หลังจากที่ผ่านเรื่องราวชวนอกสั่นขวัญที่แม้ว่าสีหน้าของสามอาคันตุกะในตอนนั้นจะแทบไม่เปลี่ยนเลยก็ตามมาได้ ไทโฮ่วก็มีรับสั่งให้จัดงานเลี้ยงเล็กรับรองพวกเขาพร้อมสนทนาพาทีในเรื่องสัพเพเหระอีกประมาณชั่วยามหนึ่งอวิ๋นรุ่นจึงขอตัวพาหานฉงหรงและหย่งเยี่ยกลับด้วยเหตุว่ามีธุระต้องไปทำรถม้าคันใหญ่เคลื่อนตัวออกจากประตูวังหน้าอย่างเชื่องช้า เวลายังเป็นช่วงบ่าย แต่กลับมีเมฆมากทำให้อากาศไม่ร้อนอบอ้าวอย่างที่คิด หย่งเยี่ยเนื่องจากอิ่มทั้งขนมและอาหารเลิศรสฝีมือพ่อครัวตำหนักไทโฮ่วที่ไม่ได้กินมานานจึงกินเสียเต็มคราบ พอหนังท้องตึงหนังตาก็หย่อน เด็กน้อยซุกตัวลงกับตักของหานฉงหรงโดยมีเจ้าของตักคอยโบกพัดกลมลายดอกเบญจมาศไปมาด้วยท่าทีไม่ช้าไม่เร็วเพื่อไม่ให้ลมแรงจนเกินไป“ตอนแรกที่ท่านอ๋องแนะนำให้องค์ชายเล่าถึงเรื่องของเสี่ยวมี่ หม่อมฉันก๊อกสั่นขวัญแขวนไม่น้อย ปกติเชื้อพระวงศ์มักไม่โปรดให้บุตรธิดาคลุกคลีร่วมกับสามัญชน แต่นี่ท่านกลับบอกให้หย่งเยี่ยทูลไทเฮาตามตรง หม่อมฉันนึกว่าจะถูกพระนางสั่งคนลากไปโบยไม่ก็ตัดหัวเสียแล้ว”อวิ๋นรุ่นเพียงจับจ้องหลานชายที่ยังนอนหลับฝันหวาน “ปณิธานของฝ่าบาทและไทโฮ่วนั้นปรารถนาที่จะให้
นับว่าอีกฝ่ายสมกับเป็นปราชญ์หญิงมากกว่าเป็นสตรีในวังหลวง มีทักษะการควบคุมอารมณ์ได้ดีเยี่ยม ยามปกติถ้าเป็นเชื้อพระวงศ์คนอื่น นางคงถูกลากไปโบยไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้งแล้วกระมังหย่งเยี่ยเฉลียวฉลาดสักปานใด บรรยากาศเช่นนี้ใช่ว่าเขาจะอ่านไม่ออก เด็กชายตอบด้วยน้ำเสียงซื่อ “กราบทูลเสด็จย่า ถึงจะพูดว่าเป็นเพื่อนเรียน หากแท้จริงแล้วเสี่ยวมี่เป็นศิษย์ของหลาน”คำพูดนี้เรียกรอยยิ้มอ่อนจางเต็มไปด้วยความสงสัยระคนเอ็นดูจากคนตรงหน้า “อย่างไร”“เสี่ยวมี่บอกว่าพ่อของนางไม่ให้นางเรียนหนังสือ เพราะเห็นว่าไม่นานก็ต้องแต่งงานออกเรือนจะเรียนไปทำอันใด หลานคิดว่าความคิดนี้ขัดกับความคิดของเสด็จพ่อกับเสด็จย่าที่มีพระประสงค์ให้เด็กผู้หญิงได้เรียนหนังสือเฉกเช่นเดียวกับเด็กผู้ชาย หลานเห็นว่านางไม่ควรจะเสียโอกาสได้รู้หนังสือ จึงได้ขอให้หานเหลียงเจียให้ทูลขอกับเสด็จอา ให้หลานเป็นคนสอนอักษรพื้นฐานให้นาง ส่วนนางก็มีหน้าที่คอยสอดส่องดูแลมิให้หลานเกียจคร้านการเรียน นับว่ายิงธนูดอกเดียวได้นกถึงสองตัว”ไทโฮ่วจับจ้องนัดดาคนโปรด เห็นว่าอีกฝ่ายไม่ได้กล่าวมุสา กระนั้นก็อดถอนใจมิได้ “เจ้าเองก็อายุน้อยเพียงนี้ก็ริอ่านไปสอนหนัง
