เซี่ยซางตกใจทันที เจ็บแปลบในอกเล็กน้อย แต่เขารู้ดีว่าหญิงสาวจากตระกูลใหญ่อย่างเช่นเจียงเฟิ่งหัวนั้น รู้จักประพฤติตนอยู่ในกรอบ รักษาจารีตยิ่งกว่าใครหลินเฟิงกล่าวอีกว่า “ท่านอ๋องไม่อยากรู้หรือว่าชายใดเป็นคนมอบให้? คิดดูแล้วท่านอ๋องก็ไม่ได้อยากรู้ ถ้าเช่นนั้นก็ช่างเถิด” กระหม่อมไม่เชื่อหรอกว่าท่านไม่หวั่นไหวกับพระชายาแม้แต่นิดเดียว ค่อย ๆ เดาไปก็แล้วกันนะพ่ะย่ะค่ะ!เดินมาถึงประตูเรือนแล้ว เซี่ยซางก็กลับลำ หวานหว่านยังคงรอเขาอยู่ เขาควรไปที่เรือนถานเซียง ไม่ใช่มาที่เรือนของเจียงเฟิ่งหัวขณะที่เตรียมจะเดินจากไปนั้นเอง ทันใดนั้นก็มีเสียงเฮดังมาจากในลาน “พระชายาเก่งจริงๆ”เขาก็หันกลับมา มองเข้าไปด้านในเงียบ ๆที่ริมศาลา จู่ ๆ ก็มีซุ้มไม้ซุ้มหนึ่งเพิ่มเข้ามา ที่ซุ้มไม้มีผ้าไหมสีสันสดใสหลากสีหลายแถบผูกอยู่ เจียงเฟิ่งหัวสวมชุดผ้าบางเบา ทั้งตัวของนางดูอ่อนนุ่มดุจผ้าไหม ห้อยอยู่บนผ้าไหมที่มีสีสันสวยงามแขนเรียวเล็กของนางดึงแถบผ้าไหมหลากสีไว้ขณะที่นางหมุนตัวจากบนลงล่างสู่พื้น ร่างกายของนางดูเบาเหมือนผีเสื้อ ตัวอ่อนเหมือนไร้กระดูก อาศัยพลังของผ้าไหมหลากสีเต้นรำตามใจปรารถนาที่ยิ่งน่าอัศจรรย์
ทันใดนั้น ก็มีกลิ่นหอมโชยมา จู่ ๆ ท้องเซี่ยซางก็ร้องดังจ๊อก ๆ สีหน้าเขาก็ดูเคอะเขินขึ้นมาเจียงเฟิ่งหัวขมวดคิ้ว แววตาใส ๆ อันงดงามเหลือบมองที่ท้องของเขา “ท่านอ๋องยังไม่ได้เสวยหรือเพคะ?”เซี่ยซางหิวมาก และนึกถึงที่หลินเฟิงบอกว่าเจียงเฟิ่งหัวทำอาหารอร่อยอีกด้วย เขานึกถึงว่าคราวก่อนเขาได้กินอาหารที่เรือนของนางครั้งหนึ่งและยังกินไม่อิ่ม คิดถึงอยู่ไม่น้อยนางรุกก่อน รอยยิ้มอันแสนหวานปรากฏที่แก้ม “ท่านอ๋องเชิญหม่อมฉันดื่มชาแล้ว หม่อมฉันก็เชิญท่านอ๋องเสวยพระกระยาหารดีไหมเพคะ? ท่านอ๋องไม่ต้องเขินหรอกเพคะ ถึงอย่างไร…”นางหยุดพูดในทันใดเซี่ยซางก็ไม่ได้พูดเปิดเผยเจตนาของนาง รู้อยู่แล้วว่านางเตรียมอาหารไว้ตั้งนานแล้ว “ข้าคงต้องรับคำเชิญอย่างไม่เกรงใจแล้ว”ข้าเองก็อยากดูซิว่าเจ้ายังจะใช้อุบายอะไรอีกในช่วงหลายวันนั้นที่เขาพักอยู่ที่ที่ทำการ นางก็เห็นใจว่าเขาไม่ได้กินอาหารดี ๆ ที่นั่น จึงให้พ่อบ้านเฉิงส่งอาหารเล็ก ๆ น้อย ๆ ไปให้เขาบ่อย ๆที่ทำการก็ไม่มีอะไรอร่อย ๆ ให้กินจริง ๆ เขาจึงกินดูเล่น ๆ นิดหน่อย ได้ชิมแล้วจึงเพิ่งรู้สึกว่าอร่อยมาก เขาเหมือนจะดื่มด่ำกับความรู้สึกอย่างนี้มากเขากล่าว
