เช้าวันต่อมาบ้านรองมู่ตื่นขึ้นมาตั้งแต่ฟ้ายังไม่สว่างดี ด้วยเพราะทุกคนเคยชินกับการตื่นเช้าขนาดนี้ หากนอนต่อนั่นหมายถึงว่าอาจจะล้มป่วยหรือเหนื่อยจนเกินไปจึงได้ตื่นสาย
“พี่ใหญ่ พี่ไปยืมเงินใครมาเหรอ”
“เงินอะไรอันเหมย”
จากที่งัวเงียเพราะตื่นคนสุดท้าย ตอนนี้มู่เฟยหยวนแทบจะตาสว่างขึ้นมาทันที เมื่อโดนกล่าวหาว่าไปยืมเงินคนอื่น
“อ้าว ก็เงินที่ฉันซื้อของขวัญให้กับสหายพ่อของเสี่ยวฟางยังไงล่ะ”
“ของขวัญอะไร อันเหมยสอบเข้าได้เพราะความสามารถตนเอง ไม่มีของขวัญอะไรทั้งนั้น นี่น้องอาการยังไม่ดีขึ้นใช่ไหม พี่คิดว่าอันเหมยควรจะกลับไปนอนนะ อีกไม่นานต้องไปทำงานแล้วไม่ใช่เหรอ หากยังป่วยแบบนี้พี่คิดว่าคงโดนไล่ออกภายในสามวัน”
มู่เฟยหยวนคิดว่าน้องสาวยังไม่หายจากการล้มหัวฟาดที่ลำธารเมื่อวาน วันนี้จึงได้พูดอะไรแปลก ๆ อีกแล้ว
“จริงเหรอ สงสัยฉันจำผิดไป”
เอาอีกแล้ว เรื่องนี้ก็ไม่เหมือนเดิม หรือเพราะชาติที่แล้วเธอก็สอบได้ด้วยตนเอง แต่เพราะเธอไปไหว้คนคนนั้นก่อนจึงคิดว่าเขาช่วยให้เธอได้เข้าทำงาน ยิ่งคิดยิ่งสับสน มู่อันเหมยจึงขอตัวกลับเข้าห้องเพื่อทบทวนความทรงจำก่อนหน้านี้ทั้งหมด
ทุกคนในครอบครัวไม่ได้ติดใจสงสัยกับท่าทางที่แปลกและผิดเพี้ยนของเธอ คิดว่าคงเกิดจากอาการข้างเคียงจากเหตุการณ์เมื่อวาน
มู่อันเหมยกลับเข้ามาในห้อง เธอล้มตัวนอนบนเตียงเตา แขนข้างหนึ่งยกก่ายหน้าผาก ไม่รู้ว่าเหตุการณ์หลังจากนี้จะมีอะไรเปลี่ยนแปลงจากชาติก่อนหรือไม่ เมื่อทบทวนเหตุการณ์ที่ผ่านมาคล้ายกับมีข่าวลือเรื่องพี่ใหญ่เฉิน ทว่าข่าวนั้นมาถูกแก้ไขเมื่อสองปีก่อน คนที่มาแก้ไขข่าวลือนั้นก็คือนายทหารคนหนึ่ง
พี่ใหญ่เฉินเคยเป็นทหารและโดนปลดประจำการเมื่อสามปีก่อน ไม่นานก็มีข่าวลือแพร่กระจายว่าเขาโดนจับเนื่องจากทำความผิดร้ายแรง
ข่าวลือนั้นแพร่กระจายร่วมปี ตอนนั้นเธอยังเรียนมัธยมต้น นั่นจึงทำให้เธอเข้าใจว่าเขาติดคุกค่ายทหารและกลายเป็นคนมีประวัติไม่ดีเสมอมา
