“ไม่ใช่เพราะหล่อนเหรอที่ไม่ยอมมอบตำแหน่งงานในโรงงานยาสูบให้ เลยให้คนมาทำร้ายอาจ้ง มะรืนนี้จะได้ไปทำงานไม่ได้”
ไม่รู้เพราะโมโห หรือสมองคิดช้า สะใภ้สามมู่เลยพูดในสิ่งที่บ้านสามกำลังจะช่วงชิงไปจากบ้านรองออกมา นี่จึงยิ่งทำให้ชาวบ้านไม่พอใจและดูจะรังเกียจการกระทำของบ้านสามมู่ยิ่งนัก
ย่ามู่คล้ายกับยังมีสติ เธอจึงถลึงตาให้ลูกสะใภ้อย่างเหลืออด ไม่รู้ว่าเธอเลือกสะใภ้ที่แสนโง่เง่าคนนี้มาได้อย่างไรกัน
“แต่ผมคิดว่าเรื่องนี้ควรจะให้เจ้าหน้าที่ตัดสินนะครับ หากบ้านรองมู่ได้กระทำอย่างที่คุณกล่าวหาจริง ๆ ผมยินดีจะชดใช้ค่าเสียหายให้เองตามที่บ้านสามมู่เรียกร้อง
แต่หากสืบสาวราวเรื่องแล้วไม่จริงดั่งคำกล่าวหา บ้านสามมู่ย่อมต้องชดใช้ค่าเสียหายและค่าทำลายชื่อเสียงของว่าที่สะใภ้บ้านเฉินอย่างมู่อันเหมย ตกลงหรือไม่”
เฉินหยางคุนเดินออกมาจากบ้านเพื่อมาดูเหตุการณ์เช่นกัน และคิดว่าเรื่องนี้คงเป็นคำสั่งของเขาเองที่ได้สั่งลูกน้องไปก่อนหน้านี้ไม่นาน ไม่คิดว่าเรื่องจะรวดเร็วเช่นนี้ นี่แสดงว่าทั้งสองเจอจื่อจ้งตรงนี้แน่เลยเล่นงานทันที
มู่อันเหมยมองไปยังว่าที่คู่หมั้น เมื่อเห็นแววตาที่อ่อนโยนแตกต่างจากน้ำเสียงที่พูดกับบ้านสาม เธอจึงยิ้มอย่างอ่อนโยนไปให้และค้อมหัวขอบคุณเขาเล็กน้อย
เฉินหยางคุนพยักหน้าเล็กน้อยก่อนจะหันมามองบ้านสามมู่ด้วยแววตาดุดัน และเหตุการณ์ในคราวนี้ไม่เพียงแต่เจ้าหน้าที่ทหารที่ประจำการในหมู่บ้านมาเท่านั้น ยังมีหัวหน้าหมู่บ้านและหัวหน้าคอมมูนอย่างต้านหม่าเจินที่เดินทางมาด้วย
ซึ่งต้านหม่าเจินรู้เลยว่าหากบ้านสามมู่มีความฉลาดเสียหน่อยจะต้องไม่รับคำของเฉินหยางคุน ชายผู้ที่ไร้ไมตรีกับคนนอกและเย็นชายิ่งกว่าน้ำแข็งคนนี้ เพราะไม่เช่นนั้นบ้านสามมู่ย่อมมีจุดจบที่ไม่ดีนัก
แต่กลายเป็นว่าย่ามู่เมื่อคิดว่าตนเองสามารถเรียกร้องเงินค่าเสียหายจากเรื่องนี้ได้ก็เกิดความละโมบขึ้นมาทันที ภายในใจนั้นคิดว่าต่อให้เรื่องนี้สืบสาวมาแล้วจะไม่เกี่ยวกับมู่อันเหมย
ทว่าบ้านรองคงไม่กล้าที่จะเรียกร้องค่าเสียหายจากบ้านสามซึ่งตอนนี้เป็นบ้านหลักอย่างแน่นอน เพราะความกตัญญูมันค้ำคอ
“ได้สิ หากเรื่องนี้เกี่ยวกับนังอันเหมยและบ้านรอง บ้านเฉินยินดีจ่ายเงินค่าเสียหายให้กับบ้านสามมู่สามร้อยหยวน และหนี้สินที่ติดค้างก็ต้องยกให้ด้วย”
