ชาติก่อนในยามสงครามศึกนอกยังไม่น่ากลัวเท่ากับศึกภายใน...สงครามที่ยืดเยื้อกินเวลานานทำให้พี่ชายของนางไม่สามารถเข้าไปช่วยนางได้ทัน พอรู้ข่าวว่าครอบครัวถูกใส่ร้ายก็เร่งเดินทางไปทันทีใครจะคิดว่ามันคือหนึ่งในแผนการที่ล้มล้างตระกูลพอไปถึงหน้าประตูเมืองฮุ่ยเหอก็ถูกจับกุมในทันทีใครจะคิดว่าทั้งตระกูลของนางจะถูกคนชั่วช้าเล่นงานจนดิ้นไม่หลุด
ส่วนเขาที่ยังทำสงครามอยู่อีกแคว้นไม่ได้รู้ข่าวคราวเกี่ยวกับครอบครัวของสหายเลยด้วยซ้ำ พอมารู้อีกทีก็ตอนที่ทั้งตระกูลถูกประหารชีวิตเหลือเพียงนางกับสาวใช้ที่ถูกขายไปเป็นทาส กว่าจะสืบสาวราวเรื่องได้ว่านางถูกพาไปที่ใดก็กินเวลาหลายวัน เขาควบม้าด้วยความเร่งรีบแม้อาหารสักมื้อก็ไม่พักรับประทานเพราะเกรงว่าจะไม่ทัน แต่ใครจะคิดว่านางนั้นถูกพามาทรมานแทนที่จะเป็นการส่งไปเป็นทาสตามที่ได้ยินมา ในตอนที่ไปถึงจุดที่นางอยู่ในตอนนั้นเป็นตอนที่นางกำลังจะทิ้งตัวลงบนผืนดินเหมือนกับไม่สามารถทนต่อไปได้
เขาเร่งควบม้าอย่างไม่คิดชีวิตดวงตาคมเข้มสะท้อนความร้อนรนทอดมองร่างเล็กที่กำลังเอนลงบนผืนดินร้อนระอุสองมือก็ตวัดดาบบั่นคอคนที่บังอาจทำร้ายยอดดวงใจ
คมกระบี่ฟันฉับไปที่คนเหล่านั้นเพื่อแหวกทางจนมันพากันร่วงสู่ผืนดิน สายตาของเขายังคงจับจ้องร่างเล็กที่นอนอยู่บนพื้นด้วยความอ่อนแรง เขาเร่งควบม้าเข้าไปหานาง หัวใจเต้นระรัวด้วยความกลัว เมื่อถึงที่หมายเขารีบกระโจนลงจากม้าเข้าไปช้อนร่างเล็กของนางไว้ นางเงยหน้าขึ้นมาช้าๆ ดวงตาที่อ่อนล้าพยายามจ้องมองเขา แววตาที่เคยสดใสตอนนี้เต็มไปด้วยความอ่อนแรงและเจ็บปวด นางพยายามคลี่ยิ้มบางๆ ส่งมาให้เขานั่นคือรอยยิ้มสุดท้ายและเขายังจำมันได้ดี รอยยิ้มนั้นยังคงอยู่ในใจเขา แม้ร่างของนางจะไร้ชีวิตไปแล้ว
เขาอุ้มร่างที่ไร้ชีวิตของนางขึ้นมากอดไว้แนบอก น้ำตาไหลออกมาอย่างไม่สามารถห้ามได้ หัวใจของเขาแตกสลายกับการสูญเสียนางผู้เป็นที่รักที่เขาหมายมั่นและเฝ้ารอมานาน
ยามที่สวีเสวียนหนานอุ้มร่างไร้วิญญาณของนางกลับมาที่จวนของเขา หัวใจของเขาเต็มไปด้วยความเจ็บปวดและความแค้น ส่วนคนพวกนั้นกลับอยู่อย่างมีความสุขที่จวนของนาง ตระกูลที่ล่มสลายถูกยึดมาเป็นของตัวเองอย่างหน้าด้าน ๆ ใจเขาร้อนรุ่มดั่งไฟ คิดจะเข้าไปสังหารคนพวกนั้นให้ตายกับมือ
