บทที่ 9 นายท่าน
ครืด...แกร้ง...
โจวหมิงเจ๋อลากเก้าอี้ไปใกล้กรงขัง นั่งคร่อมแล้วจ้องมองร่างนักโทษโจรภูเขาดูดีขึ้นมากเมื่อเทียบกับสามเดือนก่อน ยิ้มมุมปากคล้ายพอใจ
“ดูท่าคุกนี่เหมาะกับเจ้า จงไห่”
“ขาก...ถุย!!”
ชายหนุ่มหน้าเหลี่ยมถ่มน้ำลายสาดออกเป็นก้อนใหญ่ พ่นหล่นแทบเท้านายท่านสำนักเสวี่ยจง
“เจ้า!!” เฉียนฟานตกใจรีบยกมือขึ้นหมายจะฟาดแต่โจวหมิงเจ๋อยกมือห้ามเสียก่อน เฉียนฟานจึงขยับถอยหลังไปเช่นเดิม
“คราแรกว่าจะไม่เล่าให้ฟัง แต่ปากข้ามันอดไม่ได้ ฮึ! ข้าเพิ่งรู้ตัวว่าตนเองนั้นปากมากยิ่งนัก” เขาหยุดพูดอึดใจ “เจ้ามีคนรัก”
โจวหมิงเจ๋อเอนกายพิงพนักพอใจยามเห็นสีหน้านักโทษเปลี่ยนไปเล็กน้อย เขาคาดว่ามาถูกทางแล้ว
“ชื่อจงไห่ในแผ่นดินแคว้นฉินมีน้อยนัก หมู่บ้านที่เจ้าอยู่ติดเมืองหลวงห่างไปไม่ไกลเลย ครอบครัวเจ้าตายหมดเหลือเพียงลุงและป้า ซึ่งไม่ได้ไยดีเจ้าสักเท่าไร ฉะนั้นสำหรับข้าแล้ว เจ้าถือว่าไม่มีค่า”
โจวหมิงเจ๋อเพิ่มความกวนอารมณ์นักโทษด้วยการยกขาพาดหัวเข่าซ้ายไว้เอนกาย มือถือแส้ม้าลูบเล่นขณะเอ่ยเสียงกระเซ้า
“เฉียนฟาน ข้าพูดมากเกินไป ขอน้ำชา”
เจ้าสำนักนอกจากเป็นคนเย็นชา เฉียบคม โหดร้าย ในบางคราวมักมีอารมณ์ขันเฉพาะตัวอย่างเช่นเวลานี้ แต่คนส่วนใหญ่ไม่เห็นด้วยกับเฉียนฟาน อารมณ์ขันของท่านเจ้าสำนักมักทำคนในสำนักเสวี่ยจงตัวสั่นเทิ้ม
โจวหมิงเจ๋อยกชาขึ้นจิบ รู้สึกอารมณ์ดีจิตใจเบิกบานถึงขั้นต้องการยิ้มออกมา แต่เมื่อมองไปทางนักโทษที่นั่งก้มหน้านิ่งในกรงขังก็พลันอารมณ์ขุ่นมัว
“มันน่าแปลกตรงที่ว่า เจ้ากับคนรัก เหตุไฉนไม่แต่งงานกัน”
โจวหมิงเจ๋อวางจอกชาพยักหน้าให้เฉียนฟานลากตัวมันออกมา ร่างสันทัดของนักโทษจงไห่แม้ว่าผอมกระหร่องจนแทบเหลือแต่กระดูก แต่ยังต้องใช้คำแบกหามลากถูถึงสามคนจึงสำเร็จ
แล้วมัดด้วยโซ่ตรวนตรึงไว้กลางห้อง ข้อมือถูกรั้งขึ้นสูงเหนือศีรษะ เท้าลอยแทบไม่ติดพื้น
ฟวับ ฟวับ
“เจ้ารู้ไหมว่าเหตุข้าจึงเลือกแส้” โจวหมิงเจ๋อเอ่ยถามน้ำเสียงเรียบเฉยเช่นเคยโก่งคิ้วสูง
“ถุย มัวแต่พูดมาก จะฟาดก็ฟาดมาไอ้ทรราช!!”
