ชายชราไม่สนว่าอีกฝ่าย จะช่วยเหลือด้วยหนี้บุญคุณ หรือเพราะราคาค่าจ้าง ขอแค่ตอนนี้ครอบครัวเขาปลอดภัย สิ่งใดก็หาได้สำคัญไม่
“เป็นท่านลุงไม่ได้หรือขอรับ ที่ไปด้วยตนเอง”
“อี้หลาง!”
เป็นครั้งแรกที่ชายชรา รู้สึกว่าหลานชาย ทำตัวเสียมารยาท สอดแทรกการสนทนา ทั้งที่ไม่เคยทำมาก่อน
“ท่านหมออย่าได้ตำหนิเขาเลยขอรับ ข้าเองก็อยากรู้เหตุผลของความกล้านี้เช่นกัน”
ชายหนุ่มเกรงเด็กชายจะถูกลงโทษ จึงได้เอ่ยปากช่วยเหลือ และเป็นอย่างที่เขาพูดไป เขาอยากรู้ว่าทำไม เด็กชายจึงอยากให้เขาไปด้วยตนเอง
“ท่านลุงมีภรรยา แล้วหรือยังขอรับ”
“อี้หลาง เจ้าอย่าได้เสียมารยาทเกินไปนัก ครานี้ตาต้องลงโทษเจ้าจริงๆ แล้วนะ”
ชายชรารู้สึกกรุ่นโกรธขึ้นมาจริงๆ แล้ว นี่นับเป็นเรื่องที่ก้าวล่วงอย่างแท้จริง
“ไม่เป็นไรท่านหมอ ข้าชอบความใจกล้าของเขา เจ้าอยากรู้ข้าก็ไม่ขอปิดบัง ข้านั้นไร้ภรรยา รวมถึงทายาทด้วย”
ชายหนุ่มผ่านโลกมาไม่น้อย พอจะเดาความคิดของเด็กชายออก แต่เขาเองก็อยากมั่นใจ ว่าคิดถูกหรือไม่กับการตีความ ในคำถามของต้วนอี้หลาง
“เช่นนั้นท่านลุงยิ่งเหมาะสมขอรับ และถ้าท่านลุงไม่ไปด้วยตนเอง อาจรู้สึกเสียดาย ในวันหน้าก็เป็นได้นะขอรับ”
ทั้งคู่สบตากันนิ่ง ก่อนที่เจ้าสำนักเจียง จะหัวเราะออกมาอย่างพึงพอใจ เมื่อสิ่งที่เขาตีความหมาย ในคำพูดของเด็กชายตรงหน้า ไม่ผิดจากที่คิดไว้
เด็กคนนี้ไม่ธรรมดาเลยจริงๆ แววตานี้หากเป็นในชายฉกรรจ์ มันคือแววตาของนักรบผู้เจนสงคราม เหมือนการพูดเล่น ทว่าแฝงไปด้วยเล่ห์เหลี่ยม
“อ่า...เช่นนั้นข้าคงต้องไปด้วยตนเอง เพราะไม่อยากเสียดายในวันหน้า อย่างที่เจ้าว่ามาหลานชาย”
เป็นการตอบตกลง ที่ดูง่ายดายเกินไปแล้ว ในความคิดของชายชรา ทว่าต่างจากต้วนอี้หลาง ที่รู้ดีแก่ใจว่าชายหนุ่มผู้นี้ ชื่นชอบความท้ายทายเป็นที่สุด
คนที่หัวเราะให้กับทุกอย่างบนโลก คือคนที่จริงใจและอันตรายที่สุดเช่นกัน คนประเภทรักแรงเกลียดแรง หากคบหาได้จะเป็นผลดีต่อชีวิตยิ่งนัก และเขาจะไม่พลาดโอกาส ที่จะผูกมิตรแบบกระชับแน่นกับคนผู้นี้
