ฟู่เฉินหวนขมวดคิ้วและมองดูเขา “เกิดเรื่องอันใดขึ้น เหตุใดถึงได้รีบร้อนเพียงนี้?”ใต้เท้าเฉาตอบอย่างกังวล “ในหมู่บ้านปี้หลิ่งมีคนเสียชีวิตถึงหกคนติดต่อกัน ว่ากันว่าพวกเขาถูกสัตว์ป่าฆ่า และกระดูกของพวกเขาก็ถูกกินจนเกลี้ยง! กระหม่อมส่งคนกลุ่มใหญ่ออกไป และมีเพียงครึ่งหนึ่งเท่านั้นที่กลับมาได้!”“ประเด็นสำคัญคือ พวกเขามิได้เห็นชัดเจนว่าสัตว์ป่าชนิดใดทำร้าย! กระหม่อมไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากคิดว่าท่านอ๋องประทับอยู่ในซีหยาง ดังนั้นกระหม่อมจึงมาที่นี่เพื่อขอความช่วยเหลือจากท่านอ๋องพ่ะย่ะค่ะ!”เรื่องเช่นนี้ ฟู่เฉินหวนย่อมไม่มีเหตุผลที่จะปฏิเสธลั่วชิงยวนถามว่า “หมู่บ้านปี้หลิ่งอยู่ที่ใด สัตว์ป่ามิได้โจมตีเมืองซีหยางด้วยหรือ?”ใต้เท้าเฉาตอบว่า “หมู่บ้านปี้หลิ่งอยู่บนหุบเขา และค่อนข้างไกลจากเมืองซีหยางพ่ะย่ะค่ะ”ลั่วชิงยวนพยักหน้าอย่างครุ่นคิดฟู่เฉินหวนไม่มีเหตุผลที่จะปฏิเสธ ดังนั้นเขาจึงพูดว่า “พวกเจ้าลงไปรอข้างล่างก่อน ผลัดผ้าแล้วข้าจะตามไป”“พ่ะย่ะค่ะ”หลังจากที่ใต้เท้าเฉาจากไปแล้ว ลั่วชิงยวนก็ออกจากห้องไปด้วยเมื่อมีบางอย่างเกิดขึ้นในหมู่บ้านปี้หลิ่ง ในเวลานี้ เห็นได้ชัดว่าฟู่เฉินหวน
“นอกจากสถานการณ์ที่นางสาวฝูเสวี่ยกล่าวไว้แล้ว หากท่านไม่มีค่าต่อท่านอ๋องอีกต่อไป เงินจำนวนนี้จะยังใช้ได้กับท่านหรือไม่”“ข้าพูดถูกหรือไม่?”ลั่วชิงยวนพยักหน้าอย่างครุ่นคิด “อื้ม สิ่งที่ท่านพูดก็ฟังดูสมเหตุสมผล”“ข้าควรจะคิดถึงตัวเองให้มาก ๆ”“แต่ข้าได้ยินมาว่า ตระกูลฟ่านก็เข้าร่วมสมาคมการค้าเฟิงตูด้วย ใช่หรือไม่?”เสวี่ยชวนเฟิงพยักหน้า “ใช่”“ข้ากับตระกูลฟ่านเป็นศัตรูกัน! ลืมเสียเถิด!” ลั่วชิงยวนปฏิเสธอย่างเด็ดขาดการแสดงออกของเสวี่ยชวนเฟิงเปลี่ยนไปเล็กน้อย และเขาก็รีบตามลั่วชิงยวนอย่างรวดเร็ว “พระชายามีปัญหากับตระกูลฟ่าน เพราะเรื่องของลั่วหลางหลางใช่หรือไม่?”ตอนนี้ทั้งซีหยางรู้กันทั่วแล้วว่าลั่วชิงยวนมาที่ซีหยางเพื่อสนับสนุนลั่วหลางหลาง สร้างความวุ่นวายให้ตระกูลฟ่าน ตบตีฉางจิ่นเหวินและสังหารหลิ่วซิ่งเอ๋อร์นอกจากเหตุผลนี้ ยังจะเป็นอะไรได้อีก? “หากมิไม่เล่า?”เสวี่ยชวนเฟิงรีบพูดขึ้นว่า “จริง ๆ แล้ว… แม่นางฝูเสวี่ยต้องการระบายความโกรธของตัวเองเพื่อลั่วหลางหลาง แม่นางจึงยิ่งควรเข้าร่วมสมาคมการค้าเฟิงตูของเรา”ลั่วชิงยวนเริ่มสนใจและมองเขาอย่างตั้งอกตั้งใจเสวี่ยชวนเฟิงยิ้มแ
