หากนางจะจับตระกูลชีจับชีอวิ๋นถิงแล้วผิดตรงไหน? คิดเพื่อตนเองมันผิดตรงไหน?! ทุกคนถือสิทธิ์อะไรมาชี้หน้าประณามนาง?! นางหันศีรษะขวับ กัดฟันกรอดมองเซี่ยงเจี้ย “พี่ชายใหญ่เซี่ยง พวกข้าเองก็เติบโตมาด้วยกันตั้งแต่เยาว์วัย ท่านเองก็รู้ชัดว่าข้ากับท่านพี่เติบโตมาด้วยกัน พวกข้าสามารถกระทำสิ่งไม่เหมาะสมอันใดได้หรือ?” เซี่ยงหรงอยากจะเดินขึ้นไปด้านหน้า แต่กลับถูกเซี่ยงเจี้ยดึงรั้งไว้ เซี่ยงเจี้ยส่ายศีรษะให้นางเบา ๆ ชีอวิ๋นถิงพลันปวดหัวใจจนทนไม่ไหว “อาจิ่น เจ้าอย่าเถียงกับพวกเขาเลย ข้าเข้าใจทุกอย่าง! ข้าไม่มีวันยอมปล่อยให้เจ้าต้องรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจเด็ดขาด! จะคู่หมั้นหรืออะไรก็ตาม ในเมื่อยังไม่ได้สมรสกัน ก็ไม่มีความหมายอะไรทั้งสิ้น!” เซี่ยงหรงแค่นเสียงหัวเราะด้วยความโกรธ สรุปแล้วสองคนนี้กำลังแสดงให้พวกเขาดูว่าความสัมพันธ์อันลึกซึ้งมันเป็นเช่นไรอยู่สินะ? นางถามติดตลก “คู่หมั้นที่ยังไม่ผ่านพิธีสมรส มันไม่มีความหมายอะไรอย่างนั้นหรือ?” สองตระกูลต่างกำหนดวันพิธีสมรสไว้นานมากแล้ว แต่ในสายตาของชีอวิ๋นถิง กลับไม่มีความหมายอะไรเลย น่าขันสิ้นดี ชีอวิ๋นถิงบัดนี้ไม่สนใครหน้าไหนทั้งสิ้นแ
ทั้งสองคนกลิ้งตกบันไดลงไปพร้อมกัน และกอดกันแน่น ชีจิ่นน้ำตานองอาบใบหน้า ร้องไห้จนควบคุมตนเองไม่ได้ “ท่านพี่ ท่านจะช่วยข้าไว้ทำไมกัน? ท่านควรปล่อยให้ข้าตายไปซะ! ไยข้าจะต้องมีชีวิตอยู่บนโลกนี้ให้ขายหน้าด้วย?” พ่อบ้านเบิกตาโพลงอ้าปากค้าง คุกเข่าลงกับพื้นริมฝีปากสั่นสะท้าน โกรธจนทำอะไรไม่ถูกแล้ว ใครกันแน่ที่จะตาย? เขาต่างหากที่สมควรตาย! จบสิ้นแล้ว จบสิ้นแล้ว หากฮูหยินและท่านโหวรู้เรื่องนี้เข้า…เขาต้องเป็นคนที่ตายก่อนใครแน่ไม่ใช่หรืออย่างไร?! เซี่ยงเจี้ยโกรธกรุ่นแต่กลับผุดยิ้ม คิดจะเดินเข้าไปหาอย่างเหลืออด แต่กลับถูกเซี่ยงหรงรั้งเอาไว้ เขามองไปยังน้องสาว “หรงหรง?!” เหตุใดพวกเขาตระกูลเซี่ยงจะต้องทนรับความอัปยศนี้ด้วย! กลับเป็นเซี่ยงหรงที่ใจเย็นลงมาแล้ว นางดึงข้อมือของพี่ชายไว้ พลางส่ายหน้าเอ่ยเสียงขรึมว่า “ท่านพี่ ยังมีสิ่งใดจำเป็นต้องพูดอีกหรือ? พูดเหตุผลกับคนโง่ ก็มีแต่จะทำให้ตนเองยิ่งดูโง่” นางกระแอมออกมาครั้งหนึ่ง เอ่ยอย่างไม่เหลือเยื่อใยใดอีก “พวกเรากลับเถิด!” เซี่ยงเจี้ยยังคงอารมณ์โกรธกรุ่น แต่เห็นน้องสาวหันหลังกลับอย่างไม่ลังเลเตรียมจะไปจากที่นี่ เขาก็ได้แต่ตามนา
