ร่างสูงโอบกอดร่างที่ไร้วิญญาณเนิ่นนานความรู้สึกภายในใจรวดร้าวทรมานเจียนตายจากนั้นจึงลุกขึ้นอุ้มร่างของคนที่ตัวเองรักเดินผ่านทหารและองครักษ์ที่นั่งคุกเข่าลงแสดงความเคารพต่อผู้ที่จากไปด้วยฝีเท้าที่มั่นคงพร้อมกับน้ำตาที่ไหลริน
"คุณหนู คุณหนูเจ้าคะตื่นเถอะเจ้าค่ะ"
เฮือกก!! ร่างเล็ก ๆ สะดุ้งเฮือกด้วยความตกใจดวงตาเบิกกว้างเมื่อเห็นคนที่อยู่ตรงหน้า
"เจียอี..เจ้ายังไม่ตาย" ฮุ่ยเจียงส่งเสียงร้องเรียกคนตรงหน้าด้วยความดีใจที่ได้เห็นหน้าสาวใช้คนสนิทอีกครั้งนางร้องไห้ออกมาอย่างห้ามไม่อยู่ นางยกมือปาดน้ำตาแล้วลุกขึ้นจากเตียงเดินมาหาสาวใช้ที่ทำหน้าเหลอหลา สองมือของฮุ่ยเจียงจับไหล่สาวใช้พลิกซ้ายพลิกขวาจนร่างเล็กของสาวใช้แทบจะหมุนเป็นลูกข่าง
"เจ้ายังเจ็บอยู่หรือไม่แล้วนี่ผู้ใดมาช่วยพวกเรากัน เรารอดตายแล้วใช่หรือไม่ถ้าอย่างนั้นแสดงว่าลูกข้า.." ฮุ่ยเจียงยื่นมือมาแตะที่หน้าท้องของตัวเองด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้มลูกนางยังอยู่แต่พอสาวใช้พูดแย้งขึ้นทำเอาฮุ่ยเจียงถึงกับนิ่งค้างในหัวตอนนี้เต็มไปด้วยความสับสน
ส่วนสาวใช้ที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวก็รีบพูดขัดขึ้นพร้อมจ้องมาที่ฮุ่ยเจียงด้วยสายตาสับสน
"คุณหนูท่านเพิ่งจะเข้าสู่วัยปักปิ่นเหตุใดจึงมีลูกได้กันล่ะเจ้าคะ และที่สำคัญคุณหนูยังมิได้แต่งงานเหตุใดถึงพูดจาแปลกประหลาดยิ่งนักล่ะเจ้าคะถ้าใครได้ยินจะพากันเอาไปลือประเดี๋ยวคุณหนูจะเสียหายนะเจ้าคะ" เจียอีเอ็ดคุณหนูของนางเบา ๆ พร้อมกับรีบเดินไปที่ประตูเปิดออกกว้างแล้วสอดส่ายสายตาหันซ้ายแลขวาพอไม่เห็นว่ามีใครก็ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอกจากนั้นจึงปิดประตูลงกลอนแล้วเข้ามาหาคุณหนูพาไปนั่งที่เตียง
ส่วนฮุ่ยเจียงพอเห็นสาวใช้ที่เดินกระฉับกระเฉงแล้วยังตัวนางเองที่ไม่ได้ดูเหมือนว่าบาดเจ็บใกล้ตาย แต่นี่มันเกิดอะไรขึ้นไม่ใช่ว่าพวกนางตายไปแล้วเหรอเหตุใดนางถึงยังมีชีวิตอยู่
"ดีนะเจ้าคะที่ตอนนี้ยังเช้าอยู่ไม่มีผู้ใดเข้ามาทำงานที่เรือนของคุณหนู แต่ว่าคุณหนูฝันร้ายหรือเจ้าคะ หรือคุณหนูยังเจ็บไข้อยู่ให้บ่าวตามหมอดีไหมเจ้าคะ" เจียอีมองคุณหนูเพิ่งสังเกตเห็นท่าทางแปลกไปจึงถามขึ้นด้วยความเป็นห่วง
