ลั่วชิงยวนหรี่ตาลงเล็กน้อย ก่อนจะก้าวเดินออกไปนางมาถึงจวนแม่ทัพใหญ่ยังมิทันได้เคาะประตู ประตูก็เปิดออกเมื่อแม่ทัพใหญ่ฉินเห็นนางก็ตกใจเล็กน้อย “พระชายามาแล้วหรือ”ลั่วชิงยวนพยักหน้า “แม่ทัพใหญ่กำลังจะออกไปข้างนอกหรือ”แม่ทัพใหญ่ฉินจัดเสื้อผ้าเล็กน้อย พลางกล่าวด้วยสีหน้าเคร่งขรึมว่า “ข้าต้องเข้าวัง จักรพรรดิสูงสุดทรงประชวรหนัก”“หากท่านมีเรื่องอะไรจะให้ข้าช่วย ก็รอข้าที่จวนสักครู่ รอข้ากลับมาค่อยว่ากัน!”ลั่วชิงยวนตอบว่า “ข้ามาหาฉินไป๋หลี่”“อ้อ ๆ งั้นก็ดี เขาอยู่จวน”แม่ทัพใหญ่ฉินพูดจบก็รีบออกไปลั่วชิงยวนเข้าไปในจวน เดินไปยังลานด้านในเห็นฉินไป๋หลี่กำลังฝึกกระบี่อยู่ที่ลานจวนโดยมีหลี่เซียวม่านยืนอยู่ข้าง ๆ คอยให้คำแนะนำเมื่อฝึกกระบี่เสร็จ ลั่วชิงยวนจึงเดินเข้าไปในลาน“พระชายา” หลี่เซียวม่านคารวะอย่างสุภาพ“พระชายามางั้นหรือ?” ฉินไป๋หลี่ยื่นกระบี่ให้หลี่เซียวม่าน“ช่วงนี้คุณชายรองเป็นอย่างไรบ้าง?” ลั่วชิงยวนกล่าวถามฉินไป๋หลี่ยิ้ม “พอจะมองเห็นแสงสลัว ๆ และใบหน้าเลือนรางบ้างแล้วขอรับ เชื่อว่าสักวันจะต้องหายดี!”ลั่วชิงยวนจับชีพจรตรวจดู อาการของเขากำลังฟื้นตัวได้ดีจ
“มีความเกี่ยวข้องกับองค์จักรพรรดิ?”“เมื่อครู่นี้ ท่านพ่อของข้าได้รับข่าวว่า องค์จักรพรรดิสูงสุดกำลังจะสิ้นพระชนม์”“ถึงแม้ว่าองค์จักรพรรดิสูงสุดจะทรงประชวรมาโดยตลอด แต่อาการก็ทรงตัวมาตลอด เพิ่งจะทรุดหนักลงเมื่อมิกี่วันมานี้ ได้ยินมาว่าเหล่าหมอหลวงต่างเฝ้าอยู่ข้างเตียงองค์จักรพรรดิสูงสุดตลอดเวลา”คำพูดนี้เตือนให้นึกถึงกะโหลกหมาป่าที่พวกคนนอกด่านส่งมา ตอนนั้น ฟู่จิ่งหานมิต้องการรับไว้ แต่ไทเฮารับสั่งว่า สามารถนำไปถวายแด่จักรพรรดิสูงสุดได้หรือว่าจะเป็นเพราะกะโหลกหมาป่า“ข้าอยากเข้าวังไปดูสักหน่อย”ฉินไป๋หลี่พยักหน้า “ข้าจะไปกับท่าน”“ท่านพ่อน่าจะยังอยู่ในวัง”ลั่วชิงยวนพยักหน้า จากนั้นทั้งสองก็ออกเดินทางเข้าวังหลวงด้วยความช่วยเหลือของฉินไป๋หลี่ ลั่วชิงยวนจึงได้เข้าเฝ้าองค์จักรพรรดิ“พวกเจ้ามาเพราะเรื่องของเสด็จพ่องั้นหรือ? พอดีเลย เรากำลังจะไปเยี่ยมเสด็จพ่อ ไปด้วยกันเถอะ” ฟู่จิ่งหานจัดการกับฎีกาเสร็จแล้วก็ลุกขึ้นเตรียมตัวออกเดินทางลั่วชิงยวนรีบเรียกเขาไว้ “ช้าก่อนเพคะ”“ฝ่าบาท หม่อมฉันอยากจะถามว่า วันนั้นที่พวกคนนอกด่านนำกะโหลกหมาป่ามาถวาย ในตอนที่ฝ่าบาทเห็นมันครั้งแรก รู้
