LOGIN“ท่านตาบอกว่าต้องออกไปนอกเมือง คงไกลพอสมควร ตอนนี้อาจกำลังเดินทางกลับอยู่ เจ้าก็อย่าได้กังวลให้มาก”
แม้ปากจะบอกน้องสาวไปแบบนั้น ทว่าคนที่เอ่ยปากขอมารดา ออกมารอท่านตา และพี่ชายอยู่หน้าประตูใหญ่ ก็คือตัวเขาเอง
“หากท่านตากับพี่ใหญ่มาถึง ข้าจะไม่คุยด้วยเลยคอยดู”
เด็กหญิงแสร้งพูดไปอย่างนั้น เพราะนางจะต้องได้ฟังนิทานก่อนนอน จากพี่ชายคนโต หาไม่แล้วยากนักจะหลับได้สนิท
ต้วนอี้หรู ยืนมองลูกๆ ด้วยแววตาเอ็นดู นางอนุญาตให้ทั้งคู่ออกมา ใช่ว่าตัวนางจะปล่อยพวกเขาให้ห่างสายตา การจะกักขังลูกๆ ไว้แต่ในบ้าน เพียงเพราะกลัวถูกทำร้าย แล้วเมื่อไหร่พวกเขาจะมีภูมิคุ้มกันตนเอง ในยามไร้นางและท่านตาท่านยายคอยปกป้อง
“เจ้าเหนื่อยมาทั้งวัน ไยไม่ไปพักสักหน่อยเล่า บิดาเจ้ากลับมาค่อยกินข้าวกัน”
ต้วนฮูหยิน ลูบต้นแขนบุตรสาว ด้วยความห่วงใย สามีกับหลานชายไปธุระนอกเมือง บุตรสาวรับหน้าที่ทำทุกอย่างแทน แม้จะมีคนในโรงหมอคอยช่วย แต่ก็ยังคงหนักอยู่ดี
นับตั้งแต่บุตรสาว ปรุงยารักษาที่สะดวกต่อการใช้ รวมทั้งมีเครื่องประทินผิวสำหรับบุรุษและสตรี ทำให้โรงหมอคับคั่งไปด้วยผู้มาเยือน ทั้งรักษาโรคและหาซื้อสินค้า
“ขอแค่ครอบครัวของเรา กินอิ่มนอนหลับ ท่านพ่อท่านแม่ไม่ต้องลำบาก งานหนักแค่นี้ สบายมากสำหรับข้าเจ้าค่ะ”
“เจ้าช่างกตัญญูนัก” หญิงชราเอ่ยชมบุตรสาว...
“พี่รอง พวกเขามีคนป่วยหรือเจ้าคะ”
ก่อนที่ทั้งคู่จะหันไปตามเสียงเล็กๆ ของอี้หลิง ทว่าก่อนที่หญิงชราจะก้าวออกไปดู บุตรสาวก็รั้งไว้ พร้อมส่ายหน้าน้อยๆ ให้นางรั้งรออยู่ตรงนี้
ทางด้านต้วนอี้หลง เมื่อมองตามนิ้วน้อยๆ ของน้องสาวไป ความระแวดระวังตามที่พี่ชายเคยย้ำเตือน ก็ทำให้เขาเลือกที่จะขยับมายืนบังน้องสาวเอาไว้
เพราะนับตั้งแต่เกิดเรื่องกับมารดาและพี่ชาย เขาไม่คิดวางใจสิ่งใดทั้งสิ้น ยิ่งพี่ชายคอยกำชับเอาไว้ ว่าต่อให้มีคนล้มตายตรงหน้า ก็อย่าได้เชื่อเพียงตาเห็น แม้เขาจะรู้สึกถึงความเปลี่ยนไปของคนเป็นพี่ แต่แล้วอย่างไรเล่า นั่นพี่ชายของเขา ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องเชื่อมั่นมิแคลงใจ
“ท่านยายหวังขอรับ”
เด็กชายหันไปเรียกแม่นมชรา โดยที่เขาไม่ได้แสดงความแตกตื่นออกมา แม้ว่าหัวใจของเขาในตอนนี้ เต้นถี่รัวราวกับจะหลุดออกมาข้างนอกแล้วก็ตาม
หญิงชรารีบเดินมาโอบร่าง ของนายน้อยทั้งสอง เพื่อที่จะพากลับเข้าไปด้านใน นางเองก็ไม่ได้วางใจ ผู้ที่กำลังเดินตรงมา ยังทิศทางที่พวกนางยืนอยู่เช่นกัน