หรือจะบอกว่าเป็นบุตรชายของตนเองที่ทำเรื่องโง่เขลา ไล่ตามบุตรสาวบุญธรรมออกไป ไม่รู้เรื่องรู้ราวทั้งยังถูกหลานสาวของท่านเห็นด้วยกระนั้นหรือ?นางรู้สึกลำบากใจอยู่บ้าง ครุ่นคิดอยู่เป็นเวลานาน ทันใดนั้นก็มองเห็นชีหยวนที่ยืนอยู่ข้าง ๆ จึงรีบร้อนดึงชีหยวนออกมาเพื่อใช้เป็นข้ออ้าง “เด็กคนนี้ปรับตัวยังไม่ค่อยได้ ข้าจะพานางกลับไป...”ฮูหยินผู้เฒ่าเซี่ยงเหลือบมองไปที่ชีหยวน มองเห็นนางกำลังยืนสงบนิ่งอยู่อย่างว่านอนสอนง่าย ไม่พูดอันใดมาตั้งแต่ต้นจนจบ ทว่ากลับไม่เสียมารยาทเลยแม้แต่น้อย จึงรู้สึกพึงใจในทันทีถึงแม้ไม่รู้ว่าชีหยวนมีตรงไหนที่ผิดปกติ ทว่านางหวังพูดอย่างร้อนรนถึงเพียงนี้ นางจึงกระแอมกระไอออกมา “ช่างเถิด ลูกสำคัญกว่า”นางหวังรู้สึกเหมือนได้รับการปลดปล่อย นางต้องรีบไปที่เรือนพักนอกเมืองโดยเร็ว ฉวยโอกาสตอนที่พี่น้องสกุลเซี่ยงยังไม่กลับมา เรื่องนี้ยังไม่ถูกทำใหญ่โต ต้องหยุดเรื่องนี้เอาไว้ก่อนจะต้องไม่ทำให้เรื่องราวใหญ่โตเป็นอันขาด ถ้าหากทำให้ผู้อาวุโสคนอื่น ๆ ของสกุลเซี่ยงรู้เข้าละก็ การแต่งงานในครั้งนี้ก็อาจจะไม่สำเร็จ!ชีเจิ้นพอใจกับการแต่งงานในครั้งนี้มากนัก ถ้าหากรู้ว่าการแต่งงานคร
สีหน้าฮูหยินผู้เฒ่าเซี่ยงเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิงนางมองไปยังนางหวังด้วยสีหน้าไม่เป็นมิตร ใบหน้ายิ้มแต่ภายในไม่ยิ้มพลางส่งเสียงออกมาอย่างประหลาดใจเห็นได้ชัดว่านางไม่ได้ยิ้มมาจากก้นบึ้ง ทว่าน้ำเสียงกลับยังมีความอ่อนโยน พลางตบไปที่มือของเซี่ยงหรงอย่างยิ้มแย้ม “ห้ามพูดจาส่งเดช! ท่านพี่อวิ๋นถิงของเจ้าเป็นถึงคุณชายตระกูลใหญ่ ส่วนชีจิ่นก็เป็นไข่มุกงามแห่งเมืองหลวง ทุกคนต่างก็รู้ดี”ไข่มุกงามแห่งเมืองหลวง คุณชายตระกูลใหญ่คำเรียกขานสองชื่อนี้ ไม่ว่าชื่อใดก็รู้สึกว่าไพเราะเสนาะหู ทว่าเมื่อออกมาจากปากของฮูหยินผู้เฒ่าเซี่ยงในตอนนี้ ไม่สามารถปิดบังกลิ่นอายที่มีนัยของการเหน็บแนมเอาไว้ได้เลยนี่แสดงให้เห็นว่าฮูหยินผู้เฒ่ามีโทสะมากเพียงใดนางหวังยิ้มไม่ออกเป็นที่เรียบร้อยแล้ว นางกล่าวอย่างตื่นตระหนกจนทำอันใดไม่ถูก “จะต้องเป็นเพราะเด็กน้อยไม่รู้ความเป็นแน่…”นางแทบจะร้องไห้เสียงดังภายในใจอยู่แล้ว!เจ้าโง่สองคนนี้! นางปฏิบัติต่อชีจิ่นอย่างสุดใจ ต่อให้รู้ว่านางไม่ใช่บุตรสาวแท้ ๆ แต่ก็เป็นบุตรสาวที่นางเอ็นดูและปกป้อง นึกไม่ถึงว่าจะหันกลับมาใช้มีดแทงลงบนหัวใจของนางอย่างโหดเหี้ยม!ชีจิ่นอยู่ที่ตระ