“ข้าว่าเจ้านี่การศึกษาอ่อนด้อยยิ่งจงไห่” เขาลุกขึ้นเดินไปใกล้ “ทราชหมายถึงผู้ที่ได้มาซึ่งอำนาจอย่างไม่ถูกต้อง ซ้ำกดขี่คนใต้อำนาจให้ตกต่ำ ข้าเป็นเจ้าสำนัก อำนาจนี่ตกทอดมาจากวงศ์ตระกูล ทรราชที่ตรงใดกัน”
เขาขยับมือลองฟาดกับพื้นอีกครั้งแล้วจึงยิ้ม “เริ่มแล้วกัน รู้สึกคันมือพิกล”
ฟวับ!!
“อ๊ากกกกกซ์”
แรงแส้ที่โจวหมิงเจ๋อฟาดออกไปนั้นแรงยิ่งกว่าตอนที่ลองซ้อมหลายเท่า เพียงหางแส้สัมผัสแผ่นเนื้อหน้าอกพลันเศษชิ้นกระเด็นออกพร้อมเลือดสาดกระเซ็นถูกใบหน้าเจ้าสำนักเสวี่ยจง เฉียนฟานรู้งานยื่นผ้าส่งให้นายท่าน
“รู้สึกจะชื่อ ไป๋หลินเอ๋อร์” โจวหมิงเจ๋อลูบเช็ดเลือดก่อนลอบยิ้มเมื่อเห็นนักโทษสะอึกขึ้น
“ใช่จริง ๆ ด้วย ไม่นึกเลยว่าข้าเดาถูก เมืองทั้งเมืองมีหญิงงามหลายคนที่สนิทสนมกับเจ้า แม่นางไป๋หลินเอ๋อร์รู้หรือไม่ว่าเจ้านอกใจ”
เขาชำเลืองมองนักโทษ แล้วถอยหลังสามก้าวตั้งใจให้ปลายแส้ตวัดกลางลำตัว
ฟวับ ฟวับ ฟวับ
“อ๊ากกก โอ๊ยยยยย”
เสียงกรีดร้องของนักโทษจงไห่ยาวนานพอ ๆ กับเสียงแส้ที่ฟาดลงเนื้อ รอยแผลที่ปิดสนิทไปแล้วเปิดออกใหม่เป็นริ้วขาดวิ่น เลือดไหลนองลงท่วมกายร่วมไปถึงใบหน้าของท่านเจ้าสำนักที่บัดนี้ดำมืดดั่งราตรีในยามไร้เดือน
โจวหมิงเจ๋อลงแส้ ฟาดซ้ำแล้วซ้ำเล่าไม่หยุด จ้องมองร่างแน่นิ่งของจงไห่ที่บัดนี้สะเทือนไหวก่อนที่เขาจะโยนแส้ทิ้ง แล้วรับผ้าเช็ดเลือดซับทั้งที่ยังยิ้มกว้าง
“สาดน้ำให้มันตื่น แล้วเปลี่ยนไปฟาดแผ่นหลัง ถ้ามันหลับ สาดน้ำอีก”
“ขอรับ”
ซ่า....
เฉียนฟานสาดน้ำเข้าใบหน้า นักโทษชายจงไห่สลืมสลือพลิกหน้าอ่อนระโหยด้วยความเจ็บปวดทั้งร่างกาย โจวหมิงเจ๋อกระชากหัวให้เงยขึ้นเอ่ยเสียงเรียบ
“จงรีบบอกที่ซ่อนบนภูเขา ไม่เช่นนั้นแม่นางไป๋หลินเอ๋อร์อาจได้มาเยี่ยมเยียนเจ้าถึงในคุก อ๋อ อีกเรื่อง ข้าเลือกแส้เพราะ เสียงแส้โดนเนื้อมันคล้ายเสียงดนตรี ข้ารู้สึกเหมือนกำลังดีด...ฉิน”
เขาสะบัดมือทิ้ง ล้างมือในอ่างน้ำเกลือแล้วเดินออกมาจากคุก ร่างกายร้อนผ่าวทันใดต้องการปลดปล่อยปีศาจร้ายในตัว เลือด ความเจ็บปวด คือสิ่งที่หล่อเลี้ยงชีวิตเขา ให้ตัวเขาได้รู้สึกถึงพลังลมปรารณภายใน
“ตามอวี้เจียว”
“เจ้าค่ะนายท่าน”
ชางซิงเยียนยกมือประกบคล้ายบุรุษรอกระทั่งเจ้าสำนักเดินห่างออกไปจึงเหลือบมองไปทางเสาต้นใหญ่ ไป๋หลินเอ๋อร์จึงค่อยเร้นกายออกมาส่งยิ้มแห้งให้
“เจ้าควรรีบขึ้นห้อง นายท่านกลับมาแล้ว และตอนนี้ เออ ....”
