บทนำ
...หานฉงหรงยังคงจดจำวันแรกที่แต่งงานเข้าสกุลฉางได้ดี...
ฉางซื่อหลางเป็นมือปราบในศาลประจำเมืองจี๋หลิน ส่วนเขาเป็นบุตรสาวของอาจารย์ที่เปิดสถานศึกษาเล็กๆ การพบกันของพวกเขาเหมือนหน้าหนึ่งของนิยายประโลมโลก ดุจดั่งหน้าม่านของอุปรากรอันเลื่องชื่อ ฉางซื่อหลางช่วยเหลือหานฉงหรงประหนึ่งฉากวีรบุรุษช่วยเหลือสาวงาม นานวันต่างฝ่ายต่างเกิดจิตปฏิพัทธ์จึงคบหาดูใจอยู่นานนับปี สุดท้ายจึงได้แต่งงานกัน
พวกเขาใช้ชีวิตเรียบง่ายสงบสุขได้ไม่นานนักหนึ่งปีต่อมามีการประกาศรับสมัครจอหงวนฝ่ายบู๊ทั่วแผ่นดิน หานฉงหรงเห็นว่าอีกฝ่ายมีความสามารถ จึงไม่ลังเลที่จะชักชวนให้ฉางซื่อหลางสมัครสอบไป สามีของเขามีท่าทีลังเลในคราแรก ทว่าไม่นานก็ตอบตกลง โดยที่บิดาของหานฉงหรงจะเป็นผู้สอนในคัมภีร์ต่างๆ ที่ใช้สอบ
เมื่อทุกอย่างพร้อมสรรพเพียงรอลมบูรพาทิศ ฉางซื่อหลางออกเดินทางในวันฤกษ์ดีวันหนึ่งก่อนถึงเวลาสอบหนึ่งเดือนด้วยเผื่อเวลาเดินทาง ทั้งสองล่ำลากันด้วยน้ำตา ฉางซื่อหลางให้คำมั่นว่าถ้าสอบได้จอหงวนบู๊ เขาจะกลับรับภรรยาไปอยู่ด้วยกัน หรือถ้าสอบตก เขาก็จะกลับมาช่วยพ่อตาสอนหนังสือ ใช้ชีวิตสงบสุขดังเดิม
เวลาผ่านไปหนึ่งปี ในจี๋หลินเกิดโรคระบาด คร่าชีวิตบิดาของหานฉงหรงไป ความเป็นอยู่ในสกุลเริ่มลำบากยากแค้น ในใจฉงหรงนึกห่วงสามีที่ยังไม่กลับบ้าน ในขณะที่กลังจะเก็บข้าวของออกเดินทางไปยังเมืองหลวง เกี้ยวคันงามหลังหนึ่งก็มาจอดยังหน้าบ้านของนาง ระบุว่าต้องการเชิญฮูหยินของจอหงวนบู๊คนใหม่
แม้จะแปลกใจที่ฉางซื่อหลางไม่มารับด้วยตนเอง แต่สุดท้ายก็ยอมนั่งเกี้ยวเดินทางมายังเมืองหลวง เกี้ยวของหานฉงหรงหยุดเบื้องหน้าเรือนสี่ประสานอันสวยสดงดงาม ทว่าป้ายหน้าประตูทางเข้ากลับเขียนเอาไว้ว่า
"จวนราชบุตรเขย"
หานฉงหรงยืนนิ่ง ตัวชาเหมือนถูกน้ำเย็นราดรดตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า เมื่อสอบถามบุรุษที่ดูท่าทางเหมือนขันทีคนหนึ่งจึงได้ความว่า ขณะที่สามีของนางแสดงความสามารถต่อเบื้องพระพักตร์ฮ่องเต้ในรอบสุดท้ายนั้น เป็นที่พอพระทัยของฮ่องเต้ รวมไปถึงองค์หญิงเวินอี๋ธิดาสุดรักที่ตกหลุมรักเขานับตั้งแต่แรกเห็นยิ่งนัก ทำให้ฮ่องเต้ที่ทานทนพระราชธิดารบเร้าไม่ไหวจึงมอบสมรสพระราชทานให้นางกับฉางซื่อหลาง