“ท่านเจ้าสำนัก หลานชายของข้า เคยได้รับบาดเจ็บสาหัสที่ศีรษะมาก่อน พอฟื้นมาก็จะไม่คงเดิมเท่าใดนัก ท่านเจ้าสำนักโปรดอย่าได้ถือสาเลยนะขอรับ”
“ท่านหมออย่าได้ตำหนิเขาเลยขอรับ บางทีเขาอาจทบทวนมาดีแล้ว ก่อนจะพูดออกมา ข้ากลับชอบที่เขากล้าพูดมันออกมาตรงๆ และเขายังสามารถทำให้ข้า อยากรู้ถึงสิ่งที่จะทำให้ข้ารู้สึกดายอีกด้วย”
“ท่านตา ข้าต้องขอโทษด้วยขอรับ ที่ทำให้ท่านตารู้สึกไม่ดี และเสียหน้าในครานี้ แต่ข้ามั่นใจ...ว่ามันจะดีในภายหน้าขอรับ”
เด็กชายเอ่ยกับผู้เป็นตา แน่นอนเขาย่อมมีเป้าหมายอยู่ในใจ ส่วนมันจะสำเร็จหรือไม่ ก็ขึ้นอยู่กับโชคชะตา แต่เขามั่นใจยิ่งนักว่ามันจะไม่สูญเปล่า
ชายชราทำเพียงยืนมือ ไปวางบนไหล่เล็กของหลาน แล้วขยับฝ่ามือตบเบาๆ อย่างจำยอมต่อคำพูดของหลานชาย หากจะว่าไปแล้วนี่เป็นครั้งแรก ที่ต้วนอี้หลางทำเช่นนี้ เพราะทุกครั้งที่ติดตามเขาออกนอกบ้าน หลานชายจะสงบเงียบยิ่งนัก
บางทีเขาต้องรู้จักเปิดตาให้กว้าง เพื่อมองความคิดของหลานชายให้มาก มันคงจะจริงอย่างที่เจ้าสำนักเจียงกล่าวมา ต้วนอี้หลางคงคิดมาดีแล้ว ก่อนจะเอ่ยออกมา
“เช่นนั้นเราไปกินข้าวกันดีกว่าขอรับ จะได้กลับถึงโรงหมอไม่มืดค่ำจนเกินไป”
ชายหนุ่มลุกขึ้น ก่อนจะผายมือให้แก่แขกของสำนัก ให้เดินเคียงข้างเขาไป เมื่อถึงห้องอาหารแล้ว ชายหนุ่มได้ขอตัวไปสั่งงานสักครู่ ในช่วงเวลาที่รออาหารยกมา
“วันนี้ตาต้องทำโทษเจ้า หลังจากเรากลับถึงบ้าน”
เมื่ออยู่กันเพียงลำพัง ชายชราได้เอ่ยกับหลานชาย ด้วยสีหน้าจริงจัง แม้เขาจะพอรู้ถึงจุดประสงค์ของหลานชาย แต่เด็กที่ดีต้องไม่แทรก การสนทนาของผู้ใหญ่ หากเขามิใช่คนที่เคยช่วยชีวิตท่านเจ้าสำนักไว้ ไม่รู้ว่าความขุ่นเคือง ที่อีกฝ่ายเก็บซ่อนไว้ จะปะทุออกมาหรือไม่
“สิ่งที่ข้าทำผิด ย่อมพร้อมรับการลงโทษขอรับ แต่เรื่องนี้ท่านตาอย่าได้กังวลเลยขอรับ ข้าคิดว่าการที่เรามีเกราะคุ้มภัยที่มั่นคง ย่อมเพิ่มความน่าเชื่อถือ ต่อกิจการภายหน้าของเราขอรับ ถึงมันจะเสี่ยงกับบางเรื่องก็ตาม แต่ทุกความเสี่ยงมักมีโอกาสซ่อนอยู่เสมอขอรับ”
