ใบมีดแหลมคมเปล่งประกายวาววับสะท้อนลำแสงอันเยือกเย็นภายใต้แสงตะวันเจิดจ้า ลมหนาวของเหมันต์ฤดูพัดพาทำให้หิมะบนกิ่งไม้ร่วงหล่นลงมา หวงเหวินจวิ้นนอนขดตัวอยู่บนพื้น เมื่อเห็นคมมีดเล่มนั้นฟาดลงมา ก็หลับตาลงด้วยความสิ้นหวัง ไกลออกไป มีสายตาคู่หนึ่งกำลังจับจ้องทุกสิ่งอย่างถี่ถ้วน กระทั่งคนของจวนฉู่กั๋วกงจัดการเก็บกวาดร่างไร้วิญญาณอย่างใจเย็นจนเรียบร้อยแล้ว ผู้เฒ่าจ้าวถึงจะเอ่ยด้วยเสียงแผ่วเบาว่า “ท่านอ๋อง เขาตายสนิทแล้วขอรับ” เซียวอวิ๋นถิงเลิกคิ้ว นัยน์ตาดอกท้อบนใบหน้าหล่อเหลากำลังสะท้อนประกายวาววับ เอียงศีรษะมองไปทางหลีฮวาที่กำลังตัวสั่นเทิ้มอยู่ด้านข้าง: “ใช่คนนี้หรือไม่?” หลีฮวาผงกศีรษะรัว นัยน์ตาเบิกกว้างด้วยความตื่นตระหนก: “ใช่เพคะ! เป็นเขาแน่นอน! คุณหนูให้หม่อมฉันมาบอกท่านอ๋องว่า คนผู้นี้มีท่าทีไม่ชอบมาพากลตั้งแต่แรก ตอนใช้เขา เขาก็พยายามทำผิดสัญญาอยู่หลายครั้ง มิใช่คนที่น่าไว้วางใจ ฉะนั้น…” เหล่าจ้าวซึ่งยืนอยู่ด้านข้างถึงกับตกใจจนพูดไม่ออก คนที่ติดต่อกับคุณหนูใหญ่สกุลชีคนนี้ ปกติแล้วจะเป็นปาเป่าและลิ่วจิน ดังนั้น ทุกครั้งที่ปาเป่าและลิ่วจินพูดถึงชีหยวนขึ้นมา น้ำเสียงจะฟังด
เหล่าจ้าวพาหลีฮวาไปส่งให้คนที่ไว้ใจได้รับผิดชอบต่อ ไม่นานนักตนเองก็กลับมาอยู่ข้างกายเซียวอวิ๋นถิง : “ท่านอ๋อง ให้ข้าน้อยไปเองเถิด” หลีฮวายอมเผยคำสั่งของชีหยวนแล้ว หากว่าหวงเหวินจวิ้นคิดทรยศและไปแจ้งข่าว ตามวิธีการอันเด็ดขาดไร้ความปรานีของจวนฉู่กั๋วกงแล้ว จะต้องส่งองครักษ์ลับในเงามืดมาไล่ล่าสังหารนางแน่ และบัดนี้ ก็เป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมจะลงมือที่สุดแล้ว อ๋องฉีและจวนฉู่กั๋วกงใช้ความพยายามและเงินทองไปมากมายมหาศาลเพื่อเลี้ยงดูฝึกฝนเหล่านักฆ่ากลุ่มนี้ เพื่อดูแลพวกคนเหล่านี้ เงินที่ทุ่มไปในทุกปีล้วนมีมากจนนับไม่ถ้วน จนถึงทำให้ท่านอ๋องผู้สูงศักดิ์ต้องกระเสือกกระสนเปิดหอคณิกาเพื่อหารายได้ การทำลายองครักษ์ลับเหล่านี้ ทำให้พวกเขาเจ็บใจเสียยิ่งกว่าฆ่าพวกเขาให้ตายเสียอีก เขาอาสาออกศึกนี้ด้วยตนเอง และคิดว่าหากสังหารคนเหล่านี้ได้แล้ว จะไปตามหาปาเป่าลิ่วจิน และจากนั้นค่อยดูไปทีละขั้นว่าคุณหนูใหญ่สกุลชีคนนี้จะสามารถทำอะไรได้อีก และคิดจะลงมืออย่างไรต่อไปอีก ช่างเป็นคนที่มหัศจรรย์ยิ่งนัก ทว่าเซียวอวิ๋นถิงกลับส่ายหน้า: “ไม่ เจ้าไม่ต้อง ข้าไปเอง” เหล่าจ้าวคัดค้านทันควัน: “ท่านอ๋อง เ
