แล้วก็ไม่รู้ว่าเจียงเฟิ่งหัวทำอย่างไร เฉิงฮองเฮาเสด็จเข้าไปในตำหนักเฉินซีแล้วก็ไม่ได้เสด็จออกมาอีกเลย ประตูตำหนักปิดอยู่ตลอด ดูลึกลับน่าสงสัยยามราตรีมาเยือน นอกตำหนักเฉินซี จู่ ๆ ก็มีแขกไม่ได้รับเชิญปรากฏตัวขึ้น เซี่ยอวี้ได้รับคำแนะนำจากใครบางคนให้แอบเข้ามา เนื่องจากเป็นตำหนักที่ว่างเปล่าไม่มีขันทีเฝ้าอยู่ เขาจึงเข้ามาได้อย่างสะดวกเซี่ยอวี้ไม่ชอบเซี่ยซางมาโดยตลอด เมื่อได้ยินว่าพระชายาที่เซี่ยซางแต่งงานด้วยนั้นงดงามราวกับบุปผา แต่เขากลับหลงใหลพระชายารอง เขาจึงด่าทอ “ช่างโง่เขลาเสียจริง มีสตรีที่งดงามเช่นนี้แต่ไม่สนใจ ว่าแต่พระชายาเหิงอ๋องจะงดงามสักเพียงใด ข้าจะต้องไปดูให้เห็นกับตา”ตำหนักเฉินซีทั้งตำหนักอยู่ในความมืดมิด มีเพียงห้องบรรทมห้องเดียวเท่านั้นที่มีแสงสว่าง นางกำนัลเฝ้าอยู่ด้านนอกครู่หนึ่งก็จากไปเซี่ยอวี้ค่อย ๆ ย่องเข้าไปใกล้ห้องบรรทม ผ่านทางหน้าต่าง เขาได้ยินเสียงครางอันน่าหลงใหลดังออกมาจากข้างในเซี่ยอวี้ยิ่งรู้สึกทนไม่ไหว อย่างไรเสียเซี่ยซางก็ยังปรึกษาหารือเรื่องบ้านเมืองกับเสด็จพ่ออยู่ อีกอย่างเขาก็ไม่ได้ชอบสตรีผู้นี้ แค่มองสักหน่อยจะเป็นไรไป ในเมื่อเขาไม่ต้องการ ก็
เซี่ยซางฟังแล้วก็เข้าใจได้ในทันที เซี่ยอวี้ไม่ได้พุ่งเป้ามาที่ฮองเฮาและสี่หมัวมัวหญิงชราสองคนนี้ แต่พุ่งเป้ามาที่เจียงเฟิ่งหัวผู้งดงามราวกับบุปผาทว่าเจียงเฟิ่งหัวไม่เคยพบเซี่ยอวี้มาก่อน ยิ่งไม่รู้จักเขา แล้วเขารู้ได้อย่างไรว่าเจียงเฟิ่งหัวพักอยู่ที่ตำหนักเฉินซี นอกเสียจากว่ามีคนต้องการทำร้ายเจียงเฟิ่งหัว จงใจทำเช่นนี้เซี่ยอวี้ถูกต่อยตีจนต้องร้องขอชีวิตไม่หยุด ฮ่องเต้ก้าวเข้าไปเตะเขาอีกที “ลูกทรพี เหตุใดเจ้าถึงได้ไปที่ตำหนักเฉินซี วันนี้ถ้าเจ้าไม่พูดความจริง เราจะฆ่าเจ้าเสีย”เซี่ยอวี้ตกใจกลัวจนตัวสั่น “ลูกไม่เคยเห็นพระชายาเหิงอ๋องมาก่อน เพียงแต่ได้ยินว่านางงดงาม จึงอยากมาดูสักหน่อย ลูกไม่มีเจตนาอื่นจริง ๆ พ่ะย่ะค่ะ แค่มาชื่นชมความงามอย่างบริสุทธิ์ใจเท่านั้น เจียงเฟิ่งหัวเป็นภรรยาของเหิงอ๋อง ต่อให้ลูกคิดอกุศล ก็ไม่มีความกล้าหรอกพ่ะย่ะค่ะ เสด็จพ่อโปรดไว้ชีวิตด้วย ลูกแค่มาดูจริง ๆ พ่ะย่ะค่ะ”การดูมีโทษเบากว่าการทำมาก เขาจึงยืนยันคำให้การนี้เวลานี้ ฮองเฮาแต่งกายเรียบร้อยแล้ว เดินตรงไปที่ข้างหน้าเขาด้วยท่าทางน่าเกรงขาม “เจ้าเตรียมตัวมาดูอย่างไร มาโดยไม่ได้รับเชิญ ผลักประตูแล้วแอบบุก