ถ้าสมองของเขายังดีอยู่ ก็ควรรู้ว่าเขามีสถานะเช่นไร!ทว่าสุดท้ายนึกไม่ถึงว่าเขาจะกอดชีจิ่นไว้แล้วประท้วงเซี่ยงหรง บอกเซี่ยงหรงว่าคู่หมั้นไม่นับว่าเป็นอันใดได้! นี่มันหมายความว่ากระไรกัน?!พวกไม่มีสมอง!แต่งงานกับคนประเภทนี้ สู้แต่งงานกับหมูเสียยังดีกว่า!เมื่อได้ยินฮูหยินผู้เฒ่าเซี่ยงกล่าวเช่นนี้ นางก็กล่าวออกมาอย่างหมดข้อสงสัยในทันที “ใช่เจ้าค่ะ คุณชายใหญ่ตระกูลชีช่างทำตัวเหมือนเด็กยิ่งนัก เรื่องเช่นนี้สามารถเอามาล้อเล่นได้กระนั้นหรือ?”ทั้งสองคนต่างก็พูดเช่นนี้แล้ว ก็ถือว่าได้พูดออกมาอย่างชัดเจนแจ่มแจ้งต่อหน้าสตรีสูงศักดิ์ในเมืองหลวงเหล่านี้แล้วว่าตระกูลของพวกเขาไม่มีความเกี่ยวข้องกับตระกูลชีแม้แต่น้อยงานแต่งงานอันใดนั่น เดิมทีพวกเขาก็ไม่ได้ยอมรับอยู่แล้วนางหวังรู้สึกเจ็บปวดใจยิ่งนัก ทว่าในเวลานี้พวกเขามีเหตุมีผล ส่วนนางกลับเป็นฝ่ายที่ไร้เหตุผลเสียเอง ย่อมมีความทุกข์ใจที่พูดออกมาไม่ได้อยู่แล้วทว่าในสถานการณ์นี้ ไม่ว่านางจะอธิบายอันใดก็เหมือนกับกำลังช่วยชีอวิ๋นถิงกับชีจิ่นอธิบายท้ายที่สุดนางออกมาจากตระกูลเซี่ยงได้อย่างไรนั้น นางจำได้ไม่ชัดเจนแล้ว จนกระทั่งรถม้าหยุดลง
นางหวังกลับเรือนของตนเองอย่างโกรธจัด จากนั้นก็ให้หลิวจงมาหาอย่างหงุดหงิดพอหลิวจงเข้าประตูมา นางก็ถามใส่หน้าเขาในทันที “ข้ากำชับไว้แล้วมิใช่หรือ ว่าห้ามให้นายน้อยออกจากจวนโดยเด็ดขาด?! พวกเจ้าทำงานอย่างไรกันแน่ ไยนายน้อยถึงได้ออกจากจวนได้เล่า?!”ช่างไร้สาระเกินไปแล้ว!แล้วดันมาเป็นวันนี้! แล้วยังดันมาถูกเซี่ยงหรงพบเข้า!นางไม่กล้าจินตนาการเลยว่าหากชีเจิ้นรู้เรื่องนี้เข้า จะเดือดดาลมากสักเพียงใด!หลิวจงเองก็เต็มไปด้วยความขมขื่นมากเช่นกัน เจ้านายให้ชีอวิ๋นถิงกักบริเวณไม่ใช่แค่หนึ่งครั้งหรือสองครั้ง ทว่าปกติผู้ใดจะคิดเป็นจริงเป็นจังกับเรื่องเช่นนี้จริง ๆ กันเล่า?ก่อนหน้านี้ชีอวิ๋นถิงก็เป็นเช่นนี้ พอถูกกักบริเวณ ก็หนีไปเช่นกันก็ไม่มีผู้ใดใส่ใจนี่นา!ตอนนี้พอเกิดเรื่องขึ้น ความรับผิดชอบทั้งหมดกลับตกมาอยู่ที่พวกบ่าวไพร่เสียแล้วเขาอึก ๆอัก ๆ “คือว่า ฮูหยิน…ด้วยนิสัยของนายท่าน…”ยังไม่ทันจะจบ อยู่ ๆ เสวี่ยซงก็ล้มลุกคลุกคลานวิ่งเข้ามาขอความช่วยเหลือ “ฮูหยิน ฮูหยิน! ท่านรีบไปช่วยนายน้อยด้วยเถิดขอรับ ท่านโหวจะตีนายน้อยตายแล้วขอรับ!” ว่าอย่างไรนะ?!นางหวังลุกขึ้นมาจากม้านั่งอย่างฉับ
เข้าไปในเรือนพักนอกเมืองเร่งรีบเมื่อมาถึงประตูโค้งรูปพระจันทร์ ยังมีกำแพงอีกชั้นกั้นอยู่ นางก็ได้ยินเสียงตำหนิของชีเจิ้นลอยออกมาจนกระทั่งนางก้าวข้ามประตูโค้งรูปพระจันทร์ไป ทันใดนั้นก็มองเห็นชีเจิ้นยืนอยู่กลางลานบ้าน ทว่าเวลานี้ชีอวิ๋นถิงกำลัง นอนคว่ำอยู่บนม้านั่ง ถูกชีเจิ้นใช้แส้ม้าเฆี่ยนตีอย่างโหดร้ายชีเจิ้นลงมืออย่างไม่มีความปรานีแม้แต่น้อย แส้ที่ฟาดลงมาบนร่างในแต่ละครั้ง นำพาเอาลมแรงที่แสนเยือกเย็นออกมาด้วย เสื้อผ้าที่อยู่บนหลังของชีอวิ๋นถิงขาดจนหมดแล้ว เผยให้เห็นรอยบาดแผลเป็นเส้น ๆ โผล่ออกมานางหวังตกใจแทบสิ้นสติ ร่ำไห้พลางโผเข้าไปขวางอยู่เบื้องหน้าชีอวิ๋นถิงในทันที “ท่านโหว! ท่านโหว! อย่าตีอีกเลยนะเจ้าคะ หากยังตีต่อไป ท่านอาจตีเขาจนตายได้นะเจ้าคะท่านโหว!”