เมื่อเห็นว่าสามีเดินจากไปแล้วย่ามู่จึงหันมากล่าวกับลูกสะใภ้คนโปรดต่อ เพื่อจะหาทางเอาตำแหน่งหน้าที่ของมู่อันเหมยมาเป็นของครอบครัวตนเอง
ทันทีที่ตกลงกันได้ แม่สามีและลูกสะใภ้คู่นี้จึงยิ้มกริ่มและคิดว่าพรุ่งนี้จะจัดการเรื่องนี้อีกครั้ง
จากนั้นทั้งสองจึงแยกย้าย สะใภ้สามจึงเดินไปยังห้องครัวเพื่อดูว่าลูกสะใภ้ที่เธอไม่ถูกชะตาได้เตรียมอาหารเย็นให้กับทุกคนหรือยัง ส่วนตนเองนั้นวาดฝันว่าลูกชายคนรองของเธอจะต้องได้งานที่โรงงานนี้แทนลูกสาวบ้านรอง
หลังจากที่แยกตัวกลับมา เฉินหยางคุนไม่ใช่คนโง่ หากใครที่เป็นอันตรายต่อมู่อันเหมย ไม่ว่าเรื่องอะไรเขาไม่ปล่อยให้คนผู้นั้นอยู่อย่างสงบสุข
และเขารู้ว่ามู่อันเหมยวาดหวังว่าจะเข้าทำงานที่โรงงานแห่งนี้เพื่อแบ่งเบาภาระของครอบครัว หากบ้านสามคิดที่จะแย่งสิ่งนี้ไป ตัวต้นเรื่องคงไม่พ้นมู่จื่อจ้ง ลูกชายคนรองของบ้านสามมู่
เมื่อคิดถึงข้อนี้ ใบหน้าของเฉินหยางคุนมีแววโหดเหี้ยมเล็กน้อย
ทว่ายังกลับไม่ถึงบ้านกลับมีเสียงเรียกเขาไว้เสียก่อน
“พี่หยางคุน”
จื้อเฉียงเอ่ยเรียกเจ้านายของตน เมื่ออยู่ในหมู่บ้านเขาจะใช้คำเรียกดั่งเช่นคนทั่วไป
จื้อเฉียงและจงอี้เป็นหนุ่มจากต่างเมืองที่เฉินหยางคุนช่วยไว้เมื่อตอนจะกลับมายังหมู่บ้าน ซึ่งสองคนนี้เป็นลูกน้องของเขามาตั้งแต่นั้นและรู้ถึงตัวตนของเขาว่าเป็นใคร
“เกิดอะไรขึ้น ทำไมถึงเข้ามาในหมู่บ้านล่ะ หรือว่างานมีปัญหา”
เฉินหยางคุนเอ่ยถามด้วยความแปลกใจ น้อยนักที่ทั้งสองคนจะเข้ามาหาเขาในหมู่บ้าน
จื้อเฉียงมองซ้ายขวาเมื่อไม่เห็นใครจึงเอ่ยขึ้นเสียงเบา
“นายพลหม่าส่งข่าวมาว่าต้องการให้ทางเราส่งอาหารแห้งไปยังกองทัพทางเหนือ ตอนนี้อาหารของกองทัพกำลังขาดแคลนครับ”
เขาเพิ่งได้รับข่าวเมื่อช่วงเย็น จะเข้ามาเวลานั้นคงไม่สะดวกเท่าไร เลยรอให้มืดแล้วค่อยเข้ามา
“เรื่องขนส่งใครจัดการ ฝ่ายเราหรือฝ่ายท่านนายพล”
“ฝ่ายท่านนายพลครับ นอกจากอาหารแห้งแล้วยังมีเครื่องนุ่งห่ม ปีนี้ทางรัฐน่าจะจัดสรรให้น้อย กลัวว่ากำลังทหารที่มีของที่ส่งมาจะไม่พอครับ”
“อืม จัดการไปตามที่ขอ”
เพียงได้รับคำตอบเท่านี้ ลูกน้องคู่ใจทั้งสองคนรู้ได้ทันทีว่าเจ้านายยอมส่งของให้กับนายพลหม่า
“พวกนายจัดหาคนให้สักสี่ห้าคนสิ ฉันมีเรื่องจะให้ทำ”
เฉินหยางคุนเอ่ยขึ้นมาเมื่อคุยงานกับลูกน้องทั้งสองคนเสร็จ
“พี่จะเอาไปทำอะไรครับ เรื่องด่วนไหม”
“ด่วน คืนนี้ ฉันอยากให้ไปปล้นบ้านใครสักหน่อย แต่ไม่ต้องทำร้ายผู้อื่น ทำงานเงียบ ๆ ขอแค่คนคนเดียวเท่านั้นที่เอาจนขาหักหรือนอนติดที่สักเดือน”
“ฮะ!”
