LOGINแม้ว่าองค์หญิงเวินอี๋จากไปอย่างไม่สบอารมณ์นัก แต่สุดท้ายก็ยังมีแก่ใจให้ซีเยวี่ยนางกำนัลคนสนิทของนางมาบอกกล่าวให้นางกำนัลและรวมไปถึงตัวของหานฉงหรงเองให้เลิกงานก่อนกำหนด หานฉงหรงจึงเก็บรายละเอียดและบอกกล่าวงานที่จะเริ่มทำต่อในวันรุ่งขึ้นแก่นางกำนัลที่เกี่ยวข้อง ก่อนให้พวกนางแยกย้ายกันไปพักผ่อน ส่วนตนเองเดินทางกลับตำหนักไท่หยาง เนื่องจากยังมีบันทึกสมาชิกราชวงศ์และรายละเอียดอื่นๆ ที่สำคัญต้องเรียนรู้อีกมาก ทว่าขณะที่เดินใกล้มาถึงประตูตำหนัก พลันเห็นฮ่องเต้ก้าวออกมาพร้อมสตรีวัยไล่เลี่ยกันนางหนึ่ง สตรีนางนั้นรูปโฉมงดงาม แต่งกายอย่างสตรีชาววังที่กำลังเป็นที่นิยมในหมู่ชนชั้นสูงถักทอจากไหมเลอค่า ศีรษะประดับมุกหยกและเครื่องทองเป็นหลัก ท่วงท่าการเดินล้วนสง่างาม ยามโอภาปราศรัยกับฮ่องเต้ก็ดูเป็นมิตรมิเคอะเขิน อีกทั้งด้านหลังของนางยังมีสาวใช้สวมชุดกระโปรงแบบชาวนอกด่านสองคน ประดับเครื่องเงินแพรวพราวแปลกตา ยามเคลื่อนไหวมีเสียงเครื่องกระทบกันแผ่วเบาทว่าไพเราะ ซึ่งการแต่งกายเช่นนี้เป็นเอกลักษณ์เฉพาะของหญิงสาวเผ่าหูหานฉงหรงถอยมายืนชิดริมกำแพงพร้อมย่อกายคารวะฮ่องเต้และสตรีสูงศักดิ์ผู้นั้นแล้วก้มหน้าเล็ก
แน่นอนว่าเมื่อการประชันบรรเลงพิณจบลง ย่อมมีผู้ที่พึงพอใจระคนลำพองด้วยชัยชนะ และผู้ที่เก็บสีหน้าผิดหวังระคนเคืองขุ่นเอาไว้ไม่มิดจากผู้พ่ายแพ้ ผู้ใดจะรู้ว่าฝีมือการบรรเลงพิณของหานลู่นั้นเหนือล้ำกว่าเนี่ยไหวหยางอยู่หลายขุม ทำเอาฮ่องเต้พอพระทัยอย่างยิ่ง “หานไฉเหรินฝีมือบรรเลงพิณเลิศล้ำ ราวกับได้เทพเจ้าขุย[1]คุ้มครองประทานพร ไม่เสียทีที่เรามอบพิณหยกขาวของราชวงศ์ก่อนให้กับเจ้า นับว่าให้กับผู้ที่คู่ควรโดยแท้”หานลู่ซ่อนสีหน้าสาแก่ใจไว้ภายใต้รอยยิ้มนุ่มนวลอย่างที่สนมนางในพึงมี กล่าววาจาอ่อนน้อมถ่อมตน “ฝ่าบาทกล่าวชมเกินไป หม่อมฉันเพียงไม่อยากให้ฝ่าบาทที่อุตส่าห์พระราชทานของล้ำค่าต้องทรงผิดหวังที่มอบให้กับคนที่ไม่เหมาะสม จึงจำเป็นต้องทำอย่างสุดความสามารถเพคะ”ยิ่งได้ฟังฮ่องเต้ก็ยิ่งพึงใจ มือใหญ่แตะถูกหยกพกที่ห้อยอยู่ข้างเอว จึงปลดออกจากสายคาดเอวแล้วยื่นให้นาง “นี่คือหยกเหอเถียนที่เป็นของบรรณาการจากซื่อชวน ทั้งลวดลายสีสันเราชมชอบยิ่งนัก ช่วงนี้จึงมักพกติดกายเป็นประจำ บัดนี้ขอมอบให้เจ้า หวังว่าเราจะได้สดับรับฟังดนตรีอันยอดเยี่ยมเช่นนี้อีก”หานลู่กล่าวขอบพระทัยพลางรับด้วยสองมือ คลี่ยิ้มยวนเสน่ห์ “
