บทที่ 8 จางอวี้
“จางอวี้”
“พี่หลินเอ๋อร์”
ไป๋หลินเอ๋อร์ยิ้มอ่อนหวานเมื่อจางอวี้วิ่งตรงมาทางนางทันทีพลางสวมกอด
“ข้า ข้านึกว่าพี่โดนขายไปซ่องเสียแล้ว” จางอวี้เป็นคนบ่อน้ำตาตื้น แค่เห็นไป๋หลินเอ๋อร์ก็รื้นชื้นน้ำเต็มสองตาใกล้ไหลเต็มทน
“ไม่ต้องร้องไห้ มานั่งก่อน ไม่เจอกันเดือนกว่าเป็นเช่นไรบ้าง”
ไป๋หลินเอ๋อร์ดึงตัวจางอวี้ออกห่างแล้วจูงไปนั่งยังสวนกลางเรือนเล็กของยิ่งตี้ ติดกับเรือนหลัก
“ข้าสบายดียิ่ง แต่ทำไมพี่ถึงรอดมาได้ พวกเขาลือกันหนาหูว่าคนที่โดนขายไปซ่องครานั้นตายเสียเกือบครึ่งจนข้านั่งภาวนาให้ท่านอยู่หลายวัน”
“ตาย!!”
“ใช่พี่หลินเอ๋อร์ ซ่องที่ยิ่งตี้ถูกนำไปขายโหดร้ายทารุณ มีแต่พวกทหารรับจ้างและโจรป่า ร่างของพวกนางบอบบางนักมิอาจทานทนต่อแรงชาย ป่วยบาดเจ็บ บ้างปลิดชีพหนีความทรมาน”
ไป๋หลินเอ๋อร์นิ่งอึ้งพูดไม่ออก ยิ่งนางอยู่ที่นี่ยิ่งเห็นความโหดร้าย ไม่รู้ว่าจะมีสิ่งใดเลวร้ายป่าเถื่อนอีกมากขนาดไหน
“น่ากลัว”
“แต่ท่านไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว ข้าดีใจยิ่ง”
“แล้วเจ้าล่ะจางอวี้ นายน้อยหญิงบอกว่าพวกเจ้ายังไม่ต้องทำอะไร ต้องรอให้ฮูหยินนายน้อยตั้งครรภ์เสียก่อนถึงได้ขึ้นรับใช้”
“คงใกล้แล้ว ข้าเห็นท่านหมอเวียนเข้าออกตลอดเวลา คงหาทางให้ฮุ่ยหรูตั้งครรภ์โดยเร็ว”
“ฟังจากน้ำเสียง เจ้าไม่ดีใจหรือ ไหนคราแรกที่มาเจ้าดูชอบพอ โจวจางหมิ่น”
“ขากกกถุย” จางอวี้ถุยน้ำลายออกมาทันที “ข้าขอโทษที่เสียมารยาท แต่อดไม่ได้ เจ้านายน้อยโจวจางหมิ่นเป็นพวกบ้าตัณหา ทั้งชอบความรุนแรง ในแต่ละคืนข้าต้องเอาผ้ามาอุดหูไว้”
“อะไรนะ”
ไป๋หลินเอ๋อร์เอียงหน้า สีหน้าสงสัย นางเป็นลูกชาวนา เรื่องบนเตียงย่อมเคยเห็นเพราะห้องหับมิได้แน่นหนาดั่งจวนคนร่ำรวย ยามพ่อแม่ บ้านข้างเคียงร่วมหลับนอนย่อมส่งเสียงดังตั้งแต่นางยังเป็นเด็ก แต่คงมิใช่การร่วมเตียงอย่างนายน้อยเป็นแน่
“เสียงหวีดร้องของฮุ่ยหรู พี่หลินเอ๋อร์ ข้าทั้งกลัว ทั้งขยะแขยง ไม่อยากขึ้นเตียงนายน้อยแล้ว”
“เจ้า...”
“ข้าอยากจะหนี”
“ไม่ได้!! จางอวี้ มันอันตราย เมื่อหลายวันก่อนชางซิงเยียนจับนักโทษแหกคุกโยนให้จระเข้ในทะเลสาบเป็นการลงโทษ พี่คาดว่าหากเจ้าโดนจับได้โทษคงไม่ต่างกัน”
“จระเข้!!”