ชางซิงเยียนเงียบไป หันมองท้องฟ้าไม่ทันมืดสนิทแต่นายท่านเร่งใช้งานอวี้เจียวเสียแล้ว
“ทำไมเจ้าเงียบไป ข้ารอฟังอยู่”
ไป๋หลินเอ๋อร์ยังเดินตามไม่ห่างจนแทบประกบติด แต่ชางซิงเยียนยังอึกอักไม่รู้จะตอบแม่นางจอมจุ้นคนนี้อย่างไรดีไม่ให้กระดากปาก จนเห็นอวี้เจียวยืนรออยู่ในชั้นห้าจึงค่อยผ่อนลมหายใจ
“เข้าห้องได้แล้วหลินเอ๋อร์ แม่นางอวี้เจียวต้องขึ้นไปปรนนิบัตินายท่าน” ชางซิงเยียนพูดแล้วพลันหน้าแดงเสียเองผิดไปจากอวี้เจียวที่ยกมือปิดปากหัวเราะ
“อ๋อ ที่แท้ก็เรียกใช้ขึ้นเตียง”
“เจ้า!!” ทั้งสองนางตะโกนพร้อมกัน
“ข้ามันลูกชาวนา พ่อกับแม่ พวกคนชาวบ้านเวลาร่วมเตียงก็ไม่ค่อยเลือกเวลา แต่อย่างไรเสียส่วนใหญ่มักรอให้ฟ้ามืด แต่นี่ ... ข้าขอพูดตรง ๆ” ไป๋หลินเอ๋อร์ทำทีชะโงกหน้าไปใกล้ด้วยสีหน้าล้อเลียน “นายท่านของพวกเจ้าเป็นพวกบ้ากามตัณหาจัดหรือเปล่า”
ชางซิงเยียนกระโดดคราวเดียวถึงตัวรีบปิดปากแล้วลากไป๋หลินเอ๋อร์เข้าห้องทันที โดยที่แม่นางอวี้เจียวยังยิ้มร่าพลางเดินขึ้นบันไดไปชั้นเก้า
บทที่ 29 บทพิเศษยามเหม่าในทุกวัน โจวหมิงเจ๋อมักลุกขึ้นเพื่อลงไปฝึกยุทธิ์กับคนของสำนักคุ้มภัยด้วยตนเองไป๋หลินเอ๋อร์พลิกกายโอบลำแขนอ่อนนุ่มรัดเขาไว้เอ่ยเสียงเบา“ท่านพี่ ยามเหม่าแล้ว”โจวหมิงเจ๋อตวัดรัดท่อนแขนให้ร่างเล็กบอบบางเกยขึ้นมานอนบนแผ่นอก ลูบฝ่ามือร้อนลงแผ่นหลังเปล่าเปลือยไร้อาภรณ์“เนื้อเจ้านุ่มมือ” ฝ่ามือใหญ่กางออกลูบแผ่นหลังรั้งนางให้ถดขึ้นกระทั่งริมฝีปากจดกันขยับแผ่วเบา“ป่านนี้เด็ก ๆ คงตื่นกันหมดแล้ว”“แล้วอย่างไร ตื่นแล้วก็ให้ยืนรอหน้าห้องไปก่อน”“ท่านพี่”“ยามเช้าเช่นนี้ ควรอยู่กันแต่ในผ้าห่มดีหรือไม่ กกกอดก่ายรัดร่าง”“ฮะ ฮ่า ท่านพี่ หลินเอ๋อร์ลูกสามแล้วเจ้าค่ะ ไม่อยากท้องอีก”“ถ้าเช่นนั้น พี่จะไม่หลั่งน้ำพิสุทธิ์ข้างในเจ้า เช่นนี้หลินเอ๋อร์ยินยอมหรือไม่”ไป๋หลินเอ๋อร์เม้มปากดันร่างตนเองออกแต่ถูกรั้งลงใต้ร่างทันควัน จับนางพลิกคว่ำ จูบขบลงฟันบนแผลเป็นรูปเสือ“คำกล่าวนี้ ท่านพี่บอกข้าเป็นพันครั้ง จนข้าขี้เกียจจดจำจะใส่ใจ”“ฮึ ในเมื่อหลินเอ๋อร์ไม่ใส่ใจ เช่นนั้นพี่จะถือว่าเจ้าอนุญาต” โจวหมิงเจ๋ออมยิ้มขณะพรมจูบไต่ลงแผ่นหลังนวลเนียน มือก่อกวนวนเวียนไม่ห่างทั้งลูบคลำ ทั้งล้