ปาเป่าลิ่วจินสองคนเหงื่อเย็นไหลท่วม หลังจากผ่านเขตชายแดนเข้าสู่เมืองอันฮุยแล้ว เขาก็ค้นพบว่า การไล่ตามของอ๋องฉีรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ มีหลายครั้งที่พวกเขาเกือบจะถูกจับได้ หลังจากหลบหนีคนพวกนั้นได้อีกครั้งหนึ่ง ปาเป่าก็เลื่อนมือขึ้นเช็ดเหงื่อเย็นบนศีรษะของตนเองไปทีหนึ่งอย่างอดไม่ได้ พลางเอ่ยอย่างอกสั่นขวัญแขวน: “เล่นเอาข้าตกใจแทบแย่! ไม่รู้ว่าเขาเป็นบ้าไปแล้วหรืออย่างไร ถึงได้ไล่กวดเอาเป็นเอาตายเช่นนี้?” เห็นชัดว่าครึ่งทางแรก คนพวกนั้นยังไล่ตามอย่างเชื่องช้าไม่เอาไหน ทว่าต่อมากลับไล่กวดอย่างบ้าคลั่งจนแทบประชิดได้แล้ว สีหน้าของลิ่วจินกลับเต็มไปด้วยความเคร่งขรึมมากกว่าตอนก่อนหน้านี้ เขาไม่มีความคิดจะพูดตลกอีกแล้ว หันศีรษะมามองคนตรงหน้า พลางเอ่ยด้วยเสียงเข้มว่า: “ไม่ เขาไม่ได้บ้า คงเพราะรู้ตัวแล้วว่ามีบางอย่างไม่ชอบมาพากล” ประโยคนี้ถูกเอ่ยออกมา ปาเป่าที่กำลังดื่มน้ำชาอยู่ พ่นน้ำชาออกมาทันที จากนั้นก็ถามด้วยความขนลุก: “ไม่หรอก?! ตลอดทาง ข้าก็ซ่อนตัวแนบเนียนมากมิใช่หรือ!” เขารับหน้าที่สวมผ้าคลุมของชีหยวนเพื่อปลอมตัวเป็นชีหยวน และคิดว่าตนเองก็ทำสุดความสามารถแล้ว แน่นอนว่า แม้จะมิไ
ราวกับอสนีบาตฟาดลงมา ในที่สุดอ๋องฉีก็ตระหนักได้แล้วว่าเหตุใดตนเองถึงรู้สึกแปลกอยู่ตลอด หากว่าเป็นชีหยวนตัวจริง นางหรือจะปล่อยม้าเร็วไว้โดยไม่ขี่มัน และเลือกจะนั่งรถม้าไปอย่างเชื่องช้าเช่นนี้หรือ? เขากัดฟันกรอด ก่อนจะยื่นมือไปคว้าจอกชาที่อยู่ข้างตัวขึ้นมา และเขวี้ยงมันลงไปบนพื้นสุดแรง เพล้ง จากนั้นโต๊ะก็ถูกเขาพลิกคว่ำเสียงดังสนั่น ไม่ใช่ชีหยวน! แล้วชีหยวนตัวจริงอยู่ที่ใด? นางสารเลวคนนี้ นางกล้าหลอกเขาอีกแล้วหรือ! กี่ครั้งแล้ว? เขาถูกนางผู้หญิงคนนี้มองเป็นลิงโง่ ที่ถูกนางหลอกปั่นหัวเล่นอยู่ในกำมือทุกครั้ง! ทว่าสิ่งที่น่าโมโหยิ่งกว่า คือตัวเขาที่คอยตกหลุมพรางของนางอยู่ทุกครั้ง แต่ละวันมีแต่โดนหลอก โดนหลอกไม่ซ้ำแบบอีกต่างหาก! เห็นอ๋องฉีบันดาลโทสะ เสวียนอู่ไป๋หู่ก็รับคุกเข่าและหมอบลง ไม่กล้าเงยศีรษะขึ้นมอง ระหว่างเดินทางพวกเขาเองก็สังเกตเห็นแล้วว่า นิสัยของอ๋องฉีนับวันยิ่งดุร้ายฉุนเฉียวง่ายขึ้นเรื่อย ๆ ลำพังแค่องครักษ์ลับที่ต้องถูกลงโทษก็จำนวนไม่น้อยแล้ว ทว่าอ๋องฉีไม่มีเวลามาลงโทษองครักษ์สองคนนี้ เขาถีบชั้นวางที่ตั้งอยู่ด้านข้างล้มระเนระนาด ก่อนจะตะคอกด้วยเสียงดุ