“ครั้งนี้ต้องขอบพระทัยไทเฮา! ไทเฮาใช้พระโลหิตของพระองค์เองเพื่อช่วยองค์จักรพรรดิสูงสุด!”ทุกคนที่ได้ยินต่างตกใจอย่างมากฟู่จิ่งหานรีบก้าวไปข้างหน้าด้วยความกังวล “เสด็จแม่ ไฉนถึงได้เสี่ยงเช่นนี้เล่า”ไทเฮาตบบนหลังมือของฟู่จิ่งหานเบา ๆ แล้วพูดพร้อมรอยยิ้มว่า “ตราบใดที่เสด็จพ่อของเจ้ามิเป็นไรก็พอแล้ว ตัวข้าเข้าวังมาตั้งแต่อายุสิบสี่ปี อยู่เคียงข้างเสด็จพ่อของเจ้ามาตลอด”“ตอนนี้จะทนเห็นพระองค์เป็นอะไรไปได้อย่างไร ตราบใดที่ยังพอมีหนทาง ตัวข้าก็จะมิยอมละทิ้งพระองค์”คำพูดของไทเฮาทำให้ขุนนางที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างรู้สึกซาบซึ้งใจเป็นอย่างมากไม่มีใครคาดคิดว่าไทเฮาจะยอมใช้พระโลหิตของพระองค์เองเพื่อช่วยองค์จักรพรรดิสูงสุดในเวลานี้ แม่ทัพใหญ่ฉินเดินเข้ามาถามว่า “มิทราบว่าในวันนี้พวกเราจะเข้าเฝ้าองค์จักรพรรดิสูงสุดได้หรือไม่?”หมอหลวงหลี่กล่าวว่า “ชีพจรขององค์จักรพรรดิสูงสุดเพิ่งจะกลับมาเป็นปกติ พระองค์ยังทรงบรรทมอยู่ ขุนนางทุกท่านโปรดวางใจเถิด”“มิสะดวกให้เข้าไปรบกวนองค์จักรพรรดิสูงสุด”แม่ทัพใหญ่ฉินรู้สึกมิพอใจในใจ เรียกพวกเขามาทุกวัน แต่ก็มิให้พวกเขาเข้าเฝ้าองค์จักรพรรดิสูงสุดมิรู้เ
คำพูดมิกี่คำของลั่วชิงยวน ก็ทำให้ไทเฮาถึงกับพูดมิออกคนอื่น ๆ ก็พากันสงสัย ลั่วชิงยวนพูดถูกแล้วนี่!ไทเฮาโกรธมากแต่ก็มิสามารถโต้กลับได้ จึงตะโกนว่า “หมอหลวงหลี่ เจ้าอธิบายกับนาง!”หมอหลวงหลี่ทำหน้าลำบากใจ ได้แต่พูดปดว่า “ไทเฮาเคยเสวยโอสถอายุวัฒนะมาบ้าง พระโลหิตของพระองค์จึงสามารถรักษาองค์จักรพรรดิสูงสุดได้ เพียงแต่ว่ามิเคยรู้มาก่อน เพิ่งจะมาค้นพบตอนนี้”ลั่วชิงยวนแค่นเสียงเยาะเย้ย “เช่นนั้นหมอหลวงหลี่บอกมาหน่อยว่าไทเฮาทรงเสวยโอสถอายุวัฒนะอะไรมาหรือ?”หมอหลวงหลี่พูดติดขัด ตอบมิได้สุดท้ายก็พูดเสียงเย็นว่า “ตอนนี้อาการขององค์จักรพรรดิสูงสุดคงที่ก็เพราะพระโลหิตของไทเฮา ความจริงเป็นเช่นนี้ ท่านจะถามอะไรมากมาย ไทเฮาทรงเสวยโอสถอายุวัฒนะอะไรมา ต้องบอกให้ท่านรู้ด้วยหรือ?”ลั่วชิงยวนหัวเราะเบาๆ “หมอหลวงหลี่จะพูดก็พูดสิ ไฉนต้องร้อนตัวด้วยเล่า”หมอหลวงหลี่หน้าเสียไทเฮาก็หน้าเสียมากเช่นกันฟู่จิ่งหานฉวยโอกาสพูดขึ้น “หมอหลวงหลี่ยังอธิบายเองมิได้ งั้นข้าก็ยิ่งวางใจมิได้ ให้ลั่วชิงยวนเข้าไปดูหน่อยเถอะ”แม่ทัพใหญ่ฉินก็พูดเสริมว่า “ใช่แล้ว หมอหลวงในวังรักษามานานก็มิดีขึ้น ลองวิธีอื่นดูก็มิเ