“ใจจริงตัวข้าก็อยากสอนสั่งหย่งเยี่ยด้วยตนเอง แต่เจ้าตัวดื้อของข้ายืนกรานว่าจะไม่ยอมเรียนกับข้าเด็กขาด” ไทโฮ่วว่าพลางจิ้มแก้มขาวเนียนของหลานชายที่กำลังหยิบขนมพันชั้นเข้าปาก “เสด็จย่าของเจ้าเป็นถึงปราชญ์หญิงแห่งยุคเชียวนะ ถ้าเจ้ายอมมาเรียน เสด็จย่าก็พร้อมที่จะทุ่มเทกำลังสอนสั่งเจ้าเป็นอย่างดี”หย่งเยี่ยเคี้ยวขนมหมุบหมับ ตอบด้วยน้ำเสียงไหลลื่น “ถ้าเสด็จย่าต้องทุ่มเทกำลังสอนหลาน เกรงว่าต้องโมโหหย่งเยี่ยจนประชวรเป็นแน่ หย่งเยี่ยอยากให้เสด็จย่าอยู่ด้วยกันไปนานๆ จึงไปเรียนที่หอตำรากับเสด็จอาดีกว่า”“ชักแม่น้ำทั้งห้าใส่ตัวข้าเช่นนี้ แสดงว่าแม่นางหานของเสด็จอาเจ้าสอนดี” นางเอ่ยขณะปรายตาไปยังหานฉงหรง จากนั้นจึงหันไปพูดคุยกับหย่งเยี่ยต่ออย่างแนบเนียน ไหนเจ้าเล่าให้เสด็จย่าฟัง ว่าช่วงนี้เจ้าเรียนอันใดบ้างหย่งเยี่ยยิ้มแป้นราวกับรอคอยจังหวะเวลานี้มานาน เด็กน้อยหยิบกล่องไม้จากแขนเสื้อตัวยาวออกมาวางบนมือไทโฮ่ว “ช่วงนี้หลานเรียนประสมอักษรพ่ะย่ะค่ะ”“เรียนประสมอักษร อย่างไร?” ไทโฮ่วว่าขณะโบกมือให้นางกำนัลเก็บขนมน้ำชาไปเก็บเพื่อให้เด็กน้อยเทของที่อยู่ในกล่อง จากนั้นมือน้อยๆ ก็เกลี่ยกระดาษเหล่านั้นให้ปน
หานฉงหรงกะพริบตาปริบหลังจากคุกเข่ารับฟังนางกำนัลอาวุโสของไทโฮ่วถ่ายทอดรับสั่งของพระนางด้วยตนเองด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่งชัดเจน จากนั้นพอกล่าวจบก็จากไปโดยไม่แม้แต่จะรับสินน้ำใจที่หลี่ฉางผู้เป็นขันทีคนสนิทมอบให้เสียด้วยซ้ำ“ที่ไทโฮ่วมีรับสั่งเรียกตัวเจ้ากับหย่งเยี่ยเข้าวัง คงเพราะมีเวินอี๋ยุยง” อวิ๋นรุ่นที่ยืนรับฟังอยู่ตั้งแต่ต้นเอ่ยเรียบๆ “กัดไม่ปล่อยโดยแท้”“หม่อมฉันเข้าใจดีเพคะ” หญิงสาวพยักหน้าอย่างอ่อนอกอ่อนใจ ก็พอจะคาดเดาได้ว่าสักวันเรื่องนี้ก็คงเกิดขึ้น แต่ไม่นึกจะรวดเร็วขนาดว่าเป็นในอีกไม่กี่วันเช่นนี้เอาเถอะ วันนั้นนางยอมให้ถูกตบโดยไม่เอาคืนเพราะเห็นว่าอีกฝ่ายสถานะสูงศักดิ์และนางเองก็ไม่ทันตั้งตัว แต่การที่จะบันดาลโทสะพุ่งเข้าไปตบตีอีกฝ่ายด้วยไร้การไตร่ตรองใดๆ นับว่าไม่ต่างการเอาไข่ไปกระทบหิน เป็นการกระทำที่โง่งมโดยแท้ และถ้ามีใครยุยงให้นางทำแบบนั้น นางก็จะหันกลับไปด่าสักยกเป็นรางวัลในการยุ่งไม่เข้าเรื่องด้วยการจะแก้แค้นคนใหญ่คนโตต่างจากการเล่นงานคนธรรมดาอย่างฉางซื่อหลางมากนัก มันต้องค่อยๆ เก็บเกี่ยวไปเรื่อยๆ รอวันสุกงอมค่อยจัดการทีเดียวน่าจะเป็นการเหมาะสมที่สุด“นิ่งเงียบเช่นนั้น