“ชู่วววว เจ้าอย่าเสียงดังไปจางอวี้” ไป๋หลินเอ๋อร์ปิดปากจางอวี้ทันที เหลียวมองด้านหลังไม่เห็นใครจึงปล่อยมือ “กฎระเบียบมากมายจนข้าเองยังจำไม่หมด ส่วนบทลงโทษแล้วแต่นายท่านชื่นชอบ เจ้าจำไว้ทำสิ่งใดให้ปรึกษาข้าก่อน สองหัวย่อมดีกว่าหัวเดียว และอย่าได้คิดหนีหากไม่มีข้าคอยช่วย”
“พี่หลินเอ๋อร์ แต่ข้า ข้าไม่อยากร่วมเตียงนายน้อยจริง ๆ ยังเรื่อง ประเพณีบ้าบอ ข้า ...”
“ประเพณีอะไร”
“คืนวันเข้าหอ ท่านกับข้าแอบอยู่ใต้ถุนจวน เห็นนายท่านออกมาจากห้องหอภายหลังจากที่ฮุ่ยหรูหวีดร้อง จำได้หรือไม่”
ไป๋หลินเอ๋อร์นึกภาพตามแล้วพยักหน้า
“เบิกพรหมจรรย์”
“ข้าไม่เข้าใจคำนี้”
“มันเป็นขนบมีมาช้านาน ข้าเคยได้ยินมาบ้างแต่ไม่นึกว่าตระกูลโจวจะยังใช้ หญิงสาวแต่งเข้าเรือน ในคืนเข้าหอก่อนสามีจะร่วมเตียง ต้องให้ผู้อื่นที่ศักดิ์มากกว่าตนเป็นผู้เบิกพรหมจรรย์ อาจลุง น้า หรือหมอ แต่ที่นี่คือผู้นำตระกูลเป็นผู้ทำแทนเจ้าบ่าว”
“เจ้า เจ้าหมายถึงนายท่านกับฮุ่ยหรู...”
“น่าสะอิดสะเอียนยิ่ง แล้วนายน้อยก็ร่วมกระทำต่อ ข้า ข้าไม่ทนให้โจวจางหมิ่นแตะตัวข้าเด็ดขาด”
ไป๋หลินเอ๋อร์ยามนี้ไปไม่ถูกเช่นกัน นางนิ่งอึ้งเป็นครู่ ใบหน้าหล่อเหลางดงามราวเทพเซียนเป็นเพียงสิ่งลวงตา เพียงอยู่ในเดือนกว่าเรื่องราวความโหดร้ายมีมาเรื่อย ๆ ให้ได้รับรู้
ภายในครุ่นคิดหากจะกระทำการสิ่งใดต้องชิงทำเสียแต่ตอนนี้ ก่อนนายท่านกลับมา คิดได้ดังนั้นจึงค่อยลุกขึ้น
“เจ้าอย่าเอะอะไปจางอวี้ ข้าจะกลับไปคิดว่าเราควรเอาอย่างไร ถ้าจะหนีควรหนีด้วยกัน แต่ข้ามีเรื่องต้องทำก่อน”
“เรื่องอะไรพี่หลินเอ๋อร์”
“ข้าจะเล่าให้ฟังเมื่อภารกิจสำเร็จ แต่จากนี้ไปข้าอาจไม่ได้มาหาเจ้า ขอให้ระวังตัวด้วย”
“พี่หลินเอ๋อร์” น้ำเสียงจางอวี้อ่อนลงแผ่วเบาเมื่อไป๋หลินเอ๋อร์เพียงพูดจบหันหลังให้นางเดินจากไปเงียบเชียบ
ในแต่ละวันล้วนผ่านไปอย่างเชื่องช้า ไป๋หลินเอ๋อร์นอกจากเดินเล่นในหอสูงแล้วเรือนยิ่งตี้ นางถูกห้ามไม่ให้เดินไปที่ใดได้อีก
“พี่หลินเอ๋อร์”