ฟู่จิ่งหานมิเข้าใจ “สิ่งนั้นคืออะไรหรือ?”ลั่วชิงยวนเงยหน้าขึ้นอธิบาย “ผงกระดูกกวางสีม่วง สามารถทำให้คนเกิดภาพหลอนได้”“เพียงแค่ผงกระดูกกวางสีม่วงนิดหน่อย ก็สามารถกระจายไปในบริเวณเล็ก ๆ ได้ โดยมิต้องเข้าไปดมใกล้ ๆ ก็จะสูดดมเข้าไป”“ด้านบนนี้ถูกทาด้วยผงกระดูกกวางสีม่วง กะโหลกหมาป่าที่ถูกวางไว้หลายวันนี้ ได้กระจายไปทั่วทั้งพระตำหนักบรรทมแล้ว”“เพียงแต่ว่าเราผู้ที่มีร่างกายแข็งแรง เมื่อเห็นกะโหลกหมาป่านี้ ก็จะเกิดภาพหลอนขึ้นมาบ้าง”“แต่จะมิรุนแรงมาก”“ทว่าองค์จักรพรรดิสูงสุดมีโรคประจำตัวอยู่แล้ว...”เมื่อได้ยินเช่นนี้ ฟู่จิ่งหานก็ตกใจมาก “พวกคนเผ่านอกด่านใช้วิธีการต่ำช้านัก!”“ข้าจะให้คนเอาไปเผาทิ้งเดี๋ยวนี้!”ฟู่จิ่งหานคว้ากะโหลกหมาป่าแล้วเดินออกไป ลั่วชิงยวนรีบร้องห้ามเขาไว้ “อย่าเผาโดยตรงนะเพคะ แช่ในโอ่งน้ำไว้สักสองสามวันก่อน แล้วค่อยเผาทิ้ง”“อีกอย่าง ฝ่าบาท พวกคนเผ่านอกด่านส่งกะโหลกหมาป่านี้มา เพื่อเป็นการอวยพรวันเกิดให้ฝ่าบาท มิได้ส่งให้องค์จักรพรรดิสูงสุด”“ดังนั้น ใครเป็นคนเอาสิ่งนี้มาไว้ในห้องขององค์จักรพรรดิสูงสุด นี่เป็นเรื่องที่น่าสงสัยมาก”คำพูดนี้ทำให้สีหน้าของฟู
ทุกคนต่างตกตะลึงมองดูตำหนักบรรทมที่พังพินาศ หลังคาเกิดรูขนาดใหญ่ ส่วนผู้ก่อเหตุก็คือ ลั่วชิงยวน ที่ถือหอกยาวมายืนอยู่บนหัวมังกร และยังคงกระหน่ำแทงหลังคาอยู่!การที่องค์จักรพรรดิสูงสุดกระอักเลือด ทำให้เหล่าขุนนางต่างพากันล้อมเข้ามา เพื่อป้องกันฝุ่นละอองที่ฟุ้งกระจายหมอหลวงหลี่รีบให้คนอื่นถอยออกไป“ทุกคนหลีกทางให้หน่อย องค์จักรพรรดิสูงสุดหายใจมิออกแล้ว!”หลังจากที่ทุกคนถอยออกไป หมอหลวงหลี่ประคององค์จักรพรรดิสูงสุด พลางตบหลังเขาอย่างร้อนใจ “องค์จักรพรรดิสูงสุด! องค์จักรพรรดิสูงสุด!”องค์จักรพรรดิสูงสุดก็ไอออกมาอีกครั้ง พร้อมกระอักเลือดออกมาทันใดนั้นก็หลับตาลงและล้มลงไปหมอหลวงหลี่ตกใจสุดขีด คุกเข่าลงกับพื้นและร้องตะโกนว่า “องค์จักรพรรดิสูงสุดสวรรคตแล้ว!”เมื่อสิ้นคำ ทุกคนในท้องพระโรงต่างคุกเข่าลงฟู่เฉินหวนที่เพิ่งทราบว่าลั่วชิงยวนเข้าวังมา รีบรุดมาถึง แต่บังเอิญได้ยินเสียงนี้ที่นอกตำหนักบรรทมเขารู้สึกเบลอไปชั่วขณะและถอยหลังไปหนึ่งก้าวในเวลานี้ ไทเฮาที่ใบหน้าซีดเซียวและร้อนใจก็รีบมาถึง โดยมีจิ่นซูประคองแต่ก็ยังเกือบล้มลงไป“ไทเฮาโปรดระวังด้วยเพคะ”ไทเฮาน้ำตาคลอเบ้า กัดฟ
“ครั้งนี้ทั้งคนและหลักฐานพร้อมแล้ว อ๋องผู้สำเร็จราชการ เจ้าอย่าคิดที่จะปกป้องลั่วชิงยวนอีก!”“หากนางมิใช่พระชายาของเจ้า องค์จักรพรรดิคงมิไว้ใจนางเพียงนี้ องค์จักรพรรดิสูงสุดถูกลั่วชิงยวนลอบปลงพระชนม์ อ๋องผู้สำเร็จราชการ เจ้าเองก็หลีกเลี่ยงความผิดมิได้!”ไทเฮาตำหนิฟู่เฉินหวนอย่างโกรธเคืองทันใดนั้นก็สั่งด้วยความโกรธอย่างมากว่า “ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ปลดฟู่เฉินหวนจากตำแหน่งอ๋องผู้สำเร็จราชการ ห้ามเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับราชสำนัก! กักบริเวณอยู่ในวังเป็นเวลาครึ่งปี!”