นางชี้ไปที่โต๊ะ ตาจ้องที่เจียงเฟิ่งหัว “นี่ก็คือไม่ได้ทำอะไรอย่างนั้นหรือ? ใครอธิบายให้ข้าฟังหน่อยซิ”“ข้า…” เจียงเฟิ่งหัวอยากจะพูดแต่ก็หยุดไว้ สวามีของตัวเองกินข้าวมื้อหนึ่งที่เรือนของนางกลับถูกต่อว่าเช่นนี้ ความเสียใจที่มีอยู่เต็มอกไม่มีทางจะบอกเล่าได้ นางกล่าวเบา ๆ ว่า “ก็ถือเสียว่าเป็นความผิดของข้าเถอะ”“ดูสิ ในที่สุดท่านก็ยอมรับแล้ว ข้ารู้อยู่แล้วว่าไม่มีทางหรอกที่ท่านจะไม่ชอบอาซาง ยังเสแสร้งทำเป็นเสียอกเสียใจต่อหน้าเขา ทำเหมือนว่ามีคนรังแกท่าน…”จู่ ๆ เซี่ยซางก็นึกถึงภาพตอนที่องค์ชายรองดูถูกเหยียดหยามเขา เย้ยหยันว่าเขาชอบสาวน้อยขาดการอบรมที่พูดจาไร้มารยาทหวานหว่านเรียนมารยาทมาครึ่งเดือน กลับไม่มีการพัฒนาเลยสักนิด เขาขึ้นเสียงดุทีหนึ่ง “เจ้าโวยวายพอแล้วหรือยัง?”“ท่านตะโกนใส่ข้า…” นี่เป็นครั้งแรกที่เขาพูดเสียงดังใส่ซูถิงหว่าน นางได้แต่รู้สึกน้อยใจอยู่เต็มอก เมื่อนึกถึงว่าพวกเขาอยู่ด้วยกันตามลำพัง เจียงเฟิ่งหัวงดงามถึงเพียงนี้ และยังจงใจยั่วยวนอีกด้วย นางโมโหจนควบคุมไม่อยู่ “ท่านไม่เห็นหรือว่านางเสแสร้งมาตลอด? นางยั่วยวนท่าน…”“ออกไป” เซี่ยซางกำหมัดแน่น แววตาเย็นยะเยือกเข้า
เขาก้าวขึ้นมาข้างหน้าหนึ่งก้าว เข้ามากอดนางไว้จากด้านข้าง เจียงเฟิ่งหัวขัดขืน เบือนหน้าหนี ไม่อยากเข้าใกล้เขา ยิ่งนางขัดขืนเขายิ่งกอดแน่น ชุดขาวทั้งตัวของเขาเปื้อนคราบสกปรกบนตัวนาง ทำให้ทั้งสองเลอะเทอะเปรอะเปื้อนเกินทนหงซิ่วกับเหลียนเย่และคนอื่น ๆ เฝ้าอยู่นอกประตู ตัวสั่นงันงก เห็นว่าพระชายาได้รับความไม่เป็นธรรมขนาดนี้ พวกนางไม่กล้าพูดปกป้องสักแอะ แววตาเต็มไปด้วยความสงสารเซี่ยซางกอดเจียงเฟิ่งหัวไว้ หันไปทางบรรดาสาวใช้ พูดเสียงเข้มว่า “นิ่งทำอะไรกันอยู่ ยังไม่รีบมาเก็บกวาดให้เรียบร้อยอีก ไปหาเสื้อผ้าสะอาด ๆ มาให้พระชายาของพวกเจ้าสิ”ทุกคนแยกย้ายกันเหมือนฝูงนกฝูงสัตว์แตกรัง ไม่กล้าชักช้าแม้แต่วินาทีเดียวพูดจบเขาก็อุ้มเจียงเฟิ่งหัวเข้าห้องนอนที่อยู่ในห้องด้านข้าง เดิมทีหอหล่านเยว่ก็คือที่อยู่ของเซี่ยซาง เขาย่อมรู้ตำแหน่งการจัดวางต่าง ๆ ในนี้เป็นอย่างดี ในห้องด้านข้างมีน้ำร้อนอยู่ตลอด มีแม้กระทั่งห้องน้ำเขาวางนางไว้บนม้านั่งด้านข้าง นำน้ำมาวางด้วยตัวเอง และลองดูความร้อนเย็นของน้ำ ท่าทางอ่อนโยนเป็นอย่างยิ่งก็ได้เห็นว่าเจียงเฟิ่งหัวร้องไห้จนตาบวมแล้ว ใบหน้าก็แดงก่ำ นางจับกระโปรงตั