“ที่นี่โรงหมอสกุลต้วนใช่หรือไม่ขอรับ โปรดช่วยน้องชายของข้าน้อยด้วยนะขอรับ”
ยังไม่ทันที่ทั้งสามจะกลับเข้าด้านใน หนึ่งในชายแปลกหน้า ก็เอ่ยถามขึ้นเสียก่อน ทำให้หญิงชราจำต้องหยุดนิ่ง แต่ก็เลือกที่จะดันหลัง ให้นายน้อยทั้งสองกลับเข้าไปก่อน นางจะอยู่รับหน้าเอง
“ตอนนี้โรงหมอปิดแล้ว แต่ถ้าพวกเจ้าอยากได้ยาบรรเทาอาการ ข้าจะนำมาให้ รออยู่ตรงนี้สักครู่ก็แล้วกัน”
แม้ว่านายหญิงของนาง จะพอตรวจอาการเบื้องต้นได้บ้าง แต่นางจะไม่เสี่ยงให้ใครเข้าไปภายในโรงหมอ ในเวลาที่ท่านหมอชราไม่อยู่เยี่ยงเป็นอันขาด
“ให้ข้าเข้าพบท่านหมอด้วยเถอะนะขอรับ พวกข้ามีเงินที่จะจ่ายค่ารักษา” ชายหนุ่มคนเดิมยังคงร้องขอความเห็นใจ
“ข้ามิได้หมิ่นพวกเจ้า ว่าไร้เงินทอง แต่ตอนนี้โรงหมอปิดแล้ว หากไม่ได้รับอนุญาต ข้าคงไม่อาจให้พวกเจ้าเข้าไปได้”
“ไหนว่าท่านหมอต้วนเป็นคนจิตใจดี น้องชายข้าป่วยหนักมาหลายวัน เรามาจากต่างเมืองเพื่อรักษา ไยขับไล่เราเยี่ยงนี้เล่า หรือว่า...”
แต่ยังไม่ทันที่จะได้เอ่ยสิ่งใดต่อ รถม้าได้เคลื่อนมาจอดอยู่ไม่ห่างจากคนทั้งสาม หญิงชรารีบเดินไปที่รถม้า ด้วยความรู้สึกโล่งใจ คุณชายใหญ่ของนางกลับมาแล้ว
ซึ่งคนแรกที่ก้าวออกจากด้านในรถม้า คือคุณชายของนางนั่นเอง หญิงชรายืนมือไปให้คุณชายจับ เพื่อพยุงตัวลงจากรถม้า ซึ่งต้วนอี้หลางไม่ได้ปฏิเสธ เขายังคงเป็นเด็กชายที่ดีของแม่นมชราอยู่เสมอ
ก่อนที่เขาจะชะงักนิ่งเล็กน้อย เมื่อเห็นว่ามีคนแปลกหน้า มายืนอยู่ที่ลานหน้าประตูโรงหมอ แต่เขาก็เลือกที่จะเดินไปยืนข้างรถม้า เพื่อรอผู้เป็นตาลงมา
“พวกเขาเป็นใครกัน”
ท่านหมอต้วนเอ่ยถามแม่นมหวัง หลังจากลงมายืนข้างหลานชายแล้ว
“พวกเขาบอกว่ามาจากต่างเมือง เพื่อมารักษาที่โรงหมอของเราเจ้าค่ะ แต่ข้าน้อยมิได้ให้พวกเขาเข้าไปเจ้าค่ะ”
“อย่างนี้นี่เอง”
“ท่านลุง ในเมื่อพวกเขาเจ็บป่วย ก็ให้เข้าไปรักษาเถิด เดินทางมาไกล ย่อมต้องอาการหนักไม่น้อย”
เป็นชายหนุ่มที่สวมหมวกบังลม เอ่ยขึ้นหลังจากที่เขาส่งม้าให้แก่ผู้ติดตามนำไปเก็บ แล้วก้าวมายืนอยู่ข้างสองตาหลาน
“ท่านหมอ โปรดช่วยน้องชายของข้าน้อยด้วยขอรับ ถึงเราจะไม่ได้ร่ำรวย แต่เราก็พอมีเงินจ่ายค่ารักษานะขอรับ”
“พาเขาเข้าไปด้านในเถอะ”
หมอชราเอ่ยปากอย่างไม่เต็มใจเท่าใดนัก แต่เมื่อเจ้าสำนักเจียงเอ่ยปากแล้ว ย่อมต้องรับประกันถึงความปลอดภัย ให้แก่ครอบครัวของเขา
“ขอบคุณท่านหมอขอรับ” ชายหนุ่มแปลกหน้าทั้งสาม ค้อมกายขอบคุณในเมตตาของหมอชรา
