"องค์หญิง องค์หญิงเพคะ"
อีกแล้วหรือ เสียงผู้ใดกัน ครานี้เรียกข้าองค์หญิงรึ
แพขนตางอนไหวระริก เปลือกตาบางขยับแผ่ว ดวงตากลมโตเปิดปรือเชื่องช้า ดูเหมือนครานี้นางไม่รู้สึกตื่นเต้นใดแล้ว ปรโลกไม่ต้องการ สวรรค์กลั่นแกล้ง หรือการจบชีวิตโดยวิธีกรอกสุราไม่อาจทำให้นางตายได้จริง ๆ กันเล่า
"องค์หญิง ตื่นบรรทมเถิดเพคะ"
ฉงเสว่ปิงผินหน้ามองอีกฝ่าย ดวงตากลมโตกะพริบขึ้นลงปริบ ๆ "มู่หลิน เจ้าเองหรือ"
"หม่อมฉันเองเพคะ ตะวันทอแสงแล้วฝ่าบาทและพระชายารอองค์หญิงที่ห้องเสวยแล้วเพคะ"
ฉงเสว่ปิงเลิกคิ้ว พลางกวาดสายตามองไปรอบห้อง ดวงตากลมโตเป็นทุนเดิมเบิกกว้างตื่นตะลึง "นะ...นี่..."
"นี่อะไรหรือเพคะ" มู่หลินกะพริบตางุนงง
ฉงเสว่ปิงหันหน้าขวับ "มู่หลิน ข้าแต่งงานหรือยัง!"
"องค์หญิง ท่านยังไม่ได้อภิเษกนะเพคะ ถึงจะมีสัญญาหมั้นหมายกับชินอ๋อง แต่ว่ากำหนดวันอภิเษกคืออีกหนึ่งเดือนข้างหน้าเพคะ"
ฉงเสว่ปิงฉีกยิ้มลิงโลด "หนึ่งเดือนข้างหน้า มู่หลินบอกข้าทีว่าตอนนี้ข้าอยู่ในตำหนักปิงสุ่ย"
มู่หลินพยักหน้าหงึกหงัก "เพคะ ยามนี้องค์หญิงอยู่ตำหนักปิงสุ่ยแคว้นสุ่ยเหอขององค์หญิงและฝ่าบาทเพคะ"
ฉงเสว่ปิงลุกพรวด ร่างบอบบางกระโดดโหยงตื่นตูม พลางจับบ่าสาวรับใช้ของตนเขย่าด้วยสีหน้าดีอกดีใจ "ไชโย ข้าได้กลับสุ่ยเหออีกครั้งแล้ว ฮือ...คันฉ่อง คันฉ่อง เร็ว"
"พะ...เพคะ" มู่หลินละล่ำละลักหยิบคันฉ่องขนาดเล็กส่งให้นาง
ฉงเสว่ปิงคว้าหมับจากนั้นจึงเบี่ยงปอยผมหลบไปอีกด้าน มองดูจุดสีแดงข้างลำคอพลันเบิกตากว้างฉีกยิ้มดีใจ
แต้มพรหมจรรย์!
"มู่หลิน มู่หลิน ดูสิเจ้าดูนี่" นิ้วเรียวชี้บริเวณต้นคอของตนเร็วรี่
"เพคะ ดูแล้ว ทำไมหรือ" มู่หลินงุนงง
"เจ้าเห็นหรือไม่ แต้มพรหมจรรย์ของข้ายังอยู่ มันยังอยู่" ฉงเสว่ปิงฉีกยิ้มกว้างเผยความสดใสระคนดีใจเป็นล้นพ้น นางเขย่ากายมู่หลินจนหัวสั่นคลอน
"อะ...องค์หญิงเป็นอันใดไป กระโตกกระตากเช่นนี้ไม่งามนะเพคะ อีกอย่างท่านยังไม่อภิเษกกับบุรุษใด แต้มพรหมจรรย์ก็ต้องอยู่สิเพคะ" มู่หลินหน้าแดงก่ำด้วยความขัดเขิน
"อ้อ...อ่า...ขอโทษ ขอโทษ" ฉงเสว่ปิงเอ่ยจบจึงปัดป่ายจัดแจงเสื้อผ้าของมู่หลินให้เข้าที่
"องค์หญิงหม่อมฉันไม่เป็นไรเพคะ" มู่หลินหลุบดวงตาด้วยความกริ่งเกรง
"เอาน่า...จะเกร็งไปไย ในที่สุดก็ไม่ต้องกลับไปพบหน้าตาอ๋องโง่เง่าแล้ว หนำซ้ำยังได้กลับมาเป็นสาวบริสุทธิ์ผุดผาด" ฉงเสว่ปิงสีหน้ารื่นรมย์เสียจนมู่หลินต้องยกมือขึ้นเกาแก้มเกาศีรษะด้วยความงุนงง
"ถ้าเช่นนั้นองค์หญิงไปเตรียมตัวนะเพคะ ฝ่าบาทรอนานมากแล้ว"
"เอาสิ ข้าคิดถึงเสด็จพ่อเสด็จแม่ใจแทบขาด"
ยิ่งมองท่าทีเริงร่าของฉงเสว่ปิงมู่หลินก็ยิ่งบังเกิดความฉงน ดูเหมือนองค์หญิงของนางคงฝันดีมากไปหน่อยกระมัง วันนี้จึงตื่นสายกว่าปกติ ซ้ำยังแย้มยิ้มจนน่าพิกลนัก
.