ฮ่องเต้เหลือบมองนางแวบหนึ่ง “เรื่องราวมันเป็นอย่างไรกันแน่?”ฮองเฮาแอบโทษตัวเองที่ใจร้อนปากไว จึงตรัสว่า “ทูลฝ่าบาท เรื่องมีอยู่ว่า เฟิ่งหัวเจ้าเด็กนั่นไปคัดลอกพระคัมภีร์ที่ศาลบรรพชน หม่อมฉันเกรงว่านางจะจำทางไม่ได้ จึงให้สี่หมัวมัวส่งคนไปดูแล พวกนางบังเอิญพบว่ามีคนสะกดรอยตามพระชายาเหิงอ๋อง หม่อมฉันกลัวว่านางจะกลัว จึงไม่ได้บอกนาง ใครจะไปคิดว่าในตอนกลางคืนจู่ ๆ เซี่ยอวี้จะบุกเข้าไปในตำหนักเฉินซี หม่อมฉันจึงคิดว่าเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ในตอนกลางวันหรือไม่ คนที่สะกดรอยตามเฟิ่งหัวเป็นคนของตำหนักซูกุ้ยเฟย ดังนั้นหม่อมฉันจึงเดาว่าซูกุ้ยเฟยส่งนางกำนัลไปชักนำอวี้อ๋องให้ทำเรื่องไม่ดีกับเฟิ่งหัวหรือไม่ จิตใจชั่วร้ายถึงเพียงนี้ ซูชิงชิง เจ้าก็ทำได้ลงคอ”ฮ่องเต้ทรงหรี่ตาลงเล็กน้อย ตรัสถามซูกุ้ยเฟย “คนของตำหนักเจ้าไปสะกดรอยตามพระชายาเหิงอ๋องทำอันใด?”ซูกุ้ยเฟยแสดงสีหน้าน้อยใจ ราวกับถูกใส่ร้ายจริง ๆ “ฝ่าบาท หม่อมฉันถูกใส่ร้ายเพคะ หม่อมฉันไม่ได้ให้นางกำนัลไปสะกดรอยตามพระชายาเหิงอ๋อง และไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ยิ่งไม่เคยใช้ให้นางกำนัลไปยุยงอวี้อ๋องให้ทำอะไรพระชายาเหิงอ๋อง ขอฝ่าบาททรงตรวจสอบให
ฮ่องเต้ทรงมองออกตั้งแต่แรกแล้วว่าผู้ที่อยู่เบื้องหลังคือซูกุ้ยเฟย ส่วนฮองเฮาก็รู้ทั้งรู้ว่ามีคนสะกดรอยตามเจียงเฟิ่งหัว แต่นางก็ใช้ประโยชน์จากเจียงเฟิ่งหัวแล้วต่อสู้กับซูกุ้ยเฟยได้ยินเพียงฮ่องเต้ตรัสด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ลากนางกำนัลปากมากที่ชอบพูดจาเหลวไหลผู้นี้ออกไปโบยให้ตาย ผู้ใดกล้าสร้างความวุ่นวายในวังหลัง นางผู้นี้คือบทเรียน”เจียงเฟิ่งหัวมองดูเหตุการณ์นี้ด้วยสายตาเย็นชา นี่แหละคืออำนาจของราชวงศ์ ไม่ว่าพวกเขาจะทำผิดใหญ่หลวงแค่ไหน สุดท้ายก็แค่ลากนางกำนัลออกมาเป็นแพะรับบาป ทุกเรื่องก็สามารถกลายเป็นเรื่องเล็กได้หากวันนี้นางถูกเซี่ยอวี้ล่วงเกิน นางก็สมควรแล้ว ชาติที่แล้วก็เหมือนกัน นางถูกผู้อื่นใส่ร้าย สุดท้ายเป็นเหลียนเย่ที่ยอมรับผิดทุกอย่างแทนนาง ท้ายที่สุดแล้วเหลียนเย่ก็ถูกพวกเขาโบยจนตายนางรู้ดีว่ามีเพียงการกุมอำนาจไว้ในมือเท่านั้น นางถึงจะเป็นผู้ลงทัณฑ์คนอื่นได้ มิใช่ถูกคนอื่นลงทัณฑ์นางไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับเรื่องวันนี้ นางเป็นผู้ที่บริสุทธิ์ที่สุด อย่างมากก็แค่เป็นไปตามคำกล่าวที่ว่า เมื่อเทพเซียนต่อสู้กัน มนุษย์ก็จะรับเคราะห์ไปด้วยนางเป็นแค่เหยื่อคนหนึ่งเท่านั้น ยิ่งได้ร