ขาเรียวยาวอันงดงามกระจ่างใสเปล่งประกาย ขาวเนียนละเอียด นางขัดถูร่างกายตัวเองอย่างแช่มช้อย ผิวของนางขาวยิ่งกว่าหิมะ ดูราวกับเครื่องเคลือบ ไม่ว่าเซี่ยซางได้เห็นวันใดก็ต้องถูกนางดึงดูดอันที่จริงเมื่อครู่อีกแค่ก้าวเดียวนางก็จะได้ตัวเขาไว้ แต่ได้ตัวแล้วสามารถทำอะไรได้เล่า เขาก็เพียงแค่ลุ่มหลงในรูปโฉมโนมพรรณ ไม่ได้ร่วมอภิรมย์กับนางเพราะรักนาง เช่นนี้แล้วจะยั่งยืนได้อย่างไรกันหากนางมีอะไรกับเขา ก็เพียงแต่ทำให้เซี่ยซางรู้สึกว่าเขาได้ทำหน้าที่ของสามีเต็มที่แล้ว มิหนำซ้ำยังเต็มไปด้วยความรู้สึกผิดต่อซูถิงหว่านซูถิงหว่านก็ไม่ได้โง่ รู้ว่านางกำลังให้ท่าเขา หากคืนนี้ยั่วยวนสำเร็จจริง ๆ ไม่ใช่ยิ่งทำให้เซี่ยซางสงสัยในตัวนางหรอกหรือผู้ชายก็เหมือนกันทั้งเพ ยิ่งอยากได้แต่ไม่ได้มาเขาก็ยิ่งอยากได้ หากอยากได้ แล้วให้เขาได้ไปอย่างง่ายดาย เขากลับไม่เห็นคุณค่าเซี่ยซางกลับไปแล้วชะรอยจะนอนไม่หลับ เขาชอบนางหรือไม่ เกรงว่าตัวเขาเองก็สับสน ยิ่งสับสนยิ่งดี ผู้ครองบัลลังก์จะมีผู้หญิงเพียงคนเดียวในชีวิตได้อย่างไร เพียงแต่ว่านางอยากเป็นผู้หญิงที่สำคัญที่สุดของเขาตอนนี้ยังมีเรื่องสำคัญอีกเรื่องต้องจัดการ คดี
ในฝัน เขากลับไปตอนอายุสิบห้าปีอีกครั้ง เสด็จพ่อตำหนิเขาว่า “ไม่รู้จักลำดับความสำคัญก่อนหลัง”เขาหลบอยู่หลังภูเขาจำลองในสวนบุปผชาติของวังหลวง ร้องไห้ด้วยความเสียใจเป็นอย่างมาก ทันใดนั้นเด็กผู้หญิงตัวเล็ก ๆ ที่คลุมผ้าบังหน้าก็เดินมาที่หน้าเขา “กิ๊ว ๆ ๆ โตขนาดนี้แล้วยังร้องไห้แง ๆ เจ้าไม่อายหรือไง”เซี่ยซางเงยหน้าขึ้น เด็กผู้หญิงมีดวงตาอันงดงาม ดำสนิทเปล่งประกาย เขามองเห็นสภาพน่าเวทนาของตัวเองในลูกตาของนางเขาพูดกับนางด้วยความโกรธขึ้ง “เจ้าเป็นใคร วิ่งเข้ามาวังได้อย่างไรกัน”“ข้ามาพร้อมท่านพ่อท่านแม่ของข้าไง แคว้นต้าโจวของเราได้รับชัยชนะในสงคราม ฝ่าบาทจึงทรงจัดงานเลี้ยงเฉลิมฉลองชัยชนะ” น้ำเสียงของเด็กผู้หญิงไพเราะเสนาะหูเหมือนเสียงกระดิ่งเมื่อได้ยินว่าชนะสงครามเขาก็ยิ่งโมโห เห็นชัด ๆ อยู่ว่าเป็นความดีความชอบของเขา เสด็จพ่อกลับด่าว่าเขาไม่รู้จักลำดับความสำคัญก่อนหลัง เขากระชากผ้าคลุมหน้าของนางออก ก็เห็นเพียงว่านางฟันหลอ ไม่มีฟันหน้าด้านบน น่าเกลียดถึงขีดสุด ทันใดนั้นเขาก็หัวเราะ “ยัยอัปลักษณ์” เด็กผู้หญิงถลึงตา ‘เพียะ’ ตบหน้าเขาหนึ่งฉาด “เจ้าคือไอ้ขี้แย”นิ้วมือนางเปื้อนน้ำตาของเข
ขายาวๆ ของเซี่ยซางก้าวออกไปข้างนอก คิดถึงว่าวันนี้ไม่ได้สนใจนางตลอดช่วงบ่าย นางจะต้องรู้สึกแย่มากเป็นแน่ครั้นมาถึงเรือนถานเซียง เซี่ยซางผลักประตูเข้าไปก็เห็นว่าซูถิงหว่านเปลี่ยนไปราวกับเป็นคนละคน เขี้ยวเล็บของนางราวกับถูกคนลับจนสูญคม นั่งตั้งใจคัดอักษรอยู่ที่โต๊ะหนังสืออย่างเรียบๆ ร้อยๆ บนโต๊ะเต็มไปด้วยกระดาษที่คัดอักษรเสร็จแล้ว ตัวอักษรไม่นับว่าบรรจง กระทั่งยังหวัดอยู่บ้าง