ณ วังหลวงในเวลาเดียวกันนั้น องค์หญิงเวินอี๋ที่กำลังมุ่งหน้าไปตามทางเดินของตำหนักปีกเพื่อมุ่งสู่ตำหนักไทโฮ่วด้วยท่าทีอารมณ์ดีอย่างยิ่ง นางมองกระดาษในมือที่เพิ่งได้มาจากนางกำนัลในจวนเป่ยหนานหวังอีกครั้ง ก่อนเก็บใส่ไว้ในแขนเสื้ออย่างแนบเนียน จากนั้นใช้เวลารอไม่นานนักเพื่อที่จะให้กูกู่ (นางกำนัลอาวุโส) ของตำหนักไปรายงาน นางก็ได้พบกับสตรีสูงศักดิ์ที่มีชันษาเฉียดห้าสิบ กระนั้นก็ยังเหลือเค้าความงามในอดีตอย่างเต็มเปี่ยม พระนางกำลังผ่อนคลายอิริยาบถอยู่บนเก้าอี้ตัวยาว มือหนึ่งถือตำรา มือข้างหนึ่งถือกล้องยาสูบยกขึ้นสูบอึกหนึ่ง ก่อนปล่อยให้ควันสีขาวลอยอ้อยอิ่งเป็นสายยาวจากริมฝีปากแดง เวินอี๋ไม่รอช้ารีบย่อกายคารวะทันที “ถวายบังคมเสด็จย่า”“เวินอี๋เองหรือ วันนี้ลมอันใดหอบหลานรักของข้ามาถึงที่นี่ได้เล่า” น้ำเสียงนุ่มนวลเจือด้วยความเอื้อเอ็นดูดังขึ้น นางวางกล้องยาสูบและตำราที่อ่านค้างไว้บนโต๊ะเล็กข้างตัวเวินอี๋นั่งลงข้างๆ นาง แขนเรียวขาวกลมกลึงทั้งสองสวมกอดอย่างออดอ้อนเท่าที่หลานสาวคนโปรดผู้หนึ่งจะทำได้ก่อนเอ่ย “เป็นเพราะลมหวนคิดถึงเสด็จย่าเพคะ ไม่ได้พบพระองค์หลายวันแล้ว หม่อมฉันคิดถึงยิ่งนัก”“อายุ
ฉงหรงเห็นอีกฝ่ายเลิกคิ้วคล้ายเป็นเชิงถาม นางก็รีบอธิบายต่อ “เอ่อ...บิดาหม่อมฉันเคยกล่าวว่า การศึกษามิใช่เรื่องที่ควรปิดกั้นอยู่แต่เพียงผู้ที่มีฐานะ สี่ชนชั้นควรได้โอกาสเรียนหนังสืออย่างเท่าเทียม...”“อนุญาต”“เพคะ?”อวิ๋นรุ่นวางรายงานลงกับโต๊ะพลางเอ่ย “ข้าบอกว่าข้าอนุญาต เจ้าจะมาเปลืองน้ำลายอธิบายให้มากความทำอันใด”หานฉงหรง “...”ชายหนุ่มเลิกคิ้ว “หรือว่าเจ้ามีปัญหา”ผ่านไปชั่วเสี้ยววิบตานางพลันคลี่ยิ้ม ก่อนย่อกายลงน้อยๆ “มิมีเพคะ ขอบพระทัยท่านอ๋องที่เมตตาเสี่ยวมี่”อวิ๋นรุ่นมองท่าทีนั้นก็รู้ว่ากลั่นแกล้งอีกฝ่ายสำเร็จ พลันคลี่ยิ้มออกมา “แน่นอนว่าข้าไม่ปิดกั้นโอกาสผู้ที่ต้องการแสวงหาความรู้ หากแต่ว่านางกำนัลเด็กผู้นั้นเพิ่งมาเรียนทีหลังหย่งเยี่ย ให้มาเรียนด้วยกันเช่นนี้จะไม่เป็นการกีดมือขวางเท้าเขาหรือ?”“หามิได้เพคะ ตรงกันข้าม การเรียนของหย่งเยี่ยมีแต่จะดีขึ้น”อวิ๋นรุ่นเงยหน้ามอง คล้ายอยากให้นางเฉลยในสิ่งที่เขาสงสัย หานฉงหรงเพียงอมยิ้มบาง “ไว้ถ้าท่านอ๋องมีเวลา ก็เสด็จมาทอดพระเนตรที่หอตำราได้ทุกเมื่อเพคะ”อวิ๋นรุ่นคร้านจะซักไซ้ ขณะที่จะบอกให้อีกฝ่ายกลับไปพักผ่อน สายตาพลันเหลือบไปเห็นร