.
"เสด็จพ่อ เสด็จแม่" ร่างบอบบางสาวเท้าเร่งร้อน พลางกระโจนสวมกอดผู้เป็นบิดาประดุจไม่พบหน้ากันมาช้านาน
เดิมทีสมัยฉงเสว่ปิงเยาว์วัย นางติดบิดาแจ เพราะชอบออกไปล่าสัตว์ยิงธนูเฉกเช่นบุรุษ ผู้เป็นมารดาปรามอย่างไรนางไม่เคยเชื่อฟัง ทว่าเจ้าแคว้นสุ่ยเหอกลับให้ท้ายบุตรธิดานัก เฉิงเหยาจึงทำได้เพียงปลดปลงแล้ว หวังว่าการอภิเษกเชื่อมสัมพันธ์ของสองแคว้นที่จะมาถึงอาจช่วยดัดนิสัยให้ฉงเสว่ปิงเป็นกุลสตรีเช่นองค์หญิงแคว้นอื่น ๆ เสียบ้าง
"ปิงเอ๋อร์ ระวังหน่อย เป็นถึงองค์หญิงแห่งแคว้นสุ่ยเหอ ไยทำตัวเยี่ยงม้าดีดกะโหลก" เสียงทุ้มเอ่ยต่อว่า ทว่าริมฝีปากผู้เป็นบิดายังคงแย้มสรวล ฝ่ามืออุ่นลูบไล้เรือนผมสีน้ำตาลอ่อนด้วยความรักใคร่ ส่วนมารดาทำได้เพียงส่ายศีรษะ ยืนมองสองพ่อลูกกอดกันกลมอย่างนึกระอาใจ
ฉงเสว่ปิงเอ่ยเสียงอู้อี้ "ก็ข้าคิดถึงท่านนี่นา เสด็จพ่อวันนี้ลูกมีเรื่องจะทูลเสด็จพ่อเพคะ"
"หืม...เรื่องใดเล่า" เจ้าแคว้นสุ่ยเหอเหลียวมองหน้าชายา ทั้งสองประสานสายตาทว่าไม่มีผู้ใดทราบเช่นกันว่าบุตรสาวต้องการสิ่งใด
ฉงเสว่ปิงร่ำไห้ครวญสะอื้นน้ำตาแทบเป็นสายเลือด ไต้ฮ่าวเฉินเริ่มขยับแล้ว บุรุษกำยำสวมเครื่องแต่งกายมิดชิดนายหนึ่งกระชากกายของเขาให้ยืนขึ้น บนหน้าอกของเขามีลูกศรดอกหนึ่งปักอยู่ ดวงตาที่เคยเย้าแหย่นาง ยามนี้บวมเป่ง ไต้ฮ่าวเฉินพยายามรวบรวมแรงเฮือกสุดท้ายที่มี เอ่ยเสียงสั่นเครือ"อ้ายเฟย ไม่ต้องร้อง ขะ...ข้าไม่เป็นไร"ฉงเสว่ปิงส่ายหน้าทั้งที่น้ำตาหลั่งรินไม่หยุด ยามนี้นางเสียใจประดุจถูกตอกตะปูเข้าหัวใจดอกแล้วดอกเล่า"ชินอ๋อง ยังกล้าบอกไม่เป็นไรอีกหรือ สภาพของท่านตายไปแล้วครึ่งหนึ่ง ยังเอ่ยวาจาปลอบใจนางอีกงั้นรึ" ตู้เหยียนเฟิงขบเคี้ยวเขี้ยวฟัน ยิ่งคำเรียกที่ไต้ฮ่าวเฉินเปล่งออกมาก็พลอยปะทุจุดเดือดของความโมโหให้ทะยานสูงขึ้นไต้ฮ่าวเฉินกลับเผยรอยยิ้มหยามหยันชิงชัง หาได้เกรงกลัวเขา "เจ้าทำเช่นนี้นอกจากไม่ได้ใจของนางแล้ว เจ้ายังจะได้รับความเกลียดชังจากนาง ชีวิตนี้ของเจ้าอย่าหมายจะมีความสุข"ตู้เหยียนเฟิงหัวเราะขัน "หากท่านไม่อยู่เพียงหนึ่ง นางก็รักข้า รักข้าเพียงคนเดียว"ฉงเสว่ปิงร้องไห้โฮ นางไม่อาจระงับสติได้แล้ว "ทะ...ท่านพี่เหยียนเฟิง ท่านกำลังเสียสติ ข้ารักท่านใช่ ข้ารักท่านประดุจพี่ชายแท้ ๆ