เพื่อฝึกฝนคนเหล่านี้ จวนอ๋องฉีและจวนฉู่กั๋วกงทุ่มเทหยาดเหงื่อโลหิตและความพยายามไปนับไม่ถ้วนแล้ว และคนเหล่านี้ก็มีความบากบั่นมุมานะมากพอ อ๋องฉีพาออกไปด้วยจำนวนหลายสิบคนแล้ว และส่วนที่เหลืออยู่นั่น ฉู่กั๋วกงก็เพิ่งจะส่งพวกเขาออกไปแล้วเช่นกัน ฮูหยินฉู่กั๋วกงยังไม่รู้ว่าสองวันที่ผ่านมานี้เขากำลังยุ่งอยู่กับการเคลื่อนย้ายองครักษ์ลับ จึงได้แต่ถามเขาอย่างกังวลใจ: “ส่งคนออกไปตามหาจิงหงใช่หรือไม่เจ้าคะ? จริงสิ จิงหงยังไม่ส่งข่าวคราวกลับมาอีกหรือเจ้าคะ?” ผ่านมานานหลายวันเพียงนี้แล้ว! หากว่าเป็นตอนก่อนที่หวงเหวินจวิ้นจะเข้ามา ต่อให้หลิ่วจิงหงหายออกไปนานถึงเพียงนี้ นางก็คงไม่เป็นกังวล ทว่าตอนนี้ นับแต่หวงเหวินจวิ้นปรากฏตัว นางกลับต้องรู้สึกกังวลใจอยู่ร่ำไป ยิ่งไปกว่านั้นยังขาดการติดต่อจากหลิ่วจิงหงไปอย่างสิ้นเชิง นางยิ่งรู้สึกกระวนกระวายใจตลอด คล้ายว่าจะมีเหตุการณ์ไม่ดีอะไรบางอย่างกำลังจะเกิดขึ้น ช่วงหลายวันที่ผ่านมานี้นางกินไม่ได้นอนไม่หลับ จนดูซูบผอมแห้งเหี่ยวลงไปมาก เห็นนางร้อนรนเป็นกังวลเช่นนี้ ฉู่กั๋วกงไหนเลยจะกล้าบอกความจริงกับนาง? ได้แต่ปลอบโยนว่า: “วางใจเถิด เขาออกไปทำภ
คนพวกนี้ก็เป็นแค่นักต้มตุ๋นหลอกลวงชาวบ้านก็เท่านั้น ฉู่กั๋วกงเห็นนางพูดเช่นนี้ ก็ได้แต่หัวเราะอย่างขมขื่น: “กระหม่อมเองก็หวังว่าจะเป็นแค่การหลอกลวง เพียงแต่เขานำหยกห้อยเอวประจำตระกูลของพี่ชายท่านออกมา กระหม่อมทราบดี จี้หยกชิ้นนี้พี่ชายของท่านไม่เคยเก็บไว้ห่างตัว!” หากว่าเป็นการขโมยมา หวงเหวินจวิ้นคงต้องวิ่งหนีเอาตัวรอดเป็นสิ่งแรก จะเดินมาติดกับดักด้วยตนเองแบบนี้ได้อย่างไร เพียงเสี้ยวพริบตาสีหน้าของหลิ่วกุ้ยเฟยพลันซีดลงทันใด หายใจติดขัด: “เช่นนั้นท่านพ่อหมายความว่า พี่ชายลูก…” จากไปแล้วจริงหรือ?! แล้วยังเป็นเพราะนางสารเลวชีหยวนนั่น? สารเลว! ชั่วช้าสารเลวจริง ๆ! หลิ่วกุ้ยเฟยกัดฟันแน่น: “ข้าจะต้องเอาชีวิตนางผู้หญิงคนนั้นมาให้ได้! ไม่สิ แค่ฆ่านางมันง่ายเกินไป ข้าจะทำให้นางทรมานยิ่งกว่าตายไปอีก ให้มันได้รู้ซึ้งถึงความหมายของการอยากอยู่ก็ไม่ได้ อยากได้ก็ไม่ได้เป็นอย่างไร!” ฉู่กั๋วกงถอนหายใจออกมา: “กุ้ยเฟย เรื่องนี้ท่านไม่จำเป็นต้องลงมือเอง ข้าได้เตรียมการไว้พร้อมแล้ว ที่กระหม่อมเข้าวังมาครั้งนี้ เพราะวาดหวังให้ท่านช่วยพูดเกลี้ยกล่อมท่านแม่ของท่าน บอกให้นางปล่อยวางและใจเย็นล
อ๋องฉีกำลังเล่นแหวนหยกสีมรกตในมือ นี่คือของที่ผู้ว่าการเมืองฮุ่ยชางคนปัจจุบันตั้งใจส่งมาให้เขาเป็นพิเศษ ทันทีที่ได้ทราบว่าเขามาเยือน ขุนนางเหล่านี้หากจะเลื่อนตำแหน่งตามขั้นตอนไปทีละก้าว อาจจะต้องรอไปถึงปีมะโว้ถึงจะมีโอกาส ต่อให้มานะบากบั่นไม่ถอย ไต่เต้าจนสามารถขึ้นเป็นรองเสนาบดีในวัยหกสิบเจ็ดสิบได้ ก็นับว่าบรรพบุรุษได้สร้างสมบุญกุศลให้มามากแล้ว ทว่าหากเดินทางลัด