ทันทีที่ย่ามู่เอ่ยเรื่องเงินออกมา ชาวบ้านรวมถึงบ้านใหญ่และบ้านรองไม่คิดว่าย่ามู่จะไม่มีความละอายอะไรเลย ทำแบบนี้ไม่เท่ากับใส่ร้ายบ้านรองหรือ
มู่เฟยหยวนรับไม่ได้กับสิ่งที่ย่าของตนเองกำลังกระทำ การที่เรียกร้องค่าเสียหายตามที่พี่หยางคุนเสนอ ไม่เท่ากับว่าย่าและบ้านสามมั่นใจแล้วเหรอว่าอันเหมยน้องสาวเขาเป็นคนกระทำ
“ย่า...” ทว่ากลับมีสายตาของเฉินหยางคุนห้ามไว้ และให้มั่นใจว่าเขาไม่ยอมให้ใครทำร้ายมู่อันเหมยได้เด็ดขาด
“ในเมื่อรับปาก ผมต้องการให้คนในที่นี้เป็นพยาน เมื่อผลสรุปออกมาว่าบ้านรองมู่และอันเหมยไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง กับเรื่องที่ลูกชายคนรองบ้านสามถูกทำร้าย ผมจะขอเรียกร้องค่าเสียหายให้กับว่าที่สะใภ้เฉินด้วยเงินสามร้อยหยวนเช่นกัน และเรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับความกตัญญูหรืออกตัญญูอะไรทั้งนั้น เพราะคนที่ยื่นข้อเสนอคือบ้านเฉินไม่ใช่บ้านมู่ตั้งแต่แรก หวังว่าทุกคนจะเข้าใจนะครับ”
เฉินหยางคุนตอบกลับด้วยน้ำเสียงเย็นชา จากนั้นจึงกล่าวขึ้นอีกว่า “หากจะสืบเรื่องนี้ ผมแนะนำให้เจ้าหน้าที่ลองไปสืบที่ตรอกอี้หลันดู ตอนผมเข้าในอำเภอ มักจะเห็นลูกชายบ้านสามออกมาจากที่นั่นบ่อย ๆ ไม่ใช่ว่าไปติดหนี้ใครไว้แถวนั้นแล้วโดนเอาคืนหรือ”
เพียงแค่เอ่ยชื่อตรอกอี้หลัน สหายของมู่จื่อจ้งสะดุ้งเล็กน้อย เรื่องนี้พวกเขารู้แก่ใจดี ด้านหน้าอาจจะเป็นร้านเหล้า แต่ด้านบนนั้นคือบ่อนการพนันย่อม ๆ นั่นเอง และตัวจื่อจ้งเป็นหนี้ไว้ไม่น้อย หากรวมดอกเบี้ยก็เกือบห้าสิบหยวน ความเป็นไปได้ที่จะโดนเจ้าหนี้ส่งลูกน้องมาทำร้ายเพราะเบี้ยวเงินนั้นสูงนัก
“แกหมายความว่ายังไง” ย่ามู่เอ่ยถามอย่างไม่เข้าใจ การที่หลานชายคนโปรดถูกทำร้ายมันเกี่ยวอะไรกับตรอกอี้หลัน
เฉินหยางคุนเลือกที่จะไม่ตอบแต่กระดกลิ้นขึ้นมาเล็กน้อยก่อนจะมองไปยังสหายของมู่จื่อจ้ง นั่นจึงทำให้ทุกคนมองตาม เมื่อเห็นท่าทางและอาการของชายหนุ่ม ทุกคนรู้ได้ทันทีว่าสิ่งที่เฉินหยางคุนกล่าวมานั้นน่าจะเป็นเรื่องจริง