ฮุ่ยเจียงพิจารณาสาวใช้ที่ดูยังเด็กนักก่อนจะนึกขึ้นได้เมื่อกี้สาวใช้พูดว่านางยังไม่ถึงวัยปักปิ่นแสดงว่าตอนนี้นางยังเพิ่งอายุสิบห้าปีเท่านั้นนี่มันเรื่องอะไรกัน เป็นไปได้หรือที่นางได้ย้อนกลับมาอีกครั้ง
นี่สวรรค์ยังเมตตานางใช่หรือไม่ ฮุ่ยเจียงคิดด้วยความดีใจก่อนจะถามสาวใช้อีกครั้งเพื่อความแน่ใจ
"แล้วข้าถึงจะเข้าพิธีปักปิ่นเมื่อใด"
"อีกหนึ่งเดือนเจ้าค่ะ แต่คุณหนูท่านจำไม่ได้หรือเจ้าคะ ให้บ่าวตามท่านหมอดีหรือไม่เจ้าคะ ตอนท่านตกน้ำศีรษะท่านอาจจะไปกระแทกกับก้อนหินก็ได้นะเจ้าคะ" พอได้ยินสาวใช้พูดแบบนั้นฮุ่ยเจียงก็พลันนึกได้ว่าตนเองเคยตกน้ำเพราะความซุกซนของนางยังดีที่สาวใช้อย่างเจียอีเป็นคนช่วยนางขึ้นมา
"ข้า ๆ เอ่อ..ข้าไม่เป็นไร" นางตอบกลับด้วยน้ำเสียงจริงจังเรื่องที่นางย้อนเวลากลับมาอีกครั้งจะให้เจียอีรู้ไม่ได้เพราะเจียอีอาจคิดว่านางคงเสียสติไปแล้วเป็นแน่
"แน่นะเจ้าคะเพราะถ้าหากท่านเป็นอะไรไปนายท่านกับฮูหยินได้เฆี่ยนบ่าวหลังลายแน่เจ้าค่ะ" น้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความหวาดหวั่นทำเอาฮุ่ยเจียงยิ้มออกสาวใช้คนนี้ยังคงเป็นคนที่ทำให้นางยิ้มออกเสมอ ฮุ่ยเจียงพลันนึกไปถึงครั้งที่เจียอีเอาร่างของนางมารับกีบม้าที่พุ่งเข้าใส่ร่างนางจนทำให้เจียอีขาพิการเดินไม่ปกติ แล้วยังเรื่องที่ทั้งสองเดินทางเข้าสู่แคว้นฉีพบการลงโทษของคนโหดเหี้ยมพวกนั้นจนทำให้เจียอีต้องตายแล้วนางก็ไม่มีชีวิตรอดเหมือนกัน
ตอนนี้ฮุ่ยเจียงยังรู้สึกถึงผิวเนื้อที่เจ็บแสบจากการโดนแส้ฟาดอยู่เลยเหมือนมันเพิ่งเกิดขึ้นไปไม่นาน แล้วยังเลือดเนื้อของชายสารเลวผู้นั้นที่ไหลออกมาเป็นลิ่มเลือดยังติดตานางจนถึงตอนนี้
แต่ว่าทุกอย่างเปลี่ยนไปแล้วตอนนี้นางได้โอกาสย้อนกลับมาอีกครั้งดวงตากลมสั่นไหวยามที่มองไปที่ใบหน้าของสาวใช้
"เจียอี.." ฮุ่ยเจียงยังคงเรียกสาวใช้อีกครั้งคล้ายกับยังไม่เชื่อสายตา แต่ตรงหน้านี่ก็คือสาวใช้ของนางเอง
"เจ้าค่ะคุณหนูต้องการสิ่งใดหรือเจ้าคะ"
พรึบ!!
ยังไม่ทันที่เจียอีจะพูดจบร่างเล็กของคุณหนูก็โถมเข้ามาใส่จนนางแทบตั้งรับไม่ทันด้วยความตกใจเจียอีก็ยืนนิ่งแข็งค้างกลายเป็นหุ่นฟางดวงตาเบิกกว้างไม่ไหวติงพูดตะกุกตะกัก นี่นับเป็นครั้งแรกที่เจียอีถูกคุณหนูกอดนางเอาไว้ นางที่เป็นเพียงสาวใช้ผู้ต่ำต้อย
"คะ..คุณหนูเจ้าคะปล่อยบ่าวเถอะเจ้าค่ะ นี่ดูไม่เหมาะเท่าไรนะเจ้าคะ บ่าวเป็นเพียงสาวใช้..."