ชีเจิ้นไม่เคยมีโทสะขนาดนี้มาก่อนเขาจับจ้องไปที่นางหวัง พลางพ่นคำพูดออกมาอย่างเย็นชา “ถอยไป!”นางหวังตกใจเสียใจหัวใจรู้สึกบีบรัด เนื้อตัวสั่นเทา พลางร่ำไห้ขอร้องด้วยเสียงสะอึกสะอื้น “ท่านโหว ข้ารู้ว่าเขาทำความผิดใหญ่หลวง ข้ารู้ทุกอย่าง…แต่ถึงอย่างไรเขาก็เป็นบุตรชายแท้ ๆ ของพวกเรานะเจ้าคะ!”ในเวลานี้ชีอวิ๋นถิงกำลังนอนคว
เห็นได้ชัดว่าอยู่ในโถงดอกไม้แล้ว ตัดขาดจากลมหนาวภายนอก ทว่าในเวลาเดียวกับที่ชีเจิ้นกล่าวคำพูดนั้นออกมา นางหวังก็รู้สึกว่ามีความเย็นยะเยือกสายหนึ่งค่อย ๆ คืบคลานมาที่สันหลังของนาง ทำให้นางรู้สึกเหมือนตกลงไปในห้องที่เต็มไปด้วยน้ำแข็งนางอ้าปากอยู่ชั่วขณะ รู้สึกแต่เพียงว่าลำคอทั้งแห้งผากและทั้งเจ็บ พอจะเอ่ยปากถึงได้รู้ว่าเสียงของตนเองได้แหบแห้งไปหมดแล้ว “เช่นนั้นความหมายของท่านโหวก็คือ…”ไม่รู้ว่าเหตุใด เมื่อครู่นางเห็นบุตรชายของตนเองถูกตี ยังเกลียดจนขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน ถึงขนาดสาปแช่งชีจิ่นอยู่ภายในใจ ทว่าในเวลานี้ เมื่อชีเจิ้นกล่าวประโยคนี้จบ นางก็รู้สึกกลัวจนตัวสั่นขึ้นมาอีกถึงอย่างไรนั่นก็เป็นลูกที่นางเลี้ยงดูมากับมือ เป็นลูกที่นางเฝ้าดูและอุ้มชูมาตั้งแต่เล็กแต่น้อย!ชีเจิ้นไม่มีความสองจิตสองใจใด ๆ และไม่มีความลังเลเลยแม้แต่น้อย เมื่อเห็นนางหวังถามเช่นนี้ เขาก็ถามกลับไปว่า “มิเช่นนั้นฮูหยินคิดว่าข้าหมายความว่าอย่างไรเล่า?”ใบหน้าของเขาแฝงไปด้วยความถากถางอยู่บางส่วน “ตอนนี้ทั่วทั้งราชสำนักกำลังวุ่นวายให้เหล่าขุนนางที่กอบโกยผลประโยชน์จากความดีความชอบ พึงสังวรณ์คำพูดและการกระทำของตน
ก็ต้องมี ‘คืนของขวัญ’ กลับไปบ้างกระมัง?ชีเจิ้นก็พลันเข้าใจ เพียงแค่เป้าหมายไม่ใช่ผู่อู๋ย่ง แต่ก็ยังเป็นการไปสังหารคนอยู่ดีเขาคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะกำชับว่า “เช่นนั้นก็ ระวังตัวด้วยแล้วกันนะ”ชีหยวนก็เดินตรงดิ่งออกจากประตูไปชีเจิ้นจึงหันกลับมามองท่านโหวผู้เฒ่าชีกับฮูหยินผู้เฒ่าชี “ท่านพ่อ ท่านแม่ ข้านึกขึ้นได้แล้ว วันปีใหม่วันนั้น แม่หนูหยวนบอกว่านอกจากจะแวะไปที่เรือนนอกเมืองแล้ว ยังมีธุระที่ต้องทำ มันเป็นธุระอะไรกันแน่?”