สิ่งที่เปลี่ยนไปจากชาติที่แล้วคือ ชาตินี้มีคนออกมาแก้ต่างให้พี่ใหญ่เฉิน กล่าวว่าเรื่องนั้นเฉินหยางคุนโดนนายทหารมียศท่านหนึ่งใส่ร้าย เมื่อเรื่องทั้งหมดคลี่คลายนายทหารท่านนั้นโดนจับและชดใช้ค่าเสียหายให้กับพี่ใหญ่เฉินหลายพันหยวน
นี่จึงเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมหลังจากนั้นบ้านเฉินจึงมีความเป็นอยู่ดีขึ้น แม้ว่าบ้านเฉินจะยังทำงานแลกแต้มในคอมมูนก็ตาม ทว่ามีเพียงพี่ใหญ่เฉินเท่านั้นที่ทำ ส่วนป้าสะใภ้เฉินนั้นพี่ใหญ่เฉินให้อยู่บ้านโดยไม่ต้องทำอะไร นอกจากทำอาหารให้เขาและฟางเซียน
ซึ่งต่างจากชาติก่อนนัก แม้ว่าบ้านเฉินพอจะมีฐานะอยู่บ้าง ทว่าไม่ได้ดีเท่าชาตินี้ แต่ก็นั่นแหละในเมื่อได้รับเงินชดเชยและเงินค่าเสียหายมาขนาดนั้น บ้านเฉินจะกลายเป็นเศรษฐีในหมู่บ้านก็ไม่แปลก
ในเวลานี้มู่อันเหมยทบทวนความทรงจำของชาตินี้ว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง และมีอะไรเปลี่ยนแปลงไปบ้าง ซึ่งเรื่องอื่น ๆ ยังคงเหมือนเดิม นอกจากเรื่องพี่ใหญ่เฉิน นอกนั้นคงเป็นเรื่องของบ้านรองมู่บ้านของเธอ
ครอบครัวเธอไม่ได้เป็นหนี้มากมายเหมือนชาติก่อน ความเป็นอยู่แม้จะไม่ได้ดีเด่นแต่ไม่ลำบาก ยิ่งอาหารการกินแม้ว่าจะหายาก ทว่ากลับได้รับส่วนนี้จากบ้านเฉินไม่ขาด และนั่นคงมาจากพี่ใหญ่เฉินที่สนิทกับพี่ใหญ่ของเธอ
คิดไปคิดมาเธอเผลอหลับไปตอนไหนไม่รู้ ตื่นมาอีกทีก็สายแล้ว น้องชายคงไปเรียน ส่วนพ่อแม่ พี่ใหญ่ คงไปคอมมูนแล้วเช่นกัน
หลังจากอาบน้ำแต่งตัวเรียบร้อยแล้ว มู่อันเหมยรู้สึกหิวเล็กน้อย จึงเดินมายังครัวที่แยกออกมาอยู่หลังบ้าน เธอหยิบถ้วยชามและตะเกียบออกมา วันนี้อาหารส่วนของเธอคงเป็นข้าวต้มแสนข้น และผัดหมูกับผักกาด รวมถึงไข่ต้มอีกหนึ่งฟองวางอยู่
มู่อันเหมยจึงลงมือกินด้วยความหิว หลังจากอิ่มกับอาหารมื้อแรกของวันนี้ ในหัวของเธอตอนนี้มีเรื่องราวต่าง ๆ มากมายที่เธอต้องเปลี่ยนแปลงจากชาติก่อน ในเมื่อสอบเข้าทำงานได้เธอจะไม่ปล่อยให้เสียโอกาส
อย่างน้อยเงินเดือนที่ได้รับก็มากพอที่จะจุนเจือครอบครัวและส่งน้องชายเรียน รวมถึงยังพอแบ่งเก็บเป็นสินสอดให้พี่ใหญ่ ทว่าสัญญาหมั้นหมายของเธอกับพี่ใหญ่เฉินเธอจะไม่มีวันยอมยกเลิกเด็ดขาด