"เอาเถอะ ๆ ถ้าอย่างนั้นข้าไปอาบน้ำดีกว่าฟังเจ้าบ่นแล้วรำคาญหูนัก ฮ่า ฮ่า ดูหน้าเจ้าสิช่างน่าตลกนัก" ฮุ่ยเจียงพูดด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะแล้วเดินเข้าไปหลังฉากแต่ใบหน้าของนางตอนนี้เต็มไปด้วยน้ำตาที่ไหลออกมาอย่างห้ามไม่ได้
เจียอีที่ได้ยินคุณหนูพูดจาหยอกล้อถึงขั้นยกมือแคะหูปกติคุณหนูพูดน้อยยิ้มหวานไม่มีเสียล่ะที่จะฉีกยิ้มกว้างส่งเสียงหัวเราะจนตาหยี นี่คุณหนูเปลี่ยนไปถึงเพียงนี้
หลังจากฮุ่ยเจียงชำระร่างกายเสร็จก็แต่งกายด้วยชุดที่ตนเองเป็นคนเลือกแล้วเดินมานั่งบนเก้าอี้ที่มีคันฉ่องสะท้อนใบหน้าตนเอง นางปล่อยให้สาวใช้จัดการกับผมของนาง
"คุณหนูเจ้าคะท่านใส่ชุดนี้งดงามมากเลยนะเจ้าคะแต่ว่าเหตุใดท่านถึงต้องไปที่วัดด้วยละเจ้าคะ คุณหนูเพิ่งฟื้นท่านยังไม่หายดีประเดี๋ยวไข้จะกำเริบขึ้นมาอีกนะเจ้าคะ" เจียอีพูดด้วยความเป็นห่วงใยคุณหนูถึงไม่รอให้หายจากอาการป่วยไข้เสียก่อนแต่มือบางกระฉับกระเฉงของนางก็ยังหวีผมคุณหนูไปด้วย
"เอาเถอะข้าหายดีแล้วแต่ที่ข้าต้องการไปวันนี้ก็เพราะเมื่อคืนข้าฝันร้ายเจ้าไปเตรียมตัวเถอะเดี๋ยวข้าจะไปขออนุญาตท่านพ่อกับท่านแม่เอง"
"เจ้าค่ะคุณหนู" ในเมื่อไม่สามารถขัดใจคุณหนูของนางได้นางจึงถอยออกมาแล้วไปทำตามที่คุณหนูสั่ง
ฮุ่ยเจียงมองตามสาวใช้ก่อนจะส่ายหัวไม่ว่าชาติไหน ๆ สาวใช้คนนี้ก็คอยเป็นห่วงเป็นใยนางตลอด ฮุ่ยเจียงมองตัวเองผ่านคันฉ่องมือบางยกขึ้นแตะที่ใบหน้าที่เคยถูกกรีดด้วยมีดคมกริบพร้อมกับรอยยิ้มร้ายกาจของสหายชั่ว เสียงหัวเราะอันชั่วร้ายของนางยังติดก้องอยู่ในหูไม่จางหาย ฮุ่ยเจียงปิดเปลือกตาลงเก็บความทรงจำไว้ที่เลวร้ายไว้ในซอกลึกจากนั้นลืมตาขึ้นมองตัวเองอีกครั้ง แววตาเย็นเยียบที่สะท้อนอยู่ในคันฉ่องถ้าใครได้เห็นคงขนลุกกับสายตาของนาง
จิ่วเย่ว ห่าวอู๋ ถ้าหากมิอาจหลีกเลี่ยงได้ชาตินี้ข้าจะเอาคืนพวกเจ้าอย่างสาสม
ในระหว่างที่คิดถึงเรื่องราวของชายโฉดหญิงชั่วแต่ฮุ่ยเจียงกลับลืมไปว่าในช่วงวาระสุดท้ายของชีวิตนั้นมีใครอีกคนที่เสียใจกับการจากไปของนางอย่างสุดซึ้ง
⋇⊶⊰❣⊱⊷⋇ ⋇⊶⊰❣⊱⊷⋇