ขนาดตัวอักษรก็ใหญ่เล็กไม่เสมอกันลายมือเจียงเฟิ่งหัวพลันปรากฏขึ้นในความคิดของเขา มุมปากเขาโค้งขึ้นน้อยๆซูถิงหว่านคัดอักษรต่อไปโดยแสร้งเป็นมองไม่เห็นเขา เซี่ยซางอ่านความคิดของนางออกจึงทำทีจะเดินจากไป ซูถิงหว่านรีบร้อนลุกขึ้นแล้วเอ่ยเสียงอ่อนหวาน “ท่านอ๋อง ช้าก่อนเพคะ”เซี่ยซางหยุดชะงักซูถิงหว่านวางพู่กันลงแล้วลุกขึ้นเดินมาแสดงคารวะตรงหน้าเขาอย่างนอบน้อม “หม่อมฉันคารวะท่านอ๋อง ท่านอ๋องอย่ากริ้วหม่อมฉันนะเพคะ หม่อมฉันสำนึกผิดแล้ว ไม่ควรไปก่อความวุ่นวายที่เรือนของพระชายา”เซี่ยซางเหมือนจะฟังผิดไป เห็นนางแต่งกายอย่างพิถีพิถัน ทั้งยังลดท่าทีลงยอมรับว่าตนเองผิดไปแล้ว เขากล่าว “ได้ยินสาวใช้บอกว่าเจ้าไม่ได้กินข้าวมา
ภายในหอหล่านเยว่เจียงเฟิ่งหัวจัดการงานในมือเสร็จก็ส่งสมุดบัญชีให้หงซิ่วพร้อมทั้งกำชับว่า “บอกผู้ดูแลหลินว่านางทำได้ดีมาก เดือนหน้าก็พยายามต่อไป เงินรางวัลที่ควรให้ก็ต้องให้ตามที่สมควรได้รับ บอกนางว่าอย่าตระหนี่เกินไป ทุกคนล้วนทำงานหนัก” หลินอวี่เป็นคนขี้เหนียว“ผู้ดูแลหลินใจกว้างมากแล้วเพคะ พระชายาต่างหากที่จ่ายหนักเกินไป” หงซิ่วพูดจบก็กอดสมุดบัญชีวิ่งออกไปทันทีเจียงเฟิ่งหัวบิดเอวอย่างเกียจคร้าน จากนั้นก็เริ่มยืดเหยียดร่างกาย นางรู้ว่าเป็นสตรีนั้นลำบากนัก ขณะเดียวกันก็ตระหนักถึงความสำคัญของการหาเงิน ดังนั้นสิบปีนี้นางจึงหาเงินเข้ากระเป๋าตนเองไม่น้อย ทั้งยังมีคลังสมบัติน้อยๆ ของตนเองเหลียนเย่รู้มาว่าเซี่ยซางกับพระชายารองซูกำลังเดินเล่นอยู่ในสวนก็เดินเข้ามาอย่างโมโหฟึดฟัด “ชกต่อยเป็นเก่งกาจนักหรือไร ก็แค่ทักษะพื้นๆ ที่หาประโยชน์ไม่ได้เหมือนงานปักลายผ้านั่นแหละ”เจียงเฟิ่งหัวรู้ว่าเหลียนเย่มีนิสัยเข้าหูซ้ายทะลุหูขวา จะต้องเป็นเพราะซูถิงหว่านกับเซี่ยซางทำอะไรอีกแล้วเป็นแน่“พระชายา พวกเราไปฝึกในสวนกันเถอะเพคะ”“ดึกดื่นป่านนี้ เอาตัวไปป้อนยุงในสวนอย่างนั้นรึ?” เจียงเฟิ่งหัวกลัวยุง
แต่นางเล่า ก็ได้แต่ทนทรมานต่อไปแบบนี้ ไม่รู้ว่าเมื่อใดจะได้หลุดพ้นออกมาเสียที ปัจจัยสำคัญคือบุตรชายไม่มีปัญญาจะไปแย่งชิงตำแหน่งนั้น มิเช่นนั้นนางเองก็… ฮองเฮาเห็นนางเงียบไปไม่พูดจา กระนั้นก็มิได้สั่งให้นางออกไป แต่ตรัสขึ้นอีกครั้งหนึ่งว่า “ใกล้จะปีใหม่แล้ว พวกเจ้าทุกคนประสงค์จะฉลองวันปีใหม่อย่างไรหรือ ข้าขอย้ำประโยคนั้น อย่าฟุ่มเฟือยสิ้นเปลือง บัดนี้ที่เขตชายแดนกำลังทำศึกสงคราม พวกเรายิ่งสมควรมัธยัสถ์ ต่อหน้าสตรีทั้งใต้หล้าควรเป็นแบบอย่างที่ดี พวกเจ้าทุกคนจงจำไว้ พวกเราเป็นสตรีของฝ่าบาท จะต้องเป็นแบบอย่างที่ดีให้ผู้คนปฏิบัติตาม