เซี่ยซางยกยิ้มมุมปากขึ้นบาง ๆ “ข้าก็ไม่ชอบที่นี่เหมือนกัน ไปตำหนักที่ข้าเคยอยู่กันเถอะเถิด”เขาจูงมือพานางออกจากห้องบรรทมอย่างช้า ๆ สายลมพัดมาเบา ๆ ทำให้เกิดระลอกคลื่นเล็ก ๆ นิ้วมือของเซี่ยซางบีบแน่นขึ้น เจียงเฟิ่งหัวรู้สึกได้ว่าเขาประหม่าเล็กน้อยเวลานี้ จู่ ๆ สี่หมัวมัวก็เดินเข้ามาต้อนรับ พอเห็นทั้งสองคนจูงมือกัน นางก็เข้าใจอะไรบางอย่างขึ้นมาทันที “บ่าวขอถวายบังคมท่านอ๋อง พระชายาเพคะ”“ข้าจะพาพระชายาไปอยู่ที่เรือนหลัก รบกวนสี่หมัวมัวไปเตรียมการด้วย!” เซี่ยซางพูดกับนางเช่นนี้ สี่หมัวมัวก็ย่อมเข้าใจว่าหมายความว่าอย่างไรสี่หมัวมัวรับคำสั่งแล้วก็รีบไปจัดการทันทีชาติที่แล้ว เจียงเฟิ่งหัวฝันอยากจะมาอยู่ที่เรือนหลัก แต่น่าเสียดาย...ชาตินี้ เซี่ยซางพานางมาที่นี่ด้วยตัวเอง นางรู้ว่านางจะได้ใช้เวลาช่วงค่ำคืนอันแสนวิเศษร่วมกับเขาที่นี่ แม้ในอนาคตเขาจะได้เป็นรัชทายาท นางก็จะทำให้เขาระลึกถึงเรื่องราวต่าง ๆ ที่พวกเขาเคยมีร่วมกันที่นี่สภาพแวดล้อมของเรือนหลักนั้นดีกว่ามากจริง ๆ การตกแต่งงดงามอลังการ ตำหนักใหญ่โตโอ่อ่า ทุกสิ่งล้วนแสดงถึงอำนาจและความมั่งคั่งของราชวงศ์รอจนกระทั่งสี่หมัวมัว
แสงเทียนส่องสว่างไสวไปทั่วทั้งเรือน นางกำนัลปรนนิบัติเจียงเฟิ่งหัวอาบน้ำและเปลี่ยนเสื้อผ้า ต่างตกตะลึงในผิวพรรณอันไร้ที่ติ รูปร่างอรชรอ้อนแอ้นของนาง แม้แต่พระสนมในวังก็ยังไม่มีทรวดทรงที่งดงามเย้ายวนเช่นนี้นางกำนัลอดหน้าแดงไม่ได้ จ้องมองใบหน้าอันงดงามของนางอย่างไม่วางตาเซี่ยซางผลักประตูเข้าไปในตำหนักด้านข้างโดยไม่รู้ตัว เหล่านางกำนัลเห็นเข้าก็รีบคารวะ “ท่านอ๋อง”“พวกเจ้าทั้งหมดออกไปเถิด ที่นี่ไม่ต้องให้พวกเจ้าคอยรับใช้แล้ว” เซี่ยซางรูปร่างสูงสง่า น้ำเสียงเย็นชาหนักแน่นไม่อาจโต้แย้งได้ ดวงตาลึกล้ำเปล่งประกายนางกำนัลรับคำแล้วรีบถอยออกไป ของใช้ในห้องน้ำทั้งหมดถูกจัดเตรียมไว้อย่างครบครัน ชุดนอนของพวกเขาถูกแขวนไว้บนราวข้าง ๆ ที่นี่ไม่จำเป็นต้องใช้นางกำนัลอีกแล้วเจียงเฟิ่งหัวเห็นเขาเข้ามาโดยไม่ได้รับเชิญ ก็รีบจุ่มตัวลงไปในน้ำจนมิด เส้นผมสีดำขลับดุจดั่งน้ำตก แผ่สยายปกคลุมไปทั่วผิวน้ำในชั่วพริบตา บดบังความงดงามในอ่างอาบน้ำ เผยให้เห็นเพียงใบหน้างดงาม นางเอ่ยเร่งด้วยน้ำเสียงอ่อนหวาน “ท่านอ๋องรีบออกไปก่อนเถิดเพคะ หม่อมฉันยังอาบน้ำไม่เสร็จ”“ส่วนไหนของเจ้าที่ข้ายังไม่เคยเห็นบ้าง” เขาเคยเห
วันรุ่งขึ้น ท้องฟ้ายังมีเพียงแสงสีขาวอมฟ้าจาง ๆ เพียงเล็กน้อย เจียงเฟิ่งหัวก็ตื่นขึ้นมาแล้วนางคิดว่า การเข้าวังก็มีข้อเสียอยู่อย่างหนึ่ง คือต้องตื่นแต่เช้าตรู่ไปถวายบังคมฮองเฮา ถึงแม้ว่านางจะเหนื่อยจนแทบจะขยับตัวไม่ได้ก็ตามดังนั้น เมื่อเซี่ยซางตื่นขึ้น เจียงเฟิ่งหัวก็ลุกขึ้นจากเตียงเช่นกันเขาเอ่ยขึ้น “เจ้านอนต่ออีกหน่อยเถอะ”“ไม่นอนแล้วเพคะ หม่อมฉันยังต้องไปถวายบังคมเสด็จแม่ นี่คือสิ่งที่ลูกสะใภ้พึงกระทำ” เจียงเฟิ่งหัวรู้สึกปวดเมื่อยไปทั้งเอวและหลัง ต้องพยุงตัวถึงจะลุกขึ้นยืนได้ นางชื่นชมในพละกำลังของเซี่ยซางจริง ๆ เขาดูเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลยเซี่ยซางเห็นท่าทางน่าสงสารของนาง ก็รู้สึกผิดขึ้นมาเล็กน้อย “ครั้งหน้าข้าจะควบคุมตัวเองให้มากขึ้นหน่อย เจ้าลำบากแล้ว”เจียงเฟิ่งหัวรู้สึกเขินอาย เซี่ยซางก็อ่อนโยนและระมัดระวังมากแล้ว แต่เป็นนางเองที่ประเมินความสามารถของตัวเองสูงเกินไป คิดว่าตัวเองสามารถรับมือกับความแข็งแกร่งของเขาได้ ตอนที่ตอบสนองเขาจึงออกแรงมากไปหน่อยก่อนจะร่วมหอ นางให้อู๋ซินเตรียมยาคุมกำเนิดที่ไม่เป็นอันตรายต่อร่างกายมาให้ ที่นี่คือวังหลวง ของแบบนี้ถือว่าเป็นของที่
เจียงเฟิ่งหัวนั่งนิ่งไม่ขยับ แน่นอนว่านางรู้จักเยี่ยนเฟยผู้นี้ นั่นคือมารดาแท้ ๆ ขององค์ชายรองเซี่ยอวี้นางคิดว่าสาเหตุที่เยี่ยนเฟยโกรธมากเช่นนี้ ต้องเป็นเพราะเมื่อวานเซี่ยซางหักแขนบุตรชายของนางเป็นแน่เวลานี้นางสนมคนอื่น ๆ ก็ทยอยกันเข้ามา เจียงเฟิ่งหัวกวาดสายตามองไปรอบ ๆ กลับไม่เห็นซูกุ้ยเฟยเสด็จมาเจียงเฟิ่งหัวรู้สาเหตุเป็นอย่างดี ซูกุ้ยเฟยอาศัยความโปรดปรานจากฮ่องเต้ จึงวางตัวเหนือกว่านางสนมคนอื่น ๆ รวมถึงฮองเฮาภาพเหตุการณ์อย่างเมื่อคืน ทั้งที่ฮ่องเต้ทรงทราบว่าเป็นแผนของซูกุ้ยเฟยที่ล่อลวงให้เซี่ยอวี้ไปยังห้องบรรทมของนาง แต่เขากลับไม่ตำหนิแม้แต่คำเดียว แค่ประหารนางกำนัลคนเดียวก็ถือว่าจบเรื่องเห็นได้ชัดว่าซูกุ้ยเฟยอวดดีมากเพียงใดรอจนกระทั่งทุกคนหาที่นั่งเรียบร้อยแล้ว ฮองเฮาจึงเสด็จออกมาพร้อมแต่งกายอย่างหรูหราทุกคนกล่าวพร้อมกัน “หม่อมฉันขอถวายบังคมฮองเฮา ขอพระองค์ทรงพระเจริญหมื่นปีหมื่นหมื่นปี”เจียงเฟิ่งหัวก็คำนับพร้อมกับคนอื่น ๆ ฮองเฮากวาดสายตามองทุกคนที่อยู่ ณ ที่นั่ง แล้วตรัสด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ “ไม่ต้องมากพิธี เชิญนั่งเถิด”“ขอบพระทัยฮองเฮาเพคะ” ทุกคนกล่าวพร้อมเพรียงก
ในเวลานี้เอง ทันใดนั้นอู๋ซินก็เดินมาตรงหน้าเจียงเฟิ่งหัว “กราบทูลพระชายา ฝ่าบาทมีรับสั่งเชิญท่านเข้าไปพ่ะย่ะค่ะ”เขาก็กังวลมากว่านางจะติดร่างแหไปกับฮองเฮาด้วยโดยไม่รู้อีโหน่อีเหน่ เนื่องด้วยเรื่องวันนี้ไม่เกี่ยวข้องกับพระชายาเหิงอ๋อง อู๋ซินจึงไม่ได้ส่งคนไปอธิบายสถานการณ์ก่อน เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดเรื่องยุ่งยากโดยไม่จำเป็นเจียงเฟิ่งหัวจัดแจงเสื้อผ้าเรียบร้อยแล้วก็เข้าไปในพระตำหนักเฉียนชิงอย่างเคารพนบนอบก็ได้เห็นว่าเซี่ยหลิงเอ๋อร์ก็คุกเข่าอยู่ด้านใน