เสียงที่ชัดเจนของลั่วชิงยวนดังขึ้นผู้คนมากกว่าหนึ่งโหลในห้องตกตะลึง และสายตาของพวกเขามองไปทางลั่วชิงยวนเป็นตาเดียว“เสวี่ยชวนเฟิง เจ้ากล้าพาพระชายามาที่นี่ได้อย่างไร นี่เป็นเรื่องภายในสมาคมของเรา เจ้ารนหาที่ตาย!”เฉินซวนอี๋พูดอย่างเย็นชา “ใช่ นี่เป็นความลับของสมาคมจะให้ใครอื่นมาได้ยินได้เยี่ยงไร เสวี่ยชวนเฟิงเจ้ามิเข้าใจกฎเหล่านี้หรือ?”ผู้อาวุโสยังดุด้วยใบหน้าเย็นชา “ชวนเฟิง เจ้ากำลังทำอะไร!”“เจ้ารู้หรือไม่ว่า หากเจ้าพาคนนอกเข้ามาและเปิดเผยความลับของสมาคม เจ้าจะถูกลงโทษโบยร้อยไม้และถูกขับออกจากสมาคม! เจ้าทำร้ายตระกูลเสวี่ยของเราแท้ ๆ!”คนที่พูดน่าจะเป็นบิดาของเสวี่ยชวนเฟิงแต่น้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยการตำหนิ ไม่เหมือนบิดาผู้ให้กำเนิดเสวี่ยชวนเฟิงก็ดูอึดอัดเช่นกัน เขาลังเลอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “แม่นางฝูเสวี่ยต้องการซื้อกิจการ หากนางซื้อกิจการเหล่านี้ นางก็จะกลายเป็นคนของสมาคมการค้าเฟิงตู นางมิใช่คนนอกเสียหน่อย! นี่มิถือว่าเป็นการทำความลับรั่วไหล!”เมื่อได้ยินสิ่งนี้ ลั่วชิงยวนก็ตระหนักได้ทันทีว่านี่คือแผนลวง“ใช่ เมื่อข้าใช้เงินเพื่อซื้อกิจการและเข้าร่วมสมาคมการค้าเฟิงตู
นอกจากนี้นางยังได้รู้ถึงการใช้พื้นที่ของแต่ละห้องในอาคารนี้ แต่ไม่มีอะไรผิดปกติกับสิ่งที่นางเห็น ดังนั้นลั่วชิงยวนจึงมิตรวจสอบเพิ่มเติมเมื่อเข้าใจสถานการณ์ของกิจการที่เพิ่งซื้อใหม่ ลั่วชิงยวนจึงมาที่สมาคมการค้าเฟิงตูในช่วงเช้าของวันรุ่งขึ้นให้ความสนใจกับการค้าของตัวเองมากแต่วันนี้ฉางจิ่นเหวิน เฉินซวนอี๋และคนอื่น ๆ ก็กลับมาอีกครั้งหรือพวกเขาจะมีเรื่องสำคัญให้หารือกันอีกหรือ?คราวนี้ลั่วชิงยวนไปเข้าร่วมอย่างเปิดเผยแต่เมื่อนางนั่งที่โต๊ะ สีหน้าของทุกคนก็ดูแปลกไปเล็กน้อยเสวี่ยชวนเฟิงไอและพูดว่า “แม่นางฝูเสวี่ย วันนี้ไม่มีเรื่องอะไรที่สำคัญนัก และมันไม่เกี่ยวอะไรกับท่าน เหตุใดท่านมิออกไปรอข้างนอกเล่า?"เมื่อได้ยินสิ่งนี้ ลั่วชิงยวนก็ตกใจเล็กน้อยและยังไม่มีปฏิกิริยาใด ๆฉางจิ่นเหวินหัวเราะเยาะ “ท่านมาถึงนี่ ก็นั่งลงเถอะ”“ถึงนางจะนั่งอยู่ตรงนี้ เราก็มิจ่ายเงินปันผลให้นางหรอก”เงินปันผล?จากนั้นพวกเขาก็เริ่มหีบใหญ่สองหีบวางอยู่บนโต๊ะ คนหนึ่งถือสมุดบัญชี เริ่มแจกจ่ายเงิน“เสวี่ยเหวินโจว สองแสนตำลึง”“เสวี่ยชวนเฟิง หนึ่งแสนสามหมื่นตำลึง”“ของพวกท่านนับรวมกันเลยแล้วกัน”ด