ทั้งยังเป็น ‘การคืนของขวัญ’ ให้ผู่อู๋ย่งอีกด้วย?ท่านโหวผู้เฒ่าชีถลึงตาใส่เขาอย่างไม่สบอารมณ์ “เจ้าถามข้าแล้วข้าจะไปถามใคร โดนขังมาหลายวันแล้วเจ้ายังไม่เหนื่อยหรือไง? ทำตัวดี ๆ รีบไปอาบน้ำแล้วนอนพักเสีย ตอนเย็นค่อยไปกินข้าวที่เรือนใหญ่!”ชีเจิ้นอยากรู้จนใจแทบขาด แต่ก็ไม่อาจรู้ได้เลยว่าชีหยวนกำลังทำเรื่องอะไรที่เกี่ยวกับผู่อู๋ย่ง และยังจะบอกว่าเป็น ‘การคืนของขวัญ’ ให้อีกฝ่ายอีกต่างหากแต่แล้วเขาก็นึกขึ้นได้อีกเรื่องหนึ่ง “ท่านพ่อ! ผู้บัญชาการไล่จะไม่เป็นอะไรใช่หรือไม่?!”ไล่เฉิงหลงช่วยพวกเขาไว้มาก ที่ไม่โดนลงโทษก็เพราะอีกฝ่ายช่วยไกล่เกลี่ยแล้วไอ้หมาขันทีอ
ชีหยวนเลิกคิ้วขึ้นนิด ๆ เห็นทั้งสองคนกลับมาดูครบสามสิบสอง ดูก็รู้ว่าไม่ได้ถูกลงโทษ ก็รู้ทันทีว่าเป็นไล่เฉิงหลงที่ช่วยไว้นางหลุบตาลงแล้วส่ายหน้า “ไม่ใช่เพราะข้าหรอกเจ้าค่ะ เรื่องนี้เดิมทีก็เกิดขึ้นเพราะข้า เป็นข้าที่ก่อเรื่องวุ่นวายขึ้นมา พวกท่านต้องลำบากก็เพราะข้า”ความรู้สึกของท่านโหวผู้เฒ่าชีซับซ้อนอย่างยิ่งชีเจิ้นก็เช่นกันชีหยวนก็ถือว่าเข้าใจฐานะของตนเองดีนัก และไม่ทำตัวเกรงใจเกินจำเป็น พูดสิ่งที่ควรพูด ไม่สนใจด้วยซ้ำว่าจะมีใครตอบรับได้หรือไม่แต่ว่านางพูดตรงได้ ทว่าท่านโหวผู้เฒ่าชีกับชีเจิ้นย่อมไม่อาจตอบกลับตรง ๆ เช่นนั้น ท่านโหวผู้เฒ่าชีจึงกล่าวว่า “พูดอย่างนั้นก็ไม่ได้หรอก ตำแหน่งนี้ของเขา ทำมาก็หลายปี อยู่กึ่งกลาง หากทำงานของฝ่าบาทได้สำเร็จ เช่นนั้นสักวันก็ต้องเกิดเหตุเช่นนี้”ถ้าหากทำไม่สำเร็จ ต้องสืบหากันไปเรื่อย ๆ ไม่จบไม่สิ้น ฮ่องเต้หย่งชางก็ย่อมต้องเริ่มสงสัยในความสามารถของชีเจิ้น และหมดความอดทนต่อเขาฉะนั้นว่ากันตามจริงแล้ว เคราะห์นี้ก็หลีกเลี่ยงไม่ได้อยู่ดี ยังดีที่มีชีหยวนอยู่ จึงสามารถคลี่คลายเรื่องราวได้รวดเร็วขนาดนี้ท่านโหวผู้เฒ่าก็โล่งอก เมื่อเห็นเหล่าลูก
ฮ่องเต้หย่งชางกวาดพระเนตรมองโดยรอบ ตวาดเสียงเกรี้ยว “อ่างน้ำมงคลเล่า? ไยถึงได้มาช่วยดับไฟกันช้านัก?!”แล้วก็รีบร้อนหันไปถามไล่เฉิงหลง ซึ่งรับหน้าที่เฝ้าตำหนักเฟิ่งเจ่าในวันนี้ “ร่างของกุ้ยเฟยเล่า?”ไล่เฉิงหลงเหงื่อไหลท่วมทั้งร่าง คุกเข่าลงแล้วคารวะ “กระหม่อมกับนายพันลู่ช่วยกันหามร่างของกุ้ยเฟยออกมาได้แล้วพ่ะย่ะค่ะ เพียงแต่...”พวกเขาก็รู้ดีว่าเสี่ยวหลิ่วกุ้ยเฟยมีตำแหน่งเช่นไรในพระทัยของฮ่องเต้หย่งชาง ไหนเลยจะกล้าปล่อยให้ร่างของเสี่ยวหลิ่วกุ้ยเฟยถูกเผาจนมอดไหม้?