แต่ละตระกูลของพวกเจ้า ก็ให้พวกเจ้าทุกคนกลับไปดูแลควบคุมกันเอง…” เฉิงฮองเฮาพร่ำพูดแต่เรื่องเดิมราวกับกำลังท่องบทสวดภาวนา ถ้อยคำเหล่านี้พวกนางฟังจนเบื่อหน่ายแล้ว ทุกคนขานรับด้วยความนอบน้อมราวกับสายน้ำไร้ชีวิต “เพคะ หม่อมฉันน้อมรับพระราชเสาวนีย์ของฮองเฮาอย่างเคร่งครัดเพคะ” เจียงเฟิ่งหัวมองดูแล้ว ก็รู้สึกจืดชืดไร้รสชาติ นางฉลองปีใหม่ที่จวนสกุลเจียงยังน่าสนใจมากกว่า คนทั้งเรือนล้อมวงกินอาหารด้วยกัน ท่านพ่อท่านแม่ยังมอบเงินแต๊ะเอียปีใหม่ให้พวกนางเหล่าพี่สาวน้อ
“หากเยี่ยนเฟยประสงค์จะพบพี่สะใภ้รอง ส่งคนไปตามนางก็ได้เพคะ เพียงแต่บัดนี้เสด็จพ่อทรงมอบราชกิจให้นาง และนางก็กำลังยุ่งมากเพคะ เกรงว่าจะไม่มีเวลาว่าเขาวังมาปรนนิบัติเยี่ยนเฟย มองจากพระวรกายของเยี่ยนเฟยแล้วเหมือนจะสบายดีเพคะ!” เจียงเฟิ่งหัวสุขุมเยือกเย็นมิได้ขุ่นเคือง พร้อมเอ่ยด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม “จะอย่างไรก็ตาม ความไม่กตัญญูมีสามประการ การไร้ทายาทสำคัญที่สุด…” เยี่ยนเฟยเพิ่งเอ่ยปากออกมา ทันใดนั้น เหล่านางสนมจากในวังก็ทยอยเดินออกมา เห็นเพียงพวกนางแสดงความเคารพต่อเจียงเฟิ่งหัวอย่างนอบน้อมก่อนคนแรก “น้อมคารวะพระชายาเหิงอ๋อง” นางผุดยิ้มเล็กน้อยพลางเอ่ยว่า “คารวะพระสนมทุกท่าน” เดิมทีวันนี้เป็นวันที่เหล่านางสนมในวังทุกพระองค์ต้องเข้ามาถวายบังคมต่อฮองเฮาในยามเช้า มองจากอาภรณ์แพรพรรณและการแต่งกายของพวกนางก็เห็นชัดเจนแล้วว่า ในระยะนี้นางสนมพระองค์ใดได้รับความโปรดปรานจากฝ่าบาทมากที่สุด ใบหน้าของพวกนางยิ่งเปล่งปลั่งแดงเรื่อ มากถึงขั้นฉายแววภาคภูมิใจอย่างเต็มที่ หย่าเฟยเป็นผู้คว้าชัยเหนือใครอย่างไม่ต้องสงสัย และนางก็ยังคงวางมาดงามสง่าในแบบองค์หญิงผู้สูงศักดิ์ดังเดิม ทรวดทรงอรชรอ้อนแอ้น ด
เหลียนเย่หยิบมาลองดม รู้สึกเพียงกลิ่นหอมสดชื่นโชยปะทะจมูก หอมยิ่งนัก “หากว่าคุณหนูมีของสิ่งนี้ตั้งแต่เมื่อเยาว์วัยก็คงดี ตอนเด็ก ๆ จะได้ไม่ต้องฝันร้ายบ่อย ๆ อีก” อ้าวเสวี่ยถามเหลียนเย่ “เกิด อะไรขึ้นกับพระชายากันแน่ พวกเจ้ารับใช้พระชายามาตั้งแต่ยังเล็ก เคยเกิดเรื่องน่าสะพรึงกลัวใดขึ้นกับนางมาก่อนหรือไม่?” “ไม่มี คุณหนูมีชีวิตเป็นสุขดีมาตลอด หากว่ายาหอมคืนเรือนสามารถช่วยให้คุณหนูไม่ต้องฝันร้ายอีกเช่นนั้นก็ดีมากแล้วจริง ๆ” ที่เหลียนเย่กล่าวมาเป็นความจริง เช้าตรู่วันต่อมา หลังจากเจียงเฟิ่งหัวตื่นขึ้นมาแล้วนางดูปกติคล้ายว่าไม่เคยมีเรื่องใดเกิดขึ้นมาก่อน เห็นอ้าวเสวี่ยและเหลียนเย่เฝ้าอยู่ในห้องของนาง