LOGINวราลีถามเมื่อสังเกตได้ถึงความเงียบขรึมของภวินท์ที่มากขึ้นกว่าเดิม ถึงเขาจะพยายามซ่อนมันไว้แค่ไหนแต่ด้วยความสนิทสนมระหว่างเธอกับเขา ทำให้วราลีรู้ว่าภวินท์กำลังมีอะไรอยู่ในใจ
“ยังไงล่ะไหม” ภวินท์ถามวราลีกลับไป
“พี่ไก่ไม่สบายใจเรื่องอะไรคะ”
“เปล่านี่พี่ก็ปกติดี”
“ค่ะไหมรู้ว่าพี่ไก่คงไม่คิดจะบอกไหม” เธอพูดอย่างเข้าใจในความเป็นตัวตนของภวินท์
ภีรดาเดินมาหาวราลีที่ตึกที่เป็นคณะเรียนของวราลี ภีรดาถอยหลังกลับทันทีที่เห็นภวินท์นั่งอยู่ตรงนั้น
“พิม” เสียงเรียกของวราลีทำให้ภีรดาต้องหันกลับไป
“พิมเอาของมาให้” เธอพูดกับวราลีโดยไม่ได้มองภวินท์เหมือนเช่นทุกครั้ง
“ขอบใจจ้ะ เดี๋ยวพิมนั่งคุยกับพี่ไก่รอก่อนนะ ไหมมีเรียนอีกชั่วโมงเดียวเดี๋ยวมา” วราลีบอกพร้อมทั้งลุกขึ้นเก็บหนังสือก่อนจะเดินเข้าไปในตึกเพราะได้เวลาเรียนของเธอพอดี
ภีรดาอยากจะหนีหน้าคนเย็นชาที่กำลังนั่งอยู่ตรงหน้าเธอนี่ซะเหลือเกิน แต่เธอไม่อยากให้เขารู้ว่าเธอจงใจหลบหน้าเขา
“ถ้านายอึดอัดกับการที่จะเห็นหน้าฉันก็ไปได้เลยนะ” ภีรดาเป็นฝ่ายพูดก่อน
“รู้ด้วยเหรอว่าทำให้คนอื่นอึดอัด” ภวินท์พูดเยาะๆ เขานึกอยากจะหัวเราะตัวเองที่เกิดอยากจะต่อปากต่อคำกับภีรดาขึ้นมาทั้งๆ ที่ปกติเขารำคาญเธอด้วยซ้ำไป
“ฉันไม่ได้โง่นี่ที่จะดูไม่ออกว่านายรำคาญฉัน”
“งั้นเหรอ” เขาพูดอย่างยียวน
“นายไม่ต้องห่วงหรอก ต่อไปถ้าไม่จำเป็นฉันจะไม่ไปให้นายเห็นหน้าอีก” เธอพูดอย่างพยายามจะบังคับน้ำเสียงให้เป็นปกติ
“พูดพอหรือยัง” ภวินท์พูดเสียงเฉียบขาดก่อนจะมองหน้าเธอนิ่งๆ
“ใช่ฉันมันน่ารำคาญ ไหนจะสู้พี่เกษของนายได้” ภีรดาอดที่จะประชดไม่ได้ทั้งๆ ที่เธอไม่ได้อยากเอ่ยชื่อนี้เลยสักนิด เพราะทุกครั้งที่เอ่ยชื่อของแก้วกานต์ เธอรู้สึกเหมือนถูกเข็มเป็นพันๆ อันทิ่มแทงหัวใจทุกครั้ง
เสียงโทรศัพท์ของภีรดาดังขึ้นขัดจังหวะการโต้เถียงของทั้งคู่ ภีรดาดูเบอร์ที่โทรเข้ามาก่อนจะแสร้งยิ้มเหมือนดีใจเต็มที่
“ค่ะพี่แทน”
น้ำเสียงที่เรียกรัฐศาสตร์อย่างอ่อนหวานของภีรดากระทบโสตประสาทของภวินท์อีกครั้ง เธอปรายตาไปทางเขานิดหนึ่ง ภีรดาบอกตัวเองว่าคงตาฝาดไปแน่ๆ ที่รู้สึกว่าภวินท์หน้าตึงไปทันที