รีบก้าวเท้าเบา ๆ วิ่งกลับไปนั่งที่เดิมแล้วแกล้งทำเป็นนอนหลับไปด้วยความเหนื่อยล้า เสียงฝีเท้าก็ดังขึ้นช้า ๆจากไกลมาใกล้เหมือนเสียงฝีเท้าคนเดินขึ้นบันไดตอนนี้เสียงกลไกที่ว่าดูเหมือนจะมาจากด้านล่าง ซึ่งน่าจะมีชั้นใต้ดินอีกชั้นหนึ่งในไม่ช้า ฝีเท้าของคนผู้นั้นก็เดินเข้ามาหาพวกเขาลั่วชิงยวนรู้สึกถึงสายตาที่กำลังจับจ้องมาที่นาง จากนั้นสมุดบัญชีที่นางถือก็ถูกดึงออกไป ก่อนจะกลับมาวางในมือของนางอีกครั้งจากนั้นก็ได้ยินเสียงฝีเท้าเดินออกไปหลังจากรอสักพักก็ยังไม่มีความเคลื่อนไหวใด ๆ อีกลั่วชิงยวนหรี่ตาอย่างระมัดระวังมองไปข้างหน้าก็มิเห็นมีใครอยู่แล้วจริง ๆคนผู้นั้นคงจะออกไปนางกำลังจะลุกขึ้นเงาบนพื้นที่ขยับเล็กน้อยทำให้ลั่วชิงยวนรู้สึกมิกล้าแม้แต่จะหายใจเงาตรงที่นางนอนคว่ำอยู่ มีเงาของศีรษะอีกเงาปรากฏขึ้นและเคลื่อนไหวเช่นกันทันใดนั้น ลั่วชิงยวนรู้สึกขนหัวลุกคนผู้นั้นอยู่ข้างหลังนาง!นางหลับตาลงทันที ปล่อยให้ร่างกายที่แข็งทื่อของนางผ่อนคลายให้มากที่สุด หายใจอย่างสม่ำเสมอ และมิกล้าสอดส่ายสายตาไม่มีเสียงอะไรเลย ทักษะด้านวรยุทธของชายผู้นี้มิธรรมดา! กอปรกับรัศมีอันเยือกเย
ลั่วชิงยวนก้าวไปข้างหน้าเพื่อตรวจสอบโดยละเอียด แต่พบว่าดวงตาของสิงโตนั้นหลวมนางกำลังจะกดมันแต่แล้วนางก็สังเกตเห็นจี้ที่ห้อยอยู่รอบคอของสิงโต ลวดลายบนจี้นั้นคุ้นเคยเสียจนทำให้ลั่วชิงยวนใจเต้นรัวรูปดวงอาทิตย์และดวงจันทร์!มันเป็นของราชวงศ์แคว้นหลี!หรือชายชุดดำเมื่อครู่นี้ จะเป็นยอดฝีมือที่ซ่อนตัวอยู่ในตระกูลเหยียนมาตลอด?เขามาจากแคว้นหลี!คนที่รู้เรื่องของราชวงศ์ นอกจากราชวงศ์หลีแล้วก็มีแต่นักบวชเท่านั้น!ในฐานะนักบวชหญิงแห่งยุคนี้ นางรู้จักนักบวชทุกคน!เมื่อคิดถึงการจะได้ใกล้ชิดกับคนในสายเดียวกัน ลั่วชิงยวนก็รู้สึกตื่นเต้นเล็กน้อย แต่อีกใจก็กังวลเช่นกัน ร่างกายของนางเปลี่ยนแปลงไป และทักษะวรยุทธของนางก็ไม่ดีเหมือนเมื่อก่อนหากต้องเผชิญหน้ากับคนในสายเดียวกันที่ไม่รู้ว่าพวกเขาเป็นศัตรูหรือมิตร นางอาจจะสู้เขาไม่ได้!นางปลดสลักรูปดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ทันทีประตูหินค่อย ๆ เปิดออกโชคดีที่นางไม่ได้กดกลไกที่ตา ไม่เช่นนั้นวันนี้นางอาจไม่ได้กลับออกไปการใช้กุญแจดวงอาทิตย์และดวงจันทร์เป็นกลไกก็เพื่อให้แน่ใจว่าจะไม่มีใครสามารถทำลายมันได้ มันถูกสร้างขึ้นรูปอย่างพิถีพิถัน ดังนั้นห้
ลั่วชิงยวนขมวดคิ้ว มองไปรอบ ๆ แต่ไม่มีใครอยู่ตรงนั้นนางค่อย ๆ เดินไปยังจุดที่เสวี่ยชวนเฟิงนั่งอยู่ แต่ทันใดนั้นก็พบว่าเสวี่ยชวนเฟิงลงไปกองกับพื้นลั่วชิงยวนขมวดคิ้วและก้มลงเพื่อเขย่าเสวี่ยชวนเฟิง แต่ไม่มีปฏิกิริยาใด ๆ จากเขาลั่วชิงยวนมองไปรอบ ๆ และพบว่าไม่มีอะไรผิดปกติจากนั้นนางก็ช่วยพยุงเสวี่ยชวนเฟิงขึ้น ก่อนกลับมายังตำแหน่งเดิมของนางเพื่อนอนหลับต่อ......