เหล่าขุนนางต่างตกใจลั่วชิงยวนก็ตกใจเล็กน้อย มองไปที่ฟู่เฉินหวนและพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ตอนนี้เจ้าหลีกทางไป อาจจะยังรักษาตำแหน่งอ๋องผู้สำเร็จราชการไว้ได้”เขาปีนขึ้นไปถึงตำแหน่งนี้อย่างยากลำบาก ด้วยสถานะของอ๋องผู้สำเร็จราชการ เขาจึงมีคุณสมบัติที่จะต่อต้านตระกูลเหยียนได้ฟู่เฉินหวนน่าจะหลีกทางไปยิ่งไปกว่านั้น นางมีวิธีช่วยตัวเอง และมิอยากเป็นหนี้บุญคุณฟู่เฉินหวนด้วยอย่างไรก็ตาม ฟู่เฉินหวนมิลังเลเลย เขาพูดกับไทเฮาอย่างเย็นชาว่า “หากพิสูจน์ได้ว่าลั่วชิงยวนสังหารเสด็จพ่อ ข้าจะรับผิดชอบร่วมกับลั่วชิงยวน!”“ทว่าหากไม่ การกร
ทันทีที่สิ้นเสียง ทุกคนที่อยู่ในห้องต่างก็สีหน้าเปลี่ยนไปอย่างมากในชั่วพริบตา บรรยากาศก็เงียบสงัดลงไทเฮามองนางด้วยความตกใจ “ลั่วชิงยวน เจ้าพูดอะไรไร้สาระ?!”ลั่วชิงยวนหรี่ตามองไทเฮาด้วยแววตาเหยียดหยามเล็กน้อย และพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา “หม่อมฉันบอกว่า องค์จักรพรรดิสูงสุดยังมิได้สวรรคต”หมอหลวงหลี่ร้อนใจขึ้น กล่าวด้วยความโกรธว่า “เป็นไปมิได้! ข้าเห็นกับตาว่าองค์จักรพรรดิสูงสุด…”ลั่วชิงยวนขัดจังหวะเขาด้วยน้ำเสียงเย็นชา “หากองค์จักรพรรดิสูงสุดมิได้สวรรคต เจ้าจะถือว่ารายงานข่าวเท็จหรือไม่?”“ใครสั่งให้เจ้ารายงานข่าวเท็จ? เพื่อใส่ร้ายข้า หรือต้องการให้การสวรรคตปลอมกลายเป็นจริงในขณะที่องค์จักรพรรดิสูงสุดทรงพระประชวรอยู่?”“หมอหลวงหลี่ เจ้ามีเจตนาอะไรกันแน่!”ลั่วชิงยวนกดดันด้วยน้ำเสียงที่เฉียบคมสีหน้าของหมอหลวงหลี่เปลี่ยนไป ขาของเขาอ่อนแรงด้วยความหวาดกลัวจากคำพูดของลั่วชิงยวน ทว่าเมื่อคิดอีกที ก็รู้สึกว่ามันเป็นไปมิได้องค์จักรพรรดิสูงสุดทรงประชวรหนักเยี่ยงนั้น เดิมทีต้องสวรรคตภายในสามวันอย่างแน่นอน หลังจากที่ลั่วชิงยวนพังหลังคา ก็สูดดมฝุ่นเข้าไปมากมาย ตกใจจนไอ และยังกระอักเลือดอ
“ท่านอยู่ต่อ ส่วนคนอื่น ๆ ออกไปก่อนเถิด” ลั่วชิงยวนกล่าวกับชายชราจากนั้นคนอื่น ๆ ก็ทยอยออกไปชายชราลุกขึ้นเดินมายืนตรงหน้าลั่วชิงยวน “ท่านเจ้าเมืองมีสิ่งใดจะสั่งหรือขอรับ?”ลั่วชิงยวนถามว่า “บนเขาแห่งนี้มีคนมาแย่งชิงยาสมุนไพรไปจริงหรือ? ที่ส่งคนไปตามหา มีเบาะแสอะไรบ้างหรือไม่?”