“ไปทานข้าวเย็นกับพี่นะครับพิม”
“พิมจะไปทานข้าวบ้านเพื่อนน่ะค่ะ พี่แทนไปด้วยกันได้ไหมล่ะคะ” ภีรดาพูดตอบเขาไปอย่างอ่อนหวาน
“ได้ครับ” รัฐศาสตร์รับปากอย่างดีใจก่อนจะวางสายไป
ภีรดาวางสายจากรัฐศาสตร์ไปแล้วแต่ยังคงยิ้มเหมือนมีความสุขมากซะเหลือเกิน ภาพนั้นทำให้ภวินท์รู้สึกขัดหูขัดตาและหงุดหงิดได้อีกครั้ง
“กลัวคนเขาจะไม่รู้หรือไงว่ามีความสุข”
“นายว่าอะไรนะ” ภีรดาแกล้งถามเหมือนไม่เข้าใจความหมายของเขา
“อย่ามาทำให้ไหมต้องใจแตกไปด้วยอีกคนจะดีกว่า”
ที่แท้เขาก็ห่วงวราลี ภีรดาถอนหายใจอย่างผิดหวังเพราะแอบคิดไปว่าเขาอาจจะนึกหวงเธอขึ้นมาบ้าง
“ฉันทำอะไรก็ไม่เคยดีเลยใช่ไหมในสายตานาย”
ภีรดาพูดอย่างน้อยใจอีกครั้ง ทำไมมันถึงเจ็บอย่างนี้นะเมื่อรู้ว่าภวินท์ไม่ได้ใยดีเธอเลย ทั้งๆ ที่เจ็บมากี่ครั้งๆ ต่อกี่ครั้งเธอก็ไม่เคยที่จะชินกับมันเสียที
วราลีซึ่งเพิ่งเรียนเสร็จและกลับลงมาหาทั้งสองคนในตอนนั้นทำให้บรรยากาศลดความตึงเครียดลดลงไปชั่วขณะ ทั้งหมดมาที่บ้านของวราลีหลังจากนั้นพร้อมกับรัฐศาสตร์ที่ตามมาสมทบ
วราลีเข้าครัวทำอาหารเอง เพราะวันนี้พ่อและแม่ของเธอไปเยี่ยมญาติที่ต่างจังหวัด ภีรดาอาสาเข้าไปช่วยโดยมีรัฐศาสตร์อาสาเข้าไปช่วยอีกคน ในขณะที่ภวินท์เลี่ยงไปนั่งรออยู่ข้างนอกคนเดียว
“แย่จังน้ำมันพืชหมด” วราลีบ่นเมื่อน้ำมันพืชที่จะใช้ทำปลาทอดหมดโดยที่เธอไม่ได้ซื้อมาเผื่อไว้
“งั้นเดี๋ยวผมพาไปซื้อดีกว่าครับ” รัฐศาสตร์อาสา
วราลีและรัฐศาสตร์ออกไปข้างนอก ทิ้งให้ภีรดาอยู่ในครัวคนเดียว ภวินท์เดินเข้ามาดูเห็นท่าทางเก้ๆ กังๆ ของคุณหนูผู้ที่ซี่งไม่เคยเข้าครัวแต่ทำเป็นเก่งทำโน่นทำนี่แล้วก็อดขำไม่ได้
“นายหัวเราะอะไร” ภีรดาหันไปเห็นและแหวใส่เขาทันที
“หัวเราะคนที่ทำอะไรไม่เป็นแต่ยังอวดดี”
“นายว่าฉันเหรอ”
“ว่าไหมล่ะมั้ง” เขาย้อน
“โอ๊ย” อยู่ๆ ภีรดาก็ร้องขึ้น พร้อมกับวางมีดที่กำลังหั่นผักลงทันที ภวินท์รีบถลันเข้าไปดูทันที