"ปิงเอ๋อร์ ปิงเอ๋อร์" เสียงทุ้มดังมาจากธรณีทางเข้า ฉงเสว่ปิงงัวเงีย"เพคะ" นางลุกขึ้นยืนพร้อมจัดเผ้าผมและเครื่องแต่งกายเล็กน้อยอยู่ ๆ ความทรงจำเมื่อคืนก็แล่นเข้ามา กายของนางแข็งทื่อ มองร่องรอยของการร่วมสวาทก็พลันใบหน้าแดงเรื่อ ทว่าเมื่อเหลียวมองข้างกายไต้ฮ่าวเฉินกลับหายไปที่ใดเสียแล้ว ร่างบอบบางยืดกายยืนขึ้น นางคิดว่าอีกฝ่ายคงมีธุระต้องไปสะสางเป็นแน่ ยามนี้มู่หลินก็อยู่ห้องของตน ฉงเสว่ปิงจึงตัดสินใจสาวเท้าเข้ามาเปิดประตูด้วยตนเอง ทันทีที่พบว่าผู้ใดมาเยือน ฉงเสว่ปิงถึงกับผงะเก็บอาการไม่มิด ตู้เหยียนเฟิงหรี่นัยน์ตามองด้วยความแคลงใจ "ปิงเอ๋อร์ไม่สบายหรือ วันนี้เจ้ามีนัดกับพี่ ไยจึงยังไม่ออกไป" "เอ่อ" ฉงเสว่ปิงรู้สึกกลืนไม่เข้าคายไม่ออก วันนี้นางคิดว่าคงต้องตะล่อมบอกยกเลิกงานอภิเษกกับเขา แต่ว่ายามนี้ไต้ฮ่าวเฉินไม่อยู่ นางไม่อาจกระโตกกระตากได้ ตู้เหยียนเฟิงมองท่าทีกระอึกกระอักของอีกฝ่าย เขาพลันยกมือขึ้นหมายแตะหน้าผากคนเบื้องหน้า ทว่าฉงเสว่ปิงกลับผงะถอยหลัง ฝ่ามือกว้างจึงเก้อค้างกลางอากาศอยู่เช่นนั้น ฉงเสว่ปิงใจเต้นกระหน่ำ ความหวาดกลัวผุดขึ้นเป็นริ้วเมื่อฉุกนึกถึงสิ่งที่เขากระทำ มือไม
บทสนทนาทุกอย่างสิ้นสุดลงแล้ว บุรุษเบื้องบนแทบอดรนทนไม่ไหวเขาก้มลงซุกไซ้ สูดดมความหอมไปตามผิวเนียนละเอียด ฝ่ามือหยาบกร้านลูบไล้เข้าไปด้านในอาภรณ์เชื่องช้า จากนั้นจึงค่อย ๆ ปลดออกทีละชิ้น เขาประคองกายคนตัวเล็กขึ้นนั่งประจันหน้า ฉงเสว่ปิงมิได้ขัด ต่างฝ่ายต่างปลดอาภรณ์ให้กันด้วยความเร่งร้อน พลางประกบปากบดจูบอย่างดูดดื่ม ความปรารถนาและความโหยหาถึงสามภพสามชาติกำลังถูกเติมเต็มอื้อ...