เฉินหยางคุนแววตาเหี้ยมเกรียมเล็กน้อย ในเมื่ออยู่กันอย่างสงบไม่ได้ก็ลองนอนติดที่ดูก็แล้วกัน แค่นี้ถือว่าเขาปรานีมากแล้ว คิดจะชิงงานไปจากมู่อันเหมยเหรอ ไม่มีวันเสียหรอก!
จากนั้นเฉินหยางคุนกระซิบชื่อเป้าหมายให้ทั้งสองคนได้ยิน
การที่เจ้านายอย่างเฉินหยางคุนคิดจะเล่นงานใคร คนคนนั้นย่อมไม่รอด
แต่ครั้งนี้เพียงต้องการแค่ขาหัก เท่ากับว่านี่เป็นการสั่งสอน พอรู้เป้าหมายพวกเขาจึงเข้าใจว่าย่อมต้องเกี่ยวกับว่าที่นายหญิง เพราะบ้านสามมู่คือบ้านอาของมู่อันเหมย!
“ครับ พวกเราจะรีบจัดการให้ พี่รอฟังข่าวได้เลย”
จื้อเฉียงรับคำ งานนี้เขาต้องใช้มือดีเสียหน่อย เรื่องนี้ต้องทำให้เงียบที่สุด ถึงแม้คนบ้านสามจะแจ้งทางการ แต่ไม่รู้ว่าใครทำ แจ้งไปก็เท่านั้น ต่อให้แจ้งทหารแดงก็ตาม
จากนั้นทั้งสองคนจึงรีบกลับไปเพราะต้องจัดการงานตามที่สั่งคืนนี้ เนื่องจากเจ้านายกำลังรอข่าวอยู่
เมื่อสั่งงานลูกน้องแล้ว เฉินหยางคุนจึงเดินกลับบ้านเฉินทันที
แต่เหมือนสวรรค์เป็นใจให้กับจื้อเฉียงและจงอี้ ทั้งสองคนยังไม่ทันได้ออกจากหมู่บ้านก็เจอเข้ากับจื่อจ้งกับสหายกำลังเดินมาคล้ายคนเมาและเดินเซซ้ายเซขวาอยู่พอดี ทั้งสองคนจึงหยิบผ้าผูกเอวขึ้นมาปิดบังใบหน้า ก่อนจะเดินเข้าหาเป้าหมายทันที
“พวกนายเป็นใคร มาขวางทางพวกเราทำไม” สหายของมู่จื่อจ้งเอ่ยถาม สหายคนนี้ดูท่าจะเมาน้อยกว่า จึงพอจะพูดรู้เรื่อง
“ไม่ใช่เรื่องของนาย พวกเรามีเรื่องกับจื่อจ้ง” จงอี้ดัดเสียงเล็กน้อยเพราะไม่ต้องการให้ทั้งสองคนนี้รู้เสียงที่แท้จริง
ชายคนนี้ดูท่าจะรักสหายมาก เมื่อได้ยินแบบนั้นก็รีบถอยหลังไปยืนในมุมของตนเอง
แต่ยังไม่ทันได้เอ่ยปากถามว่าเขาเกี่ยวอะไร มู่จื่อจ้งกลับโดนทั้งมือทั้งเท้าของจื้อเฉียงและจงอี้ แบบไม่ต้องนับว่าโดนไปเท่าไร
สุดท้ายร่างของมู่จื่อจ้งล้มฟุบไปนอนกองพร้อมกระอักเลือดออกมา แต่เพื่อให้เหตุการณ์ไม่ดูน่าสงสัย จงอี้จึงค้นเอาเงินจากตัวของมู่จื่อจ้งมาได้เกือบสองหยวน จากนั้นทั้งสองจึงเดินหายเข้าป่าข้างทางทันที