“เห็นมั้ยล่ะ” เขาบ่นๆ ก่อนจะจับมือเธอทีกำลังมีเลือดไหลออกมาไปที่อ่างล้างจานและเปิดน้ำล้างเอาเลือดที่ติดมือเธออยู่ออกไป
“เจ็บนะ” ภีรดาโวยวาย แต่ภวินท์ไม่ได้สนใจก่อนจะดึงมือเธอให้เดินตามเขาออกไปข้างนอกและเดินไปหยิบกล่องอุปกรณ์ทำแผลมา
“อยู่นิ่งๆ” เขาเอ็ดเธอเมื่อภีรดาไม่ยอมอยู่นิ่งๆ
ภวินท์ทำแผลให้เธออย่างตั้งใจ สัมผัสของเขาอ่อนโยนจนภีรดาต้องยอมหยุดนิ่งให้เขาปฐมพยาบาลให้ เธอมองสีหน้าเขาในยามนี้อย่างตื้นตันทั้งๆ ที่สีหน้าเขายังดูมึนตึงแต่สัมผัสที่อ่อนโยนของเขาทำให้ภีรดาต้องแอบซึมซาบเอาความรู้สึกในตอนนี้ไว้อย่างเต็มหัวใจ
“เสร็จแล้ว” เขาบอกหลังจากที่ปิดแผลด้วยพลาสเตอร์ยาให้เธอเสร็จแล้ว
“คราวหลังก็ระวังหน่อยล่ะ” ภวินท์ยังบ่นเธอต่อ แต่เขาแทบช็อกที่อยู่ๆ ภีรดาก็ยกมือขึ้นโอบรอบคอเขาและกดริมฝีปากของเธอลงมาบนริมฝีปากของเขา เธอจูบเขาอย่างเรียกร้องการตอบสนองเท่าที่ประสบการณ์ที่เธอเคยมีสอนเธอ
“คุณเมธิน” เขาตอบเรียบๆ“แล้วยังไงคะ” เธอถามเขาต่อแต่ลำคอเริ่มตีบตัน“ถ้าคุณจะถอนหมั้นแล้วไปคบกับเขาผมก็ยินดีนะ” น้ำเสียงที่พูดราวกับไม่รู้สึกยินดียินร้ายของเขาบาดลึกลงไปในหัวใจของภีรดาอย่างไม่เคยรู้สึกเท่านี้มาก่อน ความรู้สึกที่เขาคิดจะผลักไสเธอให้คนอื่นมันเหมือนเธอไม่เคยมีความหมายอะไรต่อเขาเลย ทำให้ภีรดาต้องเมินหน้าหนีจากใบหน้าเข้มๆ ของเขาภวินท์มาจอดรถส่งเธอที่หน้าบ้านหลังจากที่ภีรดานั่งเงียบมาตลอดทาง“ถ้าคุณพร้อมเมื่อไหร่ก็บอกผม” เขาหันมาพูดก่อนที่ภีรดาจะเปิดประตูรถลงไป“พิมไม่เคยมีความหมายอะไรกับพี่เลยใช่ไหมคะ” เธอหันไปถามเขาอย่างเจ็บปวด น้ำเสียงสั่นเครือ“พิม” เขาเรียกเธอย่างตกใจ“พี่ไก่มีหัวใจบ้างหรือเปล่า” เสียงหวานเอ่ยอย่างตัดพ้อ น้ำตาที่สกัดกั้นไว้ตลอดทางเริ่มไหลออกมาเต็มสองแก้ม พร้อมกับกำปั้นน้อยๆ ที่หันไปทุบที่หน้าอกเขาติดๆ กันเพื่อระบายสิ่งที่อัดอั้นอยู่ในหัวใจมาตลอด เขารวบมือของเธอไว้“ปล่อยนะ” เธอหันไปแหวใส่เขาทั้งๆ ที่ยังไม่หยุดร้องไห้“หยุดร้องไห้ก่อนแล้วพูดกันดีๆ” น้ำเสียงเขาอ่อนโยนลง“ไม่หยุด พิมเกลียดพี่ไก่ ใช่...พิมมันบ้า บ้าที่หลงรักพี่ ทั้งๆ ที่พี่ไม่เคยเห็นพิมอ