การเดินขบวนกลับบ้านของแม่ทัพฮุ่ยเหอและทหารเป็นเหตุการณ์ที่เต็มไปด้วยความภาคภูมิใจ ชาวบ้านต่างออกมาต้อนรับต่างก็แสดงความเคารพและสรรเสริญขบวนทัพที่เดินอย่างเป็นระเบียบเสียงดนตรีที่ดังกึกก้องไปทั่วเป็นการเฉลิมฉลองอย่างยิ่งใหญ่ซึ่งภาพที่น่าจดจำและสร้างความประทับใจฮุ่ยเจียงมองเห็นพี่ใหญ่ของนางนั่งอยู่บนหลังม้าผงาดในชุดเกราะเหล็กท่ามกลางแสงแดดเขามองไปรอบ ๆ ด้วยสายตาเข้มแข็งและมีรอยยิ้มบาง ๆ บนใบหน้ารวมถึงทหารทุกนายที่เดินอย่างเป็นระเบียบด้วยการแต่งกายที่เต็มยศไม่ต่างกันถัดไปเป็นนายทหารยศรองลงมาขี่ม้าและถือธงชัยที่แสดงถึงการชนะศึกขบวนทัพมีการบรรเลงดนตรีด้วยกลองและแตรเพื่อสร้างบรรยากาศแห่งชัยชนะเสียงดนตรีดังกึกก้องไปทั่วเส้นทางที่ผ่านชาวบ้านพากันออกมาต้อนรับ บ้านเรือนของพวกเขาประดับบ้านเรือนด้วยธงและดอกไม้มีการจุดดอกไม้ไฟเพื่อเฉลิมฉลองพวกชาวบ้านนำของขวัญและอาหารมามอบให้ทหารเพื่อแสดงความขอบคุณและยินดีต้อนรับทหารทุกคนที่ได้กลับบ้านในที่สุดขบวนก็เข้ามาหยุดที่หน้าบ้านสกุลฮุ่ยร่างสูงสง่าของบุตรชายคนโตค้อมศีรษะให้บิดามารดาและแม่รองด้วยท่วงท่าสง่างาม แต่ยังมิได้ลงมาแสดงความเคารพอย่างใกล้ชิดเพราะขบ
"บ่าวพูดจริงต่างหากละเจ้าคะในเมืองหลวงนี้ใครก็รู้ว่าบุตรสาวคนรองของท่านราชครูงดงามที่สุด” เจียอีพูดพร้อมกับเดินไปที่ชั้นวางเสื้อผ้า แต่แทนที่นางจะเลือกให้คุณหนู นางกลับเลือกไม่ถูก ชุดนี้ก็งาม ชุดนั้นก็งาม มือของนางยกขึ้นเกาศีรษะอย่างคิดไม่ตก นางเลยหันไปหาคุณหนู"คุณหนูต้องการชุดแบบไหนเจ้าคะ บ่าวเลือกไม่ถูกเจ้าค่ะ” เจียอีส่งยิ้มแหยให้คุณหนู ฮุ่ยเจียงมองสาวใช้พลางส่ายหัวแล้วครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนตอบ "ข้าว่าข้าอยากได้ชุดสีฟ้าอ่อนที่มีลายปักดอกเหมยเจ้าคิดว่าอย่างไร""เจ้าค่ะ” เจียอีรีบหยิบชุดที่คุณหนูต้องการมาให้ แล้วช่วยคุณหนูแต่งตัววันนี้เป็นวันดี เป็นวันที่กองทัพของคุณชายใหญ่เดินทางกลับจากการทำศึกมาเนิ่นนาน ศึกจากชายแดนใต้ที่สู้ต่อเนื่องเป็นเวลานานตอนนี้ก็สิ้นสุดลงสักที หลังจากนำทหารโจมตีข้าศึกจนชนะ แม่ทัพใหญ่บุตรชายของท่านราชครูก็ได้รับการยกย่องจากทั่วทุกสารทิศต่างพากันแซ่ซ้องสรรเสริญในความสามารถของแม่ทัพใหญ่ฮุ่ยเจียงคิดถึงภาพของพี่ใหญ่ในชุดเกราะนางก็ยิ้มออกมาด้วยความภาคภูมิใจ "พี่ใหญ่ของข้าช่างเก่งกาจจริง ๆ" นางพึมพำกับตัวเองเบา ๆ เจียอีได้ยินก็อดยิ้มตามไม่ได้ "ท่านแม่ทัพใหญ่เป็