ทันทีที่สายตามากมายของชาวบ้านหันเหมาทางอาฟง ชายหนุ่มน้ำตาไหลแทบจะร้องไห้ด้วยความหวาดกลัว ก่อนจะบอกเล่าเรื่องราวทั้งหมดก่อนหน้านี้ ว่ามู่จื่อจ้งนั้นเล่นการพนันและติดหนี้ไว้เกือบห้าสิบหยวน เหตุการณ์ในครั้งนี้น่าจะเกิดขึ้นเพราะคนของบ่อนพนันไม่ผิดแน่
ย่ามู่และสะใภ้สามแทบล้มทั้งยืนเมื่อรู้ว่าลูกและหลานเข้าไปเกี่ยวข้องกับการพนัน และยิ่งอยากจะเป็นลมเมื่อรู้ว่าก่อนหน้านี้ได้ไปรับข้อเสนอของลูกชายบ้านเฉินไปแล้ว
นั่นหมายความว่าบ้านสามมู่จะต้องชดใช้เงินให้กับบ้านรองมู่เป็นเงินสามร้อยหยวน แล้วจะไปหาเงินจากไหนกันล่ะ ทั้งบ้านมีไม่กี่สิบหยวนเท่านั้น
ทันทีที่ความจริงเริ่มปรากฏ ไม่มีบ้านไหนที่เห็นใจบ้านสามมู่เลย มีแต่สมน้ำหน้าทั้งนั้น เงินสามร้อยหยวนหากี่ปีถึงจะหาได้ ยิ่งชาวบ้านเช่นพวกเขาชาตินี้จะหาได้หรือไม่กับเงินสามร้อยหยวน
“อาเสียน แกต้องช่วยแม่นะ แม่จะเอาเงินจากไหนมาจ่าย เงินสามร้อยหยวนนะไม่ใช่สามหยวน”
ย่ามู่เมื่อเห็นว่าตนเองต้องเสียเงินมากมายจึงได้พุ่งเป้ามาหาบุตรชายคนรอง เพราะรู้ว่ามู่เสียนมักจะใจอ่อนเสมอ แต่สิ่งที่เธอได้รับกลับมาทำให้ย่ามู่ล้มตึงไปทันที
“เรื่องนี้ผมช่วยไม่ได้หรอกครับ แม่ต้องตกลงกับบ้านเฉินเอง ต่อให้บ้านรองของผมจะมีชื่ออยู่ในข้อเสนอ แต่การตัดสินใจล้วนเป็นบ้านเฉินครับ” กล่าวจบมู่เสียนเดินจับมือภรรยาและลูกชายคนเล็กเดินกลับบ้าน ไม่แม้แต่มองหน้าบ้านสามเลยสักคนเดียว
จะให้เขาช่วยเหรอ ไม่มีทางเสียหรอก เรื่องนี้แม่เขาแทบจะประกาศต่อหน้าคนมากมายว่าอันเหมยของเขานั้น ทำร้ายหลานชายจากบ้านสาม เรื่องนี้บ้านสามควรจัดการเอาเอง
ส่วนมู่เฟยหยวนนั้นรอกลับพร้อมน้องสาวเพราะรู้ว่าเฉินหยางคุนย่อมต้องเจรจาเรื่องเงินที่บ้านสามต้องชดใช้
“เรื่องเงินที่ต้องชดใช้พรุ่งนี้เราไปจัดการที่บ้านของหัวหน้าหมู่บ้านดีกว่า ผมรบกวนให้หัวหน้าคอมมูนและเจ้าหน้าที่ไปด้วย บ้านเฉินหรือบ้านสามจะได้ไม่มีใครบิดพลิ้วได้”
กล่าวจบเฉินหยางคุนจึงพยักหน้าให้ว่าที่คู่หมั้นเดินออกมา โดยมีมู่เฟยหยวนตามมาด้วย ปล่อยให้เรื่องทุกอย่างเป็นไปอย่างที่เขาต้องการ
คิดจะแย่งชิงงานของมู่อันเหมยไป แค่เจ็บตัวยังน้อยไปด้วยซ้ำ ส่วนบ้านสาม ไม่ว่าจะเป็นใคร หากคิดจะทำร้ายมู่อันเหมยของเขาย่อมได้รับผลตอบแทนอย่างสาสม สามร้อยหยวนมันน้อยไปด้วยซ้ำ!