“พิมเป็นเหน็บค่ะสงสัยจะนั่งนาน”เขาช้อนร่างบางของเธอไว้ในวงแขน ก่อนจะเดินไปที่โซฟาตัวยาวที่อยู่ใกล้ๆ และวางลง ภวินท์นั่งลงข้างล่าง ถอดรองเท้าเธอออก แล้วนวดให้อย่างเบามือ ทำให้ภีรดานึกไปถึงเมื่อสี่ปีก่อนที่เธอเคยแกล้งเขาและเขาต้องนวดให้เธอแบบนี้ หญิงสาวเริ่มหน้าแดงเมื่อนึกถึงตอนที่เขาจูบเธอเป็นครั้งแรกหลังจากนั้น“ดีขึ้นหรือยัง”“ก็เอ่อค่ะ” ในยามนี้ภีรดาเหมือนนางอายทำอะไรก็ดูขัดเขินไปหมด เพราะไม่คิดว่าเขาจะอ่อนโยนกับเธอได้ขนาดนี้ภวินท์จึงหัวเราะกับท่าทางเงอะงะของคู่หมั้นสาว“พิมครับเป็นอะไรไปครับ” คำพูดของเขายิ่งทำเอาเธออ่อนยวบจนแทบละลาย คนอย่างเขาพูดเพราะกับเธอได้ขนาดนี้เลยเหรอ“พี่ไก่คะ”“ครับว่าไง”“ไม่ว่าอะไรพิมใช่ไหมคะที่พิมจะเรียกว่าพี่ไก่”“ไม่ว่าครับเพียงแต่มันไม่ชิน”“แล้วถ้าถอนหมั้นกันแล้ว พิมยังจะเรียกเหมือนเดิมได้หรือเปลา” ภีรดาถามต่อแต่คำถามของเธอทำให้เขาหน้าตึงขึ้นมาทันที“ตามใจสิ” เขาตอบห้วนๆ และทำท่าจะเดินไปจากตรงนั้น ภีรดาลุกขึ้นและดึงแขนเข้าไว้“เดี๋ยวก่อนค่ะ โกรธพิมเหรอคะ” เธอพูดอย่างงอนง้อ“ไม่ได้โกรธ”“แล้วทำไมต้องเดินหนีพิมล่ะคะ”“ก็แค่คู่หมั้นกำมะลอจะใส่ใจอะไรกั
“ไม่นะคะพี่เคน” เธอปฏิเสธทันที“พี่คงไม่ยอมให้เรื่องมันผ่านแล้วผ่านเลยไปอย่างแน่นอน พิมไม่มีสิทธิ์ปฏิเสธ แล้วถ้าเรื่องนี้ถึงหูคุณพ่อคุณแม่ท่านคงไม่ทำแค่ที่พี่ทำแน่”คำพูดที่เด็ดขาดของภีรวัจน์ทำให้เธอรู้ว่าเธอหมดทางปฏิเสธ แล้วภวินท์ล่ะจะเป็นอย่างไรบ้าง เขาจะรู้สึกอึดอัดแค่ไหนที่ต้องหมั้นกับเธอทั้งๆ ที่ไม่ได้รักภีรดาถูกภีรวัจน์สั่งให้ย้ายแผนกมาฝึกงานกับฝ่ายบัญชีหลังจากนั้น หากเป็นแต่ก่อนเธอคงไม่ยอมพี่ชายง่ายๆ แบบนี้แต่ตอนนี้เธอกลับรู้สึกว่านั่นเป็นการดีสำหรับเธอ เพราะเธอยังไม่พร้อมที่จะเผชิญหน้ากับภวินท์ในตอนนี้วราลีทราบข่าวเรื่องนี้จากปากของภีรดา ทำให้เธอตื่นเต้นไม่น้อยเพราะไม่คิดว่าจะได้เพื่อนรักมาเป็นพี่สะใภ้ในที่สุด เธอรู้ว่าภีรดาแอบชอบภวินท์มาหลายปีแล้ว แต่พี่ชายของเธอก็เอาแต่เมินเฉยและเย็นชาใส่ภีรดามาตั้งแต่แรกเช่นกัน