“อี้หลาง พาท่านลุงของเจ้าเข้าไปพักก่อน ตาตรวจคนไข้เสร็จจะตามเข้าไป”
“ขอให้ข้าอยู่กับท่านตา เพื่อศึกษาเถอะนะขอรับ ให้สองคนนั่นพาท่านลุง ไปพบท่านยายกับท่านแม่ น่าจะดีกว่านะขอรับ”
เด็กชายพยักพเยิดไปที่สองแฝด ซึ่งตอนนี้โผล่หน้ามาส่งยิ้มแป้นให้กับผู้เป็นตาและพี่ชาย ทว่าผู้ที่ถูกเรียกว่าลุง ถึงกับเบิกตากว้าง กับใบหน้าพิมพ์เดียว กับเจ้าหลานชายจอมเจ้าเล่ห์ ที่ยืนอยู่ข้างเขาในตอนนี้ แฝดสาม...และมิใช่เพียงแค่ชายหนุ่มเท่านั้น ที่ตกใจกับสิ่งนี้
พี่ม่อเหลียว เราควรกลับบ้านกันได้แล้วนะขอรับ รถม้าและทุกอย่างสำหรับเดินทาง พร้อมแล้ว” ต้วนอี้หลาง เอ่ยกับว่าที่น้องเขย ด้วยรอยยิ้มกว้าง เขาได้คุยกับพ่อแม่ของชายหนุ่มแล้ว ว่าจะพากลับไปยังแคว้นจ้าว และทั้งสองคนก็ยินดี ที่จะตามเขากลับไป ใช้ชีวิตแบบเรียบง่าย ไม่วุ่นวายกับอำนาจเหล่านี้อีก “ขอรับ” ม่อเหลียวตอบรับอย่างยินดี โดยไม่คิดที่จะถามอะไรให้มาก เพราะถ้าคุณชายใหญ่พูดแบบนี้ นั่นหมายความว่าได้ตกลง กับพ่อแม่ของเขาดีแล้ว ส่วนเรื่องที่คุณชายใหญ่ ไปพบพ่อแม่ของเขาได้อย่างไร เขาไม่คิดถามเช่นกัน เพราะอย่างไรคุณชายก็ต้องเล่าสู่เขาฟังอยู่ดี “ทำความสะอาดซะ เราจะออกเดินทางกันแล้ว” ต้วนอี้หลางสั่งการกับคนของเขา ก่อนจะประคองน้องสาวละน้องชาย เพื่อที่จะออกจากที่นี่ “นายท่าน พวกข้าไปด้วยได้หรือไม่ขอรับ” ตู้ฮั่น เอ่ยถามผู้เป็นนาย หนานเผิงหันไปมองหน้าบุตรชาย ก่อนจะมองไปที่ตู้ฮั่นอีกครั้ง “หากท่านอาตู้ไม่คิดเรื่องอำนาจ ข้าย่อมไม่ขัดข้องขอรับ” เป็นม่อเหลียวที่เอ่ยขึ้น ก่อนจะคลี่ยิ้มละมุนให้กับตู้ฮั่น ชายผู้ภักดีของครอบครัวบิดา
“ตกลง ท่านปู่ทั้งสอง พี่ม่อเหลียว ท่านลุงอู๋ เรากลับบ้านกันเถอะ” “ไม่ได้! ชู่เจากับม่อเหลียว คือคนของบ้านข้า” หนานเผิงปฏิเสธเสียงกร้าว “ไหนหลักฐาน หากไม่มี ก็อย่าได้พูดไปเรื่อย” แม้จะเป็นคำพูดที่ไม่ได้ดังเหมือนตะโกน ทว่ามันกลับทำให้คนฟังเริ่มหวาดหวั่นอยู่ภายในใจ “ข้าคือบิดา นี่คือหลักฐานชั้นดี” “หึๆ ข้านึกว่าน้องเขยของข้า คือบุตรชายท่านเสียอีก ท่านอาหนานเผิง” ต้วนอี้หลาง ชำเลืองมองไปด้านข้าง ก่อนที่ร่างสูงใหญ่ ของชายผู้หนึ่งก้าวเข้ามายืนเคียงข้าง แม้ว่าใบหน้าของเขาจะซูบตอบไปบ้าง จากการถูกจองจำ แต่ก็ยังคงดูสง่าเยี่ยงชาติกำเนิด “นายท่าน!” ตู้ฮั่น เรียกนายแท้จริงด้วยเสียงอันดัง เขาดวงตามืดบอดขนาดไหนกัน จึงจดจำนายของตนเองผิดไป “ขอบใจเจ้ามาตู้ฮั่น ที่ปกป้องบุตรชายข้ามาตลอด” หนานเผิงตัวจริง เอ่ยกับคนสนิท ที่ถูกล่อลวงจากคนชั่ว เขาเอ๊ะใจตั้งแต่วันที่ถูกกรีดเอาเลือดไปแล้ว เป็นอย่างนี้เอง บุตรชายของเขากลับมาแล้ว “พี่ใหญ่” ชู่เจาหันไปตามเสียงเรียก ก่อนจะดวงตาเป็นประกาย นั่นต่างหากน้องสาวขอ
