Mag-log inหลิวซินมองการกระทำของเขาอย่างตั้งใจ ก่อนจะเผลอยิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัว เมื่อได้เพ่งพินิจชัด ๆ จึงเห็นว่าเขาเองก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าผู้ใด ถึงจะไม่เรียบร้อยงดงามแบบบัณฑิตในเมืองใหญ่ แต่ร่างสูงใหญ่สง่างาม ใบหน้าคมแฝงความอ่อนหวานอย่างลงตัว ริมฝีปากได้รูปรับกับสันจมูกโด่งผึ่งผาย… นี่เป็นครั้งแรกที่นางได้เห็นหน้าของตงจวินอย่างจริงจัง ‘สามีเช่นนี้ เหตุใดชาติก่อนข้าถึงตามืดบอด มองไม่เห็นคุณงามความดีของเขากันเล่า’
ในขณะที่นางกำลังยิ้มบางมองเขาอยู่นั้น พอดีกับที่ตงจวินเงยหน้าขึ้น สายตาของเขาสบเข้ากับรอยยิ้มหวานแฝงความลึกซึ้งทันที หลิวซินสะดุ้งเล็กน้อย รีบหุบยิ้ม มือที่ถูกเขาจับอยู่ค่อย ๆ ดึงกลับ “ข้าขอบคุณท่านมาก” นางเอ่ยเสียงเบา แม้เขาจะทำแผลให้นาง แต่กลับไม่รู้สึกเจ็บเท่าใดนัก “เจ้าแน่ใจหรือไม่ ว่าไม่รู้ว่าใครเป็นคนผลักเจ้า” เขาถามด้วยความเป็นห่วง ทันใดนั้น ภาพเหตุการณ์ย้อนเข้ามา แม้นางหันหลังอยู่ แต่ยังพอมองเห็นร่างหนึ่งรีบก้าวออกจากโขดหินอย่างลนลาน และนางจำแผ่นหลังนั้นได้ชัดเจน เหอซาน หญิงสาวที่แอบรักตงจวินข้างเดียว นางเลือกที่จะไม่บอกเรื่องนี้ออกไป หากอีกฝ่ายหมายเอาชีวิตตน เช่นนั้นนางก็จะตอบแทนกลับไปให้สม หลิวซินหันมาสบสายตาเปี่ยมห่วงใยของเขา ก่อนส่ายหน้าเบา ๆ “ข้าไม่เห็นว่าเป็นใคร ตอนนั้นข้าหันหลังอยู่” น้ำเสียงและสีหน้าที่ทำออกมาเต็มไปด้วยความน่าสงสาร ตงจวินมองอย่างจับผิดเล็กน้อย แต่เมื่อเห็นดวงตาแดงเรื่อที่สั่นระริก ก็คงเพราะเหตุการณ์เมื่อครู่ทำให้นางหวาดกลัวจริง ๆ จึงกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ในเมื่อเจ้าไม่รู้ เช่นนั้นข้าจะคอยช่วยสืบหาเอง ช่วงนี้อย่าออกไปไหนตามลำพัง หากจะไปไหนให้พามารดาไปด้วย จะได้ปลอดภัยกว่า” หลิวซินฟังจนจบ ดวงตาสั่นระริกยิ่งกว่าเดิม “ท่าน…เป็นห่วงข้าหรือ” คำถามนั้นทำให้ตงจวินชะงัก ใบหน้าแดงซ่านทันตา เขาหลุบตาลงต่ำตอบแผ่วเบา “ในเมื่อเจ้าจะเป็นภรรยาของข้าแล้ว ข้าย่อมไม่อยากให้เจ้าต้องบอบช้ำเพราะเหตุใด ๆ อีก” สีแดงระเรื่อที่ขับให้ใบหูเด่นชัดยิ่งนัก ยิ่งทำให้หลิวซินมองเขาแล้วหัวใจอบอุ่น “ข้ารู้แล้ว ท่านไม่ต้องห่วงหรอก” นางเอ่ยตอบ พลางเหลือบตาไปยังฝั่งที่เริ่มมีคนเดินเข้ามา “ท่าน…ช่วยไปส่งข้าที่ฝั่งได้หรือไม่ ข้าไม่อยากให้ผู้อื่นเห็น” ตงจวินเหลือบตามองตาม ก่อนค่อย ๆ พายเรือเข้าใกล้ฝั่งเพื่อส่งนางกลับ “ช่วงนี้อย่าเพิ่งมาหาของแถวนี้ รอให้แผลหายดีก่อนเถิด น้ำเค็มจะยิ่งทำให้เจ็บมากกว่าเดิม” “ข้ารู้แล้ว ข้าไปก่อน” หลิวซินรีบปีนลงจากเรือ โดยมีเขายืนช่วยอยู่ไม่ห่าง เมื่อเท้าสัมผัสพื้นดิน นางก็รีบเดินตรงไปหามารดาทันที พอถึงที่ที่กัวหยุนนั่งอยู่ หลิวซินก้มลงมองตะกร้า เห็นเพียงหอยเล็กน้อย ที่จริงแถบนี้เคยมีหอยแมงภู่ชุกชุม แต่เพราะผู้คนแห่มาหามากเกินไป จึงทำให้จำนวนลดน้อยลงทุกที สำหรับผู้ที่มีเรือ ย่อมได้เปรียบกว่าชาวบ้านทั่วไป สามารถออกไปกลางทะเลเพื่อตกปลาและหาสัตว์น้ำหลากชนิดไปขาย ทว่าก็ต้องเสี่ยงชีวิตกับคลื่นลมแรงที่พร้อมจะซัดเรือให้คว่ำได้ทุกเมื่อ กัวหยุนเงยหน้าขึ้นเพราะเห็นเงาสะท้อนบนพื้นทราย พลันพบว่าลูกสาวยืนอยู่ตรงหน้า เสื้อผ้าเปียกชุ่มแนบเรือนร่าง และมือข้างหนึ่งยังมีผ้าพันเอาไว้ชัดเจนว่าเพิ่งบาดเจ็บมา “เจ้าไปหาของตรงไหน ถึงได้ตกน้ำเปียกปอนเช่นนี้ แล้วมือไปโดนอะไรมา” กัวหยุนเอื้อมคว้ามือบุตรสาวมาดูใกล้ ๆ ด้วยความร้อนใจ สายตาของหลิวซินเหลือบไปเห็นเหอซานที่เพิ่งเดินกลับมา สีหน้าและท่าทีของหญิงสาวผู้นั้นกลับปกติราวกับไม่เคยเกิดเหตุใดขึ้น ทำเอาหลิวซินยิ่งแน่ใจในสิ่งที่คิด แต่ก็เลือกตอบมารดาด้วยน้ำเสียงหนักแน่นกว่าเดิม “เมื่อครู่ข้าถูกผู้ใดไม่รู้ผลักตกน้ำ มือเลยไปกระแทกหินเข้า แค่พักรักษาไม่กี่วันก็คงหายแล้ว” เหอซานได้ยินดังนั้น ใบหน้าร้อนวาบ กัดฟันแน่นพลางส่งสายตาขุ่นเคืองมาให้ หลิวซิน ราวกับจะข่มขู่ ก่อนจะเดินกระแทกส้นเท้าลงบนพื้นทรายอย่างไม่สบอารมณ์ กัวหยุนสังเกตเห็นท่าทีไร้มารยาทนั้น ก็อดรู้สึกไม่ชอบใจไม่ได้ จึงหันไปถามลูกสาว “เด็กคนนั้นเป็นอะไรไป” หลิวซินเบี่ยงสายตาเล็กน้อย ก่อนตอบเสียงเรียบ “บางทีอาจเป็นคนไม่ดีที่ข้าพูดถึงเมื่อครู่ก็เป็นได้…แต่ไม่ต้องสนใจหรอกเจ้าค่ะ” กัวหยุนยิ่งกังวล ยกมือของบุตรสาวขึ้นมาดูอีกครั้ง “ในเมื่อมือเจ้าเจ็บแล้ว กลับไปพักที่บ้านก่อนเถอะ” “เช่นนั้น ข้าจะกลับไปเตรียมอาหาร รอให้ท่านกลับไปกินด้วยกัน” หลิวซินกล่าวจบ ก็นำของที่มารดาหาได้มาแบ่งใส่ตะกร้าของตนเอง แล้วสะพายขึ้นหลังมุ่งหน้ากลับบ้าน ระหว่างทาง นางทอดสายตามองสองข้างทางไปด้วย หมู่บ้านนี้อยู่ไม่ห่างทะเลนัก ผู้คนส่วนใหญ่เลี้ยงชีพด้วยการหาสัตว์น้ำไปขาย เพราะผืนดินแถบนี้ไม่อุดมสมบูรณ์เท่าไหร่ การเพาะปลูกแทบไม่อาจทำได้ ส่วนใหญ่บรรดาชายหนุ่มจึงมีเรือไว้ใช้หาปลา ทว่าทะเลก็โหดร้ายพอ ๆ กับที่เลี้ยงดูพวกเขา คลื่นลมแรงอาจคร่าชีวิตผู้คนได้ทุกเมื่อ ราวกับสวรรค์ไม่ได้ปรานี หลิวซินกลับต้องพบกับคนที่ครั้งหนึ่งเคยรักหมดใจในชาติก่อน นางรีบเบี่ยงตัวเพื่อหลบ แต่ยังไม่ทันก้าวพ้น ชายผู้นั้นกลับคว้าข้อมือเอาไว้ หลิวซินสะบัดแรงจนเขาต้องปล่อยทันที “ท่านต้องการสิ่งใด” นางจ้องเขม็งไปด้วยแววตาเย็นชา เจียงหมิงมองใบหน้าของหญิงสาวด้วยความประหลาดใจ แววตาเขาเต็มไปด้วยความรู้สึกดี แต่กลับแฝงความลังเลอยู่ลึก ๆ “เหตุใดเจ้าต้องปัดมือพี่ออกเช่นนั้น” น้ำเสียงเขาเจือความน้อยใจ “ก็เพราะท่านมาจับมือข้ากลางทาง ผู้คนแถบนี้สัญจรพลุกพล่าน หากมีใครมาเห็นเข้าคงไม่ดีนัก” หลิวซินเหลือบตามองรอบ ๆ พลางนึกถึงเรื่องของตงจวินที่ไม่อยากให้ใครเอาไปพูดถึง เจียงหมิงก้มหน้าลงเล็กน้อย “จริงของเจ้า…ข้าได้ข่าวมาว่าเจ้ากำลังจะแต่งงานจริงหรือ” หลิวซินพยักหน้าเบา ๆ “ท่านเองก็เช่นกันไม่ใช่หรือ” นางก้มหน้าลง ทำเสียงเศร้าราวกับเจ็บปวดใจ ชายหนุ่มเห็นท่าทีอ่อนแรงนั้นก็ยิ่งอยากปลอบโยน “อย่าได้เสียใจไปเลย ถึงแม้เจ้าจะแต่งงานแล้ว ข้าก็ยังคงรักเจ้าเช่นเดิม ส่วนเรื่องแต่งงานของพี่…หาใช่ความสมัครใจไม่ เจ้าก็รู้ว่าพี่ไม่อาจขัดใจท่านแม่ได้” เขาพูดด้วยสีหน้าเจ็บปวด แต่ในใจกลับคิดถึงเพียงเงินทองและอำนาจของหญิงที่ตนจะเกี่ยวดองด้วย “เมื่อท่านแต่งงานแล้ว เช่นนั้นเรื่องของเราก็ควรสิ้นสุดเพียงเท่านี้” หลิวซินเอ่ยเสียงเรียบ ไม่คิดจะสานสัมพันธ์อีก เจียงหมิงรีบร้อนรน “น้องอย่าคิดเช่นนั้นเลย ถึงพี่จะมีภรรยา แต่วันหนึ่งเมื่อสอบได้ตำแหน่งใหญ่ พี่สามารถมีอนุภรรยาได้อีก พี่จะให้น้องอยู่อย่างสุขสบาย ไม่ต้องลำบาก ข้าจะหย่ากับหญิงนั้น แล้วมาแต่งกับน้อง ดีหรือไม่” คำพูดออดอ้อนเหล่านี้ ทำให้หลิวซินเพียงยิ้มมุมปาก แท้จริงแล้วมิได้ต่างจากถ้อยคำที่เขาเคยพร่ำบอกในชาติปางก่อนเลยแม้แต่น้อย… และก็เพราะถ้อยคำลวงนี้เอง ที่ทำให้นางตัดสินใจลงมือฆ่าสามีเพื่อไปอยู่กับเขา ในที่สุดก็ต้องตายอย่างโง่เขลาและโดดเดี่ยว แต่ในชาตินี้ หลิวซินจะไม่เดินซ้ำรอยเดิมอีกต่อไป…หลิวซินรีบออกมาจากมิติ เมื่อถึงยามเที่ยงก็เห็นมารดาเดินหอบตะกร้ากลับมา นางรีบวิ่งออกไปช่วยถือของเข้าบ้านด้วยท่าทางคล่องแคล่ว“เจ้าไม่ต้องช่วยแม่หรอก