เธอรู้สึกดีใจแทนภีรดาอย่างมากแต่ก็รู้สึกไม่ชอบใจนักที่รู้ว่าภีรวัจน์เป็นผู้บังคับให้ภวินท์หมั้นกับภีรดา คนร้ายกาจนั่นชอบวางอำนาจและชอบสั่งให้คนนั้นคนนี้ทำตามที่ตัวเองต้องการอยู่ร่ำไป โดยที่ไม่ได้ถามความสมัครใจเขาสักนิดความห่างเหินระหว่างภวินท์กับภีรดาเริ่มมากขึ้นเ
ภวินท์เป็นที่หมายปองของสาวๆ ทั้งบริษัท เพราะนอกจากเขาจะหน้าตาหล่อเหลาแล้ว เขายังวางตัวได้ดีและทำงานเก่งจนมีความก้าวหน้า ในหน้าที่การงานมากกว่าคนหนุ่มที่อายุรุ่นราวคราวกัน ภีรดาเองก็เคยเห็นผู้หญิงมองตามเขาหลายครั้งหญิงสาวลุกขึ้นและเดินตรงมาหาเขาที่โต๊ะ เธอยืนอยู่ข้างหน้าโต๊ะและไม่ยอมขยับไปไหน ภวินท์เงยหน้าขึ้นมองเธอนิดหนึ่งก่อนจะก้มหน้าลงสนใจงานตรงหน้าต่อ“งานของคุณเสร็จแล้วเหรอ” ภีรดารู้สึกหงุดหงิดอย่างบอกไม่ถูกที่เขาพูดกับเธอแต่ไม่ยอมมองหน้าสักนิด“ยัง”“อ้อลืมไปว่าคุณเป็นลูกสาวเจ้าของบริษัท แต่อยากทำอะไรก็ทำเถอะ ส่วนผมมันแค่ลูกจ้างต้องทำงานให้คุ้มเงินเดือน” ภีรดาหน้าชาเพราะเหมือนเขากำลังย้อนสิ่งที่เธอเคยพูดเอาไว้เพราะอารมณ์ชั่ววูบเท่านั้น“ก็บอกแล้วไงว่าฉันขอโทษ” ภีรดาพูดอย่างงอนง้อ“ขอโทษเรื่องอะไร”“ก็ที่ฉันพูดไม่ดีกับนายวันก่อน”“คุณก็พูดถูกนี่” เขาพูดเหมือนไม่ใส่ใจคำขอโทษของเธอสักนิด“เมื่อไหร่นายจะหายโกรธฉันซักที”“ผมคงไม่บังอาจไปโกรธลูกสาวนายจ้างอย่างคุณหรอกครับ” น้ำเสียงเขาราบเรียบและห่างเหินจนภีรดาเริ่มจะหมดความอดทน“งั้นเหรอ ถ้าอย่างนั้นฉันอยากสั่งอะไรนายก็ได้ใช่ไหม” เธอพู
“อย่าทำอะไรบ้าๆ อีกนะ” วราลีหันกลับมาค้อนขวับพร้อมทั้งพูดกับเขาเสียงดุๆ“ไหมก็รู้ว่าห้ามผมไม่ได้”“ถ้าคิดจะล่วงเกินไหมอีก ไหมจะ..” เธอหยุดพูดไว้แค่นั้นเพราะไม่รู้ว่าคนอย่างเธอจะสามารถทำอะไรเขาได้“จะ..