ในราชสำนักเสนาบดีอายุน้อยวัยสามสิบก็มีให้เห็น ดังนั้นในเมื่อมีทางลัดแล้วใครเล่าจะไม่อยากลองเดินบ้าง? สวรรค์ประทานชินอ๋องผู้ซึ่งเป็นที่โปรดปรานที่สุดในราชสำนักลงมาให้แบบนี้ โจวเสี่ยวเผิงผู้ว่าการเมืองฮุ่ยชางดีใจจนแทบคลั่งให้ได้ แม้ว่าชื่อของเขาจะมีอักษรเผิง ซึ่งหมายถึงพญาวิหค ทว่าความเป็นจริงแล้วเส้นทางขุนนางของเขากลับไม่ราบรื่นเลยแม้แต่น้อย ในขณะที่คนวัยเดียวกับเขาไต่เต้าขึ้นไปจนได้เป็นเจ้าเมืองกันหมดแล้ว เหลือแต่เขาที่ต้องอดทนตรากตรำเป็นผู้ว่าการเฝ้าเมืองที่ยากจนข้นแค้นเช่นนี้อยู่ ไม่รู้จะไปเรียกร้องจากใครที่ไหนได้เลยจริง ๆ? หนนี้อ๋องฉีอุตส่าห์ลดเกียรติลงและเสด็จมายังที่เล็ก ๆ แห่งนี้ ราวกับสวรรค์ประทานพรลงมาจร
นับว่ามีไหวพริบ อ๋องฉีพอใจกับการรู้สถานการณ์ของเขา เปล่งเสียงรับคำก็เอ่ยยิ้ม ๆ : “สกุลเซี่ยบัดนี้ผู้ใดเป็นผู้นำหรือ? ข้าได้ยินว่า ในบรรดาลูกหลานสกุลเซี่ย ยามนี้เซี่ยอิ๋งฉายแววโดดเด่นที่สุดใช่หรือไม่?” เซี่ยอิ๋ง สองคำนี้แค่เอ่ยออกจากปาก ก็แฝงด้วยความโกรธแค้นจนต้องกัดฟันแล้ว อ๋องฉีคิดถึงเมื่อชาติที่แล้ว ตอนที่ชีหยวนสังหารเขา มีดแหลมคมถูกดึงออกก่อนจะแทงเข้ามาซ้ำแล้วซ้ำเล่าอยู่อย่างนั้น ราวกับการกระทำนั้นแฝงด้วยความเคียดแค้นอันไร้สิ้นสุด ตำหนิถึงบาปกรรมของเขาประณามว่าเขาเป็นคนสังหารเซี่ยอิ๋ง เซี่ยอิ๋ง เซี่ยอิ๋ง เซี่ยอิ๋ง! เขาก็ฆ่ามันไปแล้ว และจะไม่หยุดอยู่เพียงแค่การฆ่าครั้งเดียว ครั้งนี้ก็จะฆ่ามันอีก ดูสิว่าจะเป็นอย่างไร? พูดถึงเซี่ยอิ๋งขึ้นมา โจวเสี่ยวเผิงยิ่งรู้สึกครั่นคร้ามในใจ ทว่าเขาก็ยังตอบอย่างตรงไปตรงมา: “เรียนท่านอ๋อง ความจริงเป็นเช่นนี้พ่ะย่ะค่ะ เขาอายุยังน้อย ทว่าสามารถผ่านการสอบคัดเลือกขุนนางในระดับซิ่วฉาย และระดับจวี่เหรินได้อย่างต่อเนื่องพ่ะย่ะค่ะ ยิ่งไปกว่านั้นในการสอบจวี่เหรินยังสามารถคว้าอันดับหนึ่งมาได้ และก็ได้รับตำแหน่งเป็นเจี้ยหยวนแล้ว…” ดังนั้นสังคมขุ
ฮ่องเต้หย่งชางกวาดพระเนตรมองโดยรอบ ตวาดเสียงเกรี้ยว “อ่างน้ำมงคลเล่า? ไยถึงได้มาช่วยดับไฟกันช้านัก?!”แล้วก็รีบร้อนหันไปถามไล่เฉิงหลง ซึ่งรับหน้าที่เฝ้าตำหนักเฟิ่งเจ่าในวันนี้ “ร่างของกุ้ยเฟยเล่า?”ไล่เฉิงหลงเหงื่อไหลท่วมทั้งร่าง คุกเข่าลงแล้วคารวะ “กระหม่อมกับนายพันลู่ช่วยกันหามร่างของกุ้ยเฟยออกมาได้แล้วพ่ะย่ะค่ะ เพียงแต่...”พวกเขาก็รู้ดีว่าเสี่ยวหลิ่วกุ้ยเฟยมีตำแหน่งเช่นไรในพระทัยของฮ่องเต้หย่งชาง ไหนเลยจะกล้าปล่อยให้ร่างของเสี่ยวหลิ่วกุ้ยเฟยถูกเผาจนมอดไหม้?