เด็กชายไม่ได้ปฏิเสธ ต่อการถูกคาดโทษ เขาย่อมรู้อยู่แล้วว่าต้องเป็นเช่นนี้ ทว่าความเสี่ยงของเขา แม้มันจะมีโอกาสเพียงน้อยนิด แต่ถ้าสำเร็จขึ้นมา มันคือความมั่นคงที่ยั่งยืน หากเมื่อเทียบกับโทษที่จะได้รับจากผู้เป็นตา
ยามค่ำคืน ณ โรงหมอ
พระอาทิตย์ลับขอบฟ้าไปกว่าหนึ่งชั่วยามแล้ว ทว่าสองตาหลานยังกลับมาไม่ถึงบ้าน ทำให้สองแฝดร้อนใจ จนต้องออกมานั่งรอพี่ชายและผู้เป็นตา อยู่หน้าประตูใหญ่ โดยมีแม่นมหวังติดตามคอยเฝ้าดูแล
ซึ่งทั้งสามไม่รู้เลยว่า กำลังมีสายตาของใครหลายคน จับจ้องพวกเขาอยู่ในมุมมืด และคนที่กำลังเฝ้ามองอยู่นั้น ถึงกับมีอาการตื่นตะลึง เมื่อเห็นถนัดตาแล้วว่าเด็กสองคน ที่กำลังชะเง้อมองถนน มีใบหน้าที่เหมือนกันราวกับแกะ…
ดูท่างานนี้ต้องรีบจบให้ได้โดยไว เพราะนี่มิใช่ครั้งแรก ที่คว้าน้ำเหลวต่อการลงมือ กับแม่ลูกขอทาน และนี่นับว่าเหนือความคาดหมาย เรื่องจำนวนของเป้าหมายไปมากทีเดียว
“ไยท่านตากลับมาช้านักเล่าเจ้าคะ มืดค่ำมากแล้วด้วย”
ต้วนอี้หลิง เริ่มบ่นกระปอดกระแปด เมื่อยังไร้วี่แววของผู้เป็นตาและพี่ชายคนโต นับว่ายังดีที่มารดากับท่านยาย กลับมาจากไปธุระตั้งแต่ก่อนเที่ยง หาไม่แล้วนางคงกระวนกระวายใจมากกว่านี้
“ข้ารู้อยู่แล้วว่าสักวันจะต้องเป็นแบบนี้ แต่คำที่เจ้าพูดมา มันควรเป็นข้า ที่ต้องบอกให้เจ้าถอยเสียตั้งแต่ตอนนี้” ฮ่องเต้ชราเอ่ยกับสนมรัก แม้ว่าความเป็นจริงแล้ว เขามิอาจปล่อยผ่านเรื่องที่นางทำไปได้ แต่เขาก็แค่อยากลองดู ว่านางคิดที่จะหยุดเรื่องนี้หรือไม่ “ถอย! ฮ่าๆ ทรงคิดว่าหม่อมฉันทำได้หรือเพคะ คิดว่าถ้าหม่อมฉันลมเลิก แล้วพระองค์จะมอบทางเลือกให้หรือ! มันไม่มีทางเป็นไปได้อยู่แล้ว จริงไหม! เพคะ” หรูชิง หัวเราะเสียงดังอย่างเย้ยหยัน ทั้งให้แก่ตนเองและความคิดของพระสวามี จะให้นางถอยไปที่ใดได้เล่า ในเมื่อเรื่องมาถึงขนาดนี้แล้ว หนทางเดียวที่นางไปได้ คือทำให้เขาไม่มีชีวิตอยู่ และลูกของนาง ก้าวสู่อำนาจเบ็ดเสร็จเท่านั้น จึงจะเป็นเส้นทางเดียวที่นางจะรอดชีวิต “ไม่ผิด! ข้าย่อมไม่มีทางปล่อยเจ้าไป