ซูเซวี่ยนมิได้รั้งรอแม้แต่น้อย รีบพาตัวซูถิงหว่านออกไปทันที ภาพการหลบหนีอย่างร้อนรนเช่นนี้ ทำให้เจียงเฟิ่งหัวเกือบจะตั้งตัวไม่ทัน เสี้ยวพริบตาเดียวนั้นซูเซวี่ยนปรายสายตามองเจียงเฟิ่งหัวอย่างลุ่มลึก ในแววตาของเขาเต็มไปด้วยความทะเยอทะยานอันแรงกล้าและการท้าทายที่มีต่อนาง เขารู้ว่าหากหวานหว่านดึงดันจะอยู่ตรงนั้นต่อไปอีก ก็เกรงว่านางคงจะถูกเหยียดหยามจนไม่เหลือชิ้นดีแน่ ๆ หวานหว่านมิใช่คู่ต่อกรของเจียงเฟิ่งหัว ราวกับว่าทุกสิ่งล้วนอยู่ในการควบคุมของเจียงเฟิ่งหัวทั้งสิ้น ทำให้คนหนาวเยียบเย็นเสียวสันหลังวาบขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว ซูเซวี่ยนถึงขั้นมีความรู้สึกว่า เรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นต้องมีใครบางคนคอยวางหมากให้หวานหว่านแน่ และคนที่คอยวางหมากอยู่เบื้องหลังก็คงเป็นเจียงเฟิ่งหัวไม่ผิดแน่ ทั้งเล่ห์กล อุบาย และแผนการของนางลึกล้ำแยบยลเพียงนี้เชียวหรือ? หวานหว่านถูกนางหลอกเล่นจนหัวหมุน พ่อค้ามนุษย์ลักพาตัวนางไปขายเข้าหอคณิกา แต่แล้วนางก็หลบหนีออกจากหอคณิกามาได้ จากนั้นก็บังเอิญถูกโจรภูเขาจับตัวไปขังไว้ จนกระทั่งสุดท้ายหวานหว่านก็หลบหนีออกมาได้ เหตุการณ์ทั้งหลายเหล่านี้คล้ายมีใครบางคนวางกลอุบายไว้อ
“ไม่กลัวเพคะ รักษาโรคภัยไข้เจ็บช่วยชีวิตผู้คนเดิมทีแล้วก็เป็นหน้าที่ของผู้เป็นหมอเพคะ” เย่ซู่ซู่ตอบ “ครอบครัวของหม่อมฉันสืบทอดอาชีพหมอมาหลายชั่วอายุคนแล้วเพคะ ท่านพ่อของหม่อมฉันเปิดสำนักแพทย์มาหลายสิบปี ดังนั้นหม่อมจึงได้เรียนรู้มาบ้าง พูดไปก็เหมือนอวดรู้ แต่เทียบกับแพทย์อาวุโสทั้งหลายไม่ได้เลยเพคะ หม่อมฉันกำลังตั้งใจเรียนรู้อยู่ตลอดเวลา” ซูถิงหว่านกล่าว “หมอหญิงเย่ถ่อมตัวเกินไปแล้ว วิชาแพทย์ของเจ้าดีมากจริง ๆ มิเช่นนั้นเจ้าคงรักษาบาดแผลบนร่างกายของท่านอ๋องให้หายดีไม่ได้หรอก!” ความจริงเย่ซู่ซู่มิได้เป็นคนรักษาท่านอ๋อง นางก็แค่ฉวยโอกาสมาทำหน้าที่เปลี่ยนยาให้ท่านอ๋องเท่านั้น บัดนี้ นางยอมรับคำชมไปโดยปริยายมิได้เอ่ยอธิบายอะไร เพียงแต่กล่าวอย่างถ่อมตัวว่า “ซู่ซู่ไม่ได้ทำอะไรเลยเพคะ รักษาผู้ได้รับบาดเจ็บเป็นสิ่งที่ซู่ซู่พึงกระทำ ตอนที่พวกเราอยู่ที่เขตชายแดน สภาพความเป็นอยู่ลำบากยากเข็ญยิ่งนัก และท่านอ๋องก็ปรีชาสามารถ เอาชนะความยากลำบาก จนสามารถหายดีได้รวดเร็วเพียงนี้เพคะ…” เจียงเฟิ่งหัวรับฟังอย่างเงียบเชียบ นางคิดไม่ถึงเลยว่าคนที่นางส่งไปชายแดนเพื่อจัดการกับซูถิงหว่านในตอนแรก บัดนี้กล
