ตอนที่แปด เตรียมการเปิดร้าน
เพียงได้ยินว่าต้องพึ่งพาหยางหมิงเจ๋อ สีหน้าของกัวจื่อหานก็ไม่พอใจอีก
“แค่บ้านเช่าหลังหนึ่ง ข้าออกหาเองได้ เจ้าพึ่งหยางกงจื่อผู้นี้มากเกินไปแล้วนะซีซี”
“นับไปแล้วเขาก็คือหุ้นส่วนผู้หนึ่ง หากการค้าได้กำไรเขาย่อมได้ส่วนแบ่ง ดังนั้นพึ่งพามากหน่อยย่อมไม่มากไป หานหาน เจ้าอย่าได้คิดมาก ข้ากับเขาเพิ่งพบกันไม่กี่วัน หรือเจ้าไม่วางใจว่าความสัมพันธ์กว่าสิบปีของพวกเราจะสู้เขาไม่ได้” หญิงสาวเอ่ยคล้ายท้าทาย
“ย่อมไม่มีวันเป็นเช่นนั้น พวกเรารู้จักกันลึกซึ้งถึงเพียงนี้ เขาย่อมไม่อาจแทรกแซงได้” กัวจื่อหานย่อมมั่นใจในความสัมพันธ์นานปี
เขาดูแลอยู่เคียงข้างหลี่หยู่ซีมาตั้งแต่7ขวบ นางมีเขาเพียงคนเดียวตลอดมา เมื่อมีชายอื่นทำท่าจะมาแทรกแซงจึงอดกังวลใจมิได้
“หานหาน อย่า
ตอนที่สิบ หมาล่าหม้อไฟกัวจื่อหานซึ่งยังวนเวียนอยู่ไม่ห่างหลี่หยู่ซี ตักน้ำซุปขึ้นมาชิมพร้อมวิพากษ์วิจารณ์ “แต่น้ำซุปทั้งสองนี้ทำไม่ยาก ย่อมเลียนแบบได้ง่าย ตัวหลักที่ต้องขายให้ได้ดีย่อมต้องเป็นน้ำซุปหมาล่าต่างหาก เอาเถอะ ในเมื่อหานหานไม่ชอบเผ็ด เช่นนั้นข้าจะทำแบบเผ็ดน้อยลงหน่อย ดีหรือไม่” ชายหนุ่มรีบพยักหน้าเมื่อคู่หมั้นสาวเอาใจใส่ “ดีดีดี ซีซีน่ารักที่สุด” ได้น้ำซุปซึ่งเป็นส่วนสำคัญแล้ว อาหารอื่นย่อมไม่เป็นปัญหา ด้วยมีแม่ครัวเก่าแก่อยู่ถึงสองคน เพียงหลี่หยู่ซีบอกความต้องการพวกเขาก็จัดแจงปรุงมานำเสนอ หญิงสาวดัดแปลงรสชาติอีกไม่กี่ครา ก็ได้อาหารรสเลิศจากวัตถุดิ
ชายหนุ่มทั้งสองมองท่าทีการทำงานที่กระตือรือร้นด้วยสายตาแปลกใจที่ต่างกัน ฝ่ายกัวจื่อหานย่อมไม่เคยเห็นคู่หมั้นสาวในท่วงท่าเช่นนี้มาก่อน เขาทั้งแปลกใจ ฉงนใจ แต่ก็ดีใจที่นางไม่มัวเศร้าสร้อยกับเรื่องที่ผ่านมา ฝั่งของหยางหมิงเจ๋อไม่เคยรู้จักหลี่หยู่ซีมาก่อน เขาเพียงเห็นท่าทางที่ไม่คล้ายคุณหนูในห้องหอ แต่คล้ายคนที่เคยทำการค้ามาแล้วอย่างชำนิชำนาญจึงอดแปลกใจไม่ได้ “เอาล่ะ เสร็จแล้ว คราวนี้ไปเลือกซื้อหม้อ ถ้วย ชาม กันต่อเถอะ” เสียงกระตือรือร้นดังพร้อมร่างงดงามของหลี่หยู่ซีซึ่งก้าวเดินออกมาสาวน้อยมีแววตาสดใส ใบหน้าเปล่งปลั่งแสดงออกถึงความสุขเมื่อได้เลือกซื้อของใช้ ของตกแต่งร้านด้วยตนเองไม่นานของต่างๆก็ทยอยส่งมาที่บ้านเช่าจนล้นในขณะที่ตั๋วเงินของกัวจื่อหานถูกใช้จ่ายออกไปแทบหมด
ตอนที่แปด เตรียมการเปิดร้านเพียงได้ยินว่าต้องพึ่งพาหยางหมิงเจ๋อ สีหน้าของกัวจื่อหานก็ไม่พอใจอีก “แค่บ้านเช่าหลังหนึ่ง ข้าออกหาเองได้ เจ้าพึ่งหยางกงจื่อผู้นี้มากเกินไปแล้วนะซีซี” “นับไปแล้วเขาก็คือหุ้นส่วนผู้หนึ่ง หากการค้าได้กำไรเขาย่อมได้ส่วนแบ่ง ดังนั้นพึ่งพามากหน่อยย่อมไม่มากไป หานหาน เจ้าอย่าได้คิดมาก ข้ากับเขาเพิ่งพบกันไม่กี่วัน หรือเจ้าไม่วางใจว่าความสัมพันธ์กว่าสิบปีของพวกเราจะสู้เขาไม่ได้” หญิงสาวเอ่ยคล้ายท้าทาย“ย่อมไม่มีวันเป็นเช่นนั้น พวกเรารู้จักกันลึกซึ้งถึงเพียงนี้ เขาย่อมไม่อาจแทรกแซงได้” กัวจื่อหานย่อมมั่นใจในความสัมพันธ์นานปีเขาดูแลอยู่เคียงข้างหลี่หยู่ซีมาตั้งแต่7ขวบ นางมีเขาเพียงคนเดียวตลอดมา เมื่อมีชายอื่นทำท่าจะมาแทรกแซงจึงอดกังวลใจมิได้ “หานหาน อย่า