ยามโฉ่ว (01:00-02:59)ท้องฟ้าสีครามเริ่มเปลี่ยนเป็นสีม่วงและดำพร้อมกับดวงดาวที่ปรากฏขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไปลมพัดเบา ๆ นำพากลิ่นหอมของดอกไม้ที่เพิ่งเริ่มบานออกมาท่ามกลางความมืดมิดยามราตรีแสงจันทร์กระจ่างถูกบดบังด้วยเมฆครึ้มที่เคลื่อนเข้ามาพอดีทำให้ร่างสูงของชายชาติทหารทะยานลงมาจากต้นไม้ลงมาสู่ผืนดินอย่างไร้เสียงด้วยวิชาตัวเบาเพราะเป็นผู้มีวรยุทธ์แกร่งกล้าทำให้ทุกอย่างเป็นเรื่องง่ายเสียงหน้าต่างเปิดพร้อมกับเงาดำที่เคลื่อนผ่านเข้ามาด้วยความรวดเร็วไม่ทำให้ผู้คนในเรือนฮุ่ยเหลินรู้ตัวสาวใช้คนสนิทยังนอนหลับอย่างสบายใจที่หน้าห้องอย่างเช่นปกติ แต่ค่ำคืนนี้หาใช่ปกติไม่เพราะมีบุรุษชุดดำบุกรุกเข้ามาในจวนโดยที่ไม่มีผู้ใดล่วงรู้สวีเสวียนหนานที่เพิ่งแอบเข้ามาในห้องนอนของฮุ่ยเจียง กำลังจ้องมองใบหน้าของสาวงามที่นอนหลับตาพริ้มด้วยสายตาล้ำลึก แสงจากเทียนที่มีอยู่เพียงน้อยนิดไม่ทำให้การมองเห็นของเขาลดลง มือหนาเอื้อมไปแตะลงบนหน้าผากกลมมนแผ่วเบาเพราะเมื่อช่วงค่ำได้ยินว่านางนั้นมีไข้เลยอยากเข้ามาตรวจสอบให้แน่ใจว่านางจะไม่เป็นหนักเกินไป เพราะแอบตามมาตั้งแต่นางขึ้นมาจากน้ำเดินทางกลับจวน เขาก็ยังแฝงตัวเงียบ
ชาติก่อนในยามสงครามศึกนอกยังไม่น่ากลัวเท่ากับศึกภายใน...สงครามที่ยืดเยื้อกินเวลานานทำให้พี่ชายของนางไม่สามารถเข้าไปช่วยนางได้ทัน พอรู้ข่าวว่าครอบครัวถูกใส่ร้ายก็เร่งเดินทางไปทันทีใครจะคิดว่ามันคือหนึ่งในแผนการที่ล้มล้างตระกูลพอไปถึงหน้าประตูเมืองฮุ่ยเหอก็ถูกจับกุมในทันทีใครจะคิดว่าทั้งตระกูลของนางจะถูกคนชั่วช้าเล่นงานจนดิ้นไม่หลุด ส่วนเขาที่ยังทำสงครามอยู่อีกแคว้นไม่ได้รู้ข่าวคราวเกี่ยวกับครอบครัวของสหายเลยด้วยซ้ำ พอมารู้อีกทีก็ตอนที่ทั้งตระกูลถูกประหารชีวิตเหลือเพียงนางกับสาวใช้ที่ถูกขายไปเป็นทาส กว่าจะสืบสาวราวเรื่องได้ว่านางถูกพาไปที่ใดก็กินเวลาหลายวัน เขาควบม้าด้วยความเร่งรีบแม้อาหารสักมื้อก็ไม่พักรับประทานเพราะเกรงว่าจะไม่ทัน แต่ใครจะคิดว่านางนั้นถูกพามาทรมานแทนที่จะเป็นการส่งไปเป็นทาสตามที่ได้ยินมา ในตอนที่ไปถึงจุดที่นางอยู่ในตอนนั้นเป็นตอนที่นางกำลังจะทิ้งตัวลงบนผืนดินเหมือนกับไม่สามารถทนต่อไปได้เขาเร่งควบม้าอย่างไม่คิดชีวิตดวงตาคมเข้มสะท้อนความร้อนรนทอดมองร่างเล็กที่กำลังเอนลงบนผืนดินร้อนระอุสองมือก็ตวัดดาบบั่นคอคนที่บังอาจทำร้ายยอดดวงใจคมกระบี่ฟันฉับไปที่คนเหล่านั้นเพื่อแ