หากปล่อยให้เป็นเช่นนั้นจริง เกรงว่าพวกตนก็คงต้องลงไปอยู่กับบรรพบุรุษแล้วแต่ถึงจะช่วยออกมาได้ ทว่าร่างของกุ้ยเฟยก็ยังคงดูเวทนานักอย่างน้อยเส้นผมของเสี่ยวหลิ่วกุ้ยเฟยก็ถูกไฟไหม้ไปแล้วครึ่งหนึ่งใบหน้าก็ถูกควันรมจนดำไปหมดฮ่องเต้หย่งชางปิดดวงเนตรลง เอื้อมพระหัตถ์ไปลูบไล้ใบหน้าของเสี่ยวหลิ่วกุ้ยเฟย สั่งการด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม “ไล่เฉิงหลง ลู่อี้เฟิง ดูแลไม่ดีจนตำหนักเฟิ่งเจ่าเกิดเพลิงไหม้ ให้ไปรับการลงโทษโบยสามสิบไม้ที่กรมวัง!”จากนั้นก็นิ่งไปครู่หนึ่ง แล้วถามต่อ “เหตุใดอ่างน้ำมงคลถึงกลายเป็นน้ำแข็ง?”ในวังหลวง ตามถนนสาย
ฮ่องเต้หย่งชางเหนื่อยล้าอย่างถึงที่สุดหลายวันมานี้ ทุกค่ำคืนเขามักจะฝันถึงเรื่องราวในอดีตตัวเขากับพระชายาหลิ่วสมัยยังอยู่ในดินแดนศักดินาในช่วงนั้น ยามใดที่คลื่นลมในทะเลพัดแรง ไม่รู้ว่าหลังคาบ้านของราษฎรกี่หลังจะปลิวว่อนทุก ๆ ปีล้วนมีคนต้องสังเวยชีวิตเพราะเหตุนี้ไม่น้อยแค่นั้นยังพอทนได้ แต่ภูมิอากาศก็ยังเย็นชื้น ทำให้ข้อกระดูกของเขาเจ็บเรื้อรังพระชายาหลิ่วจึงมักช่วยทำการรมยาเฉพาะจุดให้เขา อยู่เคียงข้างช่วยเหลือราษฎร คิดหาหนทาง ร่วมมือกับขุนนางท้องถิ่น แบ่งเขตพื้นที่ แล้วสอนชาวบ้านสร้างบ้านจากหินที่แข็งแรงมั่นคงในบริเวณที่ปลอดภัยกว่ายังได้ขอร้องอดีตฮ่องเต้ให้ส่งช่างจากกรมโยธามาช่วยสอนการเปิดเตาเผาและเผาอิฐพวกเขาค่อย ๆ แก้ไข นำพาเมืองจางโจวจากดินแดนยากไร้กลายเป็นเมืองมั่งคั่ง แม้แต่เมืองใกล้เคียงอย่างเฉวียนโจวก็ยังได้สร้างท่าเรือบางคราก็ฝันถึงเสี่ยวหลิ่วกุ้ยเฟยแรกเริ่มเดิมที เขาก็ไม่ได้คิดจะให้เสี่ยวหลิ่วกุ้ยเฟยเข้าวังเลยด้วยซ้ำเสี่ยวหลิ่วกุ้ยเฟยอายุน้อยกว่าเขามากเกินไป ห่างกันถึงสิบสองปีเขามองนางเหมือนน้องสาวคนหนึ่งมาตลอดแต่เมื่อเวลาค่อย ๆ ผ่านไป เสี่ยวหลิ่วกุ้ยเ
ปิดไม่มิดแล้วเขาไม่มีทางบ้าเลือดถึงขั้นลากผู่อู๋ย่งลงไปด้วยหรอก อย่างน้อยแบบนี้ผู่อู๋ย่งก็ยังอาจเห็นแก่ที่เขาเชื่อฟัง แล้วช่วยดูแลคนในตระกูลของเขาบ้างมิเช่นนั้น เกรงว่าตระกูลสวีคงไม่เหลือแม้แต่คนเดียวเซี่ยกงกงเชิญไล่เฉิงหลงเข้ามา ไล่เฉิงหลงก็นำเอกสารคำรับสารภาพพร้อมลายนิ้วมือของคนเหล่านั้นมาขึ้นถวายฮ่องเต้หย่งชางเพียงแค่เหลือบตามอง ก่อนจะเหวี่ยงเอกสารลงตรงหน้าสวีฮว่าน “เจ้ายังมีอะไรจะพูดอีก? คดีลักลอบค้าของเมื่อปลายปีก่อนก็เริ่มสอบตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว เจ้าคงคิดหาแพะรับบาปไว้ตั้งแต่นั้นกระมัง? ถึงได้ยุยงปลุกปั่นพวกครัวเรือนทหารที่มีเอี่ยว ให้เชื่อว่าตระกูลชีหักหลังพวกเขา ให้พวกเขารับผิดแทน!”สวีฮว่านฟุบหน้าลงกับพื้น สั่นเทาไปทั้งร่าง เอ่ยปากวิงวอนไม่หยุด “ฝ่าบาทโปรดเมตตา ฝ่าบาทโปรดไว้ชีวิตเถิดพ่ะย่ะค่ะ!”ฮ่องเต้หย่งชางแค่นเสียงเย็น แล้วกวาดดวงเนตรมองเหล่าขุนนางบุ๋นบู๊ “เมื่อครู่พวกเจ้าล้วนโกรธแค้นลุกฮือกันขึ้นมา กล่าวว่านี่คือการสมคบคิดศัตรู ขายชาติ ทรยศหักหลัง เป็นความผิดฐานคิดกบฏ พวกเจ้าพูดถูกแล้ว”สิ้นคำ ก็เรียกผู้บัญชาการศาลต้าหลี่เติ้งเหรินกู้ “คดีนี้ให้ศาลต้าหลี่เป็นผู้สื