รุ่งสางแล้วคนของสมาคมการค้าทยอยกันมาถึง พวกเขาปลุกลั่วชิงยวนและเสวี่ยชวนเฟิงทั้งสองตื่นขึ้นมา ขยี้ตาด้วยความงัวเงีย“ข้าง่วงมากจนเผลอหลับไปก่อนจะตรวจบัญชีเสร็จเสียอีก” ลั่วชิงยวนหยิบสมุดบัญชีขึ้นมาอ่านต่อเสวี่ยชวนเฟิงเริ่มไม่ไหว แต่ก็ยังคงนั่งอยู่กับนางต่อไปลั่วชิงยวนอยู่ต่ออีกครึ่งวัน แต่ไม่มีใครสังเกตเห็นสิ่งผิดปกติ และชายในชุดดำก็ไม่ปรากฏตัว ดังนั้นนางจึงออกจากสมาคมการค้าเฟิงตูไปเมื่อกลับมาถึงโรงเตี๊ยม ลั่วชิงยวนจึงถามจือเฉาว่า “มีข่าวอะไรจากท่านอ๋องบ้างหรือไม่?”จื่อเฉานำชาและอาหารมาให้ “ท่านอ๋องมิอยู่เพียงสองวัน พระชายาก็คิดถึงท่านอ๋องแล้วหรือเจ้าคะ?”“เซียวชูส่งจดหมายมาทางนกพิราบแล้วเจ้าค่ะ”จื่อเฉาหยิบก
อีกฝ่ายล้มลงกับพื้น เงยหน้าขึ้นเวียนหัว และชี้ไปที่นางด้วยความโกรธ “เจ้า เจ้า เจ้า!”อย่างไรก็ตาม เมื่อเห็นลั่วชิงยวน เขาก็หดตัวกลับด้วยความกลัว“พระ… พระชายา...”ลั่วชิงยวนดูบูดบึ้ง “เจ้ารู้ว่าข้าเป็นพระชายา แล้วกล้าดีอย่างไรมาทำเยี่ยงนี้กับลั่วหลางหลาง อะไรทำให้เจ้ากล้าดีเพียงนี้ อยากตายนักหรือไร?”ลั่วชิงยวนโกรธมากจนหยิบไม้กวาดที่วางอยู่ข้าง ๆ ออกมาตีพวกนางอย่างแรงหลังถูกทุบตี ในสวนหลังบ้านก็มีเสียงคร่ำครวญขอชีวิตดังระงมลั่วหลางหลางก้าวมารั้งนางไว้ "หยุดมือเถิด หากเจ้ายังตีนางอีก นางคงตายแน่แล้ว"จากนั้นลั่วชิงยวนก็หยุดมือใบหน้าของหญิงชรานางนั้นเต็มไปด้วยเลือด นางชี้ไปที่ขอทานตัวน้อยที่ยื่นหน้าออกมาจากด้านนอกของประตูด้วยความโกรธ “เจ้าขอทานนี่ เจ้าเป็นตัวการรึ! คอยดูเถอะ!”หญิงชราเหล่านั้นหนีหัวซุกหัวซุนลั่วหลางหลางเรียกขอทานที่หน้าประตูให้เข้ามาด้วยความกังวล “เสี่ยวซี เจ้าเป็นคนไปตามหาพระชายามาหรือ?”เซียวซีพยักหน้าอย่างกล้า ๆ กลัว ๆ เล็กน้อย “ท่านพี่หลางหลางใจดีกับข้ามาก ข้าจะทนดูท่านถูกพวกเขารังแกได้อย่างไร”ลั่วหลางหลางลูบศีรษะของเสี่ยวซีแล้วหันไปมองลั่วชิงยวน “ชิ
ร่างที่ไร้ศีรษะร่างหนึ่งถือกระบี่เดินเข้ามาหาลั่วชิงยวน โซ่เหล็กด้านหลังลากคนสามคนไว้แม้จะออกแรงสุดกำลังแล้วก็ยังฉุดรั้งโหยวจิ้งเฉิงไว้มิได้แต่ร่างของโหยวจิ้งเฉิงในตอนนี้ไม่มีศีรษะแล้ว ยากที่จะควบคุมร่างกายได้ลั่วชิงยวนถือกระบี่เงื้อฟันไปยังร่างของฝูเหมิ่ง เช่นเดียวกับตอนที่โหยวจิ้งเฉิงตัดแขนขาของอวี๋ตันเฟิ่งนางกำลังแก้แค้นและระบายความแค้นอย่างบ้าคลั่งตัดแขนของเขาขาดทีละข้างกระบี่ห้วงสวรรค์ร่วงลงสู่พื้นไปพร้อมกับแขนจากนั้นขาทั้งสองข้างของเขาก็ขาดกระเด็นอวี๋ตันเฟิ่งอาละวาดแก้แค้นอย่างบ้าคลั่งเมื่อมองไปยังซากศพที่กองอยู่บนพื้น