เมื่อเขาทำพิธีศพของนาง บุรุษไร้ยางอายกับสตรีชั่วช้ายังคงเสพสุขกันอย่างไม่กลัวเวรกรรมตามสนอง ภาพที่เห็นทำให้ความแค้นในใจของเขาเพิ่มขึ้นทวีคูณ เขาต้องการให้พวกมันได้รับผลกรรมที่สาสมกับสิ่งที่พวกมันทำไว้กับนาง ยิ่งคิดก็ยิ่งแค้น เขาอยากฆ่าพวกมันให้ตายไปเสียแต่ตอนนี้ แต่ทำแบบนั้นพวกมันจะตายง่ายเกินไป เขาต้องการให้พวกมันรู้สึกถึงความทรมานที่นางต้องเผชิญ ต้องการให้พวกมันลิ้มรสความเจ็บปวดและความทุกข์ทรมานอย่างช้า ๆ และยาวนาน
และวันนั้นก็มาถึง..จากแผนการที่วางไว้อย่างรัดกุม
วันหนึ่ง เมื่อบุรุษชั่วนั่นออกไปข้างนอก สวีเสวียนหนานก็ให้คนจัดการนำธูปราคะเข้ามาจุดยังห้องนอนของมัน ในเรือนนอกจากสาวใช้ไม่กี่คนกลับมีบ่าวชายไม่ต่ำกว่าสิบคน ลูกน้องคนสนิทของสวีเสวียนหนานจัดการให้สาวใช้ไม่ให้ออกมาเดินเพ่นพ่าน เหลือเพียงบ่าวรับใช้ชายที่ถูกหลอกล่อเข้ามาในห้องนอน
ภายในห้อง หญิงชั่วผู้นั้นกำลังนอนเปลือยกายอยู่บนเตียง ด้วยอารมณ์กำหนัดจากธูปราคะที่ถูกจุดเอาไว้ บ่าวรับใช้ชายเดินเข้าไป ทุกอย่างก็ดำเนินไปตามครรลอง เสียงครางแหลมเล็ดลอดออกมาไม่หยุดหย่อนด้วยความสุขสม เวลาผ่านไปจนตะวันคล้อยต่ำลงก็ยังไม่มีทีท่าว่าคนในห้องจะหยุด ทุกอย่างเกิดขึ้นตามที่สวีเสวียนหนานวางแผนไว้ เขารู้ว่าการแก้แค้นนี้จะทำให้หญิงชั่วผู้นั้นได้รับผลกรรมของตนเอง
ทันทีที่บุรุษชั่วกลับเข้ามาในจวน สิ่งแรกที่ได้ยินก็คือเสียงครางพร้อมกับเสียงเนื้อกระทบกัน มันเร่งรีบเข้าไปยังห้องนอนด้วยความร้อนรน ประตูที่ไม่แม้แต่จะปิดสนิททำให้เห็นกิจกรรมในนั้นอย่างชัดเจน ความโกรธเล่นงานจนบุรุษชั่วหมดความยั้งคิด เพราะภาพที่เห็นมันทำเอาขาดสติ
ภรรยาที่บอกว่ารักตนเองมากกำลังขึ้นควบขี่บ่าวในเรือน พร้อมกับควบขับอย่างร้อนร่าน ทั้งในปากยังอ้าอมท่อนลำของบ่าวรับใช้ชายอย่างไม่สงวน ท่าทีของหญิงสารเลวที่บอกว่ารักนักรักหนากับระเริงกามกับบ่าวไพร่ในจวนอย่างไม่อายฟ้าดิน ทำให้บุรุษชั่วรู้สึกเหมือนถูกตบหน้าด้วยความจริงที่โหดร้าย
บุรุษใจชั่วเหมือนถูกหยามหน้า มันรีบเดินไปคว้ากระบี่ที่แขวนเอาไว้แล้วแทงไปที่บ่าวชายในห้องเรียงตัว ทุกคนต่างก็ตายด้วยความโกรธของมัน เหลือเพียงร่างเล็กของหญิงสาวที่กำลังส่งเสียงกรีดร้องอย่างกับคนบ้า เพราะเห็นคนตายต่อหน้า ตัวนางมีแต่เลือดที่เปรอะเปื้อนไปทั่ว แต่หาใช่เลือดที่เกิดจากบาดแผลของตัวเอง เพราะเป็นเลือดของบ่าวชายที่ถูกแทงตายด้วยความบ้าคลั่งของสามีนาง