กายกำยำและเรือนร่างบอบบางเปลือยเปล่า สองแขนเรียวโอบรอบคอของเขาเอาไว้ ริมฝีปากผละออกจากกันจนเกิดเป็นเส้นใยสีเงินยืดเยิ้ม ไต้ฮ่าวเฉินไม่รั้งรอให้ปากของตนว่างมากนัก เขาขบงับประทับรอยสีกุหลาบไล่ลงไปตามลำคอขาวผ่อง ลากลิ้นเลียละเลียดชิมจนถึงปทุมเนื้อนวล ปากร้อนครอบงับพลางระรัวลิ้นหยอกล้อตุ่มไต่สีชมพูระเรื่อ มืออีกด้านเคล้นคลึงยอดถันฝั่งที่ยังว่างด้วยความมัวเมาใบหน้างามแหงนเงยไปเบื้องหลัง เสียงใสครวญครางด้วยความเสียวกระสัน แม้ปากนางมักต่อว่าเขาไม่ได้เรื่อง แท้จริงแล้วลีลาของชินอ๋องดุเดือดแทบขาดใจต่างหาก สัมผัสที่นับว่าห่างหายไปนานหวนกลับมายังที่เดิม ความสยิวแล่นไปทั่วแผ่นหลังและท้องน้อยไต้ฮ่าวเฉินโถมกายดันร่างเล็กให
ร่างบอบบางพยายามยันกายลุกทว่าข้อมือทั้งสองด้านถูกฝ่ามือกว้างกดติดไว้กับฟูกนอนจนไม่อาจขยับ นางเหลือบมองใบหน้าแดงก่ำของบุรุษด้านบนก็พลอยรู้สึกใจหวิว จังหวะหายใจของเขาบ่งบอกว่าไม่สามารถควบคุมไฟปรารถนาที่ลุกโชติช่วงไว้ได้เสียแล้ว "เจ้าบอกจะลงโทษข้าไม่ใช่หรือ ไยเปลี่ยนใจง่ายนัก" เสียงทุ้มออดอ้อนระคนแหบห้าว "แต่ว่ายามนี้ท่านและข้ายัง..." ความร้อนผ่าวลุกลามจากสองแก้มไปยังใบหู ร่างสูงโน้มกระซิบ "เราเคยตั้งหลายครั้งแล้ว ยังอายอีกหรือ ถึงยามนี้ยังไม่เป็นต่อไปก็ต้องเป็น" เขาลดสายตามองแต้มพรหมจรรย์บริเวณซอกคอ จากนั้นจึงพรมจูบลงไปหนึ่งครา ฉงเสว่ปิงขนลุกซู่ พลางเบี่ยงหลบริมฝีปากร้อนชื้นที่ประทับลงมา "อื้อ...ท่านทำอันใดเพคะ แต่นั่นมันเรื่องของชาติก่อนผู้ใดจะนับ" "เจ้าเสียดายแต้มสีชาดนี่น่ะหรือ" ริมฝีปากบางเม้มสนิท อันที่จริงนางก็หาใช่พวกคร่ำครวญในพรหมจรรย์แต่อย่างใด เพราะถึงอย่างไรแม้จะกลับมาบริสุทธิ์ดังเดิม นางก็ยังคงจำสัมผัสของเขาได้มิเคยลืม"ก็...ข้าไม่รู้" ฉงเสว่ปิงแสร้งเฉไฉด้วยความขัดเขิน นางไม่อาจหนีใจตัวเอง กับความจริงที่ว่าตนกำลังร่ำร้องและปรารถนาในกายบุรุษเบื้องหน้าอย่างแรงกล้าเช่นกัน
ฉงเสว่ปิงเบิกตากว้าง "ท่านอย่าบอกว่าท่านเองก็...""ข้าปลิดชีพตนเองตามเจ้า"ดั่งถูกคมมีดกรีดลึกลงกลางหัวใจ ความคับแค้นที่อัดอั้นถูกสะบั้นไม่เหลือชิ้นดี คำพูดของเขาประดุจรสขมของสุราพิษในครานั้น น้ำตาของนางไหลย้อมอาบลงข้างแก้มนวลไม่ทันรู้ตัว เสียงใสสั่นพร่า "ทะ...