ระหว่างกำลังคิดอะไรคนเดียว กลับได้ยินเสียงทุ้มของใครบางคนดังอยู่ไม่ไกล
“หายดีแล้วเหรอ”
“อุ๊ย! มาเงียบ ๆ ใจหายหมดเลย”
มู่อันเหมยสะดุ้งตกใจ เลยบ่นออกมาเล็กน้อย พร้อมกับเอามือตบอกตนเองเพื่อเรียกสติที่กระเจิงกลับมา
หลังจากหายตกใจ มูอันเหมยจึงเงยหน้าเพื่อจะตอบ กลายเป็นว่าพบสายตาคมเข้มชวนหลงใหลจ้องมองเธออยู่ก่อนแล้ว ทำให้สายตาของทั้งสองประสานกันโดยบังเอิญ
คนที่หลบสายตาก่อนคือมู่อันเหมย ไม่รู้ว่าทำไมชาตินี้เธอรู้สึกใจเต้นแรงเมื่อเจอสายตาคมคู่นี้เข้า และรู้สึกอบอุ่นรวมถึงปลอดภัยเมื่ออยู่ใกล้ หรือเพราะความทรงจำสุดท้ายคือเขาเลยทำให้เธอมีอาการพวกนี้
“ดีขึ้นแล้วค่ะ แต่ยังมีมึนงงอยู่บ้าง พี่ใหญ่บอกว่าพี่ช่วยฉันไว้ ต้องขอบคุณพี่อีกครั้งที่ช่วยฉัน”
หลังจากสงบสติอารมณ์ตนเองได้แล้ว คราวนี้จึงเงยหน้าตอบเขาด้วยรอยยิ้ม
เฉินหยางคุนใจเต้นแรงไม่น้อยเมื่อหญิงสาวตรงหน้าไม่แสดงท่าทีรังเกียจเขาเหมือนทุกครั้งที่ผ่านมา อีกทั้งยังเปลี่ยนมาเรียกเขาว่าพี่ นี่คือสิ่งที่เขาไม่คาดคิดมาก่อน
“อืม น้ามู่บอกกับผมเรื่องที่ขอเปลี่ยนคู่แต่งงานเป็นอาหยวนกับเซียนเอ๋อร์…คุณไม่ต้องการที่จะแต่งงานกับผม”
ใช่แล้ว มู่อันเหมยลืมเรื่องที่คุยค้างกับครอบครัวไว้ตั้งแต่เมื่อวาน ไม่คิดว่าพ่อกับพี่ใหญ่จัดการได้รวดเร็วขนาดนี้ แล้วเธอควรจะตอบอย่างไรดีล่ะ
“คือว่า...”
“ถ้าคุณไม่อยากแต่ง ผมไม่บังคับนะ คนที่เคยมีประวัติไม่ดีแบบผม ผมเข้าใจ แต่ผมอยากได้ยินจากปากคุณมากกว่าว่าไม่ต้องการแต่งเข้าบ้านเฉิน” เฉินหยางคุนยังคงกดดันเพื่อขอคำตอบ ต่อหน้าเขาอาจจะยินยอม แต่คิดเหรอว่าเขาจะยอมปล่อยเธอไปอีกครั้ง ไม่มีวัน!
สามปีมานี้เขาสร้างทุกอย่างเพื่อเธอและครอบครัว หากต้องสูญเสียเธอไปอีก เขาก็ไม่ควรที่จะได้โอกาสกลับมาพลิกชะตาของตนเองในชาตินี้ แต่เขาไม่อยากเป็นชายที่เหี้ยมโหดในสายตาของมู่อันเหมย ดังนั้นเขาจึงยังเป็นเฉินหยางคุนหนุ่มชาวบ้านทำงานในคอมมูนไม่ใช่นายท่านเฉินผู้ทรงอิทธิพล!