ไป๋หลินเอ๋อร์ผู้ที่กำลังเอนกายสุขสบายอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนในชีวิตของลูกชาวนา เดี๋ยวนี้นางมีเนื้อมีหนังอวบอิ่มกว่าเดิม ผิวพรรณไม่หยาบกร้านเพราะอวี้เจียวหมั่นเอาสมุนไพรบำรุงร่างกายมาให้อาบอยู่เสมอ และฝ่ามือไม่แตกระแหงเพราะงานอีกต่อไป
นางพยุงกายลุกนั่ง แล้วเดินหมากต่อ “เรียกข้าแล้วไยเงียบไป”
“ข้าว่าจะบอกก็ลืมทุกที ฮูหยินนายน้อยตั้งครรภ์แล้ว”
ไป๋หลินเอ๋อร์ชะงักมือที่กำลังวางหมาก “จริงหรือ”
“เมื่อวันก่อน นายน้อยเรียกฮุ่ยฟางเข้าห้อง เสียงกรีดร้องนางโหยหวนมากจนข้านอนไม่หลับทั้งคืน”
ไป๋หลินเอ๋อร์วางหมาก “เจ้าแพ้แล้ว”
จางอวี้หยุดพูดทันทีก้มลงมองกระดานบนพื้นชานเรือนยิ่งตี้
“เป็นไปได้อย่างไร ท่านเพิ่งหัดเล่นได้ไม่กี่ครั้ง”
“เจ้ามัวแต่เหม่อ พูดเจื้อยแจ้วจนไม่สนใจกระดานต่างหาก แล้วนายน้อยจะเรียกเจ้าเมื่อใด”
“ข้าเองยังไม่รู้ ได้แต่ภาวนาให้พวกเราหนีได้ทันก่อนข้าร่วมเตียง”
“จุ๊ ๆ อย่าดังไป ข้ายังทำภารกิจไม่เรียบร้อย”
“ท่านไม่เคยบอกข้าว่าท่านคิดทำอะไร”
“บอกไม่ได้ ไม่ใช่ว่าไม่อยากบอก แต่หากเจ้ารู้เจ้าย่อมซวยไปด้วย ไม่ต้องรู้น่ะดีแล้ว”
“แต่...นี่มันเกือบสามเดือนแล้วพี่หลินเอ๋อร์”
“อืม..ข้ายังหาจังหวะไม่ได้”
“ข้าได้ข่าวว่านายท่านใกล้กลับมาแล้วนะ” จางอวี้น้ำเสียงร้อนรน
“ใครบอกเจ้า นายน้อยหญิงไม่เห็นเล่าให้ข้าฟัง”
“ฮึ วัน ๆ ท่านอยู่แต่กับนายน้อยหญิงและแม่นางอวี้เจียว พวกเขาพูดสิ่งใด ท่านได้แต่ฟังฝ่ายเดียว จะสู้ข้าได้เยี่ยงไร สตรี บุรุษมากมาย มิมีสิ่งใดทำนอกจากนินทา...” จางอวี้เน้นเสียงหนักหน้าต่างขึงขัง
“ฮะ ฮ่า ดูเจ้าสิจางอวี้ เจ้ากลายเป็นคนเช่นนี้แล้ว”
“อยู่ที่นี่ย่อมต้องเอาตัวรอด แต่..เอาเถอะ ท่านมีนายน้อยหญิงคุ้มหัว อยู่บนหอเสวี่ยจง จะมีใครกล้าทำอะไรท่านได้”
“เจ้านี่ ... ช่างเจรจา”
“ข้าไม่เล่นกับท่านแล้ว เชิญท่านกลับไปได้แล้วพี่หลินเอ๋อร์”
“อะไรกันแค่นี้ต้องน้อยใจด้วย คราวหน้ายามแม่นางอวี้เจียวเอาบุหงาตากแห้งมาให้ ข้าจะแบ่งมาให้เจ้าด้วยดีหรือไม่ เห็นว่าซื้อมาจากเรือสำเภาฝั่งตะวันตก”
จางอวี้ตาวาวทันทีส่งยิ้มหวาน “งั้นข้าไม่งอนท่านแล้ว”