หาไม่แล้วคงทำให้ใครอีกหลายคนไม่พอใจ แต่ก็ใช่ว่าข้าจะใจดำต่อเจ้าจนเกินไป” แม้จะรู้คำตอบของนางดี แต่เขาก็ยังเลือกที่จะเอ่ยอย่างให้ความหวัง ทั้งๆ ที่เขาก็ไม่คิดจะมอบมันให้นางจริงๆ เช่นกัน งูที่เคยแว้งกัดเราแล้วครั้งหนึ่ง มันจะต้องมีครั้งที่สอง เพียงแค่เขาจะให้นางได้ตา
“ภัยใกล้ตัว! เจ้ากำลังหมายถึงข้าอย่างนั้นรึ! รู้ไหมว่าทำไมข้าไม่เคยให้เขาไปไหน เพราะเขาจะเป็นทุกอย่างให้แก่เจ้า ขอเพียงเจ้าพอใจ ไม่ว่าจะภัยใหญ่แค่ไหน เขาจะขวางมันมิให้ถึงตัวเจ้า แต่เชื่อเถอะว่า...ถ้าเจ้าผลักไสเขาออกห่าง ทั้งเจ้าและข้าจะมีแค่ความคิด แต่ไม่มีความสามารถที่จะลงมือ” หรูกุ้ยเฟย ไม่อาจนิ่งเฉย ปล่อยให้พระโอรสทำลายโล่กำบังภัย เพียงเพราะรู้ถึงตัวตนแท้จริงของขันทีข้างกาย “อันนั้นก็แล้วแต่เสด็จแม่จะทรงเข้าพระทัย ส่วนเขาจะยังอยู่หรือไม่ข้าไม่คิดใส่ใจ ในเมื่ออีกไม่กี่ชั่วยาม ข้าก็คือฮ่องเต้ แล้วจะมีสิ่งใดที่ข้ายังต้องพึ่งพาเขาอยู่อีกเล่าพ่ะย่ะค่ะ” มู่เฉวียน ยกยิ้มหยันให้กับความคิดของพระมารดา ก่อนจะเดินไปนั่งลงข้างเตียงของพระบิดาอีกครั้ง เขาทอดสายตามองชายชราผมขาวแซมให้เห็นบ้างแล้ว ด้วยแววตากรุ่นโกรธ เขาคือโอรสที่ฉลาดที่สุด ในบรรดาฮดรสธิดาที่เหลืออยู่ของฮ่องเต้ แต่ทำไมกัน! ชายชราผู้นี้ ยังมองไม่เห็นคุณค่าของเขาอีก “มู่เฉวียน! เจ้ามัน...ช่างเถอะข้ามิอยากโต้เถียงกับเจ้าแล้ว” หรูกุ้ยเฟย ไม่อยากจะเชื่อว่าโอรสของนาง นอกจากจะไม่ชอบคิดสิ่งใดให้กว
“เรื่องนั้นกระหม่อมทราบดีพ่ะย่ะค่ะ แต่อย่างไรเสียองค์ชายก็ยังไม่เคยเผชิญความโหดร้ายของโลก เทียบเท่ากับเราๆ ที่อายุเลยวัยหนุ่มสาวมาแล้วนะพ่ะย่ะค่ะ” ขันทีหนุ่มยังคงชี้แจงอย่างใจเย็น เขารู้ว่าตอนนี้ภายในใจของหรูกุ้ยเฟย กำลังมีความกดดันอย่างถึงที่สุด เพราะสกุลที่หมายกำจัด คือเหล่าสกุลที่ค้ำบัลลังก์ ยิ่งสกุลจางที่มีผู้นำคนใหม่อย่างจางหลีเกอ ความวัยหนุ่มเลือดเดือดพล่าน และความฉลาดเป็นเลิศของจางหลีเกอ ทำให้จากที่เป็นแค่สกุลธรรมดา กลายเป็นหนึ่งสามสกุลคุ้มภัย “หุบปากเจ้าซะ! ไม่ต้องมาแสร้งออกรับแทนข้า” องค์ชายมู่เฉวียนตวาดขันทีหนุ่ม ด้วยน้ำเสียงที่เกรี้ยวกราด เพราะมองอย่างไรในคำพุดนั้น มันคล้ายกับการดูหมิ่นว่าตัวเขา ไร้ซึ่งการมองที่กว้างไกลเพี๊ยะ! ใบหน้าหล่อเหลาสะบัดตามแรงฝ่ามือของผู้เป็นมารดา มู่เฉวียนยกมือขึ้นแตะที่มุม ซึ่งตอนนี้มีเลือดไหลซึมออกมาเล็กน้อย ชายหนุ่มใช้นิ้วปาดเลือดออก แล้วยกยิ้มหยัน กับการกระทำของผู้เป็นแม่ นางยังเห็นเขาเป็นลูกอยู่หรือไม่! “ทรงตบลูกตัวเอง เพื่อไพร่ชั้นต่ำเยี่ยงนั้นรึ! พ่ะย่ะค่ะ ทรงทำให้ประหลาดใจยิ่งนักพ่ะย่ะค่ะ เสด็จแม่!”
“พระนางทรงงับโทสะเถิดพ่ะย่ะค่ะ อย่างไรเรื่องนี้ก็ไม่เกินกำลังของนายท่านหรอกพ่ะย่ะค่ะ” ขันทีหนุ่มเอ่ยเรียกสติของคนรัก เขาไม่อยากให้ลูกกลัวอีกด้านที่เขาและนางเป็น เรื่องราวมากมายที่ผ่านมา หล่อหลอมให้สาวน้อยในอดีต กลายเป็นดอกไม้พิษ หลังจากก้าวเข้าสู่วังหลัง และเขาเขามั่นใจว่าบิดาของคนรัก มีเส้นสายมากพอ ที่จะไม่ปล่อยเกิดความผิดพลาดในเรื่องนี้ “โทสะรึ! ฮ่าๆ เยี่ยงข้ามันไร้ความรู้สึกนั้นไปนานแล้ว ข้าเกลียดเขา! เกลียดจนไม่อยากที่จะมองหน้าเขาเสียด้วยซ้ำ หากไม่ใช่เพราะเขาคือฮ่องเต้ ข้าจะต้องมาอยู่แบบนี้หรือ! ชีวิตวัยแรกแย้มของข้า มันควรได้พบความสวยงามที่คู่ควร! มิใช่มาเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายในวังหลวง มิว่าจะกินหรือนอน ล้วนต้องเฝ้าระวังทั้งสิ้น เจ้ายังคิดว่าข้าจะต้องใช้อีกรึ! คำว่าโทสะ มันเกินคำนั้นไปมากแล้วต่างหาก” หรูกุ้ยเฟย ราวกับต้องการระบายความอัดอั้น ที่สั่งสมมานานปี นางเหน็ดเหนื่อยกับการต้องทำทุกอย่าง ให้ไม่ขัดสายตาชายแก่บนเตียง ฉะนั้นนับจากนี้จะเป็นนาง ที่ควบคุมทุกอย่าง และมันจะไม่มีคำว่าไม่สำเร็จ “เสด็จแม่! ไยจึงเป็นเช่นนี้เล่าพ่ะย่ะค่ะ”องค์ชายมู่เฉวียน