บรรยากาศเช่นนี้และอารมณ์เช่นนี้ เฉิงฮองเฮาและคนสกุลเจียงล้วนดูสนิทสนมกลมเกลียว ทุกคนล้วนสนทนากันอย่างเบิกบานมีความสุข เฉิงฮองเฮาก็ทรงสนทนาเรื่องบ้านเรือนกับเหล่าสตรีในครอบครัวของขุนนางด้วย เวลานี้ ซูถิงหว่านเดินมาถึงเบื้องหน้าเฉิงฮองเฮา แล้วคารวะด้วยความนอบน้อม “ถวายบังคมเพคะฮองเฮา” นางเป็นตัวแทนของสกุลซู เพียงแต่น่าเสียดายที่มีเพียงฝ่ายชายของสกุลซูเท่านั้นที่มาร่วมงานเลี้ยง ด้วยฐานะของอนุหลิ่วไม่มีสิทธิ์เข้ามาในวังได้อยู่แล้ว มิเช่นนั้นคงเป็นการตบหน้าซูฮูหยินผู้ซึ่งอยู่เขตชายแดนแสนไกลตอนนี้อย่างเจ็บแสบ เฉิงฮองเฮามิอาจชักสีหน้าใส่ซูถิงหว่าน อย่างไรเสียฝ่าบาทก็ทรงยกย่องบิดาและพี่ชายใหญ่ของนางเสมือนแขกผู้ทรงเกียรติ อีกทั้งนางก็ยังเป็นพระชายารองของเหิงอ๋องด้วย นับว่าเป็นลูกสะใภ้ของนางเช่นกัน เฉิงฮองเฮาผุดยิ้มเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยว่า “หวานหว่านเองก็มิต้องมากพิธี ลุกขึ้นมานั่งด้วยกันเถิด” เมื่อถ้อยคำนี้ถูกเอื้อนเอ่ยออกมา สีหน้าของคนสกุลซูแข็งไปเล็กน้อย แต่กระนั้นรอยยิ้มก็กลับมาประดับบนใบหน้าอีกครั้งด้วยความรวดเร็ว พร้อมสละที่นั่งให้ ทุกคนล้วนชอบการซุบซิบนินทา พอลองยกพระชายาเหิงอ๋องแล
พระชายาอ๋องสี่ก็มีท่าทางอ่อนโยนสง่างามเช่นกัน แน่นอนว่าการมารับรางวัลตามความดีความชอบในครั้งนี้ย่อมไม่มีส่วนของนาง และนางก็มิได้ยินดีที่จะทำเรื่องเหล่านี้ที่สมควรปล่อยให้เป็นหน้าที่ใส่ใจของบ่าวรับใช้ นางยังคงวางมาดของพระชายาอ๋องสี่ไว้ ใครขอให้นางนับญาติกับจวนจางกั๋วกงเล่า หลังจากจางกั๋วกงสองสามีภรรยาเสียชีวิต นางยังรู้สึกว่านับแต่ฮ่องเต้องค์ก่อนครองราชย์ทั้งตระกูลของจางซื่อก็สูงศักดิ์และทรงเกียรติ ทว่านางกลับต้องแต่งแก่คนไร้ค่าอ่อนแอไร้ความสามารถอย่างอ๋องสี่ พระชายาอ๋องสี่แอบเหลือบสายตามองเซี่ยซางซึ่งอยู่ห่างออกไป นางรู้สึกมาตลอดว่าอ๋องห้าจะต้องมีอนาคตที่ยิ่งใหญ่แน่ และก็เป็นจริงอย่างที่คาดไว้บัดนี้นำทัพออกศึก แม้เป็นการรบครั้งแรกแต่ก็ได้ชัยชนะยิ่งใหญ่ ไม่มีใครล่วงรู้ความคิดในใจของนาง และนางก็ได้แต่ทอดถอนหายใจกับตนเองที่เลือกสมรสผิดคนไปแล้ว งานเลี้ยงฉลองดำเนินมาได้ครึ่งหนึ่งแล้ว เจียงเฟิ่งหัวทูลต่อฮองเฮา “เสด็จแม่เพคะ มารดาของหม่อมฉันและฮูหยินทุกท่านก็อยู่ด้วย หม่อมฉันประสงค์จะเข้าไปทักทายพวกนางก่อนเพคะ” เฉิงฮองเฮาเคยพบมารดาเจียงเป็นการส่วนตัวมาแล้วหนึ่งครั้งเมื่อคราแรกที่ตัด