“ไม่ ไม่ใช่นะ พี่และทุกคนกำลังเข้าใจผิด ที่ฉันอิดออดเพราะเพิ่งเรียนจบ อีกทั้งตอนนี้ฉันสอบเข้าทำงานในโรงงานยาสูบได้แล้ว ฉันอยากขอเวลาสักปีได้ไหม ฉันอยากหาเงินมาช่วยครอบครัว น้องเล็กยังต้องเรียน พี่ใหญ่ยังไม่ได้แต่งพี่สะใภ้ ฉัน...ฉันอยากขอเวลาสักปีได้ไหมค่อยแต่ง”
ใบหน้าที่เริ่มมีเลือดฝาดรีบตอบอย่างรวดเร็ว มู่อันเหมยไม่อยากให้เขาเข้าใจผิดว่าเธอไม่อยากแต่งงาน
“สัญญาใช่ไหม” เขาเอ่ยถามย้ำพร้อมกับสายตาคมเข้มที่มีประกายเล็กน้อยมองไปยังใบหน้าหวาน
“สัญญาค่ะ”
เมื่อได้รับคำตอบที่พอใจเฉินหยางคุนจึงมีรอยยิ้มขึ้นมาเล็กน้อย ทว่าภาพนี้มู่อันเหมยกลับไม่เห็น เพราะมัวแต่ก้มหน้าหลบสายตาคมเข้มเมื่อถูกถามย้ำเอาคำตอบ
“อีกนานไหม”
คราวนี้มู่อันเหมยเงยหน้าขึ้นมาทันที เธอไม่เข้าใจในคำถาม
“อะไรคืออีกนานไหม”
“วันเริ่มงาน อีกนานไหม”
มู่อันเหมยได้แต่เกาศีรษะเล็กน้อย ไม่เข้าใจว่าที่สามีของตนเองจะประหยัดคำพูดอะไรขนาดนั้น เรื่องแต่งงานยังพูดประโยคยาวได้เลย
“อีกสามวันค่ะ”
“มีชุดหรือยัง”
“เสื้อผ้าของพนักงานใส่แบบไหนก็ได้ค่ะ รอทำงานครบหกเดือนโรงงานถึงจะแจกชุดให้”
โรงงานยาสูบมีพนักงานมากมายและพนักงานที่ลาออกเพราะไม่ไหวก็มีไม่น้อย พนักงานส่วนมากที่ทำงานเกินหกเดือนโรงงานจะแจกชุดให้ แต่ถ้าพนักงานคนไหนที่พอจะมีเงินก็สามารถซื้อจากโรงงานได้เลย แต่สำหรับเธอมันไม่จำเป็น เสื้อผ้าก็พอมีอยู่จะสิ้นเปลืองเงินซื้อทำไม รออีกหกเดือนก็ได้ฟรีแล้ว
ตอนพิเศษ 2 จงอี้ - เสี่ยวผิงพอหายดี จื้อเฉียงก็ได้ออกจากโรงพยาบาล ทุกคนก็ได้รู้พร้อมกันว่าตอนนี้เสี่ยวเฟิ่งและเขาคบหากันเป็นคนรักและตอนนี้ทั้งสองคนตัวติดกันมากจงอี้ที่ปกติจะไปไหนมาไหนกับเพื่อนสนิท ก็คล้ายจะโดนทิ้ง จึงทำให้เขามานั่งทำหน้าเซ็งอยู่แบบนี้ในช่วงค่ำหลังจากที่เลิกงาน“เป็นอะไรของนาย” เสี่ยวผิงเดินออกมาเจอพอดีจึงเดินเข้าไปถามด้วยความสงสัย เพราะท่าทางของจงอี้เหมือนคนไม่มีชีวิตชีวาเลย“เบื่อ” จงอี้ยังหันมามองเธอและตอบคำถาม“เบื่ออะไร”“เพื่อนเธอแย่งเพื่อนฉันไป” พอนึกถึงเสี่ยวเฟิ่ง เขาก็อดมองค้อนสหายของแฟนเพื่อนอย่างเสี่ยวผิงไม่ได้“เป็นบ้าอะไรของนาย ก่อนหน้านี้ยังสนับสนุนให้ทั้งสองคบหากันอยู่แท้ ๆ” เสี่ยวผิงก็พอจะเข้าใจ ก่อนหน้านี้เธอเองก็ตัวติดกับเสี่ยวเฟิ่ง แต่พออีกฝ่ายมีแฟนก็ต้องแบ่งเวลาให้แฟนด้วย แต่ที่เธอไม่เข้าใจคือจงอี้ที่มานั่งทำหน้าหงิกหน้างออยู่ตรงนี้นี่แหละ ทั้งที่ก่อนหน้านี้เขาสนับสนุนให้จื้อเฉียงและเสี่ยวเฟิ่งคบหากันด้วยซ้ำ“...” นั่นทำให้จงอี้เถียงไม่ได้เลย“นี่ล่ะหนา ที่เขาเรียกว่าหมาหัวเน่า” “เธอว่าใคร” พอถูกพูดถึงแบบนั้น เขาก็หันขวับไปมองหญิงสาวทันที“เปล
ตอนพิเศษ 1 จื้อเฉียง - เสี่ยวเฟิ่งนับตั้งแต่มู่อันเหมยคลอด เฉินหยางคุนก็เห่อลูกน้อยทั้งสอง แทบจะไม่ได้มาทำงานเลย ภาระทั้งหมดจึงไปตกอยู่ที่จงอี้และจื้อเฉียง จงอี้นั้นจัดการเรื่องตลาดแห่งใหม่และเรื่องสำนักงานรวมถึงการค้าต่าง ๆ ของนายส่วนจื้อเฉียง เขาได้ออกเดินทางไปคุยงานแทนผู้เป็นนายบ่อยครั้งและครั้งนี้ก็เป็นการไปคุยเรื่องเสบียงที่ทางใต้ “ฉันฝากด้วยนะ” หยางคุนกล่าวกับคนสนิทที่เขาไว้ใจให้ไปทำงานแทน“นายไม่ต้องห่วงครับ” จื้อเฉียงตอบรับด้วยความมุ่งมั่นตั้งใจ“อืม ช่วงนี้ฉันจะไม่ค่อยว่าง ขอบใจพวกนายมากที่ทำงานแทน”“เพื่อนายพวกผมพร้อมทำงานถวายหัวครับ”จงอี้ก็พูดขึ้นประจบประแจงอย่างติดตลก ทำให้หยางคุนยิ้มออกมาและส่ายหน้าให้กับเขาเล็กน้อย“หึ เกินไป”“ถ้าอย่างนั้นผมไปเตรียมตัวก่อนนะครับ” จื้อเฉียงขอตัวไปเตรียมของที่จะเดินทาง“ไปเถอะ” หยางคุนก็พยักหน้าให้ทั้งคู่แล้วแยกย้ายกันไปทำงานหรูเฟิ่งและเสี่ยวผิงเองก็ไม่ได้อยู่เฉย พวกเธอไม่ได้อยู่ติดตามมู่อันเหมยแล้ว เนื่องจากอีกฝ่ายไม่ค่อยได้ออกไปไหนมาไหนมากนัก จึงตัดสินใจมาช่วยทำงานที่สำนักงาน แล้วก็ทำให้สนิทกับจื้อเฉียงและจงอี้มากกว่าเดิมไปอีก วัน
บทส่งท้าย สงบสุขจริง ๆ เสียทีวันเวลาก็ผ่านพ้นไปอย่างสงบสุข บ้านสามในเวลานี้ไม่มีฤทธิ์อะไรอีกแล้ว ตัวของย่ามู่แทบจะไม่ออกจากบ้านอีกเลย คนอื่น ๆ ก็ใช้ชีวิตกันไปอย่างปกติและมีความเป็นอยู่ที่ไม่ค่อยดีเท่าไรเวลานี้มู่อันเหมยท้องได้เจ็ดเดือนกว่าแล้ว ซึ่งท้องของเธอโตมาก หมอวินิจฉัยแล้วว่าท้องนี้อาจจะเป็นลูกแฝด คนที่ตื่นเต้นที่สุดคงไม่พ้นคุณพ่อมือใหม่อย่างเฉินอยางคุน!!