อะไรครับยาหยี”“ถอยไปนะ ไหมจะไปอาบน้ำ” เธอพูดจะสะบัดตัวออกแต่ครั้งนี้กลับเป็นอิสระอย่างง่ายดาย เพราะเขายอมปล่อยเธอแต่โดยดีวราลีรีบเดินตัวปลิวเข้าห้องน้ำอย่างไม่ยอมเสียเวลาเพราะกลัวคนบ้านั่นจะทำอะไรบ้าๆ กับเธออีก อาบน้ำเสร็จกลับออกมาพร้อมกับใส่เสื้อคลุมอย่างมิดชิดและดวงตากลมโตของเธอหันมามองเขาที่ยังคงนอนสบายใจอยู่บนที่นอนเช่นเดิม สายตาของเขามองเธอทุกอิริยาบถจนเธอแทบจะเดินขาขวิดภีรวัจน์หัวเราะในลำคอเบาๆ ก่อนที่จะลุกจากเตียงแล้วแกล้งเดินเฉียดเธอไปเข้าอาบน้ำบ้างวราลีแต่งตัวเสร็จและนั่งรอเขาอยู่ที่เตียง เธอหันหลังให้เขาตั้งแต่เห็นเขาเดินออกมาจากห้องน้ำ คนบ้านั่นหน้าไม่อายสักนิดกับการที่ต้องเปลื้องผ้าต่อหน้าเธอ แต่เธอเขินอายเกินกว่าจะมองภาพนั้นได้ภีรวัจน์เดินเข้ามาใกล้หญิงสาวหลังจากที่เขาแต่งตัวเสร็จ เขามานั่งซ้อนข้างหลังและสอดมือเข้ามาที่เอวคอดของเธอ“พี่เคน”เขาไม่ตอบแต่ฝังจมูกลงบนซอกคอข
เขาผละลุกขึ้นจากร่างเปลือยเปล่าของเธออย่างรวดเร็วก่อนจะตรงเข้าไปยังห้องน้ำ และเปิดฝักบัวเพื่อให้สายน้ำเย็นๆ ดับความร้อนระอุและความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นกับร่างกายเขาจนรวดร้าวในตอนนี้ภาพการตอบสนองที่ร้อนแรงอย่างไม่รู้ตัวของวราลียังตามหลอกหลอนเขาทำเอาเขาแทบคลั่งและต้องใช้ความอดทนอย่างมากที่จะไม่เปิดประตูห้องน้ำกลับออกไปหาเธออีกครั้งวราลีควานหาเสื้อนอนมาใส่อย่างอับอาย ร่างกายเธอยังสั่นเทาจากพิษของแรงปรารถนาที่เพิ่งดับมอดลง เธอไม่รู้จะสู้หน้าเขาอย่างไรทั้งๆ ที่ปากตะโกนบอกว่าเกลียดเขา แต่ร่างกายเธอกลับตอบสนองเขาอย่างร้อนแรงราวกับสาวร้อนรักไม่มีผิดภีรวัจน์กลับออกมาอีกครั้ง หลังจากที่สายน้ำช่วยบรรเทาความร้อนระอุของเขาลงไปได้จนเกือบเป็นปกติวราลีนั่งอยู่ที่เตียงโดยใช้ผ้าห่มพันร่างของตัวเองเอาไว้อย่างหนาแน่น ตาสองคู่ประสานกันเป็นครั้งแรกหลังจากที่เพิ่งผ่านเหตุการณ์อันวาบหวามไปหญิงสาวหน้าแดงและเสหลบตาเขาอย่างอับอายเมื่อนึกถึงปฏิกิริยาอันน่าอับอายของตัวเองเขาหัวเราะน้อยๆ กับท่าทางของเธอ ก่อนจะเดินลงมานั่งที่เตียงข้างๆ เธอ วราลีสะดุ้งและตะครุบชายผ้าห่มเอาไว้แน่น“ตลกน่าไหม นึกว่าผ้าห่มแค่นี้จะช่




![ความลับประธานหม้าย [20+ Soft BDSM]](https://acfs1.goodnovel.com/dist/src/assets/images/book/43949cad-default_cover.png)