ไป๋หลินเอ๋อร์หัวเราะร่าขบขัน แล้วจึงลุกขึ้น “ฝากเจ้าเก็บกระดานด้วยแล้วกัน ส่วนข้าจะไปสืบความสักหน่อย”
ไป๋หลินเอ๋อร์แสร้งยิ้มหัวเราะทว่าเพียงเดินออกห่างสีหน้าจึงค่อยเปลี่ยน นายท่านจะกลับมาแล้วเช่นนั้นหรือ นางมัวแต่ระเริงความสุขสบายที่ชั่วชีวิตนี้ไม่เคยได้รับมาก่อนจนลืมสิ้นภารกิจ
นางชายตามองคนสำนักคุ้มภัยที่ยังส่งให้เดินตามนางห่าง ๆ มาตลอดเกือบสามเดือน นางจะหลบพ้นได้อย่างไรกัน
ไม่ทันได้คิดแผนการเสียงโวยวายผู้คนวิ่งวุ่นน่าประหลาด แม้แต่คนที่ตามเฝ้านางยังต้องรีบผละออกเพื่อตั้งขบวนแถว
“เกิดเรื่องอะไรขึ้น” ไป๋หลินเอ๋อร์สบโอกาสเร้นกายหลบหลังเสาต้นใหญ่แอบมอง
“นายท่าน”
แถวคนสำนักคุ้มภัยยืนเรียงเป็นระเบียบโค้งคำนับเมื่อบุรุษผู้ยิ่งใหญ่เสวี่ยจงย่ำฝีเท้าเข้ามาในหอ สะบัดผ้าคลุมเปียกฝนออกโยนให้คนรับใช้
“ลงชั้นใต้ดิน”
“ขอรับ”
นางได้ยินถึงกับหูผึ่ง ‘ชั้นใต้ดิน’ เอนกายให้เสาบังจนมิดฟังเสียงฝีเท้าย่ำไปทางซอกเสาอีกฝั่ง นางชะโงกศีรษะออกจึงมองเห็นทางเข้าบัดนี้ถูกเปิดอย่างง่ายดายด้วยกลไกโคมไฟข้างผนัง หลังจากนั้นจึงปิดลง
“คืนนี้ ข้าจะรอคืนนี้ จงไห่ เจ้าอย่าเพิ่งเป็นอะไรนะ”
บทที่ 29 บทพิเศษยามเหม่าในทุกวัน โจวหมิงเจ๋อมักลุกขึ้นเพื่อลงไปฝึกยุทธิ์กับคนของสำนักคุ้มภัยด้วยตนเองไป๋หลินเอ๋อร์พลิกกายโอบลำแขนอ่อนนุ่มรัดเขาไว้เอ่ยเสียงเบา“ท่านพี่ ยามเหม่าแล้ว”โจวหมิงเจ๋อตวัดรัดท่อนแขนให้ร่างเล็กบอบบางเกยขึ้นมานอนบนแผ่นอก ลูบฝ่ามือร้อนลงแผ่นหลังเปล่าเปลือยไร้อาภรณ์“เนื้อเจ้านุ่มมือ” ฝ่ามือใหญ่กางออกลูบแผ่นหลังรั้งนางให้ถดขึ้นกระทั่งริมฝีปากจดกันขยับแผ่วเบา“ป่านนี้เด็ก ๆ คงตื่นกันหมดแล้ว”“แล้วอย่างไร ตื่นแล้วก็ให้ยืนรอหน้าห้องไปก่อน”“ท่านพี่”“ยามเช้าเช่นนี้ ควรอยู่กันแต่ในผ้าห่มดีหรือไม่ กกกอดก่ายรัดร่าง”“ฮะ ฮ่า ท่านพี่ หลินเอ๋อร์ลูกสามแล้วเจ้าค่ะ ไม่อยากท้องอีก”“ถ้าเช่นนั้น พี่จะไม่หลั่งน้ำพิสุทธิ์ข้างในเจ้า เช่นนี้หลินเอ๋อร์ยินยอมหรือไม่”ไป๋หลินเอ๋อร์เม้มปากดันร่างตนเองออกแต่ถูกรั้งลงใต้ร่างทันควัน จับนางพลิกคว่ำ จูบขบลงฟันบนแผลเป็นรูปเสือ“คำกล่าวนี้ ท่านพี่บอกข้าเป็นพันครั้ง จนข้าขี้เกียจจดจำจะใส่ใจ”“ฮึ ในเมื่อหลินเอ๋อร์ไม่ใส่ใจ เช่นนั้นพี่จะถือว่าเจ้าอนุญาต” โจวหมิงเจ๋ออมยิ้มขณะพรมจูบไต่ลงแผ่นหลังนวลเนียน มือก่อกวนวนเวียนไม่ห่างทั้งลูบคลำ ทั้งล้