ซึ่งตั้งแต่ที่รู้ว่าภรรยาท้อง ชายหนุ่มแทบจะไม่ไปทำงานอีกเลย มัวแต่เกาะติดอยู่กับมู่อันเหมยภรรยารักของตนซึ่งเวลานี้มู่อันเหมยได้ย้ายเข้ามาอยู่ในคฤหาสน์แล้ว เพราะสะดวกมากกว่าโดยมีนางอี่หนิงแม่สามีมาคอยดูแล และให้คำปรึกษาลูกสะใภ้ในช่วงเวลาตั้งครรภ์“อีกไม่กี่เดือนเราจะได้เจอกันแล้วนะลูกรัก” เฉินหยางคุนก้มลงไปพูดกับลูกที่อยู่ในท้องของภรรยาสองแฝดเหมือนจะรู้ว่าพ่อคุยกับตนเอง ทำให้มีปฏิกิริยาเกิดขึ้นจนผู้เป็นแม่อย่างมู่อันเหมยตกใจและทำหน้าเหยเกเล็กน้อย“อ๊ะ”“เหมยเหมยเป็นอะไรหรือเปล่า เจ็บไหมล่ะนั่น” เฉินหยางคุนเงยหน้าขึ้นมาถามภรรยาด้วยความเป็นห่วง ซึ่งมู่อันเหมยพยักหน้าให้เล็กน้อย ก่อนจะลูบท้องตนเองเบาๆ และตอบกลับสามีด้วยความรู้ส
บทที่ 68 จัดการบ้านสามให้เด็ดขาดเฉินฟางเซียนตัดสินใจไปสอบที่ปักกิ่ง โดยมีเว่ยซิ่วตงพาไปด้วยตนเอง ทั้งยังพาเธอไปพบกับครอบครัวของเขาอีกด้วย ไม่มีใครรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นบ้างที่บ้านเว่ย เฉินฟางเซียนก็ไม่ได้เล่าให้กับใครฟังเธอสอบที่มหาวิทยาลัยปักกิ่งตามที่ตั้งใจไว้ ส่วนสหายอีกสองคนไม่ได้ไปด้วยเฉินฟางเซียนมุ่งมั่นและตั้งใจที่จะสอบเป็นอย่างมาก อ่านหนังสือจนดึกดื่นและเธอก็ไม่ทำให้ทุกคนผิดหวัง เฉินฟางเซียนสอบติดอย่างที่ตั้งใจไว้พอกลับมาที่หมู่บ้าน ทุกคนก็ร่วมแสดงความยินดีกับเธอ ชาวบ้านที่อยู่ใกล้เคียงก็รู้เรื่องกันทั่ว“ยินดีด้วยนะลูก” นางอี่หนิงสวมกอดลูกสาวแสดงความยินดี“ขอบคุณนะคะแม่ พี่หยางคุน พี่สะใภ้”“เก่งมาก” เฉินหยางคุนก็ยกมือขึ้นลูบหัวน้องสาวที่เขาเลี้ยงมากับมือด้วยความภาคภูมิใจมู่อันเหมยก็ยิ้มให้กับน้องสามี ในตอนนี้เธอตั้งท้องได้ห้าเดือนแล้ว บ้านเฉินในตอนนี้มีแต่เรื่องน่ายินดี กิจการของเฉินหยางคุนก็กำลังไปได้สวยจริง ๆเรื่องที่เฉินฟางเซียนกำลังจะไปเป็นนักศึกษาที่เมืองหลวงถูกแพร่กระจายไปทั่ว ชาวบ้านก็ยินดีด้วย พร้อมกับเชิดหน้าชูตาได้ เพราะในตอนนี้หมู่บ้านของพวกเขาไม่เพียงมีนายท่านเ
