ในเช้าวันต่อมา แสงอาทิตย์อันอ่อนละมุนทาบผ่านหน้าต่างห้องนอนของหยุนจิง เธอค่อย ๆ ลืมตาขึ้นหลังจากผ่านคืนที่เต็มไปด้วยความสับสน
แต่เมื่อความเป็นจริงของสถานการณ์แปลกประหลาดนี้ตีแผ่ชัดเจนในจิตใจ เธอรู้สึกเหมือนมีพลังใหม่เข้ามาแทนที่ความหวาดหวั่นที่เคยมี
“ตอนนี้ต้องตั้งสติ และเริ่มวางแผน” หยุนจิงพึมพำเบา ๆ กับตัวเองขณะลุกจากเตียงพร้อมรอยยิ้มมุมปากที่เต็มไปด้วยความมุ่งมั่น
“คุณหนู ตื่นแล้วหรือเจ้าคะ” น้ำเสียงสดใสเล็ก ๆ สายหนึ่งดังขึ้นพร้อมกับการปรากฏตัวของนาง
“เจ้าคือเถาจู?” (เด็กขนาดนี้มาทำงานได้ยังไง) หยุนจิง คิดขึ้นด้วยความสงสัย (หรือที่นี่จะใช้แรงงานเด็กผิดกฎหมาย) ดูเหมือนว่าวิญญาณของตำรวจสาวยิ่งคิดจะยิ่งเลยเถิด
“คุณหนู ลืมบ่าวหรือเจ้าคะ” เด็กหญิงวัยไม่เกินเจ็ดปีรีบคุกเข่านั่งลงบนพื้นสีหน้าเต็มไปด้วยความตื่นตระหนก
ใบหน้าของหยุนจิงแสดงความตกใจเมื่อเห็นปฏิกิริยาของเธอ
“คุณหนู ท่านอย่าขายบ่าวเลยนะเจ้าคะ” คำพูดต่อมาของเด็กหญิงทำให้ตำรวจสาวผู้อยู่ในร่างเด็กสีหน้าเต็มไปด้วยความมึนงง
ก่อนเธอจะย้อนถามออกมาอย่างกังขา “ขาย? ที่นี่มีการขายคนด้วยอย่างนั้นเหรอ อย่างนี้มันผิดกฎหมายชัด ๆ ” จากความงุนงงสีหน้าของเจ้าตัวพลันเปลี่ยนเป็นโกรธเกรี้ยวเข้ามาแทนที่
เยว่ฮวา ที่นี่กับโลกที่เจ้าจากมานั้นไม่เหมือนกัน ที่นี่จะมีแหล่งซื้อขายทาสทั้งถูกต้องและไม่ถูกต้อง เอาไว้เจ้าอยู่ไปเรื่อย ๆ ก็ค่อยศึกษาเอาเองเถิด เสียงของอวิ๋นซิงดังขึ้นรีบหยุดความคิดเหลวไหลของเด็กหญิงผู้มีวิญญาณจากต่างยุค
โหดร้ายเกินไปแล้ว หยุนจิงทิ้งตัวลงนั่งอย่างอ่อนแรง
มันเป็นธรรมดาของโลกใบนี้ ส่วนใหญ่คนที่ถูกขายมาเป็นทาสก็จะเป็นพวกนักโทษ หรือไม่ก็ชาวบ้านที่ไม่สามารถเลี้ยงดูลูกของตนได้ อีกส่วนก็อาจจะเป็นเด็กกำพร้าจากสงครามหรือไม่ก็ถูกทิ้งเพราะความยากจน หรือไม่ก็มารดา บิดา ญาติพี่น้องตายจากเพราะโรคระบาด
คนเหล่านี้จึงต้องยอมขายตัวเองมาเป็นทาสเพื่อไม่ต้องทนหนาวหรืออดตายอยู่ข้างนอก ส่วนพวกที่ทำผิดก็คือพวกที่ลักพาตัวคนมาขาย ซึ่งพวกประเภทหลังนี้ก็มีคนของทางการคอยดูแลแต่ถึงจะเป็นอย่างนั้นพวกมันก็มักจะมีพวกคนมีอำนาจหนุนหลังทำให้เจ้าหน้าที่ทำงานลำบาก
