ริมฝีปากได้รูปคลี่ยิ้มพราย
"คืนนี้ท่านช่วยร่ำสุราเป็นสหายข้าเสียหน่อย ข้านอนไม่ค่อยหลับ" มือขาวเนียนรินน้ำสีใสลงจอกสองใบ จากนั้นดันจอกเลื่อนไปเบื้องหน้าเพื่อส่งให้บุรุษฝั่งตรงข้าม
"รับไปสิ"
อีกฝ่ายยังคงนั่งทื่อมะลื่อดุจหินผา
ฉงเสว่ปิงถอนหายใจแผ่ว "ไยท่านจึงน่าเบื่อยิ่ง ตกลงแล้วข้าอยู่กับคนหรือหุ่นขี้ผึ้งกันเล่า" เมื่อเขาไม่มีปฏิกิริยาโต้กลับนางจึงยกจอกสุรากรอกปากเพื่อบันดาลโทสะเสียเลย
ดูเหมือนเขากำลังแค่นหัวเราะเบา คนที่ยกสุราไปเพียงจอกเดียวก็เริ่มเสียอาการแล้ว
"ท่านก็พูดได้ ไยไม่ยอมพูดกับข้า" ฉงเสว่ปิงชี้หน้า พลางตบมือลงบนโต๊ะดังปัง
อีกฝ่ายยังคงนั่งนิ่งเฉกเช่นกระแสน้ำสงบทว่าภายใต้กลับหมุนวนดุจพายุหอบหนึ่ง เขาไม่หือไม่อือทำราวกับนางเป็นอากาศธาตุ กระนั้นฝ่ามือหยาบระคายกลับยกจอกสุราส่งน้ำรสหวานปนขมเข้าปากแล้ว
ริมฝีปากสีกุหลาบฉีกยิ้มกว้าง มือเรียวตีกันเปาะแปะ "ดีมาก เอาอีก ๆ"
ไต้ฮ่าวเฉินส่ายศีรษะ
เด็กอ่อนหัด จอกเดียวก็เมาเสียแล้ว
ฉงเสว่ปิงรินเหล้าส่งให้เขา ซ้ำยังไม่ลืมกรอกเข้าปากของตน เมื่อสุราเข้าปาก
กลางดึกคืนนั้นไต้ฮ่าวเฉินจึงอุ้มคนเมาหัวราน้ำไปส่งยังห้องบรรทม มู่หลินเห็นสภาพดูไม่จืดของฉงเสว่ปิงก็ให้ต้องยิ้มแห้งขอด นางบอกจะล้วงความลับจากเซวียนหลิ่ว ทว่ายามนี้กลับเป็นมอมตนเองเสียได้"องค์หญิง โถ ไยจึงเป็นเช่นนี้เล่าเพคะ"เขาวางร่างบอบบางลงบนที่นอนด้วยความทะนุถนอม "เจ้าดูแลนางให้ดี"มู่หลินผงะเมื่อแหงนหน้ามองอีกฝ่ายอย่างชัดแจ้ง "นะ...นี่ท่าน"ไต้ฮ่าวเฉินยังคงทำสีหน้าเฉยเมยไม่อนาทรร้อนใจใดทว่ามู่หลินกลับอ้าปากค้างตัวแข็งทื่อเฉกเช่นถูกสาปไปเสียแล้ว"อย่าเพิ่งบอกนางเล่า"มู่หลินกะพริบเปลือกตาปริบ ๆ "อะ...เอ่อ ท่านอ๋อง พระองค์ทรง"ไต้ฮ่าวเฉินปรายตามอง "เจ้าคงเก็บความลับได้กระมัง"มู่หลินกลืนน้ำลายหนืดเหนียวลงคอ พลางก้มหน้างุด เอ่ยตอบด้วยอาการประหม่า"พะ…เพคะ"ไหนเลยมู่หลินจะสันทัดเรื่องเก็บความลับ ยิ่งกับฉงเสว่ปิงแล้วอย่าได้เอ่ยถึงนางมักถูกจับได้อยู่เสมอ หากเรื่องนี้หลุดปากออกไปมีหวังบ่าน้อย ๆ ที่มีคงไร้ศีรษะวางตั้งยังไม่ทันออกห่างจากเตียง ชายผ้าคลุ
ริมฝีปากได้รูปคลี่ยิ้มพราย"คืนนี้ท่านช่วยร่ำสุราเป็นสหายข้าเสียหน่อย ข้านอนไม่ค่อยหลับ" มือขาวเนียนรินน้ำสีใสลงจอกสองใบ จากนั้นดันจอกเลื่อนไปเบื้องหน้าเพื่อส่งให้บุรุษฝั่งตรงข้าม"รับไปสิ"อีกฝ่ายยังคงนั่งทื่อมะลื่อดุจหินผาฉงเสว่ปิงถอนหายใจแผ่ว "ไยท่านจึงน่าเบื่อยิ่ง ตกลงแล้วข้าอยู่กับคนหรือหุ่นขี้ผึ้งกันเล่า" เมื่อเขาไม่มีปฏิกิริยาโต้กลับนางจึงยกจอกสุรากรอกปากเพื่อบันดาลโทสะเสียเลยดูเหมือนเขากำลังแค่นหัวเราะเบา