ใบหน้านางมีแต่น้ำตา สะอึกสะอื้น ท่าทางดูเหมือนน้อยเนื้อต่ำใจมาก แขนของนางก็โผล่ออกมาข้างนอก แขนเสื้อม้วนขึ้นมา บนแขนเต็มไปด้วยรอยแผลถูกตี เลือดแดงสามารถสังเกตเห็นได้ ผิวเหมือนมีเลือดซึมออกมาแล้วนางครุ่นคิดในใจ แผลเหล่านี้เป็นฝีมือวังหมัวมัว หรือว่าเป็นฝีมือของนางเองกันแน่? อย่างมากวังหมัวมัวก็แค่ตีฝ่ามือ ไม่มีทางตีไปจนถึงแขนเด็ดขาดเจียงเฟิ่งหัวเดินเข้าไปด้านหน้า ถวายคำนับด้วยความเคารพ “หม่อมฉันถวายพระพรฝ่าบาทเพคะ”ขณะที่นางกำลังจะคุกเข่าลงนั้นเอง ฝ่าบาทก็ตรัสว่า “ตามสบายเถิด ไม่ต้องคุกเข่าแล้ว ดึกดื่นป่านนี้แล้ว เจ้ามาทำอะไร”เจ
เมื่อเจียงเฟิ่งหัวตามมาถึงพระตำหนักเฉียนชิง เหล่าพระสนมในวังส่วนใหญ่ต่างก็มาถึงแล้วพระสนมเยี่ยนเฟยผู้ชอบประสมโรงเมื่อมีเรื่องวุ่นวายร่ำสุราจนเมาแล้วก็มาแทรกตัวอยู่แถวหน้า หญิงอายุเยอะแล้วอย่างนางหัวเราะเยาะโดยไม่สนใจว่าเรื่องจะยิ่งบานปลาย “หวังเจาอี๋ร้ายจริง ๆ กล้าสวมเขาให้ฝ่าบาท นางเข้าวังมายังไม่ถึงสองปีหรอกกระมัง แค่นี้ก็ทนไม่ไหวแล้วหรือ อยู่ในวังมันเหงาหงอย มิน่าล่ะ มิน่าล่ะ!”“ราตรีช่างยาวนานวังกว้างใหญ่ หญิงเดียวดายลำพังร่ำรำพัน…”“ใบหน้าอันเคยงามชราไป อยู่จำใจในวังให้ระทม…”“ฝันสลายน้ำตานองเต็มผ้า แว่วเสียงจากวังหน้ายามดึกดื่น…”“…”พระสนมเยี่ยนเฟยเริ่มขับขานบทกลอนต่อหน้าทุกคน ดูท่าทางเหมือนได้ระบายความโกรธเป็นอย่างมากเพียงไม่นาน หัวหน้าขันทีเฉาไม่สนใจลำดับยศต่ำสูงแล้ว สั่งให้คนรีบลากตัวพระสนมเยี่ยนเฟยออกไป “พระสนมเยี่ยนเฟย ท่านก็เงียบ ๆ ลงสักหน่อยเถิด หากทำให้ฝ่าบาททรงพิโรธแล้วท่านไม่เพียงแต่จะทำร้ายตัวเอง ยังจะทำร้ายอวี้อ๋องด้วยนะพ่ะย่ะค่ะ!”เยี่ยนเฟยกระเสือกกระสน พูดอ้อม ๆ แอ้ม ๆ ว่า “หวังเจาอี๋กล้าคบชู้เพราะนางมีความกล้า ข้ากลับเสียเวลาในวังไปเปล่า ๆ อยู่หลายสิบปี
เซี่ยหลิงเอ๋อร์เมื่อชาติที่แล้วพูดได้เลยว่าเรียกร้องความสนใจ เกินหน้าเกินตาคนอื่นถึงขีดสุด มีหน้ามีตาไปทั้งชีวิต ชาตินี้ก็ไม่แน่นอนแล้ว ได้ยินว่าเฉิงฮองเฮามักจะลงโทษนางโดยใช้เหตุผลว่าเป็นการสั่งสอนกฎระเบียบแก่นางทันใดนั้นเจียงเฟิ่งหัวก็มองนางแวบหนึ่ง เพียงแค่ปราดเดียว นางก็ดูออกว่าสายตาที่เซี่ยหลิงเอ๋อร์จับจ้องที่นางเต็มไปด้วยความอาฆาตมาดร้ายในวังก็ต้องอยู่รอเฝ้าคืนข้ามปีเช่นกัน เพียงแค่ว่าหลังจากอาหารมื้อสุดท้ายของปีแล้ว ทุกคนก็ต่างแยกย้ายกลับไปเฝ้ารอช่วงเวลาข้ามปีในตำหนักตัวเอง เวลานี้เอง คนในวังก็ยิ่งรู้สึกเหงาหงอยกลอนวรรคหนึ่งที่กล่าวไว้ว่า ทุกเทศกาลยิ่งคะนึงถึงครอบครัว