คำอธิบายยืดยาวดังขึ้นจากนกชิงเหนียวทำให้หยุนจิงได้แต่ถอนหายใจด้วยความรู้สึกอัดแน่นไปด้วยความรู้สึกหลากหลาย ก่อนที่เธอจะมองไปทางเถาจูที่ยังคุกเข่าก้มหน้าด้วยความหวาดกลัว
“ลุกขึ้นเถอะ ข้าไม่ได้คิดจะขายเจ้า” เธอเอ่ยเสียงอ่อน
เถาจูเงยหน้าขึ้น ดวงตากลมสดใสมองหยุนจิงด้วยความโล่งอก
“ขอบพระคุณคุณหนูเจ้าค่ะ บ่าวจะตั้งใจรับใช้อย่างดีที่สุด”
หยุนจิงมองเด็กหญิงตรงหน้าพลางคิดในใจว่า เธอต้องปรับตัวให้เข้าใจกับโลกใหม่ใบนี้ให้ได้ แต่ในขณะเดียวกันก็รู้สึกถึงความไม่ชอบใจในความไม่เสมอภาคนี้เช่นกัน
เสียงของอวิ๋นซิงดังขึ้นอีกครั้งในหัวของเธอ เยว่ฮวา เจ้ายังต้องเรียนรู้อีกมาก โลกนี้ไม่ได้มีเพียงความโหดร้ายแต่ยังมีโอกาสที่เจ้าจะทำให้มันดีขึ้นหากเจ้ายังยึดมั่นในสิ่งที่เจ้าถือว่าเป็นความถูกต้อง
หยุนจิงหันไปมองนกชิงเหนียวที่ยืนสงบนิ่งบนขอบหน้าต่าง อืม! ข้าเข้าใจแล้ว
“ต่อไปนี้เจ้าไม่ต้องแทนตัวว่าบ่าวให้แทนตัวว่าข้า เข้าใจไหม หากมีใครพูดอะไรหรือต่อว่าเจ้าก็ให้เขามาถามเอากับข้า” หยุนจิงพูดด้วยสีหน้าจริงจัง
“เจ้าค่ะ คุณหนู บ่าว..ข้าจำไว้แล้ว” เถาจูตัวน้อยรีบเปลี่ยนคำเรียกขานทันที เมื่อเธอสบสายตากับเจ้านายตัวเล็กที่อยู่ด้วยกันมาหนึ่งปีเต็มที่ในตอนนี้กลับทำให้เธอรู้สึกถึงความเกรงขามอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน
ในใจของหยุนจิงรู้ดีว่าทาสในโลกนี้อาจไม่มีทางได้รับอิสรภาพในเร็ววัน แต่เธอตั้งใจว่าจะเริ่มเปลี่ยนแปลงสิ่งเล็ก ๆ รอบตัว และหากเธอมีโอกาสเธอจะทำให้ชีวิตของพวกเขาดีขึ้นทีละนิด
“ข้าดีใจที่เจ้าเข้าใจ เอาเถอะเจ้าช่วยพาข้าไปหาท่านแม่ได้หรือไม่” ในขณะที่สองนายบ่าวตัวน้อยกำลังสนทนากันด้านนอกพลันมีฝีเท้าดังขึ้นพร้อมกับเสียงผลักประตู
“คุณหนูเจ้าคะ บ่าวนำอ่างล้างหน้ากับผ้าเช็ดหน้ามาให้เจ้าค่ะ” คิ้วของหยุนจิงขมวดเข้าหากัน
“เจ้าคือใคร” น้ำเสียงของหยุนจิงเต็มไปด้วยความสับสน
“คุณหนูเจ้าคะ นางคือพี่สาวอาหลันเป็นพี่เลี้ยงของคุณหนู” เถาจูกระซิบข้างหูของเธออย่างหัวไว
“พี่สาวอาหลันนี่เอง ข้าเพียงล้อท่านเล่นเท่านั้น” หยุนจิงหัวเราะกลบเกลื่อน
“บ่าวตกใจหมดเลยเพราะคิดว่าคุณหนูจะป่วยหนักจนจำใครไม่ได้อย่างที่บ่าวพวกนั้นพากันเล่าลือ” เด็กสาววัยสิบห้ายกมือทาบอกของตนก่อนจะเผยรอยยิ้มออกมา