คนที่ยกสุราไปเพียงจอกเดียวก็เริ่มเสียอาการแล้ว"ท่านก็พูดได้ ไยไม่ยอมพูดกับข้า" ฉงเสว่ปิงชี้หน้า พลางตบมือลงบนโต๊ะดังปังอีกฝ่ายยังคงนั่งนิ่งเฉกเช่นกระแสน้ำสงบทว่าภายใต้กลับหมุนวนดุจพายุหอบหนึ่ง เขาไม่หือไม่อือทำราวกับนางเป็นอากาศธาตุ กระนั้นฝ่ามือหยาบระคายกลับยกจอกสุราส่งน้ำรสหวานปนขมเข้าปากแล้วริมฝีปากสีกุหลาบฉีกยิ้มกว้าง มือเรียวตีกันเปาะแปะ "ดีมาก เอาอีก ๆ"ไต้ฮ่าวเฉินส่ายศีรษะเด็กอ่อนหัด จอกเดียวก็เมาเสียแล้วฉงเสว่ปิงรินเหล้าส่งให้เขา ซ้ำยังไม่ลืมกรอกเข้าปากของตน เมื่อสุราเข้าปาก
ฉงเสว่ปิงได้ไปเยี่ยมมารดาของตนแล้ว ทว่าสิ่งที่นางเห็นกลับทำให้เข่าแทบทรุด เฉิงเหยากลายเป็นคนเสียสติพูดจาไม่รู้ความ หนำซ้ำตู้เหยียนเฟิงมักให้เวลานางอยู่กับทั้งสองแทบจะนับได้ว่าชั่วประเดี๋ยวเท่านั้น อีกทั้งช่วงดึกเขามักเอ่ยเสมอว่าอย่าได้ออกมาเพ่นพ่านนอกตำหนัก ราชกิจรัดตัวอยู่ทุกค่ำคืน"มู่หลิน ข้าเบื่อ คืนนี้เจ้าไปเอาสุรามา" ฉงเสว่ปิงทอดถอนใจเส้นผมนุ่มสลวยปล่อยสยายลงกลางหลัง เดิมทียามนี้ต้องเข้านอนแล้วแท้ ๆ ทว่านางไม่อาจข่มตาให้หลับได้จริง ๆ"องค์หญิงแต่นี่ดึกมากแล้วนะเพคะ"จู่ ๆ ฉงเสว่ปิงก็นึกบางอย่างขึ้นได้ "เอ่อ...ถ้างั้น เจ้านอนก่อนข้าเลย" มือเรียวหยิบเสื้อคลุมตัวหนาขึ้นสวมทับมู่หลินมองตามด้วยความฉงน "องค์หญิงจะไปที่ใดเพคะ"ริมฝีปากบางคลี่ยิ้มซุกซน "ไปร่ำสุราอย่างไรเล่า ในเมื่อเจ้าร่ำสุรากับข้าไม่ได้ เช่นนั้นข้าจะไปหาสหายสักหน่อย"มู่หลินกะพริบเปลือกตาปริบ "เอ่อ...องค์หญิง ท่านมีสหายที่ใดกันเจ้าคะ"ฉงเสว่ปิงแต่งกายไปพิศมองความเรียบร้อยผ่านคันช่องบานใหญ่ไป "มีสิ ข้าว่าองครักษ์เซวียนหลิ่วไม
ทั้งสองออกมาจากด้านในแล้ว ดวงตาคมกริบภายใต้หน้ากากหนาชำเลืองมองฝ่ามือที่โอบประคองไหล่บอบบางก็ยิ่งหัวเสีย เขาลอบค่อนขอดในใจพี่ชายจริงหรือ แนบชิดดุจนางเดินเองไม่ได้ ไยไม่อุ้มเสียเลยเล่า หึ…ตู้เหยียนเฟิง "ปิงเอ๋อร์ คืนนี้ข้ามีเรื่องต้องไปสะสาง ไว้เรียบร้อยแล้วข้าจะรีบกลับ เจ้าอยู่กับเซวียนหลิ่วไปพลาง ๆ ก่อนแล้วกัน"ฉงเสว่ปิงพยักหน้าหงึกหงัก "เพคะ"ไต้ฮ่าวเฉินแค่นยิ้มเรื่องที่ต้องสะสางของเจ้า คงไม่ใช่อย่างที่ข้าคิดกระมังตู้เหยียนเฟิงเหลียวมองบุรุษร่างสูงด้วยสีหน้าเคร่งขรึม "ดูแลปิงเอ๋อร์ให้ดี ดึกดื่นอย่าได้ให้นางออกมาตากน้ำค้างเล่า"ไต้ฮ่าวเฉินจึงปรับอารมณ์ให้เป็นปกติ จากนั้นค้อมศีรษะลงเล็กน้อย..ราตรีกาลนี้ช่างให้ความรู้สึกหมองมัวเฉกเช่นสีของผืนนภา แม้นมีดวงดาวโอบล้อมเคียงจันทร์เป็นทิวทัศน์แสนงดงาม กระนั้นกลับมิอาจช่วยคลายความร้อนใจได้สักกระผีกริ้น ฉงเสว่ปิงทอดสายตามองออกไปนอกบานหน้าต่างอย่างเหม่อลอย จิตใจของนางห่อเหี่ยวไร้ทิศทาง ทว่าท่ามกลางความอนธการเบื้องหน้านี้ยังมีสายตาของใครบางคนเฝ้ามองน