ดวงตาของลั่วชิงยวนก็ราวกับถูกย้อมไปด้วยสีแดงฉานใต้หล้าเต็มไปด้วยกลิ่นคาวเลือดทั้งสามที่อยู่มิไกลต่างตกตะลึงมิเคยเห็นฉากที่นองเลือดเช่นนี้มาก่อนแต่ถึงแม้ร่างกายจะแหลกละเอียด โหยวจิ้งเฉิงก็ยังมิตายทันใดนั้นมีร่างหนึ่งพุ่งออกมาจากซากศพ แล้วลอยละลิ่วไปอวี๋ตันเฟิ่งกรีดร้องแหลม “โหยวจิ้งเฉิง เจ้าอย่าหวังว่าจะหนีไปไหนได้อีก! ข้าจะทำให้เจ้ามิได้ผุดได้เกิด!”พลังในร่างของนางพลันเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว เกิดเป็นลมพายุโหมกระหน่ำ ลั่วชิงยวนรู้สึกราว
ใบหน้านั้นบ่งบอกชัดเจนว่าเป็นโหยวจิ้งเฉิง“ต่อไปก็ถึงตาพวกเจ้าแล้ว” เขาเอ่ยด้วยเสียงแหบแห้งเย็นเยือกโฉวสือชีกำกระบี่ในมือแน่น ปกป้องคนใบ้และอวี๋โหรวไว้ส่วนลั่วชิงยวนค่อย ๆ ก้าวเท้าไปข้างหน้าในดวงตาค่อย ๆ ก่อเกิดจิตสังหารนางหลับตาลง แล้วกล่าวว่า “อวี๋ตันเฟิ่ง ไปแก้แค้นของเจ้าเถิด”ลั่วชิงยวนมอบร่างของตนให้อวี๋ตันเฟิ่งโดยสมบูรณ์เมื่อลืมตาขึ้นอีกครั้ง ใบหน้าของนางยังคงเป็นใบหน้าเดิม เพียงแต่แววตานั้นกลับดุดันยิ่งนัก ดวงตาสีแดงก่ำเต็มไปด้วยความแค้นเสียงของอวี๋ตันเฟิ่งดังขึ้น “โหยวจิ้งเฉิง ความแค้นระหว่างข้ากับเจ้า วันนี้ถึงคราวสะสางแล้ว”“สิบกว่าปีที่ผ่านมา ข้าคิดอยู่ตลอดเวลาว่าจะฉีกร่างเจ้าเป็นชิ้น ๆ อย่างไรถึงจะสาสมกับความแค้นในใจข้า”“แต่คาดมิถึงว่าเจ้าจะตายไปแล้ว”“แต่ก็มิเป็นไร วันนี้ข้าจะฉีกร่างเจ้าให้เป็นชิ้น ๆ ให้ได้!”เมื่อกล่าวจบ ลั่วชิงยวนก็กระโจนเข้าไปเสียงอาวุธปะทะกันอย่างรุนแรงดังขึ้นแต่ในเวลานี้เอง โหยวจิ้งเฉิงก็พุ่งไปยังกำแพง คว้ากระบี่ห้วงสวรรค์มาได้ จากนั้นกระโจนออกนอกห้องไปอวี๋ตันเฟิ่งรีบไล่ตามไปสีหน้าคนใบ้เปลี่ยนไป กระบี่ห้วงสวรรค์! หากฝูเหมิ่ง
ต่งอวิ๋นซิ่วตกใจจนหน้าซีดเผือด รีบยกมือขึ้นมาป้องกัน แล้วต่อสู้กับฝูเหมิ่งแต่พลังในตอนนี้ของต่งอวิ๋นซิ่วเทียบกับฝูเหมิ่งแล้วยังอ่อนแอกว่ามากนักสุดท้ายก็ถูกฝูเหมิ่งบีบคอไว้แน่นลั่วชิงยวนเห็นชัดเจนว่าในร่างของฝูเหมิ่งตอนนี้คือโหยวจิ้งเฉิง!เขาเป็นบ้าไปแล้วหรือ? เขาจะฆ่าต่งอวิ๋นซิ่วภรรยาของตนหรือ?เมื่อเห็นดังนั้น โหยวเซียงก็ชักกระบี่พุ่งเข้าไปหมายจะช่วยต่งอวิ๋นซิ่ว แต่ฝูเหมิ่งกลับมิหลบเลยแม้แต่น้อย ปล่อยให้กระบี่ในมือนางแทงทะลุร่างจากนั้นฝูเหมิ่งก็ฟาดมือไปทีหนึ่ง โหยวเซียงจึงกระเด็นปลิวไปโหยวเซียงกระอักเลือดออกมาต่งอวิ๋นซิ่วร้อนใจยิ่งนัก “เซียงเอ๋อร์ มิต้องสนใจแม่ รีบหนีไป!”