ท่าน ไยจึงโง่งมนัก เป็นถึงชินอ๋องทว่ากล้าปลิดชีพตนเองตามสตรีอย่างนั้นหรือ"ไต้ฮ่าวเฉินปาดน้ำตาที่ยังหลั่งรินไม่หยุดหย่อนด้วยความอ่อนโยน "ไม่ต้องร้อง เป็นข้าที่โง่จริง ๆ โง่ที่ทำกับเจ้าอย่างป่าเถื่อนดุร้าย ข้าทรมานสมความปรารถนาเจ้าถึงสามภพชาติแล้ว เจ้าพอใจหรือไม่ หากยังเจ้าอยากบั่นคอข้า ทะลวงหัวใจข้า เจ้าก็ทำเถิด"เขาจับมือเล็กแนบยังหน้าอกตน ฉงเสว่ปิงได้ยินเสียงหัวใจอีกฝ่ายเต้นกระหน่ำ นางทำได้เพียงจ้องมองเขาตาไม่กะพริบ ฉงเสว่ปิงไม่รู้ว่าตนควรเชื่อคำพูดหวานหูของเขาอีกหรือไม่ นั่นอาจเป็นเพียงกับดักเพื่อล่อหลอกให้นางตายใจอีกชาติหนึ่ง"ท่านกำลังวางหลุมพรางข้าหรือ คงมิใช่ว่าแอบล้วงความลับของข้ายามเมาใช่หรือไม่" ฉงเสว่ปิงหวาดระแวงไต้ฮ่าวเฉินยิ้มขัน "คงต้องขอบคุณความขี้เมาของเจ้า ทำให้ข้าได้สติขึ้นมา""นั่นปะไร" ฉงเสว่ปิงหน้างอ นางพยาย
บรรยากาศยามราตรีแสนเย็นเยียบ ฉงเสว่ปิงยังคงนั่งเหม่อลอยไร้ทิศทาง ไต้ฮ่าวเฉินกุมมืออีกฝ่ายเอาไว้มั่น ภายในห้องบรรทมยามนี้สงบเงียบดั่งกระแสน้ำไร้ระลอกคลื่น เสียงทุ้มเอ่ยเบาหวิว "เสว่ปิงเช่นนั้นเจ้าพักผ่อนเถิด ไว้ข้าจะเร่งสะสางเรื่องนี้ให้เจ้าโดยเร็ว" ฉงเสว่ปิงผินหน้ามองเขา "ข้านอนไม่หลับ ข้ายังมีบางสิ่งที่คาใจ" "ได้ เจ้าคาใจเรื่องใดก็เอ่ยมาเถิด" ใบหน้าหล่อเหลาส่งยิ้มละไม ฉงเสว่ปิงหลุบตาลง มองฝ่ามือกว้างที่กุมมือของตนไว้อย่างเหนียวแน่น เดิมทีนางวิ่งหนีมืออบอุ่นคู่นี้ราวกับเขาเป็นภูตผีปีศาจ ยามนี้คนที่ตนหมายให้เป็นที่พึ่งพิงกลับตาลปัตรราวสัตว์ร้ายเหี้ยมโหด "ท่านเอ่อ...ชอบข้าหรือ" เสียงสั่นเครือกล่าวอ้อมแอ้ม "หืม..." เพราะอีกฝ่ายหลบตาของเขา ปลายนิ้วหยาบกร้านจึงช้อนปลายค้างขึ้น แม้ใบหน้านั้นเชิดตามการประคอง ทว่าดวงตาของนางยังคงหลุบต่ำ "เสว่ปิง มองหน้าข้า" ฉงเสว่ปิงลอบกลืนน้ำลายหนืดเหนียวลงคอ ดวงตากลมโตสบประสานกับนัยน์ตาคมกริบ ริมฝีปากได้รูปเผยรอยยิ้มจาง ๆ "ข้าไม่ได้ชอบเจ้า" ฉงเสว่ปิงใจเต้นระรัว เมื่อได้ยินคำตอบของเขา นางรีบเบือนหน้าหนีทันควัน เอ่ยละล่ำละลักระคนผิดหวัง "แล้วท่านช่วยเ