บรรยากาศแสนคุ้นเคยสะท้อนเข้าดวงตา ยามนี้ฉงเสว่ปิงอดรนทนไม่ไหว นางเร่งฝีเท้ากึ่งเดินกึ่งวิ่งเข้าไปยังห้องบรรทมของผู้เป็นบิดา ทว่าเมื่อเท้าก้าวเข้าไปเพียงหนึ่งฝั่งนางถึงกับต้องชะงักงัน ฝ่ามือเล็กเย็นเยียบ ลมหายใจติดขัดหนักหน่วงฉงเสว่ปิงแหงนหน้ามองบุรุษร่างสูงขนาบข้าง เขาส่งยิ้มละไมให้กับนาง พลางยกมือนุ่มนิ่มขึ้นมากอบกุมราวต้องการปลอบประโลม ส่วนผู้ที่ยืนด้านหลังทำได้เพียงกลอกดวงตาขมวดคิ้ว นัยน์ตาคมเขม้นมองสองมือที่จับกันไว้อย่างเหนียวแน่นด้วยความรู้สึกขัดใจยิ่งเขาอยากเดินเข้าไปแล้วดึงร่างบอบบางปลิวถลาออกมาเสียจริงเชียว"ท่านพี่เหยียนเฟิง เหตุใดห้องของเสด็จพ่อจึงอึมครึมเช่นนี้เล่า" ขาเรียวค่อย ๆ เยื้องย่างเข้ามาภายในด้วยหัวใจไหวระทึกฉงเสว่ปิงแหงนมองโดยรอบทุกอย่างล้วนดูแปลกตาไม่น่าอภิรมย์ หน้าต่างสักบานก็ยังไม่แง้มออก ซ้ำยังมีหมอกควันปกคลุมเต็มไปหมดตู้เหยียนเฟิง "แพทย์หลวงบอกว่าไม่อาจให้เสด็จพ่อต้องแดดต้องลมได้""จริงหรือ ดู ๆ ไปแล้วหากไม่ระบายอากาศเสียหน่อย เสด็จพ่ออาจอึดอัดและหายช้ากว่าปกตินะเพคะ" คิ้วสวยเคลื่อนเข้าหากันแทบผูกเป็นปม
จื่อจ้ง "ท่านอ๋องจัดการคนผู้นี้เรียบร้อยแล้วเอาอย่างไรต่อดีพ่ะย่ะค่ะ"นัยน์ตาคมลดมองร่างไร้วิญญาณของชายฉกรรจ์สวมเครื่องแต่งกายมิดชิด ซ้ำใบหน้ายังบดบังด้วยหน้ากากสีทะมึน มุมปากของเขาเหยียดยิ้มน้อย ๆ "ข้าจัดการต่อเอง ส่วนเจ้าจับตามองตู้เหยียนเฟิงอย่าได้คลาดสายตา หากข้าไม่เรียกไม่ต้องปรากฏกาย""พ่ะย่ะค่ะ" จื่อจ้งค้อมศีรษะรับคำพลันกระโจนหายไปในความอนธการใต้ฮ่าวเฉินทอดสายตามองภาพบุรุษและสตรีเบื้องหน้าซึ่งนั่งพะเน้าพะนอด้วยความหงุดหงิดยามนี้เขาไม่อาจเปิดเผยตัวตนจำต้องกล้ำกลืนความหึงหวงจนหน้ามืดเพื่อกระทำตามแผนอย่างจนใจสายลมพัดเอื่อย ๆ ท่ามกลางป่ามืดครึ้ม กองเพลิงถูกสุมขึ้นเพื่อมอบความอบอุ่นให้แก่ร่างกาย กระนั้นฉงเสว่ปิงกลับยังนั่งสั่นระริกด้วยความหนาวเหน็บตู้เหยียนเฟิงปลดผ้าคลุมไหล่พลางยื่นมือเป็นวงกว้างเฉกเช่นกำลังโอบร่างบอบบางอยู่ในอ้อมแขน ฉงเสว่ปิงสะดุ้งโหยง ทว่าเมื่อลดสายตามองว่าอีกฝ่ายกำลังคลุมผ้าผืนหนาให้ตน เรียวปากสีกุหลาบจึงคลี่ยิ้มละไม"ขอบพระคุณท่านพี่เหยียนเฟิง" ยามที่นางได้ใกล้ชิดตู้เหยียนเฟิง ควา