โหยวเซียงจะทนมองดูมารดาของตนถูกฆ่าได้อย่างไร นางพยายามลุกขึ้นมาสู้ต่อแต่ฝูเหมิ่งกลับมองโหยวเซียงอย่างดุดัน แล้วกล่าวขู่ “คนที่ข้าต้องการฆ่ามีเพียงต่งอวิ๋นซิ่วเท่านั้น เจ้าจงหลีกไป”“มิเช่นนั้นอย่าหาว่าข้ามิเห็นแก่ความเป็นพ่อลูก”เมื่อได้ยินดังนั้น โหยวเซียงก็ตกใจจนยืนอึ้งไปกับที่ แล้วกล่าวเสียงสั่นเครือ “พ่อ… พ่อลูกหรือ?”ตอนนี้เสียงของฝูเหมิ่งก็มิใช่เสียงของฝูเหมิ่งอีกต่อไปแล้วเมื่อต่งอวิ๋นซิ่ว
ขณะนี้เอง โหยวเซียงก็ฉวยโอกาสหลบหนีจากมือของลั่วชิงยวนไปได้ต่งอวิ๋นซิ่วมองพวกเขาอย่างเย็นชา “ในเมื่อมาถึงที่นี่แล้วก็เตรียมตัวตายได้เลย!”ทันใดนั้นบนคานเรือนก็ปรากฏชายชุดดำจำนวนมากพร้อมถือหน้าไม้เล็งมาที่พวกเขาลูกดอกอันคมกริบประกายแสงเย็นลั่วชิงยวนยกยิ้มมุมปาก หัวเราะอย่างเย็นชา “ดูเหมือนว่าเจ้าจะเตรียมการมาอย่างดี ตอนนี้พวกข้าคงหนีออกจากห้องนี้ไปมิได้แล้วใช่หรือไม่?”ลั่วชิงยวนสังเกตประตูห้อง รวมถึงผนังห้องทุกด้าน แล้วพบว่ามีกลไกบนประตูเหนือศีรษะ ต่งอวิ๋นซิ่วหัวเราะเบา ๆ “แน่นอน นี่คือห้องกลไกที่สร้างขึ้นมาเพื่อรับมือพวกเจ้าที่บุกรุกเข้ามาบนเขา”“วันนี้พวกเจ้าอย่าหวังว่าจะได้ออกไปแม้แต่คนเดียว!”ลั่วชิงยวนจับกระบี่ห้วงสวรรค์แน่นแล้วพุ่งไปที่กลไกจุดหนึ่งบนผนังห้อง ฟาดฟันกระบี่ลงไปอย่างแรงต่งอวิ๋นซิ่วรีบดึงโหยวเซียงหลบหลีกไปแต่ใครเล่าจะรู้ว่าลั่วชิงยวนมิได้โจมตีพวกนาง แต่กลับฟันกลไกบนผนังห้องทำให้ประตูห้องลงกลอนอย่างสมบูรณ์เมื่อเห็นเช่นนั้น ต่งอวิ๋นซิ่วก็หัวเราะเยาะ “เจ้าช่างรนหาที่ตายยิ่งนัก”ลั่วชิงยวนยกยิ้มอย่างมีความหมาย “เช่นนั้นรึ? ยังมิรู้เลยว่าใครกันแน่ที่จะ
ร่างที่เดินออกมาจากฝูงชนนั้นมีท่าทางคุกคามยิ่งนักลั่วชิงยวนหรี่ตาลงเล็กน้อย นั่นคือสตรีที่นางเห็นในความทรงจำของอวี๋ตันเฟิ่งต่งอวิ๋นซิ่ว!โหยวเซียงดิ้นรนพลางเงยหน้ามองต่งอวิ๋นซิ่วด้วยดวงตาแดงก่ำ “ท่านแม่… เป็นความผิดของลูกเองที่ปล่อยให้พวกมันขึ้นเขามาได้”หากมิใช่เพราะลั่วชิงยวนรู้ทางลับของวัดร้างแห่งนั้น พวกนางคงไม่มีทางขึ้นเขามาได้ง่ายดายถึงเพียงนี้!ต่งอวิ๋นซิ่วมองด้วยความเจ็บปวดแล้วตวาดใส่ลั่วชิงยวน “ปล่อยลูกสาวข้าเดี๋ยวนี้! มิเช่นนั้นข้าจะทำให้พวกเจ้าตายเยี่ยงไร้ที่ฝัง!”ลั่วชิงยวนหัวเราะเบา ๆ แล้วพูดด้วยน้ำเสียงดูถูกเหยียดหยาม “เมื่อคืนยังพยายามทำลายวิญญาณที่เหลือของอวี๋ตันเฟิ่งอยู่เลย วันนี้เจ้าลืมไปแล้วหรือว่าศัตรูของเจ้าคือใคร?”“ใครกันแน่ที่จะตายแบบไร้ที่ฝัง ยังบอกมิได้หรอก”เมื่อได้ยินดังนั้น ต่งอวิ๋นซิ่วก็สะดุ้งเฮือก สีหน้าเปลี่ยนไปอย่างมากท่าทางของนางดูตึงเครียดขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด แต่ก็ยังพยายามซ่อนไว้ได้ดีนางมองลั่วชิงยวนอย่างใจเย็น แล้วกล่าวว่า “ในเมื่อพวกเจ้ามาถึงเมืองแห่งภูตผี ก็คงต้องการของล้ำค่าของเมืองแห่งภูตผีสินะ”“พวกเจ้าอยากได้อะไร ข้าสามารถให้เจ