หากปล่อยให้เป็นเช่นนั้นจริง เกรงว่าพวกตนก็คงต้องลงไปอยู่กับบรรพบุรุษแล้วแต่ถึงจะช่วยออกมาได้ ทว่าร่างของกุ้ยเฟยก็ยังคงดูเวทนานักอย่างน้อยเส้นผมของเสี่ยวหลิ่วกุ้ยเฟยก็ถูกไฟไหม้ไปแล้วครึ่งหนึ่งใบหน้าก็ถูกควันรมจนดำไปหมดฮ่องเต้หย่งชางปิดดวงเนตรลง เอื้อมพระหัตถ์ไปลูบไล้ใบหน้าของเสี่ยวหลิ่วกุ้ยเฟย สั่งการด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม “ไล่เฉิงหลง ลู่อี้เฟิง ดูแลไม่ดีจนตำหนักเฟิ่งเจ่าเกิดเพลิงไหม้ ให้ไปรับการลงโทษโบยสามสิบไม้ที่กรมวัง!”จากนั้นก็นิ่งไปครู่หนึ่ง แล้วถามต่อ “เหตุใดอ่างน้ำมงคลถึงกลายเป็นน้ำแข็ง?”ในวังหลวง ตามถนนสาย
ฮ่องเต้หย่งชางเหนื่อยล้าอย่างถึงที่สุดหลายวันมานี้ ทุกค่ำคืนเขามักจะฝันถึงเรื่องราวในอดีตตัวเขากับพระชายาหลิ่วสมัยยังอยู่ในดินแดนศักดินาในช่วงนั้น ยามใดที่คลื่นลมในทะเลพัดแรง ไม่รู้ว่าหลังคาบ้านของราษฎรกี่หลังจะปลิวว่อนทุก ๆ ปีล้วนมีคนต้องสังเวยชีวิตเพราะเหตุนี้ไม่น้อยแค่นั้นยังพอทนได้ แต่ภูมิอากาศก็ยังเย็นชื้น ทำให้ข้อกระดูกของเขาเจ็บเรื้อรังพระชายาหลิ่วจึงมักช่วยทำการรมยาเฉพาะจุดให้เขา อยู่เคียงข้างช่วยเหลือราษฎร คิดหาหนทาง ร่วมมือกับขุนนางท้องถิ่น แบ่งเขตพื้นที่ แล้วสอนชาวบ้านสร้างบ้านจากหินที่แข็งแรงมั่นคงในบริเวณที่ปลอดภัยกว่ายังได้ขอร้องอดีตฮ่องเต้ให้ส่งช่างจากกรมโยธามาช่วยสอนการเปิดเตาเผาและเผาอิฐพวกเขาค่อย ๆ แก้ไข นำพาเมืองจางโจวจากดินแดนยากไร้กลายเป็นเมืองมั่งคั่ง แม้แต่เมืองใกล้เคียงอย่างเฉวียนโจวก็ยังได้สร้างท่าเรือบางคราก็ฝันถึงเสี่ยวหลิ่วกุ้ยเฟยแรกเริ่มเดิมที เขาก็ไม่ได้คิดจะให้เสี่ยวหลิ่วกุ้ยเฟยเข้าวังเลยด้วยซ้ำเสี่ยวหลิ่วกุ้ยเฟยอายุน้อยกว่าเขามากเกินไป ห่างกันถึงสิบสองปีเขามองนางเหมือนน้องสาวคนหนึ่งมาตลอดแต่เมื่อเวลาค่อย ๆ ผ่านไป เสี่ยวหลิ่วกุ้ยเ
ปิดไม่มิดแล้วเขาไม่มีทางบ้าเลือดถึงขั้นลากผู่อู๋ย่งลงไปด้วยหรอก อย่างน้อยแบบนี้ผู่อู๋ย่งก็ยังอาจเห็นแก่ที่เขาเชื่อฟัง แล้วช่วยดูแลคนในตระกูลของเขาบ้างมิเช่นนั้น เกรงว่าตระกูลสวีคงไม่เหลือแม้แต่คนเดียวเซี่ยกงกงเชิญไล่เฉิงหลงเข้ามา ไล่เฉิงหลงก็นำเอกสารคำรับสารภาพพร้อมลายนิ้วมือของคนเหล่านั้นมาขึ้นถวายฮ่องเต้หย่งชางเพียงแค่เหลือบตามอง ก่อนจะเหวี่ยงเอกสารลงตรงหน้าสวีฮว่าน “เจ้ายังมีอะไรจะพูดอีก? คดีลักลอบค้าของเมื่อปลายปีก่อนก็เริ่มสอบตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว เจ้าคงคิดหาแพะรับบาปไว้ตั้งแต่นั้นกระมัง? ถึงได้ยุยงปลุกปั่นพวกครัวเรือนทหารที่มีเอี่ยว ให้เชื่อว่าตระกูลชีหักหลังพวกเขา ให้พวกเขารับผิดแทน!”