“เสี่ยวจู เจ้ารีบไปเตรียมชุดให้คุณหนู ช่วงนี้แม้จะเพิ่งเป็นต้นวสันต์แต่ก็ควรหาชุดที่ค่อนข้างอุ่นหน่อยเล่า” คำพูดของ อาหลันทำให้เถาจูรีบทำตามอย่างว่องไว
เด็กหญิงรีบสาวเท้าไปยังหีบผ้าไม้ขนาดกลางที่ถูกแกะสลักลวดลายดอกเหมยละเอียดอ่อน เธอเปิดฝาหีบขึ้นอย่างระมัดระวังกลิ่นหอมอ่อน ๆ ภายในนั้นโชยออกมา หยุนจิงพลันรู้สึกถึงความสดชื่นก่อนจะถามออกไปอย่างสงสัย
“นี่กลิ่นอะไรอย่างนั้นเหรอ”
เถาจูยิ้มในขณะเดียวกันนางก็หยิบชุดสีชมพูปักลวดลายดอกเหมยเล็ก ๆ ออกมาถือไว้ในมือ
“กลิ่นดอกเหมยที่อบไว้กับผ้าเจ้าค่ะ เป็นกลิ่นที่คุณหนูชอบ” นางตอบด้วยรอยยิ้มพร้อมกับชูชุดในมือขึ้นสูง
“คุณหนูชอบชุดนี้หรือไม่เจ้าคะ” เมื่อเถาจูเห็นสายตาของคนเป็นนายที่มองเสื้อคลุมยาวสีชมพูปักด้วยลวดลายดอกเหมยสีขาวอย่างประณีตทำให้เสื้อดูทั้งอ่อนหวานและสง่างาม ผ้าคาดเอวสีขาวนวลลายเมฆเล็ก ๆ ช่วยเพิ่มความสมดุลระหว่างความน่ารักและความเรียบง่าย
“อืม ชุดนี้ดูไม่เลว” วิญญาณของตำรวจสาวในร่างเด็กหญิงตัวน้อยกล่าวชมออกมาตามตรง
และระหว่างที่นางสวมชุด กลิ่นหอมจากดอกเหมยยังคงอบอวลไปทั่ว หยุนจิงรู้สึกถึงความสุขบางอย่าง ในขณะเดียวกันเธอก็มองเงาของตัวเองในกระจกทองแดงขนาดเล็กที่อาหลันยกมาให้
“ข้าดูเด็กมากขนาดนี้เลย” คำพูดของหยุนจิงฟังดูค่อนข้างประหลาด แต่ทว่าเด็กรับใช้ทั้งสองต่างไม่ได้เก็บมาคิดมาก เนื่องจากพวกเธอคิดว่าอาจจะเป็นเพราะพิษไข้ทำให้คุณหนูของตนแปลกไป
“ข้าแต่งกายเรียบร้อยแล้วพวกเราไปหาท่านแม่กันเถอะ” ก่อนที่เธอจะพูดออกมาอีกครั้งด้วยน้ำเสียงร่าเริง
ในขณะเดินนำหน้าสาวใช้โดยมีนกชิงเหนียวเกาะอยู่บนบ่า หัวสมองเล็ก ๆ ของเธอก็คิดถึงสิ่งที่จะต้องทำเป็นอันดับแรกไปด้วย
(หนึ่งคือต้องมีความสัมพันธ์อันดีกับท่านแม่ให้มาก จากนั้นถึงค่อยเริ่มแผนต่อไป) เจ้าตัวคิดด้วยความมุ่งมั่น
หยุนจิงเดินนำเถาจูและอาหลันไปยังโถงกลางของเรือนเหยียนฮวา (เรือนบุปผาแห่งนกนางแอ่น) ของมารดาอย่างกระตือรือร้น
โดยระหว่างทางเธอพยายามเก็บบรรยากาศรอบตัวให้มากที่สุด ไม่ว่าจะเป็นต้นเหมยที่เบ่งบานตามมุมสวน เสียงนกร้อง และกลิ่นหอมอ่อน ๆ ของอาหารเช้าที่โชยมาจากทิศทางของห้องครัว