สหายของมู่จื่อจ้งคล้ายกับได้สติเมื่อเห็นร่างของสหายสะบักสะบอมและกระอักเลือดออกมา เขาจึงแหกปากวิ่งเข้ามายังในหมู่บ้านอย่างหวาดกลัว
“ช่วยด้วยจื่อจ้งโดนปล้น ช่วยด้วย จื่อจ้งตายแล้ว”
แม้ว่าเวลานี้ท้องฟ้าจะเริ่มมืดและหลายบ้านต่างเตรียมตัวเข้านอน แต่เมื่อได้ยินเสียงโวยวายของใครบางคน บ้านส่วนใหญ่จะจุดตะเกียงเพื่อหาแสงสว่างและเดินออกมาดู
เสียงร้องโวยวายของชายหนุ่มยังดังไม่หยุดจนไปถึงบ้านสามมู่
ปัง ๆ ๆ เสียงทุบประตูดังจนคนในบ้านต้องรีบจุดตะเกียงเดินออกมาดู
“เกิดอะไรขึ้นอาฟง แล้วเจ้ารองไม่กลับมาด้วยเหรอ” มู่เฉาหมิงจุดตะเกียงหาความสว่าง พร้อมกับถือตะเกียงเดินออกมา เมื่อมองหาน้องชายตัวดีไม่เจอจึงได้เอ่ยถาม
“จื่อ...จื่อจ้ง อาจ้งโดนซ้อม ไม่รู้ตายไหม” หลังจากที่ยืนหอบไม่นาน เขาจึงเอ่ยตอบพี่ชายของสหาย นั่นทำให้ย่ามู่และทุกคนที่เดินตามมาต้องร้องเสียงหลงและตกใจแทบสิ้นสติที่ได้ยินว่าหลานชายโดนทำร้ายอาการปางตาย
“รีบนำทางไปสิ ป่านนี้อาจ้งเป็นยังไงบ้างไม่รู้” ย่ามู่ตวาดเสียงดัง เวลานี้เธออยากเห็นหลานชายใจจะขาด ไม่รู้ว่าอาการเป็นอย่างไรบ้าง
จากนั้นชายหนุ่มจึงรีบนำคนบ้านสามมู่ไปยังทิศทางที่มู่จื่อจ้งถูกทำร้ายทันที
นอกจากบ้านสามมู่แล้ว ชาวบ้านและบ้านอื่น ๆ ที่ได้ยินเสียงของอาฟงตะโกนว่ามู่จื่อจ้งตายแล้วต่างก็ออกมาดูยังที่เกิดเหตุเช่นกัน
“ใครกัน! ใครมันกล้าทำร้ายลูกชายฉันแบบนี้”
สะใภ้สามมู่รีบมาดูร่างของลูกชาย เมื่อเห็นว่าเขายังมีลมหายใจก็เบาใจขึ้นมาก่อนจะตวาดอย่างเกรี้ยวกราด
เมื่อสายตาปะทะเข้ากับบ้านรองมู่ที่ออกมาดูเหตุการณ์ จึงชี้หน้ามู่อันเหมยอย่างเกลียดชัง เพราะคิดว่าเรื่องนี้มู่อันเหมยอาจจะจ้างคนมาทำร้ายเพราะไม่ต้องการยกตำแหน่งงานให้
“เพราะหล่อน หล่อนนั่นแหละส่งคนมาทำร้ายอาจ้งของฉัน”
มู่อันเหมยทำหน้าเหมือนเห็นผี เมื่ออยู่ดี ๆ เรื่องก็ตกมาใส่หัวเธอ ทำให้เจ้าหน้าที่ประจำการในหมู่บ้านมองมู่อันเหมยด้วยเช่นกัน