บทที่ 28 ความลับไป๋หลินเอ๋อร์ดีดตัวออกจากโจวจางหมิ่นทันทีแล้วโผเข้าหาบุรุษตรงหน้า ให้เขาโอบรัดนางไว้ด้วยลำแขนแข็งแกร่ง ซบดวงหน้าเปื้อนหยาดน้ำลงอกกระเพื่อมไหวจากแรงสูดลมหายใจไร้เสียงร้องใด ๆ จากโจวจางหมิ่น คมลูกธนูปักลงหัวไหล่ขวาที่รัดลำคอนางไว้ สีหน้าโจวจางหมิ่นปวดร้าว มองโจวหมิงเจ๋อด้วยดวงตากล่าวหา มาดร้าย และคล้ายไม่ต้องการเชื่อในที่โจวหมิ่งเจ๋อทำลงไปนางโอบร่างแกร่งไว้แน่นไม่ยอมให้เขาเข้าไปใกล้โจวจางหมิ่น“จางหมิ่น...” น้ำเสียงระห้อยโหยแรงเอ่ยชื่อในลำคอ ดวงตาแสบร้อนแดงก่ำ แต่ไร้น้ำตา เขามองร่างสูงเกร็งคล้ายเขาถอยหลังไปอีกสองก้าวในยามนี้โจวจางหมิ่นสีหน้าสงบลงแล้วราวกับว่ายอมรับบางอย่าง ริมฝีปากบิดโค้งคล้ายรอยยิ้มก่อนจะทิ้งร่างลงเหวลึกด้วยป่ารกทึบด้านล่าง“จางหมิ่น จางหมิ่น!!! จางหมิ่นนน”บุรุษแกร่งเช่นโจวหมิงเจ๋อ ชั่วชีวิตกระทำการทารุณคน สังหาร มองเลือดและความตายด้วยความเยือกเย็นไร้ความรู้สึก แต่มาบัดนี้โจวจางหมิ่นที่เขาอุ้มชูเลี้ยงมากับมือทิ้งร่างอัตวิบากกรรมต่อหน้าเขาที่ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นบิดาร่างสูงใหญ่ทิ้งตัวลงคุกเข่าเท้าฝ่ามือลงพื้นท่ามกลางใบไม้ร่วงหล่นสีส้มแดงในต้นฤดูหนาว“
บทที่ 27 โจวจางหมิ่น“เข้าใจผิด!! ข้าไม่ได้มีเรื่องอะไรบาดหมางกับเจ้า ยิ่งตี้หรือฮูหยินท่านเจ้าสำนัก” โจวจางหมิ่นเดินเข้าใกล้โน้มหน้าลงต่ำ กระชากผมจนดวงหน้าของนางแหงนขึ้น“เจ้าไม่มีสิ่งใดผิด ผิดแค่ว่าเจ้ามาอยู่ผิดที่ผิดทาง ท่านพ่อต่างหากที่ข้าต้องการให้เขาทุกข์ทรมาน และข้ารู้ว่าท่านพ่อรักเจ้า”“โจวหมิงเจ๋อไม่ได้รักข้า ท่านเข้าใจผิด”“เจ้าไม่รู้จักนิสัยของพ่อข้าดี ท่านพ่อเป็นคนเย็นชาไร้หัวใจ อวี้เจียวจงรักภักดีรับใช้มาเนิ่นนาน เขายังยกให้เฉียนฟานโดยง่ายดาย แต่กับเจ้า..”