นางก็เหยียดตัวบิดขี้เกียจพลางกล่าวว่า “เมื่อคืนหลับสบายจริง ๆ ข้ารู้สึกจิตใจปลอดโปร่ง ร่างกายสดชื่นดีมาก พวกเจ้าได้จุดกำยานอะไรเอาไว้หรือไม่?” เหลียนเย่เห็นนางลืมเรื่องเมื่อคืนที่ละเมอร้องไห้ในความฝันไปก็ถามขึ้นว่า “พระชายาจำอะไรไม่ได้เลยหรือเพคะ?” “ข้าต้องจำอะไรได้หรือ?” เจียงเฟิ่งหัวประคองท้องของตนเองเดินลงมาจากเตียงพลางเอ่ยว่า “ข้าจำได้ว่าเมื่อคืนข้ากับเจ้านอนด้วยกัน” “ใช่แล้วเพค
ครั้นส่งสี่หมัวมัวออกไปแล้ว เจียงเฟิ่งหัวเองก็มิอาจใจเย็นอยู่เฉยได้ ซูถิงหว่านต้องมีความทรงจำจากเมื่ออดีตชาติแล้วแน่ ซูถิงหว่านรู้แล้วว่าหลังจากนี้นางจะได้เป็นฮองเฮา เพราะฉะนั้นนางถึงได้ไม่เกรงกลัวเพราะมีสิ่งยึดเหนี่ยว หากมิใช่เพราะการตายของจีเฉินทำให้การเดินทางของนางล่าช้า นางอาจจะมุ่งหน้าไปเขตชายแดนเพื่อรวมตัวกับคนสกุลซูแล้วก็ได้ นางมิอาจเอาความโปรดปรานของเซี่ยซางมาเดิมพันว่าตำแหน่งของนางจะมั่นคง เมื่อวานฝ่าบาทนอกจากพระราชทานสิ่งล้ำค่าให้กับนางเพื่อเป็นรางวัลแล้ว ยังพระราชทานป้ายอาญาสิทธิ์ทองคำส่วนพระองค์ป้ายหนึ่งให้กับนางด้วย ด้านบนมีอักษรเขียนว่า ‘เสมือนฮ่องเต้เสด็จ’ มีมันแล้ว นางก็สามารถเดินผ่านได้ทุกที่ในวังหลวงแม้กระทั่งทั่วทั้งใต้หล้า ตอนแรกนางงุนงงอยู่เล็กน้อย ต่อมาเฉากงกงถึงได้เร่งให้นางรีบกล่าวขอบพระทัยในพระมหากรุณาธิคุณของฝ่าบาทได้ สัญลักษณ์ของผู้ที่ได้รับป้ายทองอาญาสิทธิ์อันนี้ก็คืออำนาจ คือความไว้เนื้อเชื่อใจที่ฝ่าบาทมีต่อนาง “พระชายา ท่านเป็นอะไรไปเพคะ หน้าซีดเชียวเพคะ” เหลียนเย่เห็นนางเงียบไปนาน เหม่อลอยอยู่ตามลำพัง “เปล่า อาจเพราะเหนื่อยล้าเกินไปหน่อยกระมัง ข
สี่หมัวมัวตกใจกลัวตัวสั่น รีบยั้งปากทันใด ครั้นมาถึงด้านในตำหนักเฉินซี เจียงเฟิ่งหัวก็สั่งให้เหลียนเย่ปิดประตูทันที ทิ้งให้อยู่ในห้องกับสี่หมัวมัวลำพัง เห็นเพียงนางสีหน้าเยือกเย็น พร้อมเอ่ยขึ้นด้วยเสียงเคร่งขรึมว่า “สี่หมัวมัว เจ้าคงจะทราบดีว่าคำพูดเมื่อครู่ของเจ้ามีโทษหนักถึงขั้นตัดศีรษะ บัดนี้เสด็จพ่อมีพระพลานามัยแข็งแรงดี ตำแหน่งองค์รัชทายาทยังมิได้แต่งตั้ง เจ้ากลับเผยแพร่คำพูดเหล่านี้โดยพลการ มิเพียงเจ้าจะรักษาศีรษะของเจ้าไว้ไม่ได้ แม้แต่เสด็จแม่ ท่านอ๋องและข้าก็จะพลอยได้รับเคราะห์จากคำพูดประโยคนี้ของเข้าไปด้วย” สี่หมัวมัวตกใจกลัวจนเหงื่อเย็นไหลพราก ๆ “บ่าวทราบเพคะ ดังนั้นบ่าวถึงได้เก็บงำไว้ในใจมาตลอด บางคำมิได้พูด บ่าวเองก็ทุกข์ใจเพคะ หนนี้ถึงได้อยากแจ้งพระชายา อยากให้พระชายาช่วยโน้มน้าวฮองเฮาด้วยเพคะ” เจียงเฟิ่งหัวกล่าวอย่างจงใจ “เมื่อครู่เจ้าบอกว่าถ้อยคำเหล่านี้พระชายารองซูเอ่ยกับเสด็จแม่ เจ้ามิได้โป้ปดจริงแน่หรือ” สี่หมัวมัวเล่าอย่างละเอียดไม่มีปิดบัง “ถ้อยคำเหล่านี้บ่าวมิได้เป็นคนพูดเพคะ บ่าวจะกล้าพูดแบบนี้ออกไปได้อย่างไรเพคะ และมิใช่ฮองเฮาเป็นคนตรัสด้วยเพคะ ถ้อยคำเห