“มีคนมาจริง ๆ ขอรับ พรรคพวกของพวกมันมีประมาณสิบคนได้ แต่พวกมันหนีไปเร็วมาก ตอนนั้นทุกคนมัวแต่สนใจด้านหน้า ไม่มีใครสังเกตว่ามีคนบุกเข้าไปในคลังโอสถ”“พวกเขาถึงได้หนีรอดไปได้ขอรับ”เมื่อได้ยินดังนั้น ลั่วชิงยวนก็ยิ่งสงสัยว่าเป็นคนของสำนักเทียนฉยง และจงใจมาเป็นปฏิปักษ์กับนาง จึงได้ชิงบัวถวายไปก่อนมองดูชายชราตรงหน้าแล้ว ลั่วชิงยวนก็ยังมิเข้าใจเขาดีนักนางจึงถามว่า “บนหลังของท่านมีรอยประทับทาสหรือไม่?”เมื่อได้ยินดังนั้น ชายชราก็ตกใจเล็กน้อย จากนั้นก็พยักหน้า “มีขอรับ”ลั่วชิงยวนรู้ว่าคำพูดของนางย่อมทำให้เขาเคลือบแคลงใจว่านางมิใช่อวี๋ตันเฟิ่งแต่นางก็มิได้คิดจะแสร้งเป็นอวี๋ตันเฟิ่งเพื่อเข้าควบคุมเมืองแห่งภูตผีแห่งนี้“ท่านควรรู้ว่าข้ามิใช่อวี๋ตันเฟิ่ง”ชายชราผู้นั้นอึ้งไป มิรู้ว่าจะพูดอย่างไรดี ในเมื่อ
หวังเพียงว่าจะกักขังโหยวจิ้งเฉิงไว้บนเขาได้ เพราะหากเขาไปสิงอยู่ในร่างผู้อื่นแล้วหนีลงเขาไปได้ก็จะเป็นเรื่องยุ่งยากเพียงแต่ในตอนนี้ นางไม่มีแรงพอที่จะไล่ตามแล้ว จึงไปหายาในคลังกับคนใบ้เมื่อไปถึง โฉวสือชีและอวี๋โหรวก็อยู่ที่นั่นอวี๋โหรวปรุงโอสถเสร็จแล้วโฉวสือชีกำลังค้นหาสมุนไพรอยู่ข้าง ๆ“เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง?” โฉวสือชีถามด้วยความเป็นห่วงลั่วชิงยวนส่ายหน้า “ข้ามิเป็นอะไร”โฉวสือชียื่นกล่องในมือออกมา แล้วพูดว่า “เจอโสมมังกรเพียงกิ่งเดียวเอง”ลั่วชิงยวนรับกล่องมา แล้วส่งให้คนใบ้ “รอจัดการเรื่องนี้เสร็จก่อน ข้าจะจัดยาให้เจ้าชุดหนึ่ง แม้จะมิสามารถรักษาอาการของเจ้าให้หายขาดได้ แต่ก็พอจะยืดชีวิตได้”คนใบ้พยักหน้า รับโสมมังกรมาด้วยสีหน้าซับซ้อนภายใต้หน้ากากโฉวสือชีกล่าวเสียงหนักแน่น “คลังโอสถนี่ใหญ่โตเกินไป ข้าหาบัวถวายมิเจอจริง ๆ”“และเมื่อดูแล้วในนี้ก็มีร่องรอยการถูกรื้อค้น ต่งอวิ๋นซิ่วคงมิได้หลอกพวกเรา บัวถวายคงถูกใครบางคนชิงไปแล้ว”เมื่อได้ยินดังนั้น ลั่วชิงยวนก็ขมวดคิ้วแน่น “บังเอิญเกินไปแล้ว บัวถวายถูกชิงไปตอนที่เรามาถึงพอดี”“แถมยังถูกกวาดไปจนเกลี้ยง”“สมุนไพรอื่นก็มิ
ร่างที่ไร้ศีรษะร่างหนึ่งถือกระบี่เดินเข้ามาหาลั่วชิงยวน โซ่เหล็กด้านหลังลากคนสามคนไว้แม้จะออกแรงสุดกำลังแล้วก็ยังฉุดรั้งโหยวจิ้งเฉิงไว้มิได้แต่ร่างของโหยวจิ้งเฉิงในตอนนี้ไม่มีศีรษะแล้ว ยากที่จะควบคุมร่างกายได้ลั่วชิงยวนถือกระบี่เงื้อฟันไปยังร่างของฝูเหมิ่ง เช่นเดียวกับตอนที่โหยวจิ้งเฉิงตัดแขนขาของอวี๋ตันเฟิ่งนางกำลังแก้แค้นและระบายความแค้นอย่างบ้าคลั่งตัดแขนของเขาขาดทีละข้างกระบี่ห้วงสวรรค์ร่วงลงสู่พื้นไปพร้อมกับแขนจากนั้นขาทั้งสองข้างของเขาก็ขาดกระเด็นอวี๋ตันเฟิ่งอาละวาดแก้แค้นอย่างบ้าคลั่งเมื่อมองไปยังซากศพที่กองอยู่บนพื้น