มือนุ่มดั่งหญิงสาวเชยปลายคางนางขึ้นแล้วบีบ“พบเพียงไม่กี่หนกับยกย่องร่วมชีวิต สัญญาผูกพันนิจนิรันดร์ ข้าไม่รู้เหมือนกันว่าเจ้ามีดีอะไร หน้าตาไม่ได้สะสวย ทั้งรูปร่างไม่ได้เสี้ยวหญิงงามเมือง แต่เอาเถิด อย่างไรเสียเจ้าต้องตาย”โจวจางหมิ่นกดริมฝีปากนางล้วงนิ้วเข้า แล้วเผยอปากตัวเองคล้ายแสยะยิ้ม “ให้เขาได้ทุกข์ทนเช่นแม่ข้า ลุกขึ้น บอกลาชีวิตของเจ้าได้แล้ว”แรงบุรุษกระชากดึงนางขึ้นจากพื้น สาบเสื้อหลุดรุ่ยจนพ้นเนินทรวงหนึ่งข้าง โจวจางหมิ่นหลุบตามองก่อนใช้มือบีบขยำลงแรง“ทว่า เจ้าเองก็น่าลิ้มลอง บางคราวข้าก็เคยคิดว่าถ้าได้ร่วมเ
บทที่ 26 โจวจางหมิ่นยามเว่ยในช่วงต้นฤดูหนาวชานเมืองหลวงของสำนักคุ้มกันภัยเสวี่ยจง ที่โอบล้อมด้วยป่าไผ่ ยิ่งพาให้อากาศเย็นขึ้นอีกหลายเท่าตัวไป๋หลินเอ๋อร์กระชับเสื้อคลุมตัวยาวที่ชางซิงเยียนกำชับเป็นหนักหนาให้นางสวมมาด้วย แม้ว่านางบอกแล้วว่ามาแค่เรือนหลักเท่านั้นนางเดินผ่านสวนกลางเรื่อยจนมาถึงเรือนหลัก ไม่ทันได้เอ่ยแจ้งเด็กในเรือนพลันเห็นโจวจางหมิ่นยืนนิ่งตรงโค้งประตูวงเดือนทางออกสวนด้านหลังทุกคราที่นางพบหน้าโจวจางหมิ่น ขนแขนนางมักลุกชันอย่างน่าประหลาด และยามนี้ก็เช่นกัน นางมองสีหน้ากระหยิ่มและมุมปากโค้งขึ้นละม้ายโจวหมิงเจ๋อ แต่ก็แค่ละม้าย เพราะส่วนใหญ่บนใบหน้าของชายร่างเกร็งคนนี้ไม่เหมือนโจวหมิงเจ๋อแม้แต่น้อยนางขยับเข้าไปใกล้วางสีหน้าเรียบเฉยทั้งที่ใจเต้นรัวดั่งกลองศึก ยิ่งเข้าใกล้ยิ่งเห็นความแตกต่าง โจวหมิงเจ๋อแม้ว่าการกระทำเย็นชารุนแรง ทว่ากลับมีความเมตตาต่อผู้อื่น ผิดไปจากบุตรชายที่แผ่กลิ่นอายโฉดชั่วทวีคูณ ยิ่งเห็นรอยแผลบนร่างฮุ่ยหรู ยิ่งรับรู้ว่าชายผู้นี้กระทำต่อสตรีเพศราวกับเป็นสัตว์สิ่งของ“ท่านแม่”นางมองร่างสูงของโจวจางหมิ่นโค้งลงคำนับนางราวกับว่าเป็นบุตรชายแท้จริงของนาง ทว