บทที่ 67 มู่อันเหมยท้องแล้วทุกอย่างดำเนินมาอย่างราบรื่นจนปีปฏิวัติผ่านพ้นไป เฉินหยางคุนสั่งปิดตลาดมืดในช่วงที่มีการปฏิวัติ และนายพลหม่า นายพลหู รวมไปถึงครอบครัวของเว่ยซิ่วตงก็เลือกข้างได้ถูกเพราะคำแนะนำจากเขาจากนั้นพอมีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้น เขาก็เริ่มมีความคิดที่จะทำหลายอย่าง เช่นการทำให้ตลาดมืดกลายเป็นการค้าเสรีที่ชาวบ้านทุกคนสามารถนำของมาขายได้จนกระทั่งทางการประกาศให้มีการเวนคืนที่ดินให้กับผู้ที่เคยถูกยึด ยกเลิกการทำงานในคอมมูน แบ่งที่ดินให้ทำกินอย่างเท่าเทียมทางด้านเฉินหยางคุนก็จัดตั้งตลาดที่ถูกกฎหมายขึ้นมา ส่วนตลาดมืดก็ยังคงมีอยู่และคึกคักเหมือนเดิม แม้จะมีการค้าเสรี แต่สินค้าบางอย่างรัฐยังจำกัดการซื้อ ดังนั้นตลาดมืดยังเป็นที่ต้องการของประชาชนทั่วไปในช่วงนี้สองสามีภรรยาจึงค่อนข้างจะยุ่งวุ่นวายกับงานมาก เช้าวันนี้มู่อันเหมยตื่นขึ้นมาด้วยอาการปวดหัว หน้ามืด อยากจะอาเจียน“อุบ” เธอรีบวิ่งเข้าไปในห้องน้ำจัดการกับตัวเองสักพักก็เดินออกมา ในเวลานี้สามีของเธอคงจะออกกำลังกายอยู่ที่หน้าบ้านมู่อันเหมยรู้สึกว่าช่วงนี้ร่างกายของเธออ่อนเพลียเป็นอย่างมาก แต่เธอคิดว่าเป็นเพราะพักผ่อนน้อย เ
บทที่ 66 เสี่ยวฟางรนหาที่เรื่องราวของว่านปี่หมิงที่ต้องมีสภาพที่น่าอนาถแบบนั้น เสี่ยวฟางก็รับรู้เช่นกัน เธอไม่คิดที่จะกลับไปหาคนไร้ประโยชน์อย่างชายคนนั้นอีก เพราะไม่เช่นนั้นก็คงเป็นเธอที่ลำบากในตอนนี้ชีวิตของเสี่ยวฟางที่บ้านก็ย่ำแย่ไม่แพ้กัน พ่อแม่ของเธอกำลังจะหาชายแก่หรือพ่อม่ายมาแต่งงานกับเธอ เพื่อส่งเธอออกไปให้พ้นตระกูลเธอไม่ยินยอม แต่ไม่สามารถปฏิเสธได้เพราะตอนนี้ยังพึ่งพาพวกเขาอยู่ เธอนึกไปถึงมู่อันเหมยที่ตอนนี้กลายเป็นนายหญิงเฉินแล้วก็รู้สึกอิจฉา คนบ้านนอกอย่างมู่อันเหมยไม่ควรได้รับสิ่งดี ๆ พวกนี้เลยด้วยซ้ำ เลยมีความคิดหนึ่งขึ้นมา ไม่รอช้า วันต่อมาจึงเดินทางมาที่บ้านของมู่อันเหมยทันที“มาหาใครคะ” เฉินฟางเซียนเป็นคนออกมาดูด้วยตนเอง“ฉันมาหาอันเหมยค่ะ”“เป็นสหายของพี่สะใภ้เหรอคะ” ได้ยินคำตอบ เฉินฟางเซียนก็เอียงคอมองอย่างพิจารณา“ใช่ค่ะ” เสี่ยวฟางตอบรับและทึกทักเอาเองว่าเป็นสหายของมู่อันเหมย“ใครมาเหรอฟางเซียน” มู่อันเหมยออกมาพอดี เธอถามน้องสามีและหันไปมองแขกที่มา พอเห็นว่าเป็นใคร เธอก็ชะงักไปทันทีเสี่ยวฟางที่พอเห็นอันเหมย เธอก็กำหมัดแน่น มองการแต่งตัวด้วยชุดสวย ๆ ของอันเหมยด้ว