ดวงตาของลั่วชิงยวนก็ราวกับถูกย้อมไปด้วยสีแดงฉานใต้หล้าเต็มไปด้วยกลิ่นคาวเลือดทั้งสามที่อยู่มิไกลต่างตกตะลึงมิเคยเห็นฉากที่นองเลือดเช่นนี้มาก่อนแต่ถึงแม้ร่างกายจะแหลกละเอียด โหยวจิ้งเฉิงก็ยังมิตายทันใดนั้นมีร่างหนึ่งพุ่งออกมาจากซากศพ แล้วลอยละลิ่วไปอวี๋ตันเฟิ่งกรีดร้องแหลม “โหยวจิ้งเฉิง เจ้าอย่าหวังว่าจะหนีไปไหนได้อีก! ข้าจะทำให้เจ้ามิได้ผุดได้เกิด!”พลังในร่างของนางพลันเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว เกิดเป็นลมพายุโหมกระหน่ำ ลั่วชิงยวนรู้สึกราว
ใบหน้านั้นบ่งบอกชัดเจนว่าเป็นโหยวจิ้งเฉิง“ต่อไปก็ถึงตาพวกเจ้าแล้ว” เขาเอ่ยด้วยเสียงแหบแห้งเย็นเยือกโฉวสือชีกำกระบี่ในมือแน่น ปกป้องคนใบ้และอวี๋โหรวไว้ส่วนลั่วชิงยวนค่อย ๆ ก้าวเท้าไปข้างหน้าในดวงตาค่อย ๆ ก่อเกิดจิตสังหารนางหลับตาลง แล้วกล่าวว่า “อวี๋ตันเฟิ่ง ไปแก้แค้นของเจ้าเถิด”ลั่วชิงยวนมอบร่างของตนให้อวี๋ตันเฟิ่งโดยสมบูรณ์เมื่อลืมตาขึ้นอีกครั้ง ใบหน้าของนางยังคงเป็นใบหน้าเดิม เพียงแต่แววตานั้นกลับดุดันยิ่งนัก ดวงตาสีแดงก่ำเต็มไปด้วยความแค้นเสียงของอวี๋ตันเฟิ่งดังขึ้น “โหยวจิ้งเฉิง ความแค้นระหว่างข้ากับเจ้า วันนี้ถึงคราวสะสางแล้ว”“สิบกว่าปีที่ผ่านมา ข้าคิดอยู่ตลอดเวลาว่าจะฉีกร่างเจ้าเป็นชิ้น ๆ อย่างไรถึงจะสาสมกับความแค้นในใจข้า”“แต่คาดมิถึงว่าเจ้าจะตายไปแล้ว”“แต่ก็มิเป็นไร วันนี้ข้าจะฉีกร่างเจ้าให้เป็นชิ้น ๆ ให้ได้!”เมื่อกล่าวจบ ลั่วชิงยวนก็กระโจนเข้าไปเสียงอาวุธปะทะกันอย่างรุนแรงดังขึ้นแต่ในเวลานี้เอง โหยวจิ้งเฉิงก็พุ่งไปยังกำแพง คว้ากระบี่ห้วงสวรรค์มาได้ จากนั้นกระโจนออกนอกห้องไปอวี๋ตันเฟิ่งรีบไล่ตามไปสีหน้าคนใบ้เปลี่ยนไป กระบี่ห้วงสวรรค์! หากฝูเหมิ่ง
ต่งอวิ๋นซิ่วตกใจจนหน้าซีดเผือด รีบยกมือขึ้นมาป้องกัน แล้วต่อสู้กับฝูเหมิ่งแต่พลังในตอนนี้ของต่งอวิ๋นซิ่วเทียบกับฝูเหมิ่งแล้วยังอ่อนแอกว่ามากนักสุดท้ายก็ถูกฝูเหมิ่งบีบคอไว้แน่นลั่วชิงยวนเห็นชัดเจนว่าในร่างของฝูเหมิ่งตอนนี้คือโหยวจิ้งเฉิง!เขาเป็นบ้าไปแล้วหรือ? เขาจะฆ่าต่งอวิ๋นซิ่วภรรยาของตนหรือ?เมื่อเห็นดังนั้น โหยวเซียงก็ชักกระบี่พุ่งเข้าไปหมายจะช่วยต่งอวิ๋นซิ่ว แต่ฝูเหมิ่งกลับมิหลบเลยแม้แต่น้อย ปล่อยให้กระบี่ในมือนางแทงทะลุร่างจากนั้นฝูเหมิ่งก็ฟาดมือไปทีหนึ่ง โหยวเซียงจึงกระเด็นปลิวไปโหยวเซียงกระอักเลือดออกมาต่งอวิ๋นซิ่วร้อนใจยิ่งนัก “เซียงเอ๋อร์ มิต้องสนใจแม่ รีบหนีไป!”โหยวเซียงจะทนมองดูมารดาของตนถูกฆ่าได้อย่างไร นางพยายามลุกขึ้นมาสู้ต่อแต่ฝูเหมิ่งกลับมองโหยวเซียงอย่างดุดัน แล้วกล่าวขู่ “คนที่ข้าต้องการฆ่ามีเพียงต่งอวิ๋นซิ่วเท่านั้น เจ้าจงหลีกไป”“มิเช่นนั้นอย่าหาว่าข้ามิเห็นแก่ความเป็นพ่อลูก”เมื่อได้ยินดังนั้น โหยวเซียงก็ตกใจจนยืนอึ้งไปกับที่ แล้วกล่าวเสียงสั่นเครือ “พ่อ… พ่อลูกหรือ?”ตอนนี้เสียงของฝูเหมิ่งก็มิใช่เสียงของฝูเหมิ่งอีกต่อไปแล้วเมื่อต่งอวิ๋นซิ่ว