เสียงพูดด้วยความตื่นเต้นดีใจพลางหันไปหาสาวใช้หวังว่าจะได้รับคำชื่นชมแต่ไม่คิดว่าในมือของสาวใช้ตอนนี้จะมีปลาเหมือนกันแต่ต่างกันที่ปลาในมือของสาวใช้นั้น ตัวใหญ่กว่าตัวที่นางจับได้เป็นเท่าตัว ดวงตาของฮุ่ยเจียงเบิกกว้างก่อนจะตะโกนถามสาวใช้ด้วยความตื่นเต้น"เจียอี เหตุใดเจ้าจึงจับได้ตัวใหญ่กว่าข้านักเล่า! ข้าไม่ยอมเจ้าแน่ นี่เจ้าปลาน้อยเจ้าจะไปไหนก็ไปเลย..ข้าจะจับตัวพ่อไม่ใช่ลูกปลาตัวน้อยแบบเจ้าสักหน่อย ชิ่ว ๆ ไปเลยนะ" ฮุ่ยเจียงที่เห็นว่าปลาที่อยู่ในมือสาวใช้ตัวใหญ่กว่าของนาง นางก็ยอมไม่ได้จึงปล่อยเจ้าปลาที่จับแล้วมองหาตัวใหญ่กว่า ส่วนเจียอีมองคุณหนูด้วยรอยยิ้มก่อนจะปล่อยปลาในมือตามไปอีกคนกลายเป็นว่าตอนนี้สองนายบ่าวพากันแข่งกันจับปลาการแข่งขันเต็มไปด้วยความสนุกสนานและเสียงหัวเราะ ฮุ่ยเจียงแกล้งเจียอีด้วยการโยนหยดน้ำไปที่ตัว เจียอีหัวเราะและตอบโต้ด้วยการพยายามสาดน้ำกลับ ทั้งคู่สนุกกับการพยายามจับปลาและไม่ลืมที่จะหยอกล้อกัน เสียงหัวเราะและเสียงน้ำที่ดังกระจายยามที่พวกนางกระโจนจับปลากลายเป็นเสียงที่ไพเราะเสนาะหูต่อคนที่กำลังมองมาด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความคิดถึงคะนึงหาอย่างถึงที่สุดอีกฟากหนึ
รถม้าประทับตราสกุลฮุ่ยของราชครูเข้ามาจอดอยู่ที่เชิงเขาทางขึ้นวัดเสวียนคง วัดที่ตั้งอยู่ท่ามกลางป่าเขาดูเป็นสถานที่ที่เงียบสงบ หลังจากลงรถม้าฮุ่ยเจียงกับสาวใช้ก็เดินขึ้นบันไดที่มีซุ้มต้นไผ่ ที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ เรียงรายขนาบสองข้างทาง มันสูงจนปลายต้นโน้มเอียงเข้าหากันจนกลายเป็นอุโมงค์ต้นไผ่สร้างความร่มรื่นสวยงามฮุ่ยเจียงสัมผัสบรรยากาศธรรมชาติ สูดหายใจเข้าเต็มปอด ดวงหน้างดงามเผยรอยยิ้มสดใส ยามที่สายลมอ่อน ๆ โชยพัดมาปะทะร่างของนาง ช่างสดชื่นนัก! ความรู้สึกสดชื่นที่แทรกซึมเข้ามาในจิตใจทำให้นางมีความสุขอย่างแท้จริง ท้องฟ้าสีฟ้าใสและต้นไม้ที่พลิ้วไหวไปตามลม ความสงบเงียบของธรรมชาติช่วยปลอบประโลมจิตใจนางจากความทุกข์ทรมานจากชาติที่แล้ว สาวใช้ที่ติดตามมาก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มตาม เจียอีมองคุณหนูที่เปี่ยมไปด้วยชีวิตชีวาฮุ่ยเจียงยิ้มอย่างสดใส ขณะสายลมพัดโชยพาให้ผมยาวสลวยของนางพลิ้วไหว ดวงตาของนางเป็นประกายสดใส ท่ามกลางแสงอาทิตย์ที่ส่องผ่านแมกไม้ลงมาราวกับเทพธิดาจากสรวงสวรรค์ เจียอีอดไม่ได้ที่จะชื่นชมจากใจจริง“คุณหนู ท่านช่างงดงามเหลือเกินเจ้าค่ะ” ฮุ่ยเจียงหันมายิ้มให้สาวใช้ “เจียอี เจ้าไม่รู้หรอก