บุรุษใจชั่วพาดกระบี่ที่ลำคอหญิงสาวที่เป็นดั่งรักแรกของตน แต่ยังไม่ทันที่จะได้บั่นคอ นางกลับกลัวตาย นางยื้อแย่งชิงกระบี่จากบุรุษชั่วมาได้ แล้วจ้วงเข้าไปที่ท้องของบุรุษที่เป็นสามีที่แย่งชิงมาจากสหาย ด้วยความกลัวว่าสามีจะสังหารนาง นางดึงกระบี่ออกมาจากร่างของเขาแล้วแทงซ้ำเข้าไปอีกครั้ง
สามีของนางยืนนิ่งด้วยความตกใจ ไม่คิดว่านางจะกล้าเอากระบี่แทงตนเอง ดวงตาของเขาเบิกกว้างเมื่อปลายกระบี่เสียบเข้าที่หน้าอกจนทะลุ ร่างแกร่งทรุดลงทันที เลือดไหลนองพื้น หญิงผู้นั้นปล่อยกระบี่ด้วยความกวาดกลัวส่งเสียงกรีดร้องด้วยความตกใจและตื่นตระหนก
เสียงกรีดร้องของนางดังก้องไปทั่วเรือน ผู้คนที่อยู่ในบริเวณใกล้เคียงต่างพากันวิ่งเข้ามาดูด้วยความตื่นตระหนก ภาพที่ปรากฏแก่สายตาพวกเขาคือร่างไร้วิญญาณของบ่าวชายที่ถูกฆ่าและร่างของสามีที่นอนจมกองเลือด ในขณะที่หญิงสาวยืนอยู่ในสภาพที่เต็มไปด้วยเลือด
พอนางรู้ว่าทำอะไรลงไป นางก็วิ่งหนีออกไปจากจวนด้วยความกลัวจนสติแตก หลังจากนั้น นางก็กลายเป็นสตรีบ้าที่ผู้คนกล่าวขานว่านางร่านราคะมักมากในกาม เรียกบ่าวไพร่ในจวนเข้ามาบำเรอไม่ขาดจนสามีจับได้ และเป็นคนฆ่าสามีด้วยตัวเอง
ตำนานหญิงงามร่านราคะจึงเป็นที่กล่าวขานอย่างแพร่หลาย นางกลายเป็นที่รู้จักในฐานะหญิงบ้าที่หลงใหลในกามารมณ์อย่างไม่เลือกหน้า ผู้คนต่างเล่าถึงนางด้วยความรังเกียจและเกรงกลัว ชื่อเสียงของนางถูกแพร่กระจายไปไกล
ในที่สุด นางก็หายสาบสูญไป ไม่มีใครรู้ว่าชะตากรรมของนางเป็นเช่นไร ไม่มีใครสนใจตามหานางและนั่นคือสิ่งที่พวกมันได้ชดใช้อย่างสาสม
'เจียงเอ๋อร์...ข้าอยากบอกเจ้าว่าข้าจัดการคนพวกนั้นอย่างไรบ้าง แต่ถ้าหากข้าพูดไปเกรงว่าเจ้าจะหาว่าข้าเป็นคนเสียสติกระมัง' สวีเสวียนหนานปล่อยคำพูดลอยตามลมก่อนจะใช้วิชาตัวเบาทะยานลงไปที่ลำธารเมื่อเห็นสิ่งที่ลอยมาตรงหน้า มือหนาโฉบเอาผ้าเช็ดหน้าที่ลอยมาจากต้นน้ำพร้อมมองไปทางนั้น ร่างเล็กของหญิงสาวยังคงเล่นน้ำจับปลากับสาวใช้อย่างเพลิดเพลิน เสียงพูดเสียงหัวเราะยังคงดังเข้ามาในโสตประสาทมิจางหาย
มือหนาจับผ้าปักลายดอกกุ้ยฮวาลูบไล้แผ่วเบาด้วยความหลงใหลก่อนใช้วิชาตัวเบากระโดดหยั่งเท้าบนผิวน้ำพุ่งทะยานออกไปยืนประจำยังจุดเดิม
...