ขณะนี้เอง โหยวเซียงก็ฉวยโอกาสหลบหนีจากมือของลั่วชิงยวนไปได้ต่งอวิ๋นซิ่วมองพวกเขาอย่างเย็นชา “ในเมื่อมาถึงที่นี่แล้วก็เตรียมตัวตายได้เลย!”ทันใดนั้นบนคานเรือนก็ปรากฏชายชุดดำจำนวนมากพร้อมถือหน้าไม้เล็งมาที่พวกเขาลูกดอกอันคมกริบประกายแสงเย็นลั่วชิงยวนยกยิ้มมุมปาก หัวเราะอย่างเย็นชา “ดูเหมือนว่าเจ้าจะเตรียมการมาอย่างดี ตอนนี้พวกข้าคงหนีออกจากห้องนี้ไปมิได้แล้วใช่หรือไม่?”ลั่วชิงยวนสังเกตประตูห้อง รวมถึงผนังห้องทุกด้าน แล้วพบว่ามีกลไกบนประตูเหนือศีรษะ ต่งอวิ๋นซิ่วหัวเราะเบา ๆ “แน่นอน นี่คือห้องกลไกที่สร้างขึ้นมาเพื่อรับมือพวกเจ้าที่บุกรุกเข้ามาบนเขา”“วันนี้พวกเจ้าอย่าหวังว่าจะได้ออกไปแม้แต่คนเดียว!”ลั่วชิงยวนจับกระบี่ห้วงสวรรค์แน่นแล้วพุ่งไปที่กลไกจุดหนึ่งบนผนังห้อง ฟาดฟันกระบี่ลงไปอย่างแรงต่งอวิ๋นซิ่วรีบดึงโหยวเซียงหลบหลีกไปแต่ใครเล่าจะรู้ว่าลั่วชิงยวนมิได้โจมตีพวกนาง แต่กลับฟันกลไกบนผนังห้องทำให้ประตูห้องลงกลอนอย่างสมบูรณ์เมื่อเห็นเช่นนั้น ต่งอวิ๋นซิ่วก็หัวเราะเยาะ “เจ้าช่างรนหาที่ตายยิ่งนัก”ลั่วชิงยวนยกยิ้มอย่างมีความหมาย “เช่นนั้นรึ? ยังมิรู้เลยว่าใครกันแน่ที่จะ
ร่างที่เดินออกมาจากฝูงชนนั้นมีท่าทางคุกคามยิ่งนักลั่วชิงยวนหรี่ตาลงเล็กน้อย นั่นคือสตรีที่นางเห็นในความทรงจำของอวี๋ตันเฟิ่งต่งอวิ๋นซิ่ว!โหยวเซียงดิ้นรนพลางเงยหน้ามองต่งอวิ๋นซิ่วด้วยดวงตาแดงก่ำ “ท่านแม่… เป็นความผิดของลูกเองที่ปล่อยให้พวกมันขึ้นเขามาได้”หากมิใช่เพราะลั่วชิงยวนรู้ทางลับของวัดร้างแห่งนั้น พวกนางคงไม่มีทางขึ้นเขามาได้ง่ายดายถึงเพียงนี้!ต่งอวิ๋นซิ่วมองด้วยความเจ็บปวดแล้วตวาดใส่ลั่วชิงยวน “ปล่อยลูกสาวข้าเดี๋ยวนี้! มิเช่นนั้นข้าจะทำให้พวกเจ้าตายเยี่ยงไร้ที่ฝัง!”ลั่วชิงยวนหัวเราะเบา ๆ แล้วพูดด้วยน้ำเสียงดูถูกเหยียดหยาม “เมื่อคืนยังพยายามทำลายวิญญาณที่เหลือของอวี๋ตันเฟิ่งอยู่เลย วันนี้เจ้าลืมไปแล้วหรือว่าศัตรูของเจ้าคือใคร?”“ใครกันแน่ที่จะตายแบบไร้ที่ฝัง ยังบอกมิได้หรอก”เมื่อได้ยินดังนั้น ต่งอวิ๋นซิ่วก็สะดุ้งเฮือก สีหน้าเปลี่ยนไปอย่างมากท่าทางของนางดูตึงเครียดขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด แต่ก็ยังพยายามซ่อนไว้ได้ดีนางมองลั่วชิงยวนอย่างใจเย็น แล้วกล่าวว่า “ในเมื่อพวกเจ้ามาถึงเมืองแห่งภูตผี ก็คงต้องการของล้ำค่าของเมืองแห่งภูตผีสินะ”“พวกเจ้าอยากได้อะไร ข้าสามารถให้เจ