แน่นอนว่าผู่อู๋ย่งไม่มีพ่อ พ่อของเขาตายไปนานแล้ว มิเช่นนั้นจะเข้ามาเป็นขันทีในวังได้อย่างไรกันเล่า?!แต่ตอนนี้ ความรู้สึกในใจเขามันไม่ต่างอะไรกับพ่อเพิ่งตายไปจริง ๆ เลยบัดซบเอ๊ย!เหลวไหลสิ้นดี!ที่ไหนมีขันที ที่นั่นก็ต้องมีคนของเขาแฝงอยู่รัชทายาทวังบูรพาโง่เง่าอย่างกับหมู ทั้งยังอ่อนแอขี้โรค ร่างกายก็เจ็บออด ๆ แอด ๆ ไปทั้งตัวต่อให้เซียวอวิ๋นถิงฉลาดหลักแหลมแค่ไหน ก็ใช่ว่าจะรอดพ้นสายตาเขาไปได้ทุกอย่าง ไม่ว่าอย่างไรอีกฝ่ายก็เป็นแค่คน ไม่ใช่เทพเซียน!เขาเตรียมตัวไว้แล้วว่าส่งขันทีไปขัดขวางเซียวอวิ๋นถิง แล้วก็ให้องครักษ์เสื้อแพรไปทำเลยหลักฐานทั้ง ๆ ที่เขาวางแผนทุกอย่างเอาไว้อย่างไม่มีที่ติแต่สุดท้ายเซียวอวิ๋นถิงกลับวางแผนเหนือกว่า ส่งของไปถึงฮ่องเต้หย่งชางก่อนเสียได้แล้วจะไม่ให้เขาโมโหได้อย่างไร?!ไอ้บ้าสองตัวนั่น!คนหนึ่งเจ้าเล่ห์ อีกคนเหี้ยมโหด ราวกับสุนัขจิ้งจอกกับอสรพิษรวมหัวกัน ใครหน้าไหนเข้าใกล้ก็ต้องถูกพวกเขากัดเข้าให้สักแผลเขาสูดลมหายใจเข้าลึก แล้วรีบสงบสติอารมณ์ลงอย่างรวดเร็วเขาเบือนหน้าหนีอย่างเย็นชา ไม่มองทางสวีฮว่านอีกเขาไม่เคยกังวลเลยว่าเรื่องนี้จะพัวพัน
ก็ใช่ว่าจะเคราะห์ร้ายเสียทีเดียว ถึงอย่างไรก็ไม่มีคนมาสนใจเขานัก ล้วนแต่ยุ่งกับการจัดการจวนฉู่กั๋วกงกันทั้งนั้น ต่อมาเสี่ยวหลิ่วกุ้ยเฟยก็ตายไปอีก เรื่องราวเยอะเกินไป ไม่มีใครจะนึกถึงเขาหรอก ทว่าเขาเองก็กลัวมาก! น้องหญิงคนนั้นของเขา มิใช่คนที่จะสะสางหนี้แค้นด้วยคุณธรรมมาตั้งแต่ตอนเยาว์วัยแล้ว หลังจากนี้จะต้องหาโอกาสมาจัดการเขาแน่! พูดให้ถึงที่สุด เรื่องทั้งหมดนี้ต้องโทษสกุลชีอย่างเดียว หากว่าสกุลชีไม่พาตัวพระชายาหลิ่วกลับมา เรื่องราวทั้งหมดนี้ก็จะไม่เกิดขึ้น ดังนั้นแล้วในตอนนี้อุตส่าห์หาโอกาสได้แล้วทั้งที เข้าย่อมต้องเหยียบย่ำสกุลชีให้เต็มที่แน่นอน ผู่อู๋ย่งยิ่งรู้สึกขบขันเต็มที พอเห็นว่าสวีฮว่านเหลือบสายตามองตนเองด้วยความเคร่งเครียดแล้ว ก็เบนสายตาออกเชิงว่าตักเตือนทันที สวีฮว่านรีบก้มศีรษะลง บัดนี้ลำคอของเขายังเจ็บแปลบ ๆ อยู่เลย ไหนจะตรงช่วงท้องอีก ดูเอาเถิดว่านางเด็กชีหยวนคนนี้ดุร้ายโหดเหี้ยมมากขนาดไหน หัวใจของเขาเต้นระส่ำว้าวุ่นไม่เป็นสุข จนถึงตอนนี้ ทั่วท้องพระโรงทั้งฝ่ายบู๊ฝ่ายบุ๋นล้วนพุ่งเป้าโจมตีจุดอ่อนของสกุลชี ทว่าเซียวอวิ๋นถิงกลับยังคงไม่ปรากฏตัว