พระนางกุ้ยเฟยจำต้องเงียบเอาไว้ก่อน เมื่อเห็นแล้วว่าคงเป็นเรื่องยาก ที่จะทำให้พระโอรสของนาง ยอมรับในตัวบิดาแท้ๆ ได้โดยง่าย แต่หากต้องเลือกระหว่างคนรัก กับการก้าวสู่ความเป็นใหญ่ นางย่อมเลือกอำนาจ มากกว่าความรัก แต่การมีคนรักอยู่ใกล้ชิด ก็มีประโยนช์ต่อนางไม่น้อย มิว่าเรื่องน้อยใหญ่ เขาจะจัดการแทนนางได้ไม่ต้องเอ่ยซ้ำ แต่โอรสของนาง ยังอ่อนต่อโลกมากนัก จึงยังไม่รู้จักการใช้คนให้เกิดประโยชน์ “องค์ชาย พระนางกุ้ยเฟย คนของเราได้ส่งข่าวมาแล้วพ่ะย่ะค่ะ” เสียงขันทีจากด้านนอกห้อง ดังแทรกความอึมครึมภายในห้อง ก่อนที่พระนางกุ้ยเฟยจะหันไปมองขันทีข้างกาย และนั่นทำให้คนเป็นลุกกรุ่นโกรธมากกว่าเดิมอีกนับเท่าทวีคูณ คนแรกที่พระมารดาต้องขอความคิดเห็น มันต้องเป็นตัวเขามิใช่หรือ “เขามาได้” สุดท้ายพระนางกุ้ยเฟย ก็ได้เอ่ยปากอนุญาต ให้คนด้านนอก เข้ามาเพื่อรายงานสิ่งที่เกิดขึ้น “เป็นอย่างไรบ้าง” องค์ชายมู่เฉวียนที่รอฟังข่าวอย่างใจจดใจจ่อ เอ่ยถามขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความตื่นเต้น หากทุกอย่างสำเร็จ เขาคือโอรสสวรรค์คนต่อไป ผู้คนทั้งแผ่นดินจะหมอบท้าเขาเท่านั้
“เสด็จแม่!” ยังไม่ทันที่จะเอ่ยสิ่งใดต่อกันอีก เสียงเรียกจากด้านนอกดังแทรกขึ้นเสียก่อน ทำให้สองร่างที่ใกล้ชิดกัน ต้องขยับถอยออกห่าง ซึ่งเป็นจังหวะเดียวกัน กับที่องค์ชายมู่เฉวียนก้าวพ้นประตูห้องเข้ามาด้านใน “เจ้าเรียกแม่เสียงดัง มีอะไรอย่างนั้นหรือ” พระนางกุ้ยเฟยเอ่ยถามพระโอรสออกไป ทั้งที่ทรงดูดีแก่ใจว่าสิ่งที่ทำให้ลูกของนาง ดูแตกตื่นเช่นนี้คือเรื่องใด “ทรงคิดดีแล้วหรือพ่ะย่ะค่ะ ที่จะทำเช่นนี้” “หากข้าไม่คิดดีแล้ว มีหรือจะอาจหาญลงมือ เจ้าอย่าได้ทำท่าทางตื่นตระหนกให้มากไปเลย ทำตัวให้สูงส่งเด็ดขาดเข้าไว้ ยามอยู่ต่อหน้าขุนนาง จะได้ไม่ถูกมองว่าอ่อนแอ” หรูกุ้ยเฟย สั่งสอนโอรสให้รู้คิด หากไม่ลงมือวันนี้ วันหน้าก็ต้องลงมืออยู่ดี ดังนั้นจะช้าหรือเร็ว สุดท้ายนางก็ต้องทำทุกวิถีทาง เพื่อให้นางและลูกมีจุดยืน “องค์ชาย น้ำชาพ่ะย่ะค่ะ” ขันทีหนุ่มรีบยกน้ำชา มาถวายองค์ชายด้วยท่าทีนอบน้อม เช่นที่เคยทำในทุกๆ วัน ซึ่งเขาไม่ได้คิดขุ่นเคือง ที่ถูกสายตามองเมินนั้นจากองค์ชายเลยแม้แต่น้อย “แล้วเสด็จพ่อเล่าพ่ะย่ะค่ะ เราจะบอกแก่ขุนนาง