บทที่ 28 ความลับไป๋หลินเอ๋อร์ดีดตัวออกจากโจวจางหมิ่นทันทีแล้วโผเข้าหาบุรุษตรงหน้า ให้เขาโอบรัดนางไว้ด้วยลำแขนแข็งแกร่ง ซบดวงหน้าเปื้อนหยาดน้ำลงอกกระเพื่อมไหวจากแรงสูดลมหายใจไร้เสียงร้องใด ๆ จากโจวจางหมิ่น คมลูกธนูปักลงหัวไหล่ขวาที่รัดลำคอนางไว้ สีหน้าโจวจางหมิ่นปวดร้าว มองโจวหมิงเจ๋อด้วยดวงตากล่าวหา มาดร้าย และคล้ายไม่ต้องการเชื่อในที่โจวหมิ่งเจ๋อทำลงไปนางโอบร่างแกร่งไว้แน่นไม่ยอมให้เขาเข้าไปใกล้โจวจางหมิ่น“จางหมิ่น...” น้ำเสียงระห้อยโหยแรงเอ่ยชื่อในลำคอ ดวงตาแสบร้อนแดงก่ำ แต่ไร้น้ำตา เขามองร่างสูงเกร็งคล้ายเขาถอยหลังไปอีกสองก้าวในยามนี้โจวจางหมิ่นสีหน้าสงบลงแล้วราวกับว่ายอมรับบางอย่าง ริมฝีปากบิดโค้งคล้ายรอยยิ้มก่อนจะทิ้งร่างลงเหวลึกด้วยป่ารกทึบด้านล่าง“จางหมิ่น จางหมิ่น!!! จางหมิ่นนน”บุรุษแกร่งเช่นโจวหมิงเจ๋อ ชั่วชีวิตกระทำการทารุณคน สังหาร มองเลือดและความตายด้วยความเยือกเย็นไร้ความรู้สึก แต่มาบัดนี้โจวจางหมิ่นที่เขาอุ้มชูเลี้ยงมากับมือทิ้งร่างอัตวิบากกรรมต่อหน้าเขาที่ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นบิดาร่างสูงใหญ่ทิ้งตัวลงคุกเข่าเท้าฝ่ามือลงพื้นท่ามกลางใบไม้ร่วงหล่นสีส้มแดงในต้นฤดูหนาว“
บทที่ 27 โจวจางหมิ่น“เข้าใจผิด!! ข้าไม่ได้มีเรื่องอะไรบาดหมางกับเจ้า ยิ่งตี้หรือฮูหยินท่านเจ้าสำนัก” โจวจางหมิ่นเดินเข้าใกล้โน้มหน้าลงต่ำ กระชากผมจนดวงหน้าของนางแหงนขึ้น“เจ้าไม่มีสิ่งใดผิด ผิดแค่ว่าเจ้ามาอยู่ผิดที่ผิดทาง ท่านพ่อต่างหากที่ข้าต้องการให้เขาทุกข์ทรมาน และข้ารู้ว่าท่านพ่อรักเจ้า”“โจวหมิงเจ๋อไม่ได้รักข้า ท่านเข้าใจผิด”“เจ้าไม่รู้จักนิสัยของพ่อข้าดี ท่านพ่อเป็นคนเย็นชาไร้หัวใจ อวี้เจียวจงรักภักดีรับใช้มาเนิ่นนาน เขายังยกให้เฉียนฟานโดยง่ายดาย แต่กับเจ้า..”