ยิ่งถูกถ่ายทอดออกมาอย่างเต็มที่ในช่วงเทศกาลเช่นนี้เจียงเฟิ่งหัวก็ต้องอยู่เฝ้าคืนข้ามปี เพื่อคนในครอบครัว ต่อให้นางง่วงแค่ไหนนางก็ต้องห่อตัวไว้ด้วยเสื้อคลุมขนสัตว์ นั่งล้อมอยู่ข้างเตาไฟเวลานี้เอง ด้านนอกก็มีเสียงตีฆ้องและกลองดังขึ้น ทั้งวังก็แปรเปลี่ยนจากที่เงียบสงบกลายเป็นอึกทึกครึกโครมขึ้นมาในชั่วพริบตาเหลียนเย่เปิดประตูวิ่งออกไปดูความวุ่นวาย เพียงไม่นานนางก็นำข่าวกลับมา “ในวังเกิดเรื่องใหญ่ขึ้นแล้วเพคะ
เหลียนเย่นำข่าวที่ไปสืบมากลับมา “แต่ละคนแข่งกันแต่งตัวอย่างยั่วยวน จัดจ้าน ทั้งดีดพิณ เล่นหมากรุก เขียนตัวอักษร วาดภาพ แย่งกันแสดงความสามารถ กลัวสุด ๆ ว่าจะสู้คนอื่นไม่ได้ ดูท่างานชมดอกเหมยที่ฮองเฮาทรงจัดครั้งนี้ ทุกคนต่างก็รู้ว่าที่จริงแล้วมีวัตถุประสงค์อะไร”เจียงเฟิ่งหัวสีหน้าเรียบเฉย กำลังอ่านหนังสือเรื่องเล่าออกใหม่ที่อยู่ในมือ เนื้อหาตลกขบขันน่าสนใจ สนุกจนนางหัวเราะแฮะ ๆ ขึ้นมาเหลียนเย่กล่าว “พระชายา ท่านได้ฟังบ่าวพูดอยู่บ้างหรือไม่เพคะ!”เจียงเฟิ่งหัวไม่ละสายตาจากหนังสือ นิ้วอันเรียวงามทั้งสิบนิ้วพลิกหน้าหนังสือเบา ๆ ผ่อนคลายสบายอารมณ์ กล่าวเสียงอ่อนโยนว่า “ได้ยินแล้ว ไม่มีอะไรน่าฟังเลย คิดไว้อยู่แล้ว” เพราะว่าหญิงสาวเหล่านี้ต่อไปล้วนจะกลายเป็นพระสนมในวังทั้งสิ้น“ว่ากันว่าลูกสาวบ้านเจ้ากรมถังกับลูกชายใต้เท้าลู่เจ้ากรมยุติธรรมสนิทสนมรักกันมาตั้งแต่เยาว์วัยมิใช่หรือ? นางมีคนที่อยู่ในใจอยู่แล้ว ยังมาร่วมวงด้วยอีก ท่านน่ะไม่ได้เห็นท่าทางของนาง กลัวมาก ๆ ว่าจะด้อยกว่าคนอื่น แสดงออกอย่างกระตือรือร้นสุด ๆ” เหลียนเย่จิกกัดต่อไป“แล้วก็ยังมีจูเจินเจินกับเฉียวเซวียนเอ๋อร์นั่นอีก พว
ส่วนความแค้นระหว่างสกุลเฉิงและสกุลซู เฉิงฮองเฮาวางความสำคัญไว้หลังเซี่ยซางแล้ว ขอเพียงเซี่ยซางได้เป็นฮ่องเต้ ไม่ว่าเรื่องอะไรนางสามารถละทิ้งไปก่อนชั่วคราวได้ทั้งสิ้น ซูถิงหว่านยืนยันอย่างหนักแน่นว่าเซี่ยซางจะต้องได้เป็นฮ่องเต้ และนางก็เชื่อมั่นอย่างไร้ข้อกังขา รู้สึกว่าโอรสของตนเองมีความสามารถมากถึงเพียงนั้น สมควรได้ดำรงตำแหน่งเป็นรัชทายาท เป็นฮ่องเต้ นางเฝ้ารอวันที่ว่านี้มายี่สิบกว่าปีแล้ว เฉิงฮองเฮาเปลี่ยนน้ำเสียงให้อบอบอุ่นอ่อนโยน “ความหมายของหรวนหร่วนคือ? แม่นางเหล่านี้ไม่ว่าด้วยอุปนิสัย รูปโฉมหน้าตา หรือชาติกำเนิดล้วนหาได้ยากยิ่ง หากพวกนางหมั้นหมาย หรือสมรสกับผู้อื่นไปแล้วจริง ๆ ก็เท่ากับว่าพลาดไปแล้ว ข้าเองก็คิดเพื่อซางเอ๋อร์นะ” นางยังเอ่ยด้วยเสียงที่เบาลงอีกว่า “หรวนหร่วน ความจริงข้าเองก็กำลังคิดว่าจะดึงขุนนางให้มาเป็นพวกพ้องของซางเอ๋อร์ เจ้าในฐานะภรรยาของเขา ก็น่าจะรู้ว่าบิดาของพวกนางมีความสำคัญในราชสำนักอย่างไรบ้าง” ได้ยินถึงตรงนี้ เจียงเฟิ่งหัวอยากจะอาเจียนออกมาเต็มที คนที่ไม่รู้คงเข้าใจผิดไปกันใหญ่ว่านางกำลังเฟ้นหาลูกสะใภ้ให้ตนเอง ทั้งที่ความจริงแม่สามีเป็นคนลากลูกสะ