องค์หญิงเวินอี๋มารับเสด็จฮ่องเต้พร้อมโฉมสะคราญนางหนึ่ง หลังจากถวายบังคมเสร็จนางจึงเอ่ยด้วยน้ำเสียงรื่นหู “เสด็จพ่อเสด็จมากะทันหัน ลูกมิได้จัดคนต้อนรับต้องขอประทานอภัยด้วยเพคะ”“พ่อต่างหากที่มารบกวนพวกเจ้าตอนที่กำลังทำงานกัน” ฮ่องเต้โบกมือเล็กน้อย ท่าทางโอบอ้อมอารีอย่างที่บิดามีต่อบุตรสาว เขาไปโดยรอบพลางเอ่ยชม "จัดงานได้ไม่เลว หรูหรามีรสนิยมเข้ากับช่วงสารทฤดู ข้าเชื่อว่าบรรดาแขกเหรื่อในงานต้องพอใจมากเป็นแน่”“งานนี้เสด็จย่าเป็นผู้มอบหมายให้หม่อมฉันทำร่วมกับฉงหรงจวิน มิกล้าสะเพร่าละเลยหรอกเพคะ” เวินอี๋ยิ้มแย้มเอื้อนเอ่ย ฮ่องเต้ได้ยินเช่นนั้นก็พยักหน้า สีหน้าชื่นชมภาคภูมิพลางไล้มือไปยังม่านโปร่งลายดอกเหอฮวน “โดยเฉพาะการตกแต่งภายนอกใบเฟิงและแปะก๊วยสีเหลืองอร่ามเข้ากับม่านโปร่งลายดอกเหอฮวน ผู้ใดเป็นผู้เลือกกัน”“กราบทูลเสด็จพ่อ เป็นฉงหรงจวินเพคะ” เวินอี๋ตอบพลางมองหานฉงหรงด้วยรอยยิ้มพิมพ์ใจ ท่าทีเป็นมิตรจนนางอดขนลุกเกรียวมิได้“ฉงหรงจวิน คู่หมั้นคู่หมายของเป่ยหนานอ๋องนั่นเอง” ฮ่องเต้มองอีกฝ่ายด้วยท่าทีเอื้ออารี “บอกเราได้หรือไม่ เหตุใดจึงใช้ม่านโปร่งนี้ประดับทั่วห้องจัดเลี้ยง”หานฉงหรงมีท่า
“วันที่องค์หญิงใหญ่เผิงเฉิงมาหาท่านแม่ของข้าที่จวน แม้ข้าจะมิได้อยู่ร่วมฟังด้วย แต่ท่านแม่ก็เล่าให้ข้าฟังอยู่บ้าง เห็นว่าตลอดระยะเวลาที่องค์หญิงเผิงเฉิงแต่งงานไปยังเผ่าหู ต้องอดทนกล้ำกลืนหลายอย่างสารพัดสารพัน ทั้งการกินอยู่ วัฒนธรรมประเพณีที่แปลกประหลาด โดยเฉพาะกฎที่ชายาเอกของข่านคนก่อนต้องสมรสกับข่านคนต่อไปนั้นเป็นประเพณีที่องค์หญิงสะอิดสะเอียนยิ่งนัก จะมีก็แต่บุตรชายสองคนที่ทำให้นางอดทนอยู่มาได้ถึงยี่สิบปี ต่อมาพอท่านข่านคนก่อนสิ้นพระชนม์ เผ่าหูระส่ำระสาย เหล่าบุตรชายของท่านข่านที่เกิดจากองค์หญิงใหญ่และเหล่าสนมนางในนับสิบต่างพากันก่อจลาจลจนภายในเผ่าย้อมชโลมไปด้วยโลหิตแดงฉาน ถึงแม้ภายหลังฝ่าบาทจะมีพระราชโองการให้เป่ยหนานอ๋องยกทัพไปช่วยเหลือจนสงบราบคาบ แต่งตั้งบุตรชายคนโตขององค์หญิงใหญ่เป็นข่านคนต่อไป ส่วนพระนางกลับคืนสู่มาตุภูมิ กระนั้นความเจ็บปวดที่สั่งสมมาตลอดยี่สิบปีก็มิเคยบรรเทาเบาบางลง ดังนั้นพอเจ้าเล่าว่าองค์หญิงทรงโปรดปรานอาหารของเผ่าหูข้าถึงได้เชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง”“เรื่องราวที่พระสนมกล่าวเมื่อครู่ หม่อมฉันจะเก็บไปคิดเพคะ” หานฉงหรงแย้มยิ้มรับฟังเรื่องราวทั้งหมด ก่อนคีบขนมเ