ยี่สิบวันต่อมา ณ เมืองหลวงแคว้นหนาน ภายในคฤหาสน์หลังใหญ่ ม่อเหลียวยืนประจันหน้า กับคนที่อ้างตนเอง ว่าเป็นพ่อแม่ของเขา ด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความเกรี้ยวกราด เมื่อเวลานี้...สตรีที่เขาเรียกมารดามาร่วมเดือน กำลังเอามีสั้นจ่อที่ลำคอท่านลุงของเขาอยู่ “ข้าคือมารดาของเจ้า แต่ทุกอย่างเจ้ากลับฟังเขา เช่นนั้นเขาก็ไม่ควรที่จะอยู่ ขัดขวางเราแม่ลูกจริงไหม ม่อเหลียว” ชู่จิ่นเอ่ยกับบุตรชาย ด้วยรอยยิ้มอย่างคนจิตวิปลาส ทว่าสองลุงหลานที่สบตากัน กลับยังคงนิ่งเฉยไม่แสดงท่าทีตื่นกลัว แม้ว่าจะยืนอยู่ภายใต้คนอาวุธ “เจ้ามิใช่น้องสาวของข้า อย่าได้มาเรียกหลานชายข้าว่าลูก” ชู่เจาเอ่ยกับคนที่จ่อมีดสั้น ที่ลำคอของเขา ด้วยน้ำเสียงอันกร้าวกระด้าง สตรีผู้นี้เป็นตัวปลอม ต่อให้เขามิได้พบหน้าน้องสาวมานาน เขาก็รู้ได้ว่านี่มิใช่ชู่จิ่น “ท่านมิได้อยู่กับข้ามานาน รู้ได้อย่างไรว่าข้ามิใช่ชู่จิ่น” คนถามแม้จะใช้น้ำเสียงเป็นปกติ แต่ภายในใจนั้นกำลังตื่นกลัวอย่างที่สุด นางไม่เชื่อว่าตาแก่นี่ จะรู้ถึงตัวตนของคนที่ไม่พบหน้ากันมาหลายสิบปี “ข้าเลี้ยงนางมากับมือ เ
“ไยหน้าแดงเล่า ไม่สบายตรงไหนหรือไม่” “ไม่เจ้าค่ะ ข้าอยากอาบน้ำ” “รอข้ากลับมาเจ้าค่อยอาบ เจ้าหน้ามืดบ่อย ไม่ควรที่จะเดินไปไหนเลย” “เจ้าค่ะ” หญิงสาวเอนกายลงนอน ตามการประคองของสามี ก่อนจะใบหน้าแดงก่ำประหนึ่งท้อสุก เมื่อสามีประทับจูบนางอย่างอ่อนโยน ต้วนอี้หลางดึงผ้าห่มคลุมกายให้ภรรยา ก่อนจะเดินออกจากห้องไป เพื่อต้มโจ๊กให้ภรรยา “นายท่าน ท่านแม่ทัพเหนือมาขอพบขอรับ” “เขามาแล้วหรือ ให้ไปพบข้าที่ห้องครัว” ชายหนุ่มสั่งการก่อนจะก้าวตรงไปที่ห้องครัว โดยไม่สนมารยาทการเชื้อเชิญแขก “นายท่าน” ผู้ติดตามและบ่าวไพร่ที่กำลังง่วนอยู่ในห้องครัว ต่างเอ่ยเรียกขานผู้เป็นนาย ก่อนจะหลีกทางให้แก่ชายหนุ่ม ต้วนอี้หลาง เดินไปหยิบหาสิ่งของทั้งหมด มาวางอยู่ข้างๆ เตา เพื่อลงมือทำทุกขั้นตอนให้ลูกเมียด้วยตนเอง เช่นที่บิดาทำให้มารดา ในตอนที่นางตั้งครรภ์น้องชายคนเล็ก “ช่างเป็นพ่อบ้านที่รักลูกเมียยิ่งนัก” เป็นคำพูดของคนที่โผล่หน้าผ่านหน้าต่างเข้ามา ชะโงกมองว่าเจ้าบ้านกำลังทำสิ่งใดอยู่ “เหอะ! ข้ามาถึงตั้งนาน เจ้าเพิ่ง
