีกลไกเช่นกันแต่สำหรับลั่วชิงยวนแล้วเรื่องนี้ง่ายมากเมื่อประต
“เจ้ารีบอะไรนักหนา รอมาตั้งนานแล้ว รออีกสักหน่อยจะเป็นกระไร”เมื่อได้ยินดังนั้น อวี๋ตันเฟิ่งก็หยุดมือลั่วชิงยวนเดินเข้าไปคว้าตัวโหยวเซียงไว้ให้โฉวสือชีมัดนางไว้แน่นหนา จากนั้นจึงปลุกโหยวเซียงให้ฟื้นขึ้นมาเมื่อฟื้นคืนสติ โหยวเซียงก็จ้องหน้าลั่วชิงยวนเขม็งอย่างโกรธแค้น “เจ้ากล้าจับข้า เจ้าคอยดูเถอะว่าจะตายอย่างไร!”ลั่วชิงยวนย่อตัวลงนั่งตรงหน้านาง แล้วหัวเราะเบา ๆ “ใช่แล้ว ใครจะกล้าแตะต้องคุณหนูใหญ่เมืองแห่งภูตผีเล่า”“น่าเสียดาย เมืองแห่งภูตผีแห่งนี้ บิดามารดาของเจ้าไปปล้นเขามา มิใช่ของพวกเขามาแต่เดิม ย่อมมิใช่ของเจ้าเช่นกัน”“ถึงเวลาคืนเจ้าของตัวจริงแล้ว”โหยวเซียงจ้องเขม็งนางอย่างโกรธแค้น “เจ้าพูดจาเหลวไหลอะไร! เมืองแห่งภูตผีแห่งนี้เป็นของบิดามารดาข้ามาแต่เดิม!”เมื่อได้ยินดังนั้น ลั่วชิงยวนก็ประหลาดใจ “หรือว่าต่งอวิ๋นซิ่วมิได้บอกความจริงแก่เจ้า”“ก็ถูกแล้ว เรื่องน่าอับอายเช่นนี้ นางจะบอกลูกสาวได้อย่างไร”“เมืองแห่งภูตผีแห่งนี้มิใช่เพียงถูกบิดามารดาเจ้ายึดมาเท่านั้น แต่ยังใช้วิธีการที่น่ารังเกียจในการยึดครองด้วย!”“เดาว่าจนถึงตอนนี้เจ้าก็คงยังมิรู้เลยว่าศัตรูของเจ้าคือผ
โหยวเซียงกัดฟันพูดด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบลั่วชิงยวนมองไปที่อวี๋โหรว หลายวันมานี้อวี๋โหรวผอมซูบไปมาก“เจ้าจับตัวอวี๋โหรวมาเพื่อล่อข้ามาที่นี่รึ?”ลั่วชิงยวนหรี่ตามองโหยวเซียง“แต่เจ้ามิน่าจะมีความสามารถพอที่จะพาอวี๋โหรวออกจากวังหลวงไปได้”“เวินซินถงเป็นคนทำใช่หรือไม่?”“เจ้าทำข้อตกลงอะไรกับนางไว้?”โหยวเซียงหัวเราะเยาะ “อยากรู้รึ?”“คุกเข่าอ้อนวอนข้าสิ”“เจ้าอ้อนวอนข้า ข้าถึงจะบอกเจ้าว่าผู้ใดจับตัวอวี๋โหรวมา และผู้ใดร่วมมือกับข้าวางแผนให้เจ้ามาที่เมืองแห่งภูตผี”ลั่วชิงยวนมองท่าทีหยิ่งยโสของโหยวเซียงแล้วก็อดมิได้ที่จะหัวเราะเบา ๆ นางกวาดสายตามองไปรอบ ๆ แล้วถามว่า “ต่งอวิ๋นซิ่วมิมาด้วยรึ?”“เมื่อครู่นี้คนที่ต่อสู้กับข้าก็คือนางใช่หรือไม่?”เมื่อได้ยินน้ำเสียงเยาะเย้ยของลั่วชิงยวน โหยวเซียงก็โกรธจัด ในใจนางตกใจ ลั่วชิงยวนรู้แล้วหรือว่ามารดาของนางเป็นใคร“สารเลว!”นางบีบคออวี๋โหรวอย่างแรงเพื่อข่มขู่ลั่วชิงยวน “จะคุกเข่าหรือไม่?!”“ลั่วชิงยวน เจ้ามีโอกาสแค่ครั้งเดียว!”“หากเจ้ามิยอมคุกเข่ายอมจำนนแต่โดยดี ข้าจะหักคอนางเดี๋ยวนี้!”กล่าวจบ โหยวเซียงก็ออกแรงบีบบีบจนอวี๋โหรวหาย
ทันทีที่คนใบ้หันมาเห็นจึงรีบเข้ามาย่อตัวลงข้างนางแล้วช่วยประคองนางไว้ลั่วชิงยวนเช็ดเลือดที่มุมปาก ใบหน้าซีดเผือดกว่าเดิม“ข้ามิเป็นอะไร”นางเงยหน้าขึ้นมองอวี๋ตันเฟิ่งที่อยู่กลางอากาศ ในที่สุดจิตวิญญาณของนางก็สมบูรณ์แล้วบนใบหน้าซีดขาวนั้นปรากฏรอยยิ้ม รอยยิ้มนั้นทั้งพึงพอใจและเย่อหยิ่ง“ในที่สุดข้าก็ได้… เป็นอิสระแล้ว! ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า...”อวี๋ตันเฟิ่งหัวเราะลั่น ทำเอาป่าทั้งผืนเกิดพายุโหมกระหน่ำคนใบ้รีบยกมือขึ้นช่วยลั่วชิงยวนปัดป้องฝุ่นและใบไม้ที่ปลิวว่อน......จู่ ๆ ต่งอวิ๋นซิ่วก็กระอักเลือดออกมาเต็มปาก จากนั้นหมดสติล้มลงบนพื้น“ท่านแม่!”โหยวเซียงตกใจ รีบเข้าไปประคองนาง “ท่านแม่! ท่านแม่! ท่านเป็นอะไรไป!”หลังจากตะโกนเรียกอยู่นาน มารดาของนางก็มิฟื้นโหยวเซียงโกรธจนกัดฟันพูด “ลั่วชิงยวน สารเลว!”“เจ้าคอยดูเถอะ!”......ผ่านไปครู่ใหญ่ อวี๋ตันเฟิ่งถึงจะสงบสติอารมณ์ลงได้ลมพายุในป่าก็สงบลงเช่นกันถูหมิงที่อยู่ข้าง ๆ จึงค่อย ๆ ขยับเข้ามาใกล้ฉีเสวี่ยเวยที่ยังคงตกตะลึงมองภาพเหตุการณ์เมื่อครู่ด้วยความมิอยากเชื่อ “เมื่อกี้เกิดอะไรขึ้น?”“ต่อไปพวกเราต้องทำอะไร?”ลั่วชิงยวน