เรือนฮุ่ยเหลิน
"ฮัดชิ่ว! ฮัดชิ่ว!" เสียงจามหลายครั้งติดทำเอาใบหน้านวลแดงก่ำน้ำมูกไหลออกใสมือบางยกผ้าสะอาดซับน้ำมูกด้วยความรำคาญแต่ก็โทษใครไม่ได้นอกจากความดื้อรั้นของนางเองใครจะไปคิดว่าแค่เล่นน้ำนิด ๆ หน่อย ๆ กลับทำให้นางเหมือนจะเป็นไข้
"คุณหนูเจ้าคะบ่าวต้มยามาแล้วเจ้าค่ะ"
"ขอบใจเจ้ามากแต่นี่ไม่มีใครรู้ใช่หรือไม่ข้าไม่อยากโดนท่านพ่อท่านแม่ กับแม่รองบ่นน่ะบ่นทีข้าหูชาไปตั้งหลายวัน" ฮุ่ยเจียงบ่นพึมพำสลับจามไม่หยุด ปลายจมูกเชิดรั้นแดงก่ำ
"บ่าวเตือนคุณหนูแล้วนะเจ้าคะใครใช้ให้คุณหนูของบ่าวดื้อนัก"
"เจ้านี่ก็อีกคน ข้าบอกว่าไม่อยากฟังท่านพ่อท่านแม่กับแม่รองบ่นแต่เจ้ากลับบ่นข้าแทนเสียอย่างนั้น อื้อ..เจียอีเหตุใดยาขมนักเล่า" ฮุ่ยเจียงบ่นสาวใช้และยกถ้วยยาขึ้นดื่ม ทันทีที่ยาสมุนไพรสัมผัสกับปลายลิ้น นางก็แทบจะสำรอกออกมาใบหน้าสวยบิดเบี้ยวแต่ก็ต้องทนฝืนกลืนลงไปเพราะกลัวว่าจะเป็นหนัก
"หวานเป็นลมขมเป็นยานะเจ้าคะ ขม ๆ แบบนี้แหละดีนักนะเจ้าคะดีไม่ดีพรุ่งนี้ตื่นมาหายไข้แน่นอนเจ้าค่ะ นี่เจ้าค่ะพุทราเชื่อม" เจียอียื่นพุทราเชื่อมที่เตรียมมาส่งให้คุณหนู โดยที่ฮุ่ยเจียงก็หยิบพุทราเชื่อมเข้าปากด้วยความรวดเร็ว ความหวานชุ่มคอพอจะดับความขมปร่าที่ติดอยู่ในลำคอลงได้
"เจ้าไปเถอะข้าจะนอนแล้ว" ฮุ่ยเจียงพูดพร้อมกับโบกมือไล่สาวใช้
"เจ้าค่ะคุณหนู" เจียอีย่อกายแล้วหันหลังกลับออกไปส่วนฮุ่ยเจียงก็เดินเข้าไปหลังฉากแล้วจัดการบ้วนปากและเปลี่ยนชุดเหลือเพียงแค่ชุดสีขาวตัวบางสำหรับใส่นอน ร่างเล็กเอนตัวลงนอนห่มผ้าผืนหนาอย่างสบายใจจากนั้นก็หลับไปด้วยความรวดเร็วเพราะฤทธิ์ยา
จวนสวีเสวียนหนาน"ขนาดนางหลับยังน่ารักขนาดนี้" เสียงอ่อนละมุนของสวีเสวียนหนานทำเอาซีฮั่นแอบกลอกตา นี่ท่านกำลังลักพาตัวบุตรสาวท่านราชครูมาอยู่นะ เหตุใดถึงยังใจเย็นไม่รีบส่งข่าวกัน เอาแต่นั่งมองนางมาครึ่งชั่วยามแล้ว ทั้งยังนั่งพัดวีให้ไม่หยุด ซีฮั่นแทบไม่เห็นแมลงสักตัวบินผ่าน เพราะมันไม่มีชีวิตรอดตั้งแต่บินโฉบลงมาแล้ว ช่างเป็นคนที่เหี้ยมโหดโดยแท้ ส่วนเขาที่ต้องระเห็จมานั่งอยู่หน้าเรือนก็เพราะเผลอไปแอบมองท่านอ๋องอยู่นะสิ!