หมับ! ทว่าในตอนที่นางถูกผลักดันให้ถอยออกไปหน้าเรือน จนเกือบจะพลาดตกลงบันได้หน้าเรือน ร่างงามก็ถูกรับเอาไว้ได้อย่างทันท่วงที ด้วยอ้อมกอดอันคุ้นเคย ฉึก! และมันรวดเร็วจนผู้ที่รุกไล่ มิทันได้คาดคิดและตั้งรับ กลางอกของเขาถูกดาบใหญ่แทงทะลุ ก่อนที่ร่างของเขาจะเซถอยไปด้านหลัง เมื่อดาบในมือของผู้มาใหญ่ ถูกดึงออกจากร่างของเขา “เจ้าไม่เป็นไรใช่หรือไม่” น้ำเสียงที่อ่อนโยนของสามี ทำให้หญิงสาวรุ้สึกอุ่นใจขึ้นมามากทีเดียว ก่อนที่นางจะซบใบหน้ากับอกของสามี ดวงตาที่หมุนวน ราวทุกอย่างกำลังกลับหัว ได้หลับลงอย่างวางใจ ต่อเจ้าของอ้อมแขนนี้ “เจ้า!” “ภรรยาข้า ใครให้สวะเยี่ยงเจ้ามาแตะต้อง!” ต้วนอี้หลาง เอ่ยกับคนที่กำลงัจะตาย ด้วยน้ำเสียงกร้าวกระด้าง แววตาที่ตวัดมองไปยังคนผู้นั้น ไร้ซึ่งคำว่าเมตตาฉายให้เห็น “นางไม่คู่ควรต่อตราพยัคฆ์หมอกสักนิด” ชายสวมหน้ากากเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงเยาะหยัน แต่กระนั้นเขาก็ยังไร้โอกาสได้ครอบครอง สิ่งที่จะเบิกเส้นทางให้เขา กลับสู่อำนาจ เขายอมแม้แต่จะคบค้า กับทายาทจากราชวงศ์ก่อน เพื่อล้มล้างน้องชาย แล้วกล
ชายวัยกลางคน ที่ยืนสบจากับชายหนุ่มอ่อนวัยกว่า หรี่ตามองคนตรงหน้าด้วยความรู้สึกแปลกใจ เพราะชายหนุ่มทำเหมือนรู้จักเขาอย่างไรอย่างนั้น “ราชบุตรเขยฝีมือไม่ธรรมดาเลยจริงๆ” ชายต่างแคว้นเอ่ยกับคนตรงหน้า เขาแค่ทดสอบว่าอีกฝ่าย จะไหวตัวทันหรือไม่ผลคือ ทั้งรวดเร็วและฉับไว ทีหน้าแปลกคือการหลบหลีกของชายหนุ่ม ช่างเหมือนคนที่เขาคุ้นเคย “ยินที่ดีได้พบกันอีกครั้ง” “หือ!”ชายวัยกลางคนทำเสียงในลำคอ ก่อนจะพุ่งเข้าหาคู่ต่อสู้ ทั้งที่ยังงงอยู่ว่าเคยพบกับชายหนุ่มตอนไหน แต่เมื่ออีกฝ่ายไม่เปิดโอกาสให้เขาได้ขบคิด ก็ไม่จำเป็นต้องเสียเวลาเชร้ง! ชายวัยกลางคนถึงกับดวงตาเบิกกว้าง การโต้ตอบนนี้ มันช่างเหมือนกันกับศิษย์พี่ของเขาเลย ปึก! ฝ่ามือหน่ากระแทกเข้าที่กลางอกของชายจากแคว้นฉิน ทำให้ร่างนั้นกระเด็นไปไกลโครม! โต๊ะที่อยู่ข้างหลังหักแยกออกเป็นเสี่ยงๆ เมื่อร่างสูงใหญ่ตกกระทบ“ความเผลอเลอ จะทำให้เจ้าพลาด”ต้วนอี้หลางเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ ชายติที่แล้วเขาวางใจคนผู้นี้เป็นที่สุด ไหนเลยวันนี้จึงพบอีกฝ่าย มาอยู่ในฝ่ายตรงข้ามได้ ไรซึ่งฉนวดเหตุ นอกจากว่าที่ผ่านมา ศิษย์ผ