เมื่อเด็กหญิงเดินมาถึง เธอพบว่าบนโต๊ะอาหารตัวกลมได้ถูกจัดวางอย่างเรียบร้อยด้วยจานอาหารหลากหลายชนิด ไม่ว่าจะเป็นข้าวต้มร้อน ๆ ปลานึ่งซอสถั่วเหลือง ติ่มซำหลากสี และขนมหน้าตาน่ากิน แต่สิ่งที่สะดุดตาหยุนจิงที่สุดคือใบหน้าของมารดา หลิวอวี้เฟย ที่ดูอ่อนโยนและงดงามแม้จะมีเงาความเหนื่อยล้าพาดผ่าน
“คุณหนูมาแล้วเจ้าค่ะ” คนรับใช้คนหนึ่งเอ่ยขึ้นขณะที่หยุนจิงเดินเข้ามาใกล้
“หยุนจิง ลูกตื่นแล้วหรือ” เสียงของหลิวอวี้เฟยเต็มไปด้วยความอ่อนโยน ดวงตาของเธอฉายแววโล่งใจขณะที่มองลูกสาวตัวน้อย
หยุนจิงรีบก้าวเข้าไปหาก่อนจะย่อตัวลงนั่งข้างมารดาแล้วจับมือเธอเบา ๆ “ท่านแม่ ข้าดีขึ้นมากแล้วเจ้าค่ะ ขอโทษที่ทำให้ท่านต้องเป็นห่วง”
หลิวอวี้เฟยเผยรอยยิ้มอันอ่อนโยนพร้อมกับลูบศีรษะลูกสาวด้วยความรัก
“ไม่เป็นไรลูก แค่เจ้าหายดีแม่ก็โล่งใจแล้ว”
ขณะที่บรรยากาศอบอุ่นกำลังแผ่ซ่านไปทั่วห้อง เถาจูแอบกระซิบกับอาหลันเบา ๆ
“วันนี้ดูคุณหนูร่าเริงผิดปกตินะ พี่สาวหลันเห็นด้วยหรือไม่”
“นั่นสิ แต่แบบนี้ก็ดีแล้ว อย่างน้อยฮูหยินก็ไม่ต้องเป็นห่วงมาก” อาหลันตอบกลับด้วยรอยยิ้มอย่างพอใจ
ในขณะที่ทุกคนกำลังรู้สึกมีความสุขพลันมีเสียงฝีเท้าหนัก ๆ ดังขึ้นจากด้านนอก ก่อนที่หลี่เจี้ยนเฉิงจะเดินเข้ามาในห้องอาหาร สายตาของเขากวาดมองทุกอย่างด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
“ข้าคิดว่าเจ้าคงลืมไปแล้วว่าข้าเป็นใคร” เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชาขณะที่มองหลิวอวี้เฟย
บรรยากาศที่สดใสพลันเปลี่ยนเป็นตึงเครียด หลิวอวี้ เฟยมองเขาด้วยสายตาเรียบนิ่ง
“ท่านยังจำได้หรือเจ้าคะว่าตัวเองเป็นใคร ข้าคิดว่า...ท่านคงหลงลืมไปนานแล้วเสียแล้ว”
หยุนจิงที่นั่งอยู่ข้างมารดารู้สึกถึงบรรยากาศอันอึดอัด เธอเงยหน้ามองทั้งสองคนก่อนจะตัดสินใจพูดขึ้น
“ท่านพ่อเจ้าคะ ท่านมาร่วมรับประทานอาหารกับเราหรือไม่ ข้าคิดว่าท่านไม่ได้มาร่วมโต๊ะเช่นนี้นานแล้ว”
คำพูดของเด็กหญิงดูเหมือนจะทำให้หลี่เจี้ยนเฉิงนิ่งอึ้งไปชั่วขณะ ก่อนที่เขาจะปรายตามองลูกสาวแล้วพูดขึ้นอย่างขอไปที “เจ้าอย่าได้มายุ่งเรื่องของผู้ใหญ่”
หยุนจิงแอบถอนหายใจ แต่ในใจกลับคิดว่า (นี่คงเป็นจุดเริ่มต้นที่ข้าต้องช่วยท่านแม่และเปลี่ยนชะตาของตนเองกับครอบครัวของท่านตาจากพ่อเลวคนนี้ให้ได้)