สวีเสวียนหนานหาได้สนใจสิ่งใด ตอนนี้เอาแต่นั่งมองยอดดวงใจ ยามที่เห็นนางกำลังตกน้ำหัวใจของเขาแทบกระเด็นออกมา ยังไม่ทันที่นางจะร่วงลงสู่ผืนน้ำ เขาก็โฉบเข้าไปฉกตัวนางมาจากอ้อมแขนของหญิงชั่วคนนั้นเสียก่อน ไม่ลืมถีบนางหญิงสารเลวนั่นเพื่อส่งให้นางลงสู่ผืนน้ำโดยไว ส่วนเจ้าบุรุษชั่วผู้นั้นซีฮั่นก็เป็นคนส่งมันลงสู่แม่น้ำด้วยลูกถีบที่แคล่วคล่องว่องไว และไม่คิดว่ามีใครมองเห็นนอกจากท่าทางการลงน้ำที่ดูน่าตลกนั่นแต่ครั้งนี้ก็ถือว่าเขายังใจดีกับพวกมันอยู่ส่วนฮุ่ยเจียงที่นอนหลับไม่รู้เรื่องราว นางไม่รู้เลยว่าตอนนี้นางมาอยู่ที่จวนท่านอ๋องและยังนอนเตียงของเขาอย่างสบายใจ สวีเสวียนหนานมองใ
ฮุ่ยเจียงถูกจิ่วเย่วกึ่งลากกึ่งจูงมาบนสะพานเซี่ยงจื่อ หลังจากแวะซื้อโคมไฟเพื่อนำมาลอย โดยที่จิ่วเย่วเป็นคนลงทุนซื้อมาให้ ฮุ่ยเจียงเพียงปรายตามองเท่านั้นเพราะรู้ถึงสาเหตุที่นางลงทุนสิ้นเปลืองเงินในครั้งนี้ฮุ่ยเจียงมองผู้คนมากมายเดินสวนกันไปมา บางคนก็มากันเป็น คู่ ๆ ซึ่งสะพานนี้เป็นสะพานที่ขึ้นชื่อเรื่องความรัก คู่รักจึงพากันมาที่นี่เพื่อจะปล่อยโคมขึ้นไปบนท้องฟ้าและอธิษฐานร่วมกัน ฮุ่ยเจียงมองผู้คนโดยรอบก่อนจะหันไปเห็นคนของพี่ชายซึ่งนางขอร้องให้พี่ชายส่งคนมาตามดูนางอย่างลับ ๆ พี่ชายนางเองก็เป็นห่วงจึงส่งคนมาดูแลเพราะกลัวว่านางจะเกิดอันตรายในเมื่อห้ามไม่ให้นางมามิได้ ตัวเองก็ติดภารกิจทำให้ไม่สามารถตามมาดูแลด้วยตัวเองได้ แต่สิ่งที่ฮุ่ยเจียงไม่มีวันรู้เลยก็คือรอบตัวนางยังมีเหล่าองครักษ์ที่อยู่ชุดธรรมดาเพื่อให้กลมกลืนกับผู้คน คอยตามดูนางอย่างใกล้ชิดและยังมีองครักษ์เงาที่คอยเฝ้าดูอยู่ไม่ละสายตา รวมถึงดวงตาคมกริบของคนผู้หนึ่งที่มองตามนางไม่วางตา"อันนี้โคมไฟรูปกระต่ายข้าเลือกให้เจ้าเองกับมือเพราะข้ารู้ว่าเจ้าชอบเอาล่ะเจ้าอธิษฐานสิ" จิ่วเย่วส่งโคมไฟรูปกระต่ายให้ฮุ่ยเจียงก่อนจะหันไปหาคนที่ร่วมอ
เมื่อเดินผ่านร้านขายเครื่องประดับอีกแห่งหนึ่งจิ่วเยว่ก็เดินเข้าไปนางหยิบกำไลที่ประณีตและงดงามขึ้นมา "ฮุ่ยเจียง เจ้าดูนี่..