สวีฮว่านฟุบหน้าลงกับพื้น สั่นเทาไปทั้งร่าง เอ่ยปากวิงวอนไม่หยุด “ฝ่าบาทโปรดเมตตา ฝ่าบาทโปรดไว้ชีวิตเถิดพ่ะย่ะค่ะ!”ฮ่องเต้หย่งชางแค่นเสียงเย็น แล้วกวาดดวงเนตรมองเหล่าขุนนางบุ๋นบู๊ “เมื่อครู่พวกเจ้าล้วนโกรธแค้นลุกฮือกันขึ้นมา กล่าวว่านี่คือการสมคบคิดศัตรู ขายชาติ ทรยศหักหลัง เป็นความผิดฐานคิดกบฏ พวกเจ้าพูดถูกแล้ว”สิ้นคำ ก็เรียกผู้บัญชาการศาลต้าหลี่เติ้งเหรินกู้ “คดีนี้ให้ศาลต้าหลี่เป็นผู้สื
แน่นอนว่าผู่อู๋ย่งไม่มีพ่อ พ่อของเขาตายไปนานแล้ว มิเช่นนั้นจะเข้ามาเป็นขันทีในวังได้อย่างไรกันเล่า?!แต่ตอนนี้ ความรู้สึกในใจเขามันไม่ต่างอะไรกับพ่อเพิ่งตายไปจริง ๆ เลยบัดซบเอ๊ย!เหลวไหลสิ้นดี!ที่ไหนมีขันที ที่นั่นก็ต้องมีคนของเขาแฝงอยู่รัชทายาทวังบูรพาโง่เง่าอย่างกับหมู ทั้งยังอ่อนแอขี้โรค ร่างกายก็เจ็บออด ๆ แอด ๆ ไปทั้งตัวต่อให้เซียวอวิ๋นถิงฉลาดหลักแหลมแค่ไหน ก็ใช่ว่าจะรอดพ้นสายตาเขาไปได้ทุกอย่าง ไม่ว่าอย่างไรอีกฝ่ายก็เป็นแค่คน ไม่ใช่เทพเซียน!เขาเตรียมตัวไว้แล้วว่าส่งขันทีไปขัดขวางเซียวอวิ๋นถิง แล้วก็ให้องครักษ์เสื้อแพรไปทำเลยหลักฐานทั้ง ๆ ที่เขาวางแผนทุกอย่างเอาไว้อย่างไม่มีที่ติแต่สุดท้ายเซียวอวิ๋นถิงกลับวางแผนเหนือกว่า ส่งของไปถึงฮ่องเต้หย่งชางก่อนเสียได้แล้วจะไม่ให้เขาโมโหได้อย่างไร?!ไอ้บ้าสองตัวนั่น!คนหนึ่งเจ้าเล่ห์ อีกคนเหี้ยมโหด ราวกับสุนัขจิ้งจอกกับอสรพิษรวมหัวกัน ใครหน้าไหนเข้าใกล้ก็ต้องถูกพวกเขากัดเข้าให้สักแผลเขาสูดลมหายใจเข้าลึก แล้วรีบสงบสติอารมณ์ลงอย่างรวดเร็วเขาเบือนหน้าหนีอย่างเย็นชา ไม่มองทางสวีฮว่านอีกเขาไม่เคยกังวลเลยว่าเรื่องนี้จะพัวพัน
ก็ใช่ว่าจะเคราะห์ร้ายเสียทีเดียว ถึงอย่างไรก็ไม่มีคนมาสนใจเขานัก ล้วนแต่ยุ่งกับการจัดการจวนฉู่กั๋วกงกันทั้งนั้น ต่อมาเสี่ยวหลิ่วกุ้ยเฟยก็ตายไปอีก เรื่องราวเยอะเกินไป ไม่มีใครจะนึกถึงเขาหรอก ทว่าเขาเองก็กลัวมาก! น้องหญิงคนนั้นของเขา มิใช่คนที่จะสะสางหนี้แค้นด้วยคุณธรรมมาตั้งแต่ตอนเยาว์วัยแล้ว หลังจากนี้จะต้องหาโอกาสมาจัดการเขาแน่! พูดให้ถึงที่สุด เรื่องทั้งหมดนี้ต้องโทษสกุลชีอย่างเดียว หากว่าสกุลชีไม่พาตัวพระชายาหลิ่วกลับมา เรื่องราวทั้งหมดนี้ก็จะไม่เกิดขึ้น ดังนั้นแล้วในตอนนี้อุตส่าห์หาโอกาสได้แล้วทั้งที เข้าย่อมต้องเหยียบย่ำสกุลชีให้เต็มที่แน่นอน ผู่อู๋ย่งยิ่งรู้สึกขบขันเต็มที พอเห็นว่าสวีฮว่านเหลือบสายตามองตนเองด้วยความเคร่งเครียดแล้ว ก็เบนสายตาออกเชิงว่าตักเตือนทันที สวีฮว่านรีบก้มศีรษะลง บัดนี้ลำคอของเขายังเจ็บแปลบ ๆ อยู่เลย ไหนจะตรงช่วงท้องอีก ดูเอาเถิดว่านางเด็กชีหยวนคนนี้ดุร้ายโหดเหี้ยมมากขนาดไหน หัวใจของเขาเต้นระส่ำว้าวุ่นไม่เป็นสุข จนถึงตอนนี้ ทั่วท้องพระโรงทั้งฝ่ายบู๊ฝ่ายบุ๋นล้วนพุ่งเป้าโจมตีจุดอ่อนของสกุลชี ทว่าเซียวอวิ๋นถิงกลับยังคงไม่ปรากฏตัว