บทที่ 25 ฮุ่ยหรูเพียะ เพียะ!!ฮุ่ยหรูล้มคว่ำลงทันทีเมื่อฝ่ามือของโจวจางหมิ่นกระทบใบหน้าเป็นครั้งที่สอง ร่างอ่อนแออย่างหญิงตั้งครรภ์สามเดือนกองบนพื้นน้ำตานองหน้า“ข้าบอกเจ้าให้ทำเช่นไรฮุ่ยหรู”“ฮื้ออ ขะ ข้า ข้ายัง พบ นางไม่ได้”เพล้ง!!โจวจางหมิ่นปัดกระถางกำยานล้มคว่ำเฉียดใบหน้าฮุ่ยหรูจนนางผงะออก ดวงตาหวาดกลัวไหวระริก เหลือบมองสามีที่นางแต่งเข้ามายังตระกูลโจวอันร่ำรวยและมากยศฐา“ยามนี้นางอยู่แต่บนหอ ท่านพ่อไม่ยอมให้นางลงมา อร้าย!! อย่า ข้ากลัวแล้ว”ฮุ่ยหรูยกมือไหว้ประลก ๆ น้ำตาไหลนองจนมองไม่เห็นสีหน้าสามี แต่นางรู้ว่าใบหน้าหล่อราวหยกกำลังบิดเบี้ยวจากแรงโกรธ เขากระชากผมนางดึงขึ้นมาจากพื้นเพียะ!!ใช้หลังฝ่ามือฟาดลงใบหน้าอีกครั้งแล้วผลักนางให้ล้มลงกับพื้น ยกเท้าเหยียบนางไว้“เวลาข้าสั่ง ไม่มีข้ออ้างฝ่าฝืน เข้าใจหรือไม่ภรรยารัก”นางพยักหน้ารับ ดวงหน้าแนบพื้นเย็นเยียบ สะอื้นขึ้นแรงก่อนที่โจวจางหมิ่นจะประคองนางขึ้นมาโอบกอดแล้วพูดด้วยเสียงอ่อนโยนผิดไปจากคราแรก“วันพรุ่ง เจ้าจงไปหานาง คุยกับนางให้นางคลายใจ ชักชวนนางดั่งที่ข้าบอกไว้ เข้าใจหรือไม่ฮุ่ยหรู”มือร้อนลูบผมนางประคองนางไปนั่งที่เตียง
บทที่ 24 nc“แผลหายสนิทแล้ว”“หายแค่ภายนอก แต่จิตใจข้าไม่”นางกระชากเสียงใส่ ดึงดันจะลุกขึ้นแต่มือใหญ่รวบนางไว้ให้นั่งลงซ้อนด้านหน้า“ไหน จิตใจเจ้าที่ตรงใดกัน ข้าจะทำความสะอาดให้หมดจด ขจัดความขุ่นมัวออกไปให้เอง”ไม่เพียงเอ่ยด้วยเสียงกระเส่า มือรั้งร่างเล็กพร้อมผ้าในมือ เช็ดถูแผ่นหน้าท้อง ซบหน้าลงหัวไหล่ เลื่อนผ้านุ่มขึ้นหาทรวงอก นางสะดุ้งทันที“ข้ามือหนักไปหรือ?”ไป๋หลินเอ๋อร์เม้มปาก มือจับขอบอ่างไว้ไม่กล้าขยับตัว ผ้านุ่มค่อยถูทำความสะอาดเนื้อนุ่มอวบอิ่มแผ่วเบา ในยามนี้นางรู้ตัวแล้วว่าคงหนีไม่พ้นบุรุษด้านหลังเป็นแน่ หากยังขืนตัวไม่อ่อนลงคงเป็นนางเองที่เจ็บตัว“ท่าน จะเบามือกับข้าสักหน่อยได้หรือไม่”โจวหมิงเจ๋อชะงักไปครู่ เอียงหน้าไปมองดวงหน้างาม ปากกระจับเม้มแน่น พวงแก้มขึ้นสีระเรื่อ นางเอี้ยวกลับมาจ้องตอบ“เหตุใดไม่ตอบข้า”“ไม่ได้”ไป๋หลินเอ๋อร์สะอึกแล้วนิ่งงัน ก่อนจะเอ่ยถามอีก “ถ้าเช่นนั้น สอนข้าให้ ... ให้ข้าเจ็บน้อยที่สุด”โจวหมิงเจ๋อปล่อยผ้าออกจากมือ แล้วแทนที่ด้วยฝ่ามือร้อนจัดกอบกุมเนินทรวง “เจ้าอาจเริ่มจากผ่อนคลาย และสนุกกับสิ่งที่ข้าทำ”“สนุกงั้นหรือ”“ใช่แล้ว ถ้าข้าทำเช่นนี้