ผ่านไปสองวัน ซูถิงหว่านยังไม่กลับมา สุดท้ายแล้วนางเลือกเดินซ้ำรอยเดิมของชาติก่อนติดตามเซี่ยซางไปที่เขตชายแดน และที่น่าขันคือข่าวนี้เฉิงฮองเฮาเป็นคนมาบอกนางด้วยตนเอง ได้ยินเฉิงฮองเฮากล่าวว่า “พระชายารองซูไปที่เขตชายแดนเพื่อช่วยซางเอ๋อร์ทำศึก ซางเอ๋อร์เองก็จำเป็นต้องมีสตรีสักคนคอยดูแลอยู่เคียงข้างกาย ส่วนเจ้าก็ท้องแก่แล้ว ข้าจึงอนุญาตให้นางไป หรวนหร่วนเจ้าคงไม่กล่าวโทษข้ากระมัง” เจียงเฟิ่งหัวผุดยิ้มน้อย ๆ พลางเอ่ยว่า “เสด็จแม่ทรงคิดรอบคอบ ท่านอ๋องมีคนเอาใจใส่อยู่เคียงข้างกายสักคนก็นับว่าดีเพคะ เพียงแต่เหมันต์ฤดูอากาศข้างนอกหนาวเย็นยิ่งนัก และอีกไม่นานก็จะถึงวันปีใหม่แล้ว พระชายารองซูเป็นสตรีตัวคนเดียวเดินทางไปเช่นนั้นจะปลอดภัยหรือเพคะ” “นางมีวรยุทธ์ติดตัว และมีกองทัพสกุลซูปกป้องคุ้มครอง ปลอดภัยไร้กังวล เราเห็นว่านางก็มิได้มีท่าทีอิดออดอะไร” “เป็นเช่นนี้ก็ดียิ่งนักเพคะ” เจียงเฟิ่งหัวกล่าวด้วยน้ำเสียงอบอุ่น ฮองเฮาเปลี่ยนใจรวดเร็วเสียจริง ตอนแรกยังคัดค้านเซี่ยซางอย่างสุดกำลังไม่ให้พาสตรีไปออกศึก อ้างว่าจะไม่เป็นสิริมงคล ถึงขั้นทำลายความองอาจน่าเกรงขามของหัวหน้าแม่ทัพ ทว่าบัดนี้กลับอ
เจียงเฟิ่งหัวออกจากตำหนักคุนหนิงก็ตรงไปยังตำหนักเฉินซีทันที ในตอนนั้น เห็นนางกำนัลคนหนึ่งท่าทางลับ ๆ ล่อ ๆ ก็โพล่งเสียงตำหนิออกไป “ใคร” อ้าวเสวี่ยตั้งรับทันที ไม่รอให้นางเดินเข้าไปใกล้ อวิ๋นฟางก็เดินงก ๆ เงิ่น ๆ มาหยุดเบื้องหน้าเจียงเฟิ่งหัว “บ่าวคารวะเพคะพระชายา” เจียงเฟิ่งหัวเห็นนางชัดถนัดตาแล้วก็แอบคิดเงียบ ๆ ในใจ นางมีฝีมือไม่เบาเลยทีเดียว แอบลอบกลับวังมาได้ ทว่าด้วยสถานการณ์ของนางตอนนี้ ซูถิงหว่านไม่มีทางปล่อยนางไปแน่ นางจนตรอกไม่มีทางถอยแล้ว จำต้องวิ่งเข้ามาหลบในวังถึงจะไม่ถูกคนไล่ล่า อ้าวเสวี่ยและเหลียนเย่เองก็ชะงักงันไปแล้วเช่นกัน อวิ๋นฟางช่างกล้าหาญยิ่งนัก กล้ากลับเข้ามาในวังหลวงอีก พวกนางคิดว่าหลังจากอวิ๋นฟางหนีไปทางประตูหลังของเขตเมืองหลวงแล้ว นางจะหนีออกไปจากเมืองเซิ่งจิง อย่างน้อยก็ต้องหนีให้ห่างไกลจากเรื่องวุ่นวาย ปกป้องชีวิตไว้เป็นสำคัญ “เข้ามาเถิด!” เจียงเฟิ่งหัวกล่าว อวิ๋นฟางตามเข้าไปในตำหนักเฉินซี นางกำนัลได้ต้มน้ำร้อนเตรียมไว้ล่วงหน้าแล้ว ภายในห้องอบอุ่นเป็นอย่างยิ่ง ภายใต้แสงตะเกียงสว่างรุบรู่ อวิ๋นฟางก็เริ่มขะมักเขม้นทำงานสารพัดทั้งยกน้ำเทน้ำ นางยังกระตือ