มือของเจ้ายังเจ็บอยู่มิใช่หรือ” กัวหยุนเหลือบตามองแผลของลูกสาวด้วยความห่วงใย“ตอนนี้มือของข้าดีขึ้นแล้วเจ้าค่ะ ท่านแม่เพิ่งกลับมา เหนื่อยทั้งเช้า ควรกินข้าวเสียก่อน” หลิวซินเอ่ยพลางมองมารดาด้วยแววตาเวทนา ตั้งแต่บิดาสิ้นชีวิต มารดาก็เป็นผู้แบกรับทุกสิ่ง เลี้ยงดูนางเพียงลำพัง“ท่านแม่เหนื่อยหรือไม่เจ้าคะ” เสียงของนางอ่อนโยน แฝงความสงสารอย่างจริงใจกัวหยุนชะงักไป ดวงตาคู่สวยแดงก่ำขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว ตั้งแต่เลี้ยงลูกสาวมาก็ไม่เคยได้ยินถ้อยคำห่วงใยเช่นนี้ “แม่ไม่เหนื่อยหรอก ยังมีแรงเลี้ยงหลานเจ้าได้อีกหลายคน” นางยิ้มบาง ๆ ทั้งยังแอบฝันเงียบ ๆ ว่าอยากอยู่ดูหลานน้อยในอนาคตหลิวซินยกมุมปากขึ้นเล็กน้อย ใจเจือด้วยความอบอุ่น ชาติที่แล้วมารดามีอายุไม่ยืน ครั้งนี้ข้าจะทำให้ทุกความปรารถนาของท่านเป็นจริงให้ได้… เมื่อแต่งงานแล้ว จะรับท่านแม่ไปอยู่ด้วย แต่เรื่องนี้นางยังมิได้เอ่ยออกไป“วันนี้ทำไมเจ้าถึงพูดเช่นนี้ หรือว่าตอนตกน้ำศีรษะกระแทกจนเปลี่ยนไป” มารด
“ท่านมาหาข้าที่นี่ คงไม่ใช่เพียงเรื่องเล็กน้อยใช่หรือไม่?” นางหรี่ตาคมมองชายตรงหน้าอย่างคาดคั้นเจียงหมินหัวเราะเบา ๆ พลางทำท่าทางใสซื่อเช่นที่นางเคยชอบ “พี่ไม่ได้ตั้งใจมารบกวนหรอก เรื่องที่จะพูด อาจทำให้น้องลำบากใจอยู่บ้าง” เขาอ้ำอึ้งไปครู่หนึ่ง ก่อนเอ่ยออกมาในที่สุด“อีกเจ็ดวันพี่ต้องเดินทางไปสอบที่เมืองตงชาง จำเป็นต้องใช้เงินจำนวนไม่น้อย แต่เงินที่พี่มีไม่เพียงพอ” เขาเหลือบมองนางด้วยแววตาน่าสงสาร “น้องพอจะช่วยพี่ได้หรือไม่”หลิวซินไม่แปลกใจ นางคิดไว้แล้วว่าเขาจะต้องมาขอเรื่องนี้ หากเป็นเมื่อก่อน นางคงควักเงินที่มี หรือแม้กระทั่งแอบขโมยจากมารดามอบให้เขาจนหมด แต่ตอนนี้…อย่าหวังเลยว่าจะได้แม้แต่อีแปะเดียวจากนางนางแสร้งไอเบา ๆ “ช่วงนี้ข้าไม่ค่อยสบาย ท่านก็รู้ว่าก่อนหน้านี้ไม่นาน ข้าตกน้ำจนป่วย และวันนี้ยังล้มจนมือบาดเจ็บอีก จำเป็นต้องใช้เงินในการรักษาตัวอยู่มาก ข้ากำลังตั้งใจจะไปหาท่านพอดี อยากจะขอยืมเงินจากท่านสักเล็กน้อย พอเป็นค่ารักษายา” นางหยุดพูดพลางไอออกมาอีกครั้ง“ท่านพอจะมีให้ข้าบ้างหรือไม่ เงินที่ข้ามี หมดไปกับค่ารักษาข้าหมดแล้ว ไหน ๆ อีกไม่นานเราก็จะเป็นครอบครัวเดียวกันแล้วไ