กำไลหยกชิ้นนี้สิ งดงามมากทีเดียว" จิ่วเย่วพูดจบก็สวมกำไลหยกสีเขียว พร้อมกับลูบคลำด้วยความชื่นชอบด้วยดวงตาเป็นประกาย ถึงจะไม่งามเท่าที่นางเห็น ฮุ่ยเจียงสวมแต่ก็ดีกว่าชิ้นไหน ๆ ที่วางขายและนางก้อยากได้อยู่พอดี"คุณหนู กำไลชิ้นนี้พอประดับอยู่บนตัวท่านช่างงดงามเสียจริง ๆ" เจ้าของร้านเอ่ยชม แต่ฮุ่ยเจียงเห็นใบหน้าที่แสนเจ้าเล่ห์ของเจ้าของร้าน ปากช่างเจรจาแบบนี้เห็นทีว่าจะขายดีเลยทีเดียว"จริงหรือเถ้าแก่ ฮุ่ยเจียงเจ้าช่วยข้าดูหน่อยสวยงามจริง ๆ หรือ" จิ่วเย่วพูดกับเจ้าของร้านแล้วหันมาทางฮุ่ยเจียงที่เพียงมองนิ่ง ๆ เท่านั้นก่อนที่จะลื่นไหลตามน้ำกล่าวชมไม่ต่างจากเจ้าของร้าน"เหมาะกับเจ้าจริง ๆ ด้วยเจ้าช่างตาถึงยิ่งนัก ปิ่นอันนี้ก็สวยไม่แพ้กัน ไหนให้ข้าลองเสียบผมเจ้าหน่อยสิ ดูสิเถ้าแก่ปิ่นชิ้นนี้กับกำไลหยกที่สหายข้าสวมช่างเข้ากันดีเสียเหลือเกิน ใช่ตามที่ข้าพูดหรือไม่เจ้าคะ"ฮุ่ยเจียงพูดชมด้วยความตื่นเต้นหลังจากหยิบปิ่นขึ้นไปเสียบบนศีรษะของจิ่วเย่ว ดวงตาเปล่งประกายชื่นชมก่อนจะ
จวนราชครู"นะ..ฮุ่ยเจียง เจ้าไปกับข้าเถิด ข้าจำได้ว่าปีที่แล้วมีอาหารอร่อย ๆ ตั้งหลายร้าน เจ้ากับข้ายังเดินเล่นกันจนเพลินลืมเวลากลับจวนเลย เจ้าจำได้หรือไม่" จิ่วเย่วลูกสาวนายอำเภอที่เป็นเพื่อนเล่นของฮุ่ยเจียงมาตั้งแต่เด็กวันนี้นางมาเพื่อจะพาฮุ่ยเจียงไปเทศกาลหยวนเจียง* (เทศกาลโคมไฟ) ตามที่ได้วางแผนกับห่าวอู๋เอาไว้วันนี้นางจะพลาดไม่ได้ส่วนฮุ่ยเจียงนั้นรู้อยู่แล้วว่าวันนี้เป็นวันที่เกิดเหตุการณ์ที่ทำให้นางได้แต่งงานกับห่าวอู๋ นางเองก็ไม่อยากไปแต่ถ้าปฏิเสธตอนนี้ก็เกรงว่า จะทำให้สหายพี่เติบโตมาด้วยกันสงสัยเอาได้ ว่าเหตุใดนางจึงไม่หัวอ่อนและดูโง่เง่าเหมือนอย่างเคย"เช่นนั้นก็ได้ ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวข้าไปเจอเจ้ายามโหย่ว (17:00-18.59) ก็แล้วกัน" ฮุ่ยเจียงพูดพร้อมกับยกน้ำชาขึ้นจิบ แต่สายตาก็มองไปยังสหายที่ชาติที่แล้วเคยเชื่อใจ และรักนางเหมือนกับคนในครอบครัว ไม่คิดว่าสหายหน้าซื่อใจคดผู้นี้จะทำให้ตระกูลนางถูกสังหาร และสั่งฆ่านางกับของนางได้อย่างเลือดเย็นความโกรธแค้นสุมแน่นอยู่ในอก ฮุ่ยเจียงจิกเล็บเข้าไปในเนื้อเพื่อระงับอารมณ์ สายตาเย็นชาแต่ใบหน้ายังคงยิ้มบาง 'ชาตินี้อ