มือนุ่มดั่งหญิงสาวเชยปลายคางนางขึ้นแล้วบีบ“พบเพียงไม่กี่หนกับยกย่องร่วมชีวิต สัญญาผูกพันนิจนิรันดร์ ข้าไม่รู้เหมือนกันว่าเจ้ามีดีอะไร หน้าตาไม่ได้สะสวย ทั้งรูปร่างไม่ได้เสี้ยวหญิงงามเมือง แต่เอาเถิด อย่างไรเสียเจ้าต้องตาย”โจวจางหมิ่นกดริมฝีปากนางล้วงนิ้วเข้า แล้วเผยอปากตัวเองคล้ายแสยะยิ้ม “ให้เขาได้ทุกข์ทนเช่นแม่ข้า ลุกขึ้น บอกลาชีวิตของเจ้าได้แล้ว”แรงบุรุษกระชากดึงนางขึ้นจากพื้น สาบเสื้อหลุดรุ่ยจนพ้นเนินทรวงหนึ่งข้าง โจวจางหมิ่นหลุบตามองก่อนใช้มือบีบขยำลงแรง“ทว่า เจ้าเองก็น่าลิ้มลอง บางคราวข้าก็เคยคิดว่าถ้าได้ร่วมเ
บทที่ 26 โจวจางหมิ่นยามเว่ยในช่วงต้นฤดูหนาวชานเมืองหลวงของสำนักคุ้มกันภัยเสวี่ยจง ที่โอบล้อมด้วยป่าไผ่ ยิ่งพาให้อากาศเย็นขึ้นอีกหลายเท่าตัวไป๋หลินเอ๋อร์กระชับเสื้อคลุมตัวยาวที่ชางซิงเยียนกำชับเป็นหนักหนาให้นางสวมมาด้วย แม้ว่านางบอกแล้วว่ามาแค่เรือนหลักเท่านั้นนางเดินผ่านสวนกลางเรื่อยจนมาถึงเรือนหลัก ไม่ทันได้เอ่ยแจ้งเด็กในเรือนพลันเห็นโจวจางหมิ่นยืนนิ่งตรงโค้งประตูวงเดือนทางออกสวนด้านหลังทุกคราที่นางพบหน้าโจวจางหมิ่น ขนแขนนางมักลุกชันอย่างน่าประหลาด และยามนี้ก็เช่นกัน นางมองสีหน้ากระหยิ่มและมุมปากโค้งขึ้นละม้ายโจวหมิงเจ๋อ แต่ก็แค่ละม้าย เพราะส่วนใหญ่บนใบหน้าของชายร่างเกร็งคนนี้ไม่เหมือนโจวหมิงเจ๋อแม้แต่น้อยนางขยับเข้าไปใกล้วางสีหน้าเรียบเฉยทั้งที่ใจเต้นรัวดั่งกลองศึก ยิ่งเข้าใกล้ยิ่งเห็นความแตกต่าง โจวหมิงเจ๋อแม้ว่าการกระทำเย็นชารุนแรง ทว่ากลับมีความเมตตาต่อผู้อื่น ผิดไปจากบุตรชายที่แผ่กลิ่นอายโฉดชั่วทวีคูณ ยิ่งเห็นรอยแผลบนร่างฮุ่ยหรู ยิ่งรับรู้ว่าชายผู้นี้กระทำต่อสตรีเพศราวกับเป็นสัตว์สิ่งของ“ท่านแม่”นางมองร่างสูงของโจวจางหมิ่นโค้งลงคำนับนางราวกับว่าเป็นบุตรชายแท้จริงของนาง ทว
บทที่ 25 ฮุ่ยหรูเพียะ เพียะ!!ฮุ่ยหรูล้มคว่ำลงทันทีเมื่อฝ่ามือของโจวจางหมิ่นกระทบใบหน้าเป็นครั้งที่สอง ร่างอ่อนแออย่างหญิงตั้งครรภ์สามเดือนกองบนพื้นน้ำตานองหน้า“ข้าบอกเจ้าให้ทำเช่นไรฮุ่ยหรู”“ฮื้ออ ขะ ข้า ข้ายัง พบ นางไม่ได้”เพล้ง!!