หลิวซินมองการกระทำของเขาอย่างตั้งใจ ก่อนจะเผลอยิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัว เมื่อได้เพ่งพินิจชัด ๆ จึงเห็นว่าเขาเองก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าผู้ใด ถึงจะไม่เรียบร้อยงดงามแบบบัณฑิตในเมืองใหญ่ แต่ร่างสูงใหญ่สง่างาม ใบหน้าคมแฝงความอ่อนหวานอย่างลงตัว ริมฝีปากได้รูปรับกับสันจมูกโด่งผึ่งผาย… นี่เป็นครั้งแรกที่นางได้เห็นหน้าของตงจวินอย่างจริงจัง ‘สามีเช่นนี้ เหตุใดชาติก่อนข้าถึงตามืดบอด มองไม่เห็นคุณงามความดีของเขากันเล่า’ในขณะที่นางกำลังยิ้มบางมองเขาอยู่นั้น พอดีกับที่ตงจวินเงยหน้าขึ้น สายตาของเขาสบเข้ากับรอยยิ้มหวานแฝงความลึกซึ้งทันทีหลิวซินสะดุ้งเล็กน้อย รีบหุบยิ้ม มือที่ถูกเขาจับอยู่ค่อย ๆ ดึงกลับ “ข้าขอบคุณท่านมาก” นางเอ่ยเสียงเบา แม้เขาจะทำแผลให้นาง แต่กลับไม่รู้สึกเจ็บเท่าใดนัก“เจ้าแน่ใจหรือไม่ ว่าไม่รู้ว่าใครเป็นคนผลักเจ้า” เขาถามด้วยความเป็นห่วงทันใดนั้น ภาพเหตุการณ์ย้อนเข้ามา แม้นางหันหลังอยู่ แต่ยังพอมองเห็นร่างหนึ่งรีบก้าวออกจากโขดหินอย่างลนลาน และนางจำแผ่นหลังนั้นได้ชัดเจน เหอซาน หญิงสาวที่แอบรักตงจวินข้างเดียว นางเลือกที่จะไม่บอกเรื่องนี้ออกไป หากอีกฝ่ายหมายเอาชีวิตตน เช่นนั้นนางก็จะตอบแทนก
หลังจากกินข้าวเสร็จเรียบร้อย หลิวซินก็แบกตะกร้าเดินตามมารดาออกมาหาของขายริมทะเล ช่วงนี้นางยังไม่คิดหาหนทางสร้างรายได้ด้วยตนเองนัก จึงตั้งใจลองติดตามมารดามาดูเผื่อจะได้แรงบันดาลใจใหม่ ๆทว่าเมื่อมาถึงกลับเห็นว่ามีผู้คนจับจองพื้นที่กันอยู่ก่อนแล้ว ชาวบ้านมากมายต่างกระจายกันหาของขาย ไม่ใช่ว่านางมาช้า เพียงแต่คนอื่นมาก่อน จึงทำให้หลิวซินกับมารดากลายเป็นจุดสนใจในสายตาผู้คนทันทีสายตาของเหอซานสะดุดเข้ากับหลิวซินตั้งแต่นางก้าวเข้ามาเพียงไม่กี่ก้าว ยิ่งเห็นใบหน้างดงามของอีกฝ่าย ความขุ่นมัวในใจยิ่งก่อตัวแรงขึ้น หลังได้ยินคำยืนยันจากชายหนุ่มที่ตนหมายปอง ความริษยาที่มีอยู่แต่เดิมก็ยิ่งทวีขึ้น จากเดิมที่อิจฉาเพียงเพราะความงาม กลับกลายเป็นทั้งอิจฉาและเกลียดชังจนอยากให้หลิวซินเลือนหายไปจากโลกนี้เสียจริงหลิวซินยิ้มทักทายชาวบ้านรอบข้าง ทว่าความรู้สึกเหมือนถูกสายตาใครบางคนจ้องมอง ทำให้นางเผลอเหลียวตาม และดวงตาก็สบเข้ากับเหอซานพอดี แววตาของหญิงสาวผู้นั้นเต็มไปด้วยความไม่เป็นมิตร หลิวซินหวนคิดถึงชาติก่อน เหอซานก็มีบทบาทอยู่ในชีวิตนางเช่นกัน เพียงแต่ไม่เคยแสดงท่าทีเกลียดชังโจ่งแจ้งเช่นตอนนี้ ทว่าเรื่องน