ตอนพิเศษ 2 จงอี้ - เสี่ยวผิงพอหายดี จื้อเฉียงก็ได้ออกจากโรงพยาบาล ทุกคนก็ได้รู้พร้อมกันว่าตอนนี้เสี่ยวเฟิ่งและเขาคบหากันเป็นคนรักและตอนนี้ทั้งสองคนตัวติดกันมากจงอี้ที่ปกติจะไปไหนมาไหนกับเพื่อนสนิท ก็คล้ายจะโดนทิ้ง จึงทำให้เขามานั่งทำหน้าเซ็งอยู่แบบนี้ในช่วงค่ำหลังจากที่เลิกงาน“เป็นอะไรของนาย” เสี่ยวผิงเดินออกมาเจอพอดีจึงเดินเข้าไปถามด้วยความสงสัย เพราะท่าทางของจงอี้เหมือนคนไม่มีชีวิตชีวาเลย“เบื่อ” จงอี้ยังหันมามองเธอและตอบคำถาม“เบื่ออะไร”“เพื่อนเธอแย่งเพื่อนฉันไป” พอนึกถึงเสี่ยวเฟิ่ง เขาก็อดมองค้อนสหายของแฟนเพื่อนอย่างเสี่ยวผิงไม่ได้“เป็นบ้าอะไรของนาย ก่อนหน้านี้ยังสนับสนุนให้ทั้งสองคบหากันอยู่แท้ ๆ” เสี่ยวผิงก็พอจะเข้าใจ ก่อนหน้านี้เธอเองก็ตัวติดกับเสี่ยวเฟิ่ง แต่พออีกฝ่ายมีแฟนก็ต้องแบ่งเวลาให้แฟนด้วย แต่ที่เธอไม่เข้าใจคือจงอี้ที่มานั่งทำหน้าหงิกหน้างออยู่ตรงนี้นี่แหละ ทั้งที่ก่อนหน้านี้เขาสนับสนุนให้จื้อเฉียงและเสี่ยวเฟิ่งคบหากันด้วยซ้ำ“...” นั่นทำให้จงอี้เถียงไม่ได้เลย“นี่ล่ะหนา ที่เขาเรียกว่าหมาหัวเน่า” “เธอว่าใคร” พอถูกพูดถึงแบบนั้น เขาก็หันขวับไปมองหญิงสาวทันที“เปล
ตอนพิเศษ 1 จื้อเฉียง - เสี่ยวเฟิ่งนับตั้งแต่มู่อันเหมยคลอด เฉินหยางคุนก็เห่อลูกน้อยทั้งสอง แทบจะไม่ได้มาทำงานเลย ภาระทั้งหมดจึงไปตกอยู่ที่จงอี้และจื้อเฉียง จงอี้นั้นจัดการเรื่องตลาดแห่งใหม่และเรื่องสำนักงานรวมถึงการค้าต่าง ๆ ของนายส่วนจื้อเฉียง เขาได้ออกเดินทางไปคุยงานแทนผู้เป็นนายบ่อยครั้งและครั้งนี้ก็เป็นการไปคุยเรื่องเสบียงที่ทางใต้ “ฉันฝากด้วยนะ” หยางคุนกล่าวกับคนสนิทที่เขาไว้ใจให้ไปทำงานแทน“นายไม่ต้องห่วงครับ” จื้อเฉียงตอบรับด้วยความมุ่งมั่นตั้งใจ“อืม ช่วงนี้ฉันจะไม่ค่อยว่าง ขอบใจพวกนายมากที่ทำงานแทน”“เพื่อนายพวกผมพร้อมทำงานถวายหัวครับ”จงอี้ก็พูดขึ้นประจบประแจงอย่างติดตลก ทำให้หยางคุนยิ้มออกมาและส่ายหน้าให้กับเขาเล็กน้อย“หึ เกินไป”“ถ้าอย่างนั้นผมไปเตรียมตัวก่อนนะครับ” จื้อเฉียงขอตัวไปเตรียมของที่จะเดินทาง“ไปเถอะ” หยางคุนก็พยักหน้าให้ทั้งคู่แล้วแยกย้ายกันไปทำงานหรูเฟิ่งและเสี่ยวผิงเองก็ไม่ได้อยู่เฉย พวกเธอไม่ได้อยู่ติดตามมู่อันเหมยแล้ว เนื่องจากอีกฝ่ายไม่ค่อยได้ออกไปไหนมาไหนมากนัก จึงตัดสินใจมาช่วยทำงานที่สำนักงาน แล้วก็ทำให้สนิทกับจื้อเฉียงและจงอี้มากกว่าเดิมไปอีก วัน