"ต้นท้อหลวงเป็นพันธุ์ไม้แปลกหายากสิบปีถึงจะออกดอกออกผล" เขาพูดแล้วยิ้มด้วยความดีใจที่เด็กน้อยยอมพูดด้วยฮุ่ยเจียงตาโต มีต้นไม้ที่ใช้เวลาออกดอกออกผลนานขนาดนี้ด้วยหรือ "นานถึงเพียงนั้นเลยหรือพี่ชาย ไม่ใช่ว่ามันจะตายก่อนหรือเจ้าคะกว่าจะได้เห็นผลของมันหรือกว่าจะได้ลิ้มรสชาติของต้นไม้ต้นนี้" เด็กน้อยพูดขึ้นด้วยความสงสัยยื่นมือไปสัมผัสเจ้าต้นท้อหลวงด้วยความสนใจ"ถ้าเจ้าดูแลมันด้วยความรัก หมั่นรดน้ำพรวนดินใส่ปุ๋ยแล้วอย่าลืมใส่ใจลงไปด้วย ถ้าหากว่าคิดถึงข้าเจ้าก็พูดกับมันออกมา ให้เจ้าคิดว่าข้าคือต้นไม้ต้นนี้ถึงแม้ว่าข้าจะตอบโต้เจ้าไม่ได้ แต่ข้ารับรู้ได้แน่นอน" สวีเสวียนหนานพูดจากหลอกล่อเด็กน้อย “จริงหรือเจ้าคะ” เด็กน้อยถามด้วยความกระตือรือร้น นางเชื่ออย่างสนิทใจ"จริงที่สุดเพียงแค่เจ้าทำตามทุกอย่างที่ข้าพูด ดังนั้นข้าขอฝากเจ้าดูแลต้นไม้ต้นนี้ได้หรือไม่" เขายื่นต้นไม้ให้นาง ฮุ่ยเจียงรับต้นท้อหลวงมาด้วยความระมัดระวัง "ข้าจะดูแลมันอย่างดี ขอบคุณพี่ชายมากนะเจ้าคะ ท่านเชื่อใจข้าได้เลย สิบปีก็สิบปี หากถึงวันนั้นท่านกลับมาแล้วท่านจะได้ลิ้มรสชาติผลไม้ต้นนี้อย่างแน่นอน" ฮุ่ยเจียงตอบด้วยท่าทางขึงขัง ดวง
ซีฮั่นที่ได้ยินก็ส่ายหัวอย่างนึกระอา สิ่งที่เขาเตือนคงไม่เข้าหูคนอย่างนาง พลางนึกไปถึงครั้งที่นางถูกส่งมาเป็นหญิงอุ่นเตียงให้ท่านอ๋องใหม่ ๆ ตอนนั้นนางอยู่แบบเจียมเนื้อเจียมตัวโดนเหล่าบรรดาหญิงอุ่นเตียงก่อนหน้านั้นรังแกสารพัด จนท่านอ๋องทนความรำคาญไม่ไหวจึงส่งพวกนางออกไปแต่ยังเหลือนางเอาไว้เพราะสงสาร แต่ไม่คิดว่านางจะคิดกำเริบเสิบสานคงคิดว่าท่านอ๋องเอ็นดูนางกระมัง แต่ที่นางไม่มีโอกาสเข้ามารับใช้ท่านอ๋องเลยสักครั้งก็เพราะว่าท่านอ๋องมิได้สนใจนางต่างหาก แม้ว่านางจะแต่งกายยั่วยวนเพียงใด สายตาท่านอ๋องก็มิเคยชายตาแล แต่นางก็ไม่คิดยอมแพ้และหาวิธีเข้าใกล้ท่านอ๋องทุกครั้งแต่ครั้งนี้เหมือนว่าท่านอ๋องคงไม่เก็บไว้ให้ระคายสายตาซีฮั่นยกสุราเข้ามาวางแล้วจัดการเทสุราให้ท่านอ๋องก่อนที่จะได้ยินท่านอ๋องพูดด้วยสีหน้าเคร่งขรึม"ข้าได้ลองคุยกับเสด็จแม่แล้ว ให้คุยกับเสด็จพ่อเรื่องการส่งหญิงงามเข้ามาที่จวน ต่อไปนี้คงไม่มีอีก ส่วนคนที่เหลือเจ้าจัดการพาพวกนางออกไปให้พ้น ๆ หน้าข้าด้วยก็แล้วกัน ยิ่งมีคนมากข้าก็ยิ่งรำคาญ มันผู้ใดที่ต้องการจะปีนเตียงข้าเจ้าควรรู้ว่าต้องกำจัดเช่นไร” สวีเสวียนหนานพูดพร้อมกับถอนหายใจอ