กัวหยุนเห็นว่าลูกสาวไม่อยากอยู่ตรงนั้นนาน นางจึงไม่รั้งรีบพาเดินตรงไปยังร้านผ้าตามที่ตั้งใจไว้ เมื่อไปถึงก็เลือกผ้าสีแดงสดผืนใหญ่ขึ้นมา สีสันนั้นช่างขับผิวของบุตรสาวให้งามยิ่งนัก นางไม่ลังเลที่จะควักเงินเก็บจ่ายทันทีหลิวซินมองมารดาที่กำลังยิ้มชื่นชมผ้าสีแดง รู้สึกอบอุ่นใจ แต่ก็อดเอ่ยถามไม่ได้ “ท่านแม่… ผ้าผืนนี้ช่างใหญ่ยิ่งนัก ท่านซื้อเกินไปหรือไม่” เพราะด้วยขนาดนี้ นอกจากจะทำชุด ยังพอเย็บผ้าห่มหรือผ้าม่านได้อีกหลายผืนเลยทีเดียวกัวหยุนหัวเราะเบา ๆ พลางลูบผืนผ้าในมือ “ไม่ใหญ่ไปหรอก แม่จะตัดชุดให้เจ้า ทำผ้าห่ม หมอน และยังทำผ้าม่านสีเดียวกันอีกด้วย ลูกสาวเพียงคนเดียวของแม่จะแต่งงานทั้งที ย่อมต้องจัดให้สมเกียรติ อย่าให้ผู้ใดมาดูถูกได้”น้ำเสียงอบอุ่นแฝงความหวังลึก ๆ ว่าอีกไม่นานบ้านหลังนี้คงจะไม่เงียบเหงา หากมีเสียงหัวเราะและเสียงก้าวเดินเล็ก ๆ ของหลาน ๆเมื่อได้ยินถ้อยคำนั้น ใบหน้าของหลิวซินก็แดงซ่าน ความหมายที่มารดาสื่อออกมา นางเข้าใจดีจนอยากแทรกแผ่นดินหนีกัวหยุนเห็นท่าทีเขินอายของลูกสาวก็พลอยยิ้มเอ็นดู หลังจากเลือกผ้าที่ต้องการเสร็จ ทั้งสองก็แวะไปยังร้านขายหมูต่อหลิวซินกวาดตามอง เห
“ข้าขอโทษ ข้าไม่ได้ตั้งใจจะถูกตัวเจ้า” ตงจวินเอ่ยเสียงเบาราวกระซิบ“ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ” หลิวซินตอบพลางก้มหน้า เสียงแผ่วเกือบขาดหาย ถึงแม้ครั้งหนึ่งนางจะเคยแต่งงานกับเขามาแล้ว แต่ความใกล้ชิดเช่นนี้ก็ยังทำให้นางไม่เคยชินทั้งสองจึงแยกย้ายไปนั่งประจำที่ของตน ตงจวินบังคับเกวียนวัวให้เคลื่อนไปข้างหน้าอย่างนุ่มนวลกัวหยุนที่มองเหตุการณ์อยู่ตลอด อดยิ้มกรุ้มกริ่มไม่ได้ นางหันไปมองลูกสาวด้วยแววตาล้อเลียน“ท่านแม่…ยิ้มอันใดกันหรือเจ้าคะ” หลิวซินเงยหน้าถามอย่างแปลกใจเมื่อเห็นรอยยิ้มของมารดา“ก็ยิ้มไปตามเรื่อง เมื่อเห็นสิ่งที่ข้าพอใจก็ยิ้มเท่านั้นเอง” กัวหยุนตอบพร้อมแกล้งหยอกเล็กน้อย“ข้าไม่พูดกับท่านแล้ว” หลิวซินทำเสียงงอน ก่อนหันสายตาออกไปมองสองข้างทางแทน“เอาเถอะ อย่างไรเจ้าสองคนก็ต้องแต่งงานกันอยู่แล้ว สนิทกันไวเสียหน่อยจะเป็นไรไป” มารดากล่าวพลางหัวเราะเบา ๆ ราวกับเห็นเรื่องนี้เป็นเรื่องน่าเอ็นดูหลิวซินได้ยินเช่นนั้นก็หันขวับมามองค้อนทันที ถึงมารดาจะไม่ถือ แต่นางถือ เรื่องแบบนี้น่าอายจนใจเต้นแรงแทบระเบิดตงจวินรับฟังเงียบ ๆ มิได้กล่าวแทรก แต่แววตากลับสะท้อนความอบอุ่นอย่างที่เจ้าตัวเองยังไม่รู้