บทส่งท้าย สงบสุขจริง ๆ เสียทีวันเวลาก็ผ่านพ้นไปอย่างสงบสุข บ้านสามในเวลานี้ไม่มีฤทธิ์อะไรอีกแล้ว ตัวของย่ามู่แทบจะไม่ออกจากบ้านอีกเลย คนอื่น ๆ ก็ใช้ชีวิตกันไปอย่างปกติและมีความเป็นอยู่ที่ไม่ค่อยดีเท่าไรเวลานี้มู่อันเหมยท้องได้เจ็ดเดือนกว่าแล้ว ซึ่งท้องของเธอโตมาก หมอวินิจฉัยแล้วว่าท้องนี้อาจจะเป็นลูกแฝด คนที่ตื่นเต้นที่สุดคงไม่พ้นคุณพ่อมือใหม่อย่างเฉินอยางคุน!!ซึ่งตั้งแต่ที่รู้ว่าภรรยาท้อง ชายหนุ่มแทบจะไม่ไปทำงานอีกเลย มัวแต่เกาะติดอยู่กับมู่อันเหมยภรรยารักของตนซึ่งเวลานี้มู่อันเหมยได้ย้ายเข้ามาอยู่ในคฤหาสน์แล้ว เพราะสะดวกมากกว่าโดยมีนางอี่หนิงแม่สามีมาคอยดูแล และให้คำปรึกษาลูกสะใภ้ในช่วงเวลาตั้งครรภ์“อีกไม่กี่เดือนเราจะได้เจอกันแล้วนะลูกรัก” เฉินหยางคุนก้มลงไปพูดกับลูกที่อยู่ในท้องของภรรยาสองแฝดเหมือนจะรู้ว่าพ่อคุยกับตนเอง ทำให้มีปฏิกิริยาเกิดขึ้นจนผู้เป็นแม่อย่างมู่อันเหมยตกใจและทำหน้าเหยเกเล็กน้อย“อ๊ะ”“เหมยเหมยเป็นอะไรหรือเปล่า เจ็บไหมล่ะนั่น” เฉินหยางคุนเงยหน้าขึ้นมาถามภรรยาด้วยความเป็นห่วง ซึ่งมู่อันเหมยพยักหน้าให้เล็กน้อย ก่อนจะลูบท้องตนเองเบาๆ และตอบกลับสามีด้วยความรู้ส
บทที่ 68 จัดการบ้านสามให้เด็ดขาดเฉินฟางเซียนตัดสินใจไปสอบที่ปักกิ่ง โดยมีเว่ยซิ่วตงพาไปด้วยตนเอง ทั้งยังพาเธอไปพบกับครอบครัวของเขาอีกด้วย ไม่มีใครรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นบ้างที่บ้านเว่ย เฉินฟางเซียนก็ไม่ได้เล่าให้กับใครฟังเธอสอบที่มหาวิทยาลัยปักกิ่งตามที่ตั้งใจไว้ ส่วนสหายอีกสองคนไม่ได้ไปด้วยเฉินฟางเซียนมุ่งมั่นและตั้งใจที่จะสอบเป็นอย่างมาก อ่านหนังสือจนดึกดื่นและเธอก็ไม่ทำให้ทุกคนผิดหวัง เฉินฟางเซียนสอบติดอย่างที่ตั้งใจไว้พอกลับมาที่หมู่บ้าน ทุกคนก็ร่วมแสดงความยินดีกับเธอ ชาวบ้านที่อยู่ใกล้เคียงก็รู้เรื่องกันทั่ว“ยินดีด้วยนะลูก” นางอี่หนิงสวมกอดลูกสาวแสดงความยินดี“ขอบคุณนะคะแม่ พี่หยางคุน พี่สะใภ้”“เก่งมาก” เฉินหยางคุนก็ยกมือขึ้นลูบหัวน้องสาวที่เขาเลี้ยงมากับมือด้วยความภาคภูมิใจมู่อันเหมยก็ยิ้มให้กับน้องสามี ในตอนนี้เธอตั้งท้องได้ห้าเดือนแล้ว บ้านเฉินในตอนนี้มีแต่เรื่องน่ายินดี กิจการของเฉินหยางคุนก็กำลังไปได้สวยจริง ๆเรื่องที่เฉินฟางเซียนกำลังจะไปเป็นนักศึกษาที่เมืองหลวงถูกแพร่กระจายไปทั่ว ชาวบ้านก็ยินดีด้วย พร้อมกับเชิดหน้าชูตาได้ เพราะในตอนนี้หมู่บ้านของพวกเขาไม่เพียงมีนายท่านเ
บทที่ 67 มู่อันเหมยท้องแล้วทุกอย่างดำเนินมาอย่างราบรื่นจนปีปฏิวัติผ่านพ้นไป เฉินหยางคุนสั่งปิดตลาดมืดในช่วงที่มีการปฏิวัติ และนายพลหม่า นายพลหู รวมไปถึงครอบครัวของเว่ยซิ่วตงก็เลือกข้างได้ถูกเพราะคำแนะนำจากเขาจากนั้นพอมีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้น เขาก็เริ่มมีความคิดที่จะทำหลายอย่าง เช่นการทำให้ตลาดมืดกลายเป็นการค้าเสรีที่ชาวบ้านทุกคนสามารถนำของมาขายได้จนกระทั่งทางการประกาศให้มีการเวนคืนที่ดินให้กับผู้ที่เคยถูกยึด ยกเลิกการทำงานในคอมมูน แบ่งที่ดินให้ทำกินอย่างเท่าเทียมทางด้านเฉินหยางคุนก็จัดตั้งตลาดที่ถูกกฎหมายขึ้นมา ส่วนตลาดมืดก็ยังคงมีอยู่และคึกคักเหมือนเดิม แม้จะมีการค้าเสรี แต่สินค้าบางอย่างรัฐยังจำกัดการซื้อ ดังนั้นตลาดมืดยังเป็นที่ต้องการของประชาชนทั่วไปในช่วงนี้สองสามีภรรยาจึงค่อนข้างจะยุ่งวุ่นวายกับงานมาก เช้าวันนี้มู่อันเหมยตื่นขึ้นมาด้วยอาการปวดหัว หน้ามืด อยากจะอาเจียน“อุบ” เธอรีบวิ่งเข้าไปในห้องน้ำจัดการกับตัวเองสักพักก็เดินออกมา ในเวลานี้สามีของเธอคงจะออกกำลังกายอยู่ที่หน้าบ้านมู่อันเหมยรู้สึกว่าช่วงนี้ร่างกายของเธออ่อนเพลียเป็นอย่างมาก แต่เธอคิดว่าเป็นเพราะพักผ่อนน้อย เ
บทที่ 66 เสี่ยวฟางรนหาที่เรื่องราวของว่านปี่หมิงที่ต้องมีสภาพที่น่าอนาถแบบนั้น เสี่ยวฟางก็รับรู้เช่นกัน เธอไม่คิดที่จะกลับไปหาคนไร้ประโยชน์อย่างชายคนนั้นอีก เพราะไม่เช่นนั้นก็คงเป็นเธอที่ลำบากในตอนนี้ชีวิตของเสี่ยวฟางที่บ้านก็ย่ำแย่ไม่แพ้กัน พ่อแม่ของเธอกำลังจะหาชายแก่หรือพ่อม่ายมาแต่งงานกับเธอ เพื่อส่งเธอออกไปให้พ้นตระกูลเธอไม่ยินยอม แต่ไม่สามารถปฏิเสธได้เพราะตอนนี้ยังพึ่งพาพวกเขาอยู่ เธอนึกไปถึงมู่อันเหมยที่ตอนนี้กลายเป็นนายหญิงเฉินแล้วก็รู้สึกอิจฉา คนบ้านนอกอย่างมู่อันเหมยไม่ควรได้รับสิ่งดี ๆ พวกนี้เลยด้วยซ้ำ เลยมีความคิดหนึ่งขึ้นมา ไม่รอช้า วันต่อมาจึงเดินทางมาที่บ้านของมู่อันเหมยทันที“มาหาใครคะ” เฉินฟางเซียนเป็นคนออกมาดูด้วยตนเอง“ฉันมาหาอันเหมยค่ะ”“เป็นสหายของพี่สะใภ้เหรอคะ” ได้ยินคำตอบ เฉินฟางเซียนก็เอียงคอมองอย่างพิจารณา“ใช่ค่ะ” เสี่ยวฟางตอบรับและทึกทักเอาเองว่าเป็นสหายของมู่อันเหมย“ใครมาเหรอฟางเซียน” มู่อันเหมยออกมาพอดี เธอถามน้องสามีและหันไปมองแขกที่มา พอเห็นว่าเป็นใคร เธอก็ชะงักไปทันทีเสี่ยวฟางที่พอเห็นอันเหมย เธอก็กำหมัดแน่น มองการแต่งตัวด้วยชุดสวย ๆ ของอันเหมยด้ว