สกุลชีถูกโจรบุกปล้นในวันที่สามของปีใหม่ ที่พำนักของคุณหนูใหญ่สกุลชีถูกไฟเผาวอดไปครึ่งหนึ่ง หากมิใช่เพราะคุณหนูใหญ่สกุลชีบังเอิญไปอยู่ที่ห้องของฮูหยินผู้เฒ่า และกำลังคัดเลือกถั่วปากอ้ากับฮูหยินผู้เฒ่าพอดี เกรงว่าคุณหนูใหญ่สกุลชีคงจะไม่รอดแล้ว เรื่องนี้ปิดบังไม่อยู่ ไม่นาน ก็แพร่สะพัดลือเล่ากันไปไกลแล้ว จะไม่ให้แพร่สะพัดไปไกลก็คงไม่ได้ สกุลชีเพิ่งถูกกล่าวหาว่าสมคบกับข้าศึกขายดินแดนให้อริราชศัตรู โหวผู้เฒ่าชีและชีเจิ้นก็ถูกจับเข้าคุกหลวงไปแล้ว เห็นสกุลชีสภาพน่าเวทนาถึงเพียงนี้ แต่ใครจะรู้ว่ายังมีคนจ้องจะซ้ำเติมสกุลชีไม่ปล่อย หวังให้สกุลชีตายราบคาบ เฮอะ ๆ พวกชาวบ้านก็ยังมีแอบวิพากษ์วิจารณ์กันบ้าง “ไม่รู้ว่าใช่ฝีมือของครอบครัวทหารจากจี้โจวหรือไม่?” “จริงด้วย หากว่าเป็นอย่างที่พวกครอบครัวทหารเหล่านั้นว่ากันจริง เงินถูกสกุลชิงเอาไปแล้ว แต่กลับโยนความผิดให้พวกเขารับไว้แบบนั้น พวกเขาจะไปยอมได้อย่างไร?” “หากเป็นข้านะ ข้าก็คงทุ่มสุดตัวเหมือนกัน!” ดูเหมือนว่าคนที่คิดเห็นเช่นเดียวกันนี้จะมิได้มีเพียงแค่พวกชาวบ้าน เทศกาลปีใหม่ปีนี้ถูกลิขิตไว้ไม่ให้เงียบสงบ ในวันที่เจ็ดของปีใหม่ ศ
สวีฮว่านเหงื่อเย็นไหลพลั่ก ตอนที่ได้ยินชีหยวนนับหนึ่ง สอง สาม ท้ายที่สุดเขาก็ทนไม่ไหว ร้องเสียงดังออกไป “ข้าให้เจ้าก็ได้! ข้าให้เจ้าก็ได้! สาส์นลับอยู่ใน…อยู่ในชั้นวางลับหลังโต๊ะหนังสือในห้องหนังสือของข้า!” ชีหยวนเปล่งเสียงอุทานออกมาหนึ่งคำ ก่อนจะเก็บกริชและปิ่นทองคำกลับมา แล้วใช้มือข้างหนึ่งคว้าคอเสื้อด้านหลังของเขาฉุดเขาขึ้นมา และผลักให้เขาเดินไปที่ชั้นหนังสือ พร้อมเอ่ยเสียงเข้มว่า “เปิดมัน” สวีฮว่านลังเลเล็กน้อย ทันใดนั้นชีหยวนก็เตะข้อพับขาของเขาอย่างแรงไปหนึ่งที “เปิดออก!” สวีฮว่านดึงจี้หยกที่ห้อยอยู่ข้างเอวของตนเองออกมาด้วยมือที่สั่นเทา ก่อนจะฝังมันเข้าไปในตำแหน่งที่เป็นช่องเว้าบนชั้นวางหนังสือ และหมุนมันหนึ่งรอบ ทันใดนั้นชั้นหนังสือก็เปิดออกอย่างช้า ๆ ทว่าเสี้ยวพริบตาเดียวนี้ สวีฮว่านรีบสะบัดตัวออกจากชีหยวนหวังว่าจะหลบหนี เขารู้ดี โดยปกติคนเราเมื่อตกอยู่ในเสี้ยวขณะที่ได้รับสิ่งของที่ตนเองต้องการมากเป็นอย่างยิ่ง ก็จะเผลอไผลไปได้ง่ายดายที่สุด เขาเฝ้ารอจังหวะนี้มาโดยตลอด ทว่าน่าเสียดาย เขาเพิ่งจะกลิ้งตัวไปกับพื้น กลับเห็นชีหยวนใช้มือปัดลูกธนูที่พุ่งออกมาจากชั้นวางลับ