โจวจางหมิ่นปัดกระถางกำยานล้มคว่ำเฉียดใบหน้าฮุ่ยหรูจนนางผงะออก ดวงตาหวาดกลัวไหวระริก เหลือบมองสามีที่นางแต่งเข้ามายังตระกูลโจวอันร่ำรวยและมากยศฐา“ยามนี้นางอยู่แต่บนหอ ท่านพ่อไม่ยอมให้นางลงมา อร้าย!! อย่า ข้ากลัวแล้ว”ฮุ่ยหรูยกมือไหว้ประลก ๆ น้ำตาไหลนองจนมองไม่เห็นสีหน้าสามี แต่นางรู้ว่าใบหน้าหล่อราวหยกกำลังบิดเบี้ยวจากแรงโกรธ เขากระชากผมนางดึงขึ้นมาจากพื้นเพียะ!!ใช้หลังฝ่ามือฟาดลงใบหน้าอีกครั้งแล้วผลักนางให้ล้มลงกับพื้น ยกเท้าเหยียบนางไว้“เวลาข้าสั่ง ไม่มีข้ออ้างฝ่าฝืน เข้าใจหรือไม่ภรรยารัก”นางพยักหน้ารับ ดวงหน้าแนบพื้นเย็นเยียบ สะอื้นขึ้นแรงก่อนที่โจวจางหมิ่นจะประคองนางขึ้นมาโอบกอดแล้วพูดด้วยเสียงอ่อนโยนผิดไปจากคราแรก“วันพรุ่ง เจ้าจงไปหานาง คุยกับนางให้นางคลายใจ ชักชวนนางดั่งที่ข้าบอกไว้ เข้าใจหรือไม่ฮุ่ยหรู”มือร้อนลูบผมนางประคองนางไปนั่งที่เตียง
บทที่ 24 nc“แผลหายสนิทแล้ว”“หายแค่ภายนอก แต่จิตใจข้าไม่”นางกระชากเสียงใส่ ดึงดันจะลุกขึ้นแต่มือใหญ่รวบนางไว้ให้นั่งลงซ้อนด้านหน้า“ไหน จิตใจเจ้าที่ตรงใดกัน ข้าจะทำความสะอาดให้หมดจด ขจัดความขุ่นมัวออกไปให้เอง”ไม่เพียงเอ่ยด้วยเสียงกระเส่า มือรั้งร่างเล็กพร้อมผ้าในมือ เช็ดถูแผ่นหน้าท้อง ซบหน้าลงหัวไหล่ เลื่อนผ้านุ่มขึ้นหาทรวงอก นางสะดุ้งทันที“ข้ามือหนักไปหรือ?”ไป๋หลินเอ๋อร์เม้มปาก มือจับขอบอ่างไว้ไม่กล้าขยับตัว ผ้านุ่มค่อยถูทำความสะอาดเนื้อนุ่มอวบอิ่มแผ่วเบา ในยามนี้นางรู้ตัวแล้วว่าคงหนีไม่พ้นบุรุษด้านหลังเป็นแน่ หากยังขืนตัวไม่อ่อนลงคงเป็นนางเองที่เจ็บตัว“ท่าน จะเบามือกับข้าสักหน่อยได้หรือไม่”โจวหมิงเจ๋อชะงักไปครู่ เอียงหน้าไปมองดวงหน้างาม ปากกระจับเม้มแน่น พวงแก้มขึ้นสีระเรื่อ นางเอี้ยวกลับมาจ้องตอบ“เหตุใดไม่ตอบข้า”“ไม่ได้”ไป๋หลินเอ๋อร์สะอึกแล้วนิ่งงัน ก่อนจะเอ่ยถามอีก “ถ้าเช่นนั้น สอนข้าให้ ... ให้ข้าเจ็บน้อยที่สุด”โจวหมิงเจ๋อปล่อยผ้าออกจากมือ แล้วแทนที่ด้วยฝ่ามือร้อนจัดกอบกุมเนินทรวง “เจ้าอาจเริ่มจากผ่อนคลาย และสนุกกับสิ่งที่ข้าทำ”“สนุกงั้นหรือ”“ใช่แล้ว ถ้าข้าทำเช่นนี้