นางปฏิเสธอย่างหนักแน่นลั่วชิงยวนกลับยกยิ้มอย่างพึงพอใจแล้วค่อย ๆ ลุกขึ้น “พานางไปด้วย ไปวัดร้าง!”พวกเนางมุ่งหน้าไปทางทิศใต้ โหยวเซียงดิ้นรนตลอดทาง แต่โฉวสือชีและคนใบ้จ้องมองทุกการกระทำของนางอย่างใกล้ชิด มิเปิดโอกาสให้นางหลบหนีไปได้แม้แต่น้อยเมื่อเดินไปได้ไกลมากพอสมควร เสียงไก่ขันยามรุ่งอรุณก็ดังขึ้นแล้วในที่สุดพวกเขาก็มาถึงวัดร้างแห่งนั้นในวัดร้างมีพระพุทธรูปที่เป็นซากปรักหักพังล้มลงบนพื้น ดูเหมือนว่าที่นี่จะไม่มีใครมานานแล้วเมื่อมองหาอย่างละเอียดก็พบรอยเท้าบนพื้นลั่วชิงยวนมั่นใจยิ่งขึ้น นี่คือสถานที่ที่ถูกต้อง!โหยวเซียงจ้องมองทุกการกระทำของลั่วชิงยวนอย่างกระวนกระวาย เกรงว่าลั่วชิงยวนจะพบกลไกเข้าแต่ลั่วชิงยวนกลับสังเกตปฏิกิริยาของโหยวเซียง ค่อย ๆ เดินไปในแต่ละที่โดยอาศัยการสังเกตปฏิกิริยาโหยวเซียงสุดท้ายลั่วชิงยวนจึงเพ่งเล็งไปที่ผนังด้านหนึ่งแล้วเริ่มค้นหากลไกเสียงเปิดกลไกดังแกร๊กดังขึ้นประตูบานหนึ่งบนพื้นพลันเปิดออกหลังจากที่ลั่วชิงยวนเปิดประตูแล้วก็พบว่าด้านล่างยังมีประตูอีกบานหนึ่ง และบนนั้นก็มีกลไกเช่นกันแต่สำหรับลั่วชิงยวนแล้วเรื่องนี้ง่ายมากเมื่อประต
“เจ้ารีบอะไรนักหนา รอมาตั้งนานแล้ว รออีกสักหน่อยจะเป็นกระไร”เมื่อได้ยินดังนั้น อวี๋ตันเฟิ่งก็หยุดมือลั่วชิงยวนเดินเข้าไปคว้าตัวโหยวเซียงไว้ให้โฉวสือชีมัดนางไว้แน่นหนา จากนั้นจึงปลุกโหยวเซียงให้ฟื้นขึ้นมาเมื่อฟื้นคืนสติ โหยวเซียงก็จ้องหน้าลั่วชิงยวนเขม็งอย่างโกรธแค้น “เจ้ากล้าจับข้า เจ้าคอยดูเถอะว่าจะตายอย่างไร!”ลั่วชิงยวนย่อตัวลงนั่งตรงหน้านาง แล้วหัวเราะเบา ๆ “ใช่แล้ว ใครจะกล้าแตะต้องคุณหนูใหญ่เมืองแห่งภูตผีเล่า”“น่าเสียดาย เมืองแห่งภูตผีแห่งนี้ บิดามารดาของเจ้าไปปล้นเขามา มิใช่ของพวกเขามาแต่เดิม ย่อมมิใช่ของเจ้าเช่นกัน”“ถึงเวลาคืนเจ้าของตัวจริงแล้ว”โหยวเซียงจ้องเขม็งนางอย่างโกรธแค้น “เจ้าพูดจาเหลวไหลอะไร! เมืองแห่งภูตผีแห่งนี้เป็นของบิดามารดาข้ามาแต่เดิม!”เมื่อได้ยินดังนั้น ลั่วชิงยวนก็ประหลาดใจ “หรือว่าต่งอวิ๋นซิ่วมิได้บอกความจริงแก่เจ้า”“ก็ถูกแล้ว เรื่องน่าอับอายเช่นนี้ นางจะบอกลูกสาวได้อย่างไร”“เมืองแห่งภูตผีแห่งนี้มิใช่เพียงถูกบิดามารดาเจ้ายึดมาเท่านั้น แต่ยังใช้วิธีการที่น่ารังเกียจในการยึดครองด้วย!”“เดาว่าจนถึงตอนนี้เจ้าก็คงยังมิรู้เลยว่าศัตรูของเจ้าคือผ