เฉิงฮองเฮาเปิดเปลือกตา ก่อนจะเอ่ยด้วยเสียงราบเรียบว่า “มาแล้ว จัดการเรื่องข้างนอกวังเรียบร้อยดีแล้วหรือยัง? ออกจากวังไปครึ่งเดือนแล้วมิใช่หรือ!” เจียงเฟิ่งหัวท่าทางมิได้หยิ่งยโสเกินควรแต่ก็มิได้ถ่อมตัวจนเกินเหตุ “ทูลเสด็จแม่ จัดการเหมาะสมเรียบร้อยดีแล้วเพคะ” “ข้าได้ยินว่าเมื่อสิบวันก่อนสินค้าและวัตถุดิบถูกส่งไปหมดแล้ว” แม่สามีของนางก็ดูจะวางมาดขึ้นเช่นกัน ราวกับต้องการให้นางยอมเชื่อฟังคำสั่งสอน เหมือนกับเมื่อชาติก่อนไม่มีผิด “เพคะ เพียงแต่ของที่ส่งออกไปเมื่อสิบวันก่อนเป็นแค่ชุดแรกเพคะ เพราะมีจำนวนมากเกินไป ชุดต่อไปจะต้องทยอยลำเลียงออกไปเพคะ” เจียงเฟิ่งหัวกล่าวอย่างละเอียด มองแล้วอ่อนโยนนอบน้อม สงบเสงี่ยมเรียบร้อยมารยาทเพียบพร้อมไร้ที่ติ แม้แต่เฉิงฮองเฮายังมิอาจหาจุดใส่ไฟได้เลย “ลุกขึ้นมานั่งเถิด” น้ำเสียงของเฉิงฮองเฮาฟังดูดีขึ้นเล็กน้อย “ซางเอ๋อร์มีสกุลซูคอยจุนเจือ บัดนี้เด็กในครรภ์ของเจ้าสำคัญเหนือสิ่งใด อย่ามัวเพ่นพ่านด้านนอกมากนัก อย่าไปข้องเกี่ยวกับสตรีในหมู่ขุนนางราชสำนักมากเกินไป ที่สำคัญจงอย่าได้มัวละโมบใฝ่หาความดีความชอบจนลำดับความสำคัญผิดไป” เจียงเฟิ่งหัวคิดในใจ ตอนอ
“เพคะ สะใภ้รับบัญชา”จากนั้น เจียงเฟิ่งหัวก็วางหมากลงไปตัวหนึ่ง “เสด็จพ่อ ทรงแพ้แล้วเพคะ”ฮ่องเต้เหลือบมองกระดานหมากคราหนึ่ง เริ่มจากความตกตะลึง ตามด้วยสีหน้ามืดครึ้มที่มองไม่ออก จากนั้นก็ทรงหัวเราะออกมาว่า “ดูเหมือนเราไม่อาจไม่ตกรางวัลนี้แล้ว มาเล่นอีกตา หากเจ้าชนะเราอีก เราก็จะมอบรางวัลให้อีกครั้ง”เจียงเฟิ่งหัวเก็บหมากบนกระดานขึ้นมาอย่างเยือกเย็น ไร้ความลนลาน “ลูกก็ชนะมาได้อย่างหวุดหวิดเพคะ ต้องเป็นเพราะเมื่อครู่เสด็จพ่อทรงฟังลูกพูดเพลิน จึงได้ออมมือให้ลูกแน่เลยเพคะ”“เจ้าคงไม่รู้สินะ หลายวันมานี้เรามีราชโองการเรียกตัวบิดาของเจ้าเข้าวังมาเดินหมากเป็นเพื่อนเราทุกวัน เขากลับไม่เคยชนะเราเลยสักตา ช่างน่าเบื่อนัก แต่เขาบอกว่าบุตรสาวของเขาเป็นยอดฝีมือในการเดินหมาก เรายังคิดว่าเขาพูดเกินจริงเสียอีก แต่วันนี้ หลังได้เดินหมากไปกระดานหนึ่งเราก็เชื่อแล้ว”“ท่านพ่อก็เหมือนยายหวังขายแตง ที่ชอบขายเองชมเองเพคะ ต่อให้บุตรสาวของท่านจะทำสิ่งใดไม่เป็นเลย ท่านก็รู้สึกว่าดีอยู่ดีเพคะ”“ยังถ่อมตัวเข้าเสียแล้ว เมื่อมาเป็นลูกสะใภ้ของราชวงศ์เรา แค่การถ่อมตนอย่างเดียวไม่พอหรอกนะ ในอนาคตยังต้องช่วยซางเอ