เฉิงฮองเฮาก็หยิบภาพเหมือนออกมาให้เจียงเฟิ่งหัว พลางอธิบายทีละใบว่าคนในภาพเป็นธิดาของขุนนางท่านใด หลังจากเจียงเฟิ่งหัวดูแล้ว ในบรรดาภาพเหมือนเหล่านั้นก็มีคนคุ้นหน้าคุ้นตาอยู่บ้าง ดูเหมือนว่านางจะเตรียมการทุกอย่างให้เซี่ยซางตามกฎเกณฑ์การคัดเลือกพระสนมจริง ๆ “สตรีที่เสด็จแม่ทรงเลือกมาเหล่านี้ งดงามเพริศพริ้งจริงเพคะ เพียงแต่ชาติกำเนิดของพวกนางจะไม่เอิกเกริกเกินไปหรือเพคะ ล้วนเป็นธิดาจากตระกูลบุญหนักศักดิ์ใหญ่ทั้งสิ้น พวกนางจะยอมสมรสกับท่านอ๋องเป็นเพียงอนุภรรยาได้อย่างไรเพคะ เสด็จแม่หากไปสู่ขอแบบนี้ เกรงว่าจะหมางใจกับขุนนางได้นะเพคะ!” “ได้เป็นอนุชายาของซางเอ๋อร์ ถือเป็นวาสนาของพวกนางแล้ว” เฉิงฮองเฮาเริ่มอวดดีขึ้นมาบ้างแล้ว คอยให้โอรสของตนได้เป็นฮ่องเต้ พวกเขาจะต้องระริกระรี้อยากส่งบุตรีเข้าวังจนทนไม่ไหวแน่ เจียงเฟิ่งหัวได้ยินคำพูดนี้แล้วรู้สึกไม่สบายใจยิ่งนัก ตอนนางเชิญท่านแม่เข้าวังเมื่อครั้งแรก ก็แสดงท่าทางสูงส่งถือดีเช่นนี้เหมือนกัน ราวกับว่าการที่เจียงเฟิ่งหัวได้สมรสเป็นพระชายาของโอรสของนาง นับว่าเป็นโชคดีที่บรรพบุรุษได้สั่งสมบุญบารมีจุดธูปใหญ่บูชาสวรรค์มา ก่อนที่เฉิงฮองเฮาจะเล
แต่นางเล่า ก็ได้แต่ทนทรมานต่อไปแบบนี้ ไม่รู้ว่าเมื่อใดจะได้หลุดพ้นออกมาเสียที ปัจจัยสำคัญคือบุตรชายไม่มีปัญญาจะไปแย่งชิงตำแหน่งนั้น มิเช่นนั้นนางเองก็… ฮองเฮาเห็นนางเงียบไปไม่พูดจา กระนั้นก็มิได้สั่งให้นางออกไป แต่ตรัสขึ้นอีกครั้งหนึ่งว่า “ใกล้จะปีใหม่แล้ว พวกเจ้าทุกคนประสงค์จะฉลองวันปีใหม่อย่างไรหรือ ข้าขอย้ำประโยคนั้น อย่าฟุ่มเฟือยสิ้นเปลือง บัดนี้ที่เขตชายแดนกำลังทำศึกสงคราม พวกเรายิ่งสมควรมัธยัสถ์ ต่อหน้าสตรีทั้งใต้หล้าควรเป็นแบบอย่างที่ดี พวกเจ้าทุกคนจงจำไว้ พวกเราเป็นสตรีของฝ่าบาท จะต้องเป็นแบบอย่างที่ดีให้ผู้คนปฏิบัติตาม แต่ละตระกูลของพวกเจ้า ก็ให้พวกเจ้าทุกคนกลับไปดูแลควบคุมกันเอง…” เฉิงฮองเฮาพร่ำพูดแต่เรื่องเดิมราวกับกำลังท่องบทสวดภาวนา ถ้อยคำเหล่านี้พวกนางฟังจนเบื่อหน่ายแล้ว ทุกคนขานรับด้วยความนอบน้อมราวกับสายน้ำไร้ชีวิต “เพคะ หม่อมฉันน้อมรับพระราชเสาวนีย์ของฮองเฮาอย่างเคร่งครัดเพคะ” เจียงเฟิ่งหัวมองดูแล้ว ก็รู้สึกจืดชืดไร้รสชาติ นางฉลองปีใหม่ที่จวนสกุลเจียงยังน่าสนใจมากกว่า คนทั้งเรือนล้อมวงกินอาหารด้วยกัน ท่านพ่อท่านแม่ยังมอบเงินแต๊ะเอียปีใหม่ให้พวกนางเหล่าพี่สาวน้อ