คนทั้งสองนอนจนอิ่มแล้วจึงมาถึงงานสายอย่างไม่เร่งร้อน ภายในห้องโถงที่จัดงานเลี้ยง คนทั้งหลายร่วมดื่มกันอย่างครึกครื้น เสียงขับร้องกับเสียงดนตรีสลับกันไปมาเพื่อเฉลิมฉลองต่อยุคสมัยอันสงบรุ่งเรือง แม้นักดนตรีจะบรรเลงทำนองที่สามารถสะกดให้คนเข้าสู่นิทราได้ และเหล่านางรำก็ร่ายรำไปมาอยู่เพียงไม่กี่ท่า แต่สิ่งเหล่านี้ล้วนไม่สลักสำคัญ เพราะการคงอยู่ของพวกเขาล้วนเป็นเพียงสัญลักษณ์ที่พิธีการที่ดำเนินไปอย่างพอเป็นพิธีเท่านั้นเซี่ยซางจับมือเจียงเฟิ่งหัวไปช้าๆ อย่างไม่ปิดบังแม้แต่น้อย เมื่อทุกคนเห็นเหิงอ๋องและพระชายาเหิงอ๋องมาก็ต่างพากันทักทาย เยินยอเหิงอ๋องกับพระชายาว่ารักใคร่กันขึ้นทุกวัน บุรุษมากความสามารถส่วนสตรีก็งามล้ำบนใบหน้าของเจียงเฟิ่งหัวประดับไว้ด้วยรอยยิ้มอันสุภาพ อากัปกิริยางามสง่าสูงส่งเหนือธรรมดา พวกเขาราวกับเป็นตัวเอกตัวจริงของงานเลี้ยงในครั้งนี้ซูถิงหว่านนั่งอยู่ในงานเลี้ยงมองคนทั้งสองเดินเคียงข้างกันเข้ามา หัวใจของนางกำลังหลั่งโลหิต นางเป็นผู้ที่ควรอยู่ข้างกายเซี่ยซางคนนั้นชัดๆ เหตุใดจึงเปลี่ยนเป็นเจียงเฟิ่งหัวไปได้? บิดาและพี่ชายของนางกำลังนั่งร่วมโต๊ะรับประทานอาหารกับฮ่องเต้
เซี่ยซางมองไปที่รังนกบนต้นไม้ ด้านในมีนกกางเขนสองตัวกำลังอิงแอบกันอยู่จริงๆ ในห้วงเวลานี้ ฉากนี้งดงามราวกับภาพวาด ชีวิตก็สงบสุขยิ่งนัก “ทว่าสุดท้ายนกก็เป็นเพียงนก พวกมันต้องการไม่มาก จึงสามารถยึดมั่นต่ออีกฝ่ายโดยไม่แปรเปลี่ยนได้”“ความรักที่หรวนหร่วนมีต่อท่านอ๋องก็คงมั่นไม่แปรเปลี่ยนเช่นกันเพคะ และหรวนหร่วนก็ต้องการไม่มากเช่นกันเพคะ” นางรับรู้ได้ถึงความจนใจในตอนที่เขากล่าวคำพูดพวกนั้นออกมา หัวใจของพวกเขายังคงมีระยะห่างระหว่างกัน เจียงเฟิ่งหัวข้ามไปไม่ได้ เซี่ยซางก็ไม่อาจมอบคำมั่นสัญญาให้นางได้เช่นกันแม้เป้าหมายของพวกเขาจะเป็นสิ่งเดียวกัน แต่พวกเขาล้วนใช้วิธีของตนเองในการมุ่งหน้าไปสู่เป้าหมายนั้นเจียงเฟิ่งหัวพุ่งตัวเข้าไปในอ้อมกอดของเขาเพื่อหลีกเลี่ยงสายตาของเขา แล้วกล่าวคำพูดที่ไม่ตรงกับใจ “หลายเดือนมานี้ หม่อมฉันเฝ้ารอให้ท่านอ๋องกลับมาอย่างปลอดภัยอยู่ทุกวัน หม่อมฉันคิดถึงท่านอ๋องอยู่ตลอด ลูกของเราก็ด้วยเพคะ พวกเขาก็เฝ้ารอที่จะได้เห็นเสด็จพ่อของพวกเขาเช่นกัน ต่อให้ไม่อาจเป็นดั่งนกน้อย แต่แค่หรวนหร่วนได้รู้ว่าในใจของท่านอ๋องมีหรวนหร่วนอยู่ แค่นั้นก็พอใจแล้วเพคะ”เซี่ยซางก็ชอบฟังคำ