“เดี๋ยวก่อนนะอาสะใภ้ อาสะใภ้สติยังดีหรือเปล่า หรือเพราะเห็นอาการของลูกชายเป็นแบบนี้สติเลยหลุด อยู่ดี ๆ ก็โยนคุกมาใส่หัวฉัน”
“เพราะหล่อน หล่อนคนเดียว” สะใภ้สามยังฟูมฟายไม่หยุด
ทำให้ชาวบ้านที่มองมาต่างส่ายหน้าอย่างเอือมระอา ต่อให้มู่อันเหมยลูกสาวจากบ้านรองจะขี้เกียจและนิสัยไม่ค่อยดี แต่เรื่องทำร้ายคนปางตายเช่นนี้ก็ยังไม่มีใครเชื่อ
“ในขณะที่อาสะใภ้กำลังกล่าวหาฉัน ทำไมไม่พาลูกชายไปหาหมอก่อนเล่า เดี๋ยวตายขึ้นมาอาสะใภ้คงกล่าวหาว่าฉันเป็นฆาตกรอีก แล้วที่กล่าวหาฉันนี่ อาสะใภ้มีเหตุผลอะไรช่วยบอกหน่อยได้ไหม”
แทนที่จะให้ใครพาจื่อจ้งไปหาหมอก่อน แต่นี่กลับปล่อยให้เขานอนสลบแล้วมาโยนข้อหาให้เธอ สงสัยจะบ้าไปแล้ว
ตอนพิเศษ 2 จงอี้ - เสี่ยวผิงพอหายดี จื้อเฉียงก็ได้ออกจากโรงพยาบาล ทุกคนก็ได้รู้พร้อมกันว่าตอนนี้เสี่ยวเฟิ่งและเขาคบหากันเป็นคนรักและตอนนี้ทั้งสองคนตัวติดกันมากจงอี้ที่ปกติจะไปไหนมาไหนกับเพื่อนสนิท ก็คล้ายจะโดนทิ้ง จึงทำให้เขามานั่งทำหน้าเซ็งอยู่แบบนี้ในช่วงค่ำหลังจากที่เลิกงาน“เป็นอะไรของนาย” เสี่ยวผิงเดินออกมาเจอพอดีจึงเดินเข้าไปถามด้วยความสงสัย เพราะท่าทางของจงอี้เหมือนคนไม่มีชีวิตชีวาเลย“เบื่อ” จงอี้ยังหันมามองเธอและตอบคำถาม“เบื่ออะไร”“เพื่อนเธอแย่งเพื่อนฉันไป” พอนึกถึงเสี่ยวเฟิ่ง เขาก็อดมองค้อนสหายของแฟนเพื่อนอย่างเสี่ยวผิงไม่ได้“เป็นบ้าอะไรของนาย ก่อนหน้านี้ยังสนับสนุนให้ทั้งสองคบหากันอยู่แท้ ๆ” เสี่ยวผิงก็พอจะเข้าใจ ก่อนหน้านี้เธอเองก็ตัวติดกับเสี่ยวเฟิ่ง แต่พออีกฝ่ายมีแฟนก็ต้องแบ่งเวลาให้แฟนด้วย แต่ที่เธอไม่เข้าใจคือจงอี้ที่มานั่งทำหน้าหงิกหน้างออยู่ตรงนี้นี่แหละ ทั้งที่ก่อนหน้านี้เขาสนับสนุนให้จื้อเฉียงและเสี่ยวเฟิ่งคบหากันด้วยซ้ำ“...” นั่นทำให้จงอี้เถียงไม่ได้เลย“นี่ล่ะหนา ที่เขาเรียกว่าหมาหัวเน่า” “เธอว่าใคร” พอถูกพูดถึงแบบนั้น เขาก็หันขวับไปมองหญิงสาวทันที“เปล