“หากเยี่ยนเฟยประสงค์จะพบพี่สะใภ้รอง ส่งคนไปตามนางก็ได้เพคะ เพียงแต่บัดนี้เสด็จพ่อทรงมอบราชกิจให้นาง และนางก็กำลังยุ่งมากเพคะ เกรงว่าจะไม่มีเวลาว่าเขาวังมาปรนนิบัติเยี่ยนเฟย มองจากพระวรกายของเยี่ยนเฟยแล้วเหมือนจะสบายดีเพคะ!” เจียงเฟิ่งหัวสุขุมเยือกเย็นมิได้ขุ่นเคือง พร้อมเอ่ยด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม “จะอย่างไรก็ตาม ความไม่กตัญญูมีสามประการ การไร้ทายาทสำคัญที่สุด…” เยี่ยนเฟยเพิ่งเอ่ยปากออกมา ทันใดนั้น เหล่านางสนมจากในวังก็ทยอยเดินออกมา เห็นเพียงพวกนางแสดงความเคารพต่อเจียงเฟิ่งหัวอย่างนอบน้อมก่อนคนแรก “น้อมคารวะพระชายาเหิงอ๋อง” นางผุดยิ้มเล็กน้อยพลางเอ่ยว่า “คารวะพระสนมทุกท่าน” เดิมทีวันนี้เป็นวันที่เหล่านางสนมในวังทุกพระองค์ต้องเข้ามาถวายบังคมต่อฮองเฮาในยามเช้า มองจากอาภรณ์แพรพรรณและการแต่งกายของพวกนางก็เห็นชัดเจนแล้วว่า ในระยะนี้นางสนมพระองค์ใดได้รับความโปรดปรานจากฝ่าบาทมากที่สุด ใบหน้าของพวกนางยิ่งเปล่งปลั่งแดงเรื่อ มากถึงขั้นฉายแววภาคภูมิใจอย่างเต็มที่ หย่าเฟยเป็นผู้คว้าชัยเหนือใครอย่างไม่ต้องสงสัย และนางก็ยังคงวางมาดงามสง่าในแบบองค์หญิงผู้สูงศักดิ์ดังเดิม ทรวดทรงอรชรอ้อนแอ้น ด
เหลียนเย่หยิบมาลองดม รู้สึกเพียงกลิ่นหอมสดชื่นโชยปะทะจมูก หอมยิ่งนัก “หากว่าคุณหนูมีของสิ่งนี้ตั้งแต่เมื่อเยาว์วัยก็คงดี ตอนเด็ก ๆ จะได้ไม่ต้องฝันร้ายบ่อย ๆ อีก” อ้าวเสวี่ยถามเหลียนเย่ “เกิด อะไรขึ้นกับพระชายากันแน่ พวกเจ้ารับใช้พระชายามาตั้งแต่ยังเล็ก เคยเกิดเรื่องน่าสะพรึงกลัวใดขึ้นกับนางมาก่อนหรือไม่?” “ไม่มี คุณหนูมีชีวิตเป็นสุขดีมาตลอด หากว่ายาหอมคืนเรือนสามารถช่วยให้คุณหนูไม่ต้องฝันร้ายอีกเช่นนั้นก็ดีมากแล้วจริง ๆ” ที่เหลียนเย่กล่าวมาเป็นความจริง เช้าตรู่วันต่อมา หลังจากเจียงเฟิ่งหัวตื่นขึ้นมาแล้วนางดูปกติคล้ายว่าไม่เคยมีเรื่องใดเกิดขึ้นมาก่อน เห็นอ้าวเสวี่ยและเหลียนเย่เฝ้าอยู่ในห้องของนาง นางก็เหยียดตัวบิดขี้เกียจพลางกล่าวว่า “เมื่อคืนหลับสบายจริง ๆ ข้ารู้สึกจิตใจปลอดโปร่ง ร่างกายสดชื่นดีมาก พวกเจ้าได้จุดกำยานอะไรเอาไว้หรือไม่?” เหลียนเย่เห็นนางลืมเรื่องเมื่อคืนที่ละเมอร้องไห้ในความฝันไปก็ถามขึ้นว่า “พระชายาจำอะไรไม่ได้เลยหรือเพคะ?” “ข้าต้องจำอะไรได้หรือ?” เจียงเฟิ่งหัวประคองท้องของตนเองเดินลงมาจากเตียงพลางเอ่ยว่า “ข้าจำได้ว่าเมื่อคืนข้ากับเจ้านอนด้วยกัน” “ใช่แล้วเพค