โหยวเซียงกัดฟันพูดด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบลั่วชิงยวนมองไปที่อวี๋โหรว หลายวันมานี้อวี๋โหรวผอมซูบไปมาก“เจ้าจับตัวอวี๋โหรวมาเพื่อล่อข้ามาที่นี่รึ?”ลั่วชิงยวนหรี่ตามองโหยวเซียง“แต่เจ้ามิน่าจะมีความสามารถพอที่จะพาอวี๋โหรวออกจากวังหลวงไปได้”“เวินซินถงเป็นคนทำใช่หรือไม่?”“เจ้าทำข้อตกลงอะไรกับนางไว้?”โหยวเซียงหัวเราะเยาะ “อยากรู้รึ?”“คุกเข่าอ้อนวอนข้าสิ”“เจ้าอ้อนวอนข้า ข้าถึงจะบอกเจ้าว่าผู้ใดจับตัวอวี๋โหรวมา และผู้ใดร่วมมือกับข้าวางแผนให้เจ้ามาที่เมืองแห่งภูตผี”ลั่วชิงยวนมองท่าทีหยิ่งยโสของโหยวเซียงแล้วก็อดมิได้ที่จะหัวเราะเบา ๆ นางกวาดสายตามองไปรอบ ๆ แล้วถามว่า “ต่งอวิ๋นซิ่วมิมาด้วยรึ?”“เมื่อครู่นี้คนที่ต่อสู้กับข้าก็คือนางใช่หรือไม่?”เมื่อได้ยินน้ำเสียงเยาะเย้ยของลั่วชิงยวน โหยวเซียงก็โกรธจัด ในใจนางตกใจ ลั่วชิงยวนรู้แล้วหรือว่ามารดาของนางเป็นใคร“สารเลว!”นางบีบคออวี๋โหรวอย่างแรงเพื่อข่มขู่ลั่วชิงยวน “จะคุกเข่าหรือไม่?!”“ลั่วชิงยวน เจ้ามีโอกาสแค่ครั้งเดียว!”“หากเจ้ามิยอมคุกเข่ายอมจำนนแต่โดยดี ข้าจะหักคอนางเดี๋ยวนี้!”กล่าวจบ โหยวเซียงก็ออกแรงบีบบีบจนอวี๋โหรวหาย
ทันทีที่คนใบ้หันมาเห็นจึงรีบเข้ามาย่อตัวลงข้างนางแล้วช่วยประคองนางไว้ลั่วชิงยวนเช็ดเลือดที่มุมปาก ใบหน้าซีดเผือดกว่าเดิม“ข้ามิเป็นอะไร”นางเงยหน้าขึ้นมองอวี๋ตันเฟิ่งที่อยู่กลางอากาศ ในที่สุดจิตวิญญาณของนางก็สมบูรณ์แล้วบนใบหน้าซีดขาวนั้นปรากฏรอยยิ้ม รอยยิ้มนั้นทั้งพึงพอใจและเย่อหยิ่ง“ในที่สุดข้าก็ได้… เป็นอิสระแล้ว! ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า...”อวี๋ตันเฟิ่งหัวเราะลั่น ทำเอาป่าทั้งผืนเกิดพายุโหมกระหน่ำคนใบ้รีบยกมือขึ้นช่วยลั่วชิงยวนปัดป้องฝุ่นและใบไม้ที่ปลิวว่อน......จู่ ๆ ต่งอวิ๋นซิ่วก็กระอักเลือดออกมาเต็มปาก จากนั้นหมดสติล้มลงบนพื้น“ท่านแม่!”โหยวเซียงตกใจ รีบเข้าไปประคองนาง “ท่านแม่! ท่านแม่! ท่านเป็นอะไรไป!”หลังจากตะโกนเรียกอยู่นาน มารดาของนางก็มิฟื้นโหยวเซียงโกรธจนกัดฟันพูด “ลั่วชิงยวน สารเลว!”“เจ้าคอยดูเถอะ!”......ผ่านไปครู่ใหญ่ อวี๋ตันเฟิ่งถึงจะสงบสติอารมณ์ลงได้ลมพายุในป่าก็สงบลงเช่นกันถูหมิงที่อยู่ข้าง ๆ จึงค่อย ๆ ขยับเข้ามาใกล้ฉีเสวี่ยเวยที่ยังคงตกตะลึงมองภาพเหตุการณ์เมื่อครู่ด้วยความมิอยากเชื่อ “เมื่อกี้เกิดอะไรขึ้น?”“ต่อไปพวกเราต้องทำอะไร?”ลั่วชิงยวน