ตอนที่เจ็ด สองหนุ่ม“อ้อ...พี่หมิงเจ๋อ บังเอิญจริง” หลี่หยู่ซีจำต้องทักทายตามมารยาทขณะแนะนำสองหนุ่มให้รู้จักกัน“คุณชายกัว บุตรชายท่านเสนาบดีมาเยี่ยมเยียน ขออภัยที่มิได้ต้อนรับให้สมเกียรติ”“ไม่ต้องมากเรื่อง ข้ามาอยู่เป็นเพื่อนซีซี มิได้มาในฐานะบุตรเสนาบดีอย่างเป็นทางการ หยางกงจื่อไม่ต้องเกรงใจ”“ซีซีมาอยู่ที่เมืองนี้ ข้าย่อมต้องให้ความดูแลอย่างดี”“ข้าผู้เป็นคู่หมั้นมาถึงแล้ว ย่อมดูแลเองได้ ไม่รบกวนหยางกงจื่อต้องเสียเวลาอันมีค่า” “เอ่อ...ข้า...” หลี่หยู่ซีรู้สึกถึงการขิงกันของสองหนุ่มจึงรีบเอ่ยขัด “เจ้าต้องการสิ่งใดหรือ” กัวจื่อหานรีบถามเอาใจ “พี่หมิงเจ๋อ พวกเราทั้งสองตกลงจะเปิดร้านอาหา
ตอนที่หก ข้ามาแล้ว กัวจื่อหานเองก็แสดงความชื่นชอบรักใคร่ในตัวหลี่หยู่ซีอย่างไม่เคยเปลี่ยนแปลง ยามที่เขาไปร่ำเรียนที่สำนักศึกษา เขาถึงกับคุกเข่าขอร้องบิดาของนางอยู่ถึงสามวันเพื่อพาหลี่หยู่ซีไปเรียนด้วยกัน พวกเขาตัวติดกันอยู่ตลอดเวลาไม่ว่ายามกิน ยามเล่น ยามเรียน ความผูกพันนานกว่าสิบปีนับว่าไม่น้อยทีเดียวจนหลี่หยู่ซีพ้นวัยปักปิ่น กัวจื่อหานจึงขอร้องให้บิดามาสู่ขอเพื่อหมั้นหมาย แต่กว่าจะกำหนดวันพิธีแต่งงานในช่วงปลายปีนี้ได้ เวลาก็ผ่านเลยมาจนหลี่หยู่ซีอายุเกือบ17ขวบปีแล้ว หญิงสาวรู้ดีว่าเหตุร้ายต่างๆที่เป็นอุปสรรคล้วนเกิดจากอนุหูกับน้องสาวต่างมารดา’หลี่หยู่ถง’ ด้วยแม่เลี้ยงของนางย่อมต้องการให้บุตรสาวแท้ๆแต่งงานกับบุตรชายเสนาบดีแทนที่จะเป็นลูกเลี้ยงอย่างนาง ที่ผ่านมาแม้หลี่หยู่ซีจะพยายามประนีประนอม แต่ไม่อาจหยุดยั้งความร้ายกาจของสองแม่ลูกนั่นได้ เช่นนั้นจะกลับไปให้มีเรื่องมีราวอีกเพื่อเหตุใด
ตอนที่ห้า คึกคักหยางหมิงเจ๋อได้จังหวะสอบถามด้วยบรรดาคุณหนูในห้องหอส่วนใหญ่อย่าว่าแต่วิชาการต่อสู้เลย แม้เพียงขยับเขยื้อนเคลื่อนกายยังไม่ใคร่อยากจะทำ ดูอย่าง บุตรสาวแม่ทัพพิทักษ์ชายแดนซึ่งมารดาของเขาพยายามยัดเยียดให้ไปสร้างความสนิทสนมนั่นปะไร นางยังไม่เคยฝึกแม้แต่ขี่ม้า ยิงธนูสักครั้ง ทั้งๆที่บิดาเป็นถึงแม่ทัพใหญ่ “ข้าแอบไปเรียนมาจากอาจารย์ผู้หนึ่งซึ่งไม่อาจเปิดเผยได้ อาจารย์เพียงหวังดีต้องการให้ข้าช่วยเหลือตนเองเท่านั้น ไม่ได้เก่งกาจแต่อย่างใด” “อืม...ก็จริง ท่วงท่าเหล่านั้นหากต่อสู้กันซึ่งหน้าคงไม่รุนแรงเท่าฉวยโอกาสยามเผลอไผล” ชายหนุ่มยอมรับพลางมองเรือนร่างบอบบางแน่งน้อยของสตรีตรงหน้า “แล้วเจ้ารู้ได้อย่างไรว่าต้องทำร้ายส่วน