นางปฏิเสธอย่างหนักแน่นลั่วชิงยวนกลับยกยิ้มอย่างพึงพอใจแล้วค่อย ๆ ลุกขึ้น “พานางไปด้วย ไปวัดร้าง!”พวกเนางมุ่งหน้าไปทางทิศใต้ โหยวเซียงดิ้นรนตลอดทาง แต่โฉวสือชีและคนใบ้จ้องมองทุกการกระทำของนางอย่างใกล้ชิด มิเปิดโอกาสให้นางหลบหนีไปได้แม้แต่น้อยเมื่อเดินไปได้ไกลมากพอสมควร เสียงไก่ขันยามรุ่งอรุณก็ดังขึ้นแล้วในที่สุดพวกเขาก็มาถึงวัดร้างแห่งนั้นในวัดร้างมีพระพุทธรูปที่เป็นซากปรักหักพังล้มลงบนพื้น ดูเหมือนว่าที่นี่จะไม่มีใครมานานแล้วเมื่อมองหาอย่างละเอียดก็พบรอยเท้าบนพื้นลั่วชิงยวนมั่นใจยิ่งขึ้น นี่คือสถานที่ที่ถูกต้อง!โหยวเซียงจ้องมองทุกการกระทำของลั่วชิงยวนอย่างกระวนกระวาย เกรงว่าลั่วชิงยวนจะพบกลไกเข้าแต่ลั่วชิงยวนกลับสังเกตปฏิกิริยาของโหยวเซียง ค่อย ๆ เดินไปในแต่ละที่โดยอาศัยการสังเกตปฏิกิริยาโหยวเซียงสุดท้ายลั่วชิงยวนจึงเพ่งเล็งไปที่ผนังด้านหนึ่งแล้วเริ่มค้นหากลไกเสียงเปิดกลไกดังแกร๊กดังขึ้นประตูบานหนึ่งบนพื้นพลันเปิดออกหลังจากที่ลั่วชิงยวนเปิดประตูแล้วก็พบว่าด้านล่างยังมีประตูอีกบานหนึ่ง และบนนั้นก็มีกลไกเช่นกันแต่สำหรับลั่วชิงยวนแล้วเรื่องนี้ง่ายมากเมื่อประต
“เจ้ารีบอะไรนักหนา รอมาตั้งนานแล้ว รออีกสักหน่อยจะเป็นกระไร”เมื่อได้ยินดังนั้น อวี๋ตันเฟิ่งก็หยุดมือลั่วชิงยวนเดินเข้าไปคว้าตัวโหยวเซียงไว้ให้โฉวสือชีมัดนางไว้แน่นหนา จากนั้นจึงปลุกโหยวเซียงให้ฟื้นขึ้นมาเมื่อฟื้นคืนสติ โหยวเซียงก็จ้องหน้าลั่วชิงยวนเขม็งอย่างโกรธแค้น “เจ้ากล้าจับข้า เจ้าคอยดูเถอะว่าจะตายอย่างไร!”ลั่วชิงยวนย่อตัวลงนั่งตรงหน้านาง แล้วหัวเราะเบา ๆ “ใช่แล้ว ใครจะกล้าแตะต้องคุณหนูใหญ่เมืองแห่งภูตผีเล่า”“น่าเสียดาย เมืองแห่งภูตผีแห่งนี้ บิดามารดาของเจ้าไปปล้นเขามา มิใช่ของพวกเขามาแต่เดิม ย่อมมิใช่ของเจ้าเช่นกัน”“ถึงเวลาคืนเจ้าของตัวจริงแล้ว”โหยวเซียงจ้องเขม็งนางอย่างโกรธแค้น “เจ้าพูดจาเหลวไหลอะไร! เมืองแห่งภูตผีแห่งนี้เป็นของบิดามารดาข้ามาแต่เดิม!”เมื่อได้ยินดังนั้น ลั่วชิงยวนก็ประหลาดใจ “หรือว่าต่งอวิ๋นซิ่วมิได้บอกความจริงแก่เจ้า”“ก็ถูกแล้ว เรื่องน่าอับอายเช่นนี้ นางจะบอกลูกสาวได้อย่างไร”“เมืองแห่งภูตผีแห่งนี้มิใช่เพียงถูกบิดามารดาเจ้ายึดมาเท่านั้น แต่ยังใช้วิธีการที่น่ารังเกียจในการยึดครองด้วย!”“เดาว่าจนถึงตอนนี้เจ้าก็คงยังมิรู้เลยว่าศัตรูของเจ้าคือผ