เป็นหานไฉเหริน หานลู่ นั่นเอง ครั้งสุดท้ายที่ได้พบกันคือนางกลายเป็นสตรีที่ฮ่องเต้ทรงโปรดปรานและกำลังมีแววว่าจะได้รับการแต่งตั้งเป็นพระสนม บัดนี้ดูจากการแต่งกายที่พิถีพิถันและเครื่องประดับงามพิลาสจับตาก็รู้ได้ว่าสถานะของสตรีตรงหน้าเปลี่ยนไปแล้ว “ถวายพระพรพระสนมเพคะ”“ไม่ต้องมากพิธี ข้ามาตามรับสั่งของฝ่าบาทเท่านั้น” หานลู่แย้มยิ้ม ดูสดใสเทียบเท่าอาภรณ์สีจวี๋หงที่นางสวมใส่ แดงอมส้มราวกับใบเฟิงในช่วงสารทฤดูที่โปรยปรายอยู่เต็มลานนอกโถงจัดเลี้ยงในตอนนี้ “ที่จริงฝ่าบาทจะเสด็จมาพร้อมกับข้าด้วย ทว่าท่านพ่อของข้าเข้าวังมาหารือเกี่ยวกับพระราชพิธีที่จะจัดขึ้นช่วงสิ้นปีจึงให้ข้าล่วงหน้ามาก่อน” ว่าพลางจับแขนนางกำนัลเดินตามหานฉงหรงไปยังศาลาน้อยด้านนอก ขันทีน้อยรีบกุลีกุจอยกน้ำชาร้อนกรุ่นพร้อมของว่างมาให้แทบจะทันที นับได้ว่าหัวหน้าขันทีคงกำชับกำชาว่าเพลานี้ต้องประจบเอาใจผู้ใดเป็นพิเศษหญิงสาวตรงหน้ารับการปรนนิบัติอย่างเอาใจใส่นั้นโดยไม่เคอะเขิน นางมองไปรอบๆ ขณะที่เอ่ยกับหานฉงหรง “จัดงานได้ไม่เลว ข้าเชื่อว่าเหล่าเชื้อพระวงศ์หญิงคงพึงพอใจไม่น้อยทีเดียว”หานฉงหรงอมยิ้มราบเรียบ “พระสนมทรงตรัสชมหม่อมฉันเก
การร่วมมือกันจัดงานเลี้ยงสังสรรค์ระหว่างพระญาติฝ่ายหญิงนั้นค่อนข้างราบรื่น อาจเป็นเพราะว่าในส่วนองค์ประกอบของงานเลี้ยงส่วนมากหานฉงหรงยอมปล่อยให้องค์หญิงเวินอี๋จัดการตามใจ ส่วนนางเพียงรับผิดชอบเรื่องลำดับอาหารและการแสดงและและรายละเอียดปลีกย่อยที่ไม่สลักสำคัญเพื่อเลี่ยงการปะทะ ด้านงบประมาณของงานเลี้ยงนั้นก็ต่างกับช่วงงานพระราชสมภพของฮ่องเต้เล็กน้อยตรงที่ครานี้นางเป็นผู้ออกทุนเองเกือบทั้งหมด มีเพียงภรรยาขุนนางระดับสูงไม่กี่คนที่ยังร่วมสมทบเงินเพราะต้องการประจบเอาใจพระธิดาคนโปรดของฮ่องเต้ ส่วนองค์หญิงผู้สูงศักดิ์นั้นท่าทีที่มีต่อนางนั้นก็เปลี่ยนไปพอสมควร โดยไม่มีสีหน้าปั้นปึ่งเป็นปฏิปักษ์ซึ่งหน้า แต่ก็มิได้โอภาปราศรัยอย่างเป็นมิตร ซึ่งแบบนั้นอาจจะเป็นการดีกับทั้งสองฝ่าย โดยเฉพาะหานฉงหรงที่มิต้องการปั้นรอยยิ้มสนทนากับอีกฝ่ายมากนักทว่าขณะที่หานฉงหรงกำลังดูแลการจัดเตรียมที่นั่งและการประดับตกแต่ง องค์หญิงเวินอี๋กับซีเยวี่ยคนสนิทก็เดินมาหานาง ท่าทีของนางในวันนี้ดูสงบสำรวมขึ้นไม่น้อยผิดกับท่าทีหยิ่งยโสยามที่เจอกันครั้งแรกที่จวนเป่ยหนานอ๋อง น้ำเสียงของนางที่เอื้อนเอ่ยก็ฟังชวนรื่นหู “หลายวันมานี






![เฟิ่งหวง [鳳凰]](https://acfs1.goodnovel.com/dist/src/assets/images/book/43949cad-default_cover.png)