สกุลชีถูกโจรบุกปล้นในวันที่สามของปีใหม่ ที่พำนักของคุณหนูใหญ่สกุลชีถูกไฟเผาวอดไปครึ่งหนึ่ง หากมิใช่เพราะคุณหนูใหญ่สกุลชีบังเอิญไปอยู่ที่ห้องของฮูหยินผู้เฒ่า และกำลังคัดเลือกถั่วปากอ้ากับฮูหยินผู้เฒ่าพอดี เกรงว่าคุณหนูใหญ่สกุลชีคงจะไม่รอดแล้ว เรื่องนี้ปิดบังไม่อยู่ ไม่นาน ก็แพร่สะพัดลือเล่ากันไปไกลแล้ว จะไม่ให้แพร่สะพัดไปไกลก็คงไม่ได้ สกุลชีเพิ่งถูกกล่าวหาว่าสมคบกับข้าศึกขายดินแดนให้อริราชศัตรู โหวผู้เฒ่าชีและชีเจิ้นก็ถูกจับเข้าคุกหลวงไปแล้ว เห็นสกุลชีสภาพน่าเวทนาถึงเพียงนี้ แต่ใครจะรู้ว่ายังมีคนจ้องจะซ้ำเติมสกุลชีไม่ปล่อย หวังให้สกุลชีตายราบคาบ เฮอะ ๆ พวกชาวบ้านก็ยังมีแอบวิพากษ์วิจารณ์กันบ้าง “ไม่รู้ว่าใช่ฝีมือของครอบครัวทหารจากจี้โจวหรือไม่?” “จริงด้วย หากว่าเป็นอย่างที่พวกครอบครัวทหารเหล่านั้นว่ากันจริง เงินถูกสกุลชิงเอาไปแล้ว แต่กลับโยนความผิดให้พวกเขารับไว้แบบนั้น พวกเขาจะไปยอมได้อย่างไร?” “หากเป็นข้านะ ข้าก็คงทุ่มสุดตัวเหมือนกัน!” ดูเหมือนว่าคนที่คิดเห็นเช่นเดียวกันนี้จะมิได้มีเพียงแค่พวกชาวบ้าน เทศกาลปีใหม่ปีนี้ถูกลิขิตไว้ไม่ให้เงียบสงบ ในวันที่เจ็ดของปีใหม่ ศ
สวีฮว่านเหงื่อเย็นไหลพลั่ก ตอนที่ได้ยินชีหยวนนับหนึ่ง สอง สาม ท้ายที่สุดเขาก็ทนไม่ไหว ร้องเสียงดังออกไป “ข้าให้เจ้าก็ได้! ข้าให้เจ้าก็ได้! สาส์นลับอยู่ใน…อยู่ในชั้นวางลับหลังโต๊ะหนังสือในห้องหนังสือของข้า!” ชีหยวนเปล่งเสียงอุทานออกมาหนึ่งคำ ก่อนจะเก็บกริชและปิ่นทองคำกลับมา แล้วใช้มือข้างหนึ่งคว้าคอเสื้อด้านหลังของเขาฉุดเขาขึ้นมา และผลักให้เขาเดินไปที่ชั้นหนังสือ พร้อมเอ่ยเสียงเข้มว่า “เปิดมัน” สวีฮว่านลังเลเล็กน้อย ทันใดนั้นชีหยวนก็เตะข้อพับขาของเขาอย่างแรงไปหนึ่งที “เปิดออก!” สวีฮว่านดึงจี้หยกที่ห้อยอยู่ข้างเอวของตนเองออกมาด้วยมือที่สั่นเทา ก่อนจะฝังมันเข้าไปในตำแหน่งที่เป็นช่องเว้าบนชั้นวางหนังสือ และหมุนมันหนึ่งรอบ ทันใดนั้นชั้นหนังสือก็เปิดออกอย่างช้า ๆ ทว่าเสี้ยวพริบตาเดียวนี้ สวีฮว่านรีบสะบัดตัวออกจากชีหยวนหวังว่าจะหลบหนี เขารู้ดี โดยปกติคนเราเมื่อตกอยู่ในเสี้ยวขณะที่ได้รับสิ่งของที่ตนเองต้องการมากเป็นอย่างยิ่ง ก็จะเผลอไผลไปได้ง่ายดายที่สุด เขาเฝ้ารอจังหวะนี้มาโดยตลอด ทว่าน่าเสียดาย เขาเพิ่งจะกลิ้งตัวไปกับพื้น กลับเห็นชีหยวนใช้มือปัดลูกธนูที่พุ่งออกมาจากชั้นวางลับ