ฉางซื่อหลางพยายามทูลคัดค้านว่ามีภรรยาอยู่ที่บ้านเกิดแล้ว แต่ว่าก็ไร้ผล ฉางซื่อหลางกลายเป็นราชบุตรเขยไปในที่สุด แต่เขาก็ไม่อยากเป็นอย่างเฉินซื่อเหม่ยที่หลอกลวงเบื้องสูงทอดทิ้งภรรยาเอกที่ร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมาได้ จึงได้ส่งคนไปรับหานฉงหรงที่บ้านเกิดเพื่อมาอยู่ด้วยกัน
หลังจากตั้งสติได้ หานฉงหรงได้แต่แค่นยิ้มสมเพชให้กับตนเอง วันดีคืนร้ายจากที่เป็นภรรยาของสามัญชนคนธรรมดากลับต้องมาอยู่ในฐานะเดียวกับฉินเซียงเหลียงภรรยาของเฉินซื่อเหมยที่สามีกลายเป็นจอหงวนผู้งามสง่าทรงเกียรติ ได้สมรสกับองค์หญิงผู้มียศถาบรรดาศักดิ์สูงเทียมฟ้า ต่างกันตรงที่ในอุปรากรนั้น เฉินซื่อเหม่ยปกปิดเรื่องมีครอบครัวแล้วกับองค์หญิงแล้วส่งคนมาฆ่าภรรยาเก่ากับลูกๆ ส่วนนางนั้นมิใช่ แม้มิต้องหนีการตามล่าหรือตกตายอย่างน่าเวทนา แต่ก็ขมขื่นอัปยศอดสูไม่แพ้กัน
เป็นเมียเอกแล้วอย่างไรเล่า องค์หญิงเวินอี๋แม้แต่งเข้ามาทีหลังทว่าสถานะสูงส่ง เป็นนางเสียอีกที่ต้องคุกเข่าทำความเคารพ เรื่องบัดซบที่ให้หลวงเคารพน้อยจะให้นางทานทนได้อย่างไรกัน! หานฉงหรงจึงตัดสินใจในทีแรกว่าจะกลับบ้านเกิดแล้ว ถ้าฉางซื่อหลางไม่รั้งตัวเขาไว้ก่อน
ฉางซื่อหลางโอบเอวบางพาหานฉงหรงเข้ามายังจวน ชายหนุ่มเตรียมเรือนหลังงามให้กับหานฉงหรงไว้รอท่า แยกออกจากจวนขององค์หญิงโดยสิ้นเชิง ชายหนุ่มมีสีหน้าลำบากใจอย่างยิ่งเมื่อเอ่ยถึงการแต่งงานกับองค์หญิงจนนางเองเริ่มรู้สึกใจอ่อน ฉางซื่อหลางยังคงเป็นฉางซื่อหลางคนเก่าที่นางรู้จัก เป็นคนซื่อสัตย์และอ่อนโยนยิ่งนัก อีกฝ่ายคงไม่มีทางหลอกนางอย่างเด็ดขาด
ฉางซื่อหลางอยู่เป็นเพื่อนหานฉงหรงจนถึงเช้าเพื่อรำลึกความหลังแสนหวาน ก่อนที่จะจูงมือพาหานฉงหรงไปยังจวนองค์หญิงเวินอี๋เพื่อทำความเคารพด้วยกัน องค์หญิงเวินอี๋ผิดจากที่หานฉงหรงคิดไว้มาก แม้จะสูงศักดิ์แต่ก็ไม่หยิ่งผยองถือตัว ซ้ำยังเคารพนางกลับและบอกว่านางมาทีหลังสมควรเคารพหานฉงหรงถึงจะถูก
หลังจากนั้นหานฉงหรงพบว่านางกับองค์หญิงนั้นเข้ากันได้ดีกว่าที่คิด มีข้าวของเครื่องใช้ดีