แววตาของหลงเพ่ยเพ่ยเป็นประกาย รีบพยักหน้าทันที “ได้ ข้าจำไว้แล้ว!”เย่หรงมิพูดพร่ำทำเพลง เปิดใช้งานลูกแก้ววิญญาณในทันทีเกิดเสียงดังสนั่น ลูกแก้ววิญญาณถูกเขาโยนลงไปเบื้องล่าง ปรากฏเป็นประตูมิติที่ส่องแสงเจ็ดสีอยู่เบื้องล่าง“มาจากที่ใด กลับไปที่นั่น!”เย่หรงนึกถึงคำพูดบนถุงผ้าของเย่ซงเฉิง จึงพึมพำออกมาที่ใดเล่าคือที่มา?ในหัวของเย่หรงพลันปรากฏภาพตึกสูงระฟ้าที่เขาฝันถึงนับครั้งมิถ้วน เขาเคยบอกกับหลงเพ่ยเพ่ยว่าหากมีโอกาสจะพานางไปดู ตอนนี้คือโอกาสนั้นแล้วหรือ?ยังมิทันที่เย่หรงจะได้คิดหาคำตอบ แสงเจ็ดสีนั้นก็เป็นดั่งแม่เหล็กขนาดยักษ์ ดูดกลืนคนทั้งสองเข้าไปในชั่วพริบตาเย่หรงรู้สึกเพียงว่าเบื้องหน้ามีแต่แสงสว่างวาบไหวจนมองมิเห็นสิ่งใด มีเพียงแรงกดดันมหาศาลบีบอัดร่างของพวกเขาทั้งสองเขาโอบกอดหลงเพ่ยเพ่ยไว้แน่น จะไปที่ใดสำคัญด้วยหรือ?ขอเพียงได้อยู่กับสตรีในอ้อมแขนนี้ ต่อให้ต้องตายก็ยอมหลับตาด้านบนนั้น หยางหงหนิงถูกเย่ซื่อเจียงฟาดจนล้มลงกับพื้น กระบี่ในมือหลุดลอยตกจากหน้าผาไปเมื่อหยางหงหนิงเห็นแสงเจ็ดสีนั้น นางก็มิยอมแพ้ พุ่งตัวสุดแรงเพื่อหลบการโจมตีของเย่ซื่อเจียง แล้วกระโจน
หรือว่าเขากำลังจะตาย!เย่ซื่อเจียงมิสามารถควบคุมการร่วงหล่นของตนเองได้อีกต่อไปเขานึกถึงลูกแก้ววิญญาณที่เย่ซงเฉิงมอบให้ มุมปากพลันปรากฏรอยยิ้มเย้ยหยันตนเองลูกแก้ววิญญาณยังจะมีประโยชน์อันใดกับตนอีกหรือ?ท่านปู่เก่งกาจในการทำนายโชคชะตาถึงเพียงนั้น แต่กลับคาดมิถึงว่าท้ายที่สุดแล้วลูกแก้ววิญญาณก็มิอาจช่วยชีวิตตนได้กระมัง!“เย่หรง...”“เย่หรง...”เสียงร้องตกใจสองสายดังขึ้น เย่หรงที่กำลังสติเลือนราง คล้ายได้ยินเสียงของเย่ซื่อเจียงผู้เป็นบิดาและเสียงของหลงเพ่ยเพ่ยเย่หรงพลันมีสติขึ้นมา เขาพยายามเบิกตากว้าง ก็ได้เห็นคนผู้หนึ่งกระโดดลงมาจากหน้าผา“จับแส้ไว้!”หลงเพ่ยเพ่ยตะโกนลั่นแขนทั้งสองข้างของเย่หรงหักไปแล้ว เขาพยายามฝืนยกแขนขึ้นเพื่อคว้าแส้ที่หลงเพ่ยเพ่ยสะบัดลงมา แต่เมื่อยกขึ้นได้เพียงครึ่งเดียวก็กลับร่วงหล่นลงอย่างสิ้นแรงเพียงชั่วพริบตานั้น เย่หรงก็มองเห็นอย่างชัดเจนว่า บิดาเย่ซื่อเจียงของตนกำลังเกาะสายคาดเอวของหลงเพ่ยเพ่ยไว้ เส้นผมยาวสลวยของนางปลิวไสว ขณะที่นางกำลังออกแรงสะบัดแส้ลงมาสุดกำลังส่วนเบื้องหลังของเย่ซื่อเจียงนั้นปรากฏร่างของหยางหงหนิงผู้มีใบหน้าดุร้ายน่ากลัว นา
พร้อมกับเสียงคำรามกึกก้องของหลงหมิง แส้เพลิงแดงก็แปรเปลี่ยนราวกับงูไฟที่มีชีวิต ปลดปล่อยเปลวเพลิงออกมานับมิถ้วนเซียวหลินเทียนยังมิทันได้ตั้งตัว แส้เพลิงแดงก็ตวัดเข้ารัดพันรอบกายของเขาไว้แน่นเปลวเพลิงเหล่านั้นลุกไหม้อาภรณ์และเส้นผมของเขาในพริบตา เขาถูกห้อมล้อมอยู่ท่ามกลางทะเลเพลิงอย่างสิ้นเชิง“เจ้ามิอยากให้หลิงอวี๋ถูกเผาทั้งเป็น งั้นเจ้าก็จงลิ้มรสชาติของการถูกเผาทั้งเป็นด้วยตัวเองก่อนเถิด!”หลงหมิงหัวเราะอย่างบ้าคลั่งต่อให้เซียวหลินเทียนจะเชี่ยวชาญวิชาควบคุมน้ำแข็งแล้วอย่างไรเล่า?น้ำแข็งของเขาก็เป็นเพียงสิ่งที่สร้างขึ้นจากกายเนื้อ แส้เพลิงแดงของหลงหมิงคือมหาวัตถุศักดิ์สิทธิ์ ตราบใดที่พลังมิเหือดแห้ง ก็สามารถปลดปล่อยเปลวไฟออกมาได้อย่างมิสิ้นสุดเซียวหลินเทียนถึงกับได้กลิ่นเนื้อและผิวหนังของตนที่ถูกไฟเผาจนไหม้เหม็นเขาตัดสินใจอย่างเด็ดเดี่ยว มิสนใจคำเตือนของสวินเย่ก่อนหน้านี้ และกลืนโอสถลงไปอีกสองเม็ดนี่เป็นการใช้ยาเกินขนาดที่ร่างกายจะรับไหวแล้ว เขามีโอกาสที่จะกระอักเลือดหรือเสียชีวิตจากอัมพาตทั่วร่างได้ทุกเมื่อแต่เซียวหลินเทียนมิสนใจอีกแล้ว หากมิอาจหยุดยั้งหลงหมิงได้ หลิ
เมื่อเซียวหลินเทียนเห็นหลงหมิงชักแส้เพลิงแดงออกมา เขาก็ล้วงโอสถสองเม็ดที่สวินเย่ให้มากลืนลงไปทันทีหากเขาต้องการต้านทานการโจมตีของหลงหมิง มีเพียงหนทางเดียวคือต้องยกระดับวรยุทธ์ของตนเองขึ้นในชั่วพริบตาทันทีที่โอสถละลายลงท้อง ความรู้สึกร้อนผ่าวก็พลันพลุ่งพล่านจากจุดตันเถียนขึ้นมาเซียวหลินเทียนคว้าปลายแส้ของหลงหมิงไว้ พร้อมกับใช้เคล็ดวิชาควบคุมน้ำแข็งปรากฏไอเย็นยะเยือกแผ่ออกจากฝ่ามือของเซียวหลินเทียน ควบแน่นความชื้นในอากาศโดยรอบในพริบตาความชื้นเหล่านั้นแข็งตัวกลายเป็นน้ำแข็งในทันใด ประดุจดังหลาวน้ำแข็งนับมิถ้วนที่เข้าห่อหุ้มแส้เพลิงแดงพรึ่บ พรึ่บ พรึ่บ...ในชั่วพริบตา น้ำแข็งมากมายก็ได้กลืนกินเปลวเพลิงบนแส้เพลิงแดงจนหมดสิ้นแส้เพลิงแดงราวกับอสูรร้ายที่ตกลงไปในกับดัก แม้จะดิ้นรนสุดกำลังภายใต้การควบคุมของหลงหมิง เปลวไฟก็ลุกโชนขึ้นมาอีกครั้งหลงหมิงตะโกนเสียงดังลั่น “ต่อให้เจ้าจะใช้วิชาควบคุมน้ำแข็งได้ แต่ด้วยระดับพลังของเจ้า ก็มิใช่คู่ต่อสู้ของตัวข้าอยู่ดี...”เซียวหลินเทียนมิพูดอะไร ด้วยวรยุทธ์ของเขาที่ด้อยกว่าหลงหมิง จึงทำได้เพียงทุ่มเทสุดกำลังเพื่อต่อกรเท่านั้นเซียวหลินเ
ตลอดหลายปีที่ผ่านมา เหตุผลที่สวินเย่สามารถทนอยู่ในคุกน้ำได้ ก็เพราะอาศัยสวินหลินเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจแต่ใครจะรู้ว่า ในที่สุดสวินหลินก็ทนความเจ็บปวดจากโรคภัยมิไหวและสิ้นใจไปเมื่อสวินเย่เห็นว่ากู่ที่ตนฝังไว้ในร่างของลูกชายได้ตายลง เขาก็รู้ได้ในทันทีว่าจะมิได้พบหน้าบุตรชายเพียงคนเดียวของตนอีกแล้วเขาเปลี่ยนความรักที่มีต่อบุตรชายให้กลายเป็นความเกลียดชังต่อหลงหมิง!ด้วยแรงแค้นนี้ สวินเย่ได้คิดค้นกู่ซากศพและพิษกู่ที่สามารถแพร่เชื้อได้อย่างรุนแรงชนิดอื่น ๆ ขึ้นมามากมายเขาสาบานว่าหากวันใดได้รับอิสรภาพ จะต้องทำให้หลงหมิงชดใช้อย่างสาสม!ขณะเดียวกัน สวินเย่ยังได้ศึกษาวิจัยเกี่ยวกับระดับพลังของหลงหมิงโดยเฉพาะวิชาควบคุมน้ำแข็งก็เป็นหนึ่งในนั้นนี่เป็นวิชาไม้ตายของจูเก๋ออี้ สวินเย่ได้มันมาโดยใช้การมอบอิสรภาพให้จูเก๋ออี้เป็นข้อแลกเปลี่ยนวิชาไม้ตายอีกหลายแขนงก็ล้วนได้มาจากการแลกเปลี่ยนกับคนอื่น ๆ ในคุกน้ำเช่นกันเซียวหลินเทียนมิรู้ถึงสาเหตุเบื้องหลัง เมื่อเห็นสวินเย่นิ่งเงียบไป จึงเอ่ยเร่ง “ข้าตกลงจะมอบเสือปีกกาฬให้ท่านแล้ว ท่านยังจะลังเลอะไรอีก?”“สวินเย่ เพียงข้ามี มิว่าท่านต้อง
พร้อมกับเสียงหัวเราะอันเหี้ยมเกรียมของหลงหมิง เขาก็หมุนเวียนพลังปราณทั้งหมดไปที่แส้เพลิงแดง ทันใดนั้นแส้เพลิงแดงก็พลันปรากฏเป็นมังกรไฟพุ่งทะยานออกมานี่คือเปลวไฟของจริงที่สามารถแผ่ความร้อนสูงหลายร้อยองศาได้ในพริบตา ครั้งก่อนร่างเนื้อของมหาปราชญ์ก็มิอาจทนทานต่ออุณหภูมิสูงเช่นนี้ได้ จึงได้ระเบิดออกเป็นเสี่ยง ๆ ในทันทีหลงหมิงยังคงคิดจะใช้กระบวนท่านี้เพื่อสังหารเซียวหลินเทียนให้ระเบิดตายแต่ใครจะรู้ว่าเมื่อเซียวหลินเทียนเห็นมังกรไฟม้วนตัวพุ่งเข้ามาหาตนอย่างรวดเร็ว เขากลับมิยอมปล่อยแส้เพลิงแดงเขาตะโกนลั่น “หลงหมิง เจ้าคิดว่าข้าโง่รึ?”“หากกระบวนท่าเดิม ๆ ใช้กับเจ้ามิได้ผล เจ้าคิดว่าข้าจะใช้อีกหาปะไร!”“รับไป!”สิ้นเสียงคำรามกึกก้องของเซียวหลินเทียน ทั่วร่างของเขากลับปรากฏเกล็ดน้ำแข็งขึ้นชั้นหนึ่ง มันลามไปตามแขนของเขาอย่างรวดเร็ว พลังวิญญาณของเขาก็ไหลผ่านแส้เพลิงแดงพุ่งเข้าสู่มังกรไฟที่กำลังโถมเข้ามาอย่างบ้าคลั่งเช่นกันหลงหมิงเห็นบริเวณคิ้วและดวงตาของเซียวหลินเทียนปรากฏเกล็ดน้ำแข็งสีขาวเคลือบอยู่ชั้นหนึ่งในทันใด ดวงตาของเขาก็ฉายแววคมปลาบ“เซียวหลินเทียน เจ้าฝึกวิชาควบคุมน้ำแข็งสำ