สวีฮว่านรู้สึกอึดอัดกับแรงกดของกริชเล่มนั้น และไม่รู้ว่าเป็นเพราะผลกระทบทางจิตใจหรือไม่ เขารู้สึกอยู่ตลอดว่ารอยแผลที่ชีหยวนกรีดไปนั้นยังคงมีเลือดไหลออกมาไม่หยุด สิ่งนี้ทำให้เขาหวาดกลัวถึงขีดสุดจริง ๆ คนย่อมมีจุดอ่อน ชื่อเสียงและความรู้สึกหวงแหนชีวิตก็คือจุดอ่อนของสวีฮว่าน เขาเอ่ยด้วยความร้อนรน “ข้าช่วยเจ้าได้! ข้าช่วยล้างมลทินให้ตระกูลของเจ้าได้ ตราบใดที่พวกเจ้ายอมให้ความร่วมมือ ความผิดนี้ ข้าสามารถโยนให้คนอื่นรับไว้ได้!” ใบหน้าของชีหยวนไร้ซึ่งความรู้สึก ทว่าความเยือกเย็นในดวงตากลับยิ่งลุ่มลึกขึ้นมา ปลายกริชที่นางกดเอาไว้บนลำคอของเขาขยับเล็กน้อย เพียงเสี้ยวพริบตาก็สร้างรอยแผลเลือดซิบเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งรอยให้เขาได้เรียบร้อย ก่อนจะเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงที่เข้มข้นขึ้น “จะผลักความผิดให้แม่ทัพขุนศึกท่านอื่นที่บัดนี้ยังคงสู้รบในสมรภูมิอย่างซื่อสัตย์ภักดี พร้อมยอมพลีชีพเพื่อชาติได้อย่างนั้นหรือ? หรือคิดจะโยนความผิดให้บรรดาบุตรชายของครอบครัวทหารที่ต้องเข้าสู่สมรภูมิรบตั้งแต่วัยเพียงสิบสองสิบสามเหล่านั้นกัน พวกเขายังไม่ทันได้เติบโตด้วยซ้ำ ก็ต้องมาตายภายใต้อุบายชั่วช้าสามานย์ของพวกเจ้า”
หากว่ามี เช่นนั้นก็ต้องเลี้ยงดูให้ดี หากว่าไม่มี เช่นนั้นก็ต้องคิดหาหนทางเลือกเด็กสักคนในตระกูลมาเป็นบุตรบุญธรรมของเขา เพื่อจะได้เป็นทายาทสืบทอดวงศ์ตระกูล ขณะที่กำลังคิดสะระตะ เขาพลันได้ยินเสียงลมหายใจระลอกหนึ่งพัดผ่านข้างใบหู เสียงลมหายใจ! ทว่าในห้องมีเขาอยู่เพียงคนเดียว! เสี้ยวพริบตาเดียวสวีฮว่านพลันรู้สึกเส้นขนลุกชันไปทั่วทั้งตัว สติหลุดออกจากร่าง และทันใดนั้นก็คิดจะหมุนศีรษะกลับไปโดยสัญชาตญาณ ทว่าจังหวะที่เขากำลังคิดจะผินศีรษะกลับไป กริชเล่มหนึ่งก็ปักลงบนลำคอของเขาอย่างเงียบเชียบไร้เสียง หลังจากนั้นเขาได้ยินเสียงหัวเราะเบา ๆ เสียงนี้ชัดเจนว่าเป็นเสียงของดรุณีน้อยงามเพริศพริ้งสดใส เหมือนกับเสียงของบุตรสาวของเขาที่เข้ามาออดอ้อนเขาในยามปกติ ทว่าในเสี้ยวขณะนี้เวลานี้ เขากลับไม่รู้สึกว่าเสียงนั่นกำลังออดอ้อนสักนิด! เพื่อแสดงออกถึงความซื่อสัตย์สุจริตของตนเองแล้ว เรือนของเขายังต้องเช่าอาศัย และในเมื่อเรือนยังต้องเช่าอาศัย ดังนั้นในเรือนย่อมไม่สามารถมีบ่าวรับใช้ที่มากเกินไปได้ ยิ่งไปกว่านั้นยังไม่สามารถมียามเฝ้าเรือนได้ด้วย ดังนั้นองครักษ์เหล่านั้นของเขา ล้วนแต่ถูกเลี