ตอนพิเศษ 1 จื้อเฉียง - เสี่ยวเฟิ่งนับตั้งแต่มู่อันเหมยคลอด เฉินหยางคุนก็เห่อลูกน้อยทั้งสอง แทบจะไม่ได้มาทำงานเลย ภาระทั้งหมดจึงไปตกอยู่ที่จงอี้และจื้อเฉียง จงอี้นั้นจัดการเรื่องตลาดแห่งใหม่และเรื่องสำนักงานรวมถึงการค้าต่าง ๆ ของนายส่วนจื้อเฉียง เขาได้ออกเดินทางไปคุยงานแทนผู้เป็นนายบ่อยครั้งและครั้งนี้ก็เป็นการไปคุยเรื่องเสบียงที่ทางใต้ “ฉันฝากด้วยนะ” หยางคุนกล่าวกับคนสนิทที่เขาไว้ใจให้ไปทำงานแทน“นายไม่ต้องห่วงครับ” จื้อเฉียงตอบรับด้วยความมุ่งมั่นตั้งใจ“อืม ช่วงนี้ฉันจะไม่ค่อยว่าง ขอบใจพวกนายมากที่ทำงานแทน”“เพื่อนายพวกผมพร้อมทำงานถวายหัวครับ”จงอี้ก็พูดขึ้นประจบประแจงอย่างติดตลก ทำให้หยางคุนยิ้มออกมาและส่ายหน้าให้กับเขาเล็กน้อย“หึ เกินไป”“ถ้าอย่างนั้นผมไปเตรียมตัวก่อนนะครับ” จื้อเฉียงขอตัวไปเตรียมของที่จะเดินทาง“ไปเถอะ” หยางคุนก็พยักหน้าให้ทั้งคู่แล้วแยกย้ายกันไปทำงานหรูเฟิ่งและเสี่ยวผิงเองก็ไม่ได้อยู่เฉย พวกเธอไม่ได้อยู่ติดตามมู่อันเหมยแล้ว เนื่องจากอีกฝ่ายไม่ค่อยได้ออกไปไหนมาไหนมากนัก จึงตัดสินใจมาช่วยทำงานที่สำนักงาน แล้วก็ทำให้สนิทกับจื้อเฉียงและจงอี้มากกว่าเดิมไปอีก วัน
บทส่งท้าย สงบสุขจริง ๆ เสียทีวันเวลาก็ผ่านพ้นไปอย่างสงบสุข บ้านสามในเวลานี้ไม่มีฤทธิ์อะไรอีกแล้ว ตัวของย่ามู่แทบจะไม่ออกจากบ้านอีกเลย คนอื่น ๆ ก็ใช้ชีวิตกันไปอย่างปกติและมีความเป็นอยู่ที่ไม่ค่อยดีเท่าไรเวลานี้มู่อันเหมยท้องได้เจ็ดเดือนกว่าแล้ว ซึ่งท้องของเธอโตมาก หมอวินิจฉัยแล้วว่าท้องนี้อาจจะเป็นลูกแฝด คนที่ตื่นเต้นที่สุดคงไม่พ้นคุณพ่อมือใหม่อย่างเฉินอยางคุน!!ซึ่งตั้งแต่ที่รู้ว่าภรรยาท้อง ชายหนุ่มแทบจะไม่ไปทำงานอีกเลย มัวแต่เกาะติดอยู่กับมู่อันเหมยภรรยารักของตนซึ่งเวลานี้มู่อันเหมยได้ย้ายเข้ามาอยู่ในคฤหาสน์แล้ว เพราะสะดวกมากกว่าโดยมีนางอี่หนิงแม่สามีมาคอยดูแล และให้คำปรึกษาลูกสะใภ้ในช่วงเวลาตั้งครรภ์“อีกไม่กี่เดือนเราจะได้เจอกันแล้วนะลูกรัก” เฉินหยางคุนก้มลงไปพูดกับลูกที่อยู่ในท้องของภรรยาสองแฝดเหมือนจะรู้ว่าพ่อคุยกับตนเอง ทำให้มีปฏิกิริยาเกิดขึ้นจนผู้เป็นแม่อย่างมู่อันเหมยตกใจและทำหน้าเหยเกเล็กน้อย“อ๊ะ”“เหมยเหมยเป็นอะไรหรือเปล่า เจ็บไหมล่ะนั่น” เฉินหยางคุนเงยหน้าขึ้นมาถามภรรยาด้วยความเป็นห่วง ซึ่งมู่อันเหมยพยักหน้าให้เล็กน้อย ก่อนจะลูบท้องตนเองเบาๆ และตอบกลับสามีด้วยความรู้ส
บทที่ 68 จัดการบ้านสามให้เด็ดขาดเฉินฟางเซียนตัดสินใจไปสอบที่ปักกิ่ง โดยมีเว่ยซิ่วตงพาไปด้วยตนเอง ทั้งยังพาเธอไปพบกับครอบครัวของเขาอีกด้วย ไม่มีใครรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นบ้างที่บ้านเว่ย เฉินฟางเซียนก็ไม่ได้เล่าให้กับใครฟังเธอสอบที่มหาวิทยาลัยปักกิ่งตามที่ตั้งใจไว้ ส่วนสหายอีกสองคนไม่ได้ไปด้วยเฉินฟางเซียนมุ่งมั่นและตั้งใจที่จะสอบเป็นอย่างมาก อ่านหนังสือจนดึกดื่นและเธอก็ไม่ทำให้ทุกคนผิดหวัง เฉินฟางเซียนสอบติดอย่างที่ตั้งใจไว้พอกลับมาที่หมู่บ้าน ทุกคนก็ร่วมแสดงความยินดีกับเธอ ชาวบ้านที่อยู่ใกล้เคียงก็รู้เรื่องกันทั่ว“ยินดีด้วยนะลูก” นางอี่หนิงสวมกอดลูกสาวแสดงความยินดี“ขอบคุณนะคะแม่ พี่หยางคุน พี่สะใภ้”“เก่งมาก” เฉินหยางคุนก็ยกมือขึ้นลูบหัวน้องสาวที่เขาเลี้ยงมากับมือด้วยความภาคภูมิใจมู่อันเหมยก็ยิ้มให้กับน้องสามี ในตอนนี้เธอตั้งท้องได้ห้าเดือนแล้ว บ้านเฉินในตอนนี้มีแต่เรื่องน่ายินดี กิจการของเฉินหยางคุนก็กำลังไปได้สวยจริง ๆเรื่องที่เฉินฟางเซียนกำลังจะไปเป็นนักศึกษาที่เมืองหลวงถูกแพร่กระจายไปทั่ว ชาวบ้านก็ยินดีด้วย พร้อมกับเชิดหน้าชูตาได้ เพราะในตอนนี้หมู่บ้านของพวกเขาไม่เพียงมีนายท่านเ
บทที่ 67 มู่อันเหมยท้องแล้วทุกอย่างดำเนินมาอย่างราบรื่นจนปีปฏิวัติผ่านพ้นไป เฉินหยางคุนสั่งปิดตลาดมืดในช่วงที่มีการปฏิวัติ และนายพลหม่า นายพลหู รวมไปถึงครอบครัวของเว่ยซิ่วตงก็เลือกข้างได้ถูกเพราะคำแนะนำจากเขาจากนั้นพอมีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้น เขาก็เริ่มมีความคิดที่จะทำหลายอย่าง เช่นการทำให้ตลาดมืดกลายเป็นการค้าเสรีที่ชาวบ้านทุกคนสามารถนำของมาขายได้จนกระทั่งทางการประกาศให้มีการเวนคืนที่ดินให้กับผู้ที่เคยถูกยึด ยกเลิกการทำงานในคอมมูน แบ่งที่ดินให้ทำกินอย่างเท่าเทียมทางด้านเฉินหยางคุนก็จัดตั้งตลาดที่ถูกกฎหมายขึ้นมา ส่วนตลาดมืดก็ยังคงมีอยู่และคึกคักเหมือนเดิม แม้จะมีการค้าเสรี แต่สินค้าบางอย่างรัฐยังจำกัดการซื้อ ดังนั้นตลาดมืดยังเป็นที่ต้องการของประชาชนทั่วไปในช่วงนี้สองสามีภรรยาจึงค่อนข้างจะยุ่งวุ่นวายกับงานมาก เช้าวันนี้มู่อันเหมยตื่นขึ้นมาด้วยอาการปวดหัว หน้ามืด อยากจะอาเจียน“อุบ” เธอรีบวิ่งเข้าไปในห้องน้ำจัดการกับตัวเองสักพักก็เดินออกมา ในเวลานี้สามีของเธอคงจะออกกำลังกายอยู่ที่หน้าบ้านมู่อันเหมยรู้สึกว่าช่วงนี้ร่างกายของเธออ่อนเพลียเป็นอย่างมาก แต่เธอคิดว่าเป็นเพราะพักผ่อนน้อย เ
บทที่ 66 เสี่ยวฟางรนหาที่เรื่องราวของว่านปี่หมิงที่ต้องมีสภาพที่น่าอนาถแบบนั้น เสี่ยวฟางก็รับรู้เช่นกัน เธอไม่คิดที่จะกลับไปหาคนไร้ประโยชน์อย่างชายคนนั้นอีก เพราะไม่เช่นนั้นก็คงเป็นเธอที่ลำบากในตอนนี้ชีวิตของเสี่ยวฟางที่บ้านก็ย่ำแย่ไม่แพ้กัน พ่อแม่ของเธอกำลังจะหาชายแก่หรือพ่อม่ายมาแต่งงานกับเธอ เพื่อส่งเธอออกไปให้พ้นตระกูลเธอไม่ยินยอม แต่ไม่สามารถปฏิเสธได้เพราะตอนนี้ยังพึ่งพาพวกเขาอยู่ เธอนึกไปถึงมู่อันเหมยที่ตอนนี้กลายเป็นนายหญิงเฉินแล้วก็รู้สึกอิจฉา คนบ้านนอกอย่างมู่อันเหมยไม่ควรได้รับสิ่งดี ๆ พวกนี้เลยด้วยซ้ำ เลยมีความคิดหนึ่งขึ้นมา ไม่รอช้า วันต่อมาจึงเดินทางมาที่บ้านของมู่อันเหมยทันที“มาหาใครคะ” เฉินฟางเซียนเป็นคนออกมาดูด้วยตนเอง“ฉันมาหาอันเหมยค่ะ”“เป็นสหายของพี่สะใภ้เหรอคะ” ได้ยินคำตอบ เฉินฟางเซียนก็เอียงคอมองอย่างพิจารณา“ใช่ค่ะ” เสี่ยวฟางตอบรับและทึกทักเอาเองว่าเป็นสหายของมู่อันเหมย“ใครมาเหรอฟางเซียน” มู่อันเหมยออกมาพอดี เธอถามน้องสามีและหันไปมองแขกที่มา พอเห็นว่าเป็นใคร เธอก็ชะงักไปทันทีเสี่ยวฟางที่พอเห็นอันเหมย เธอก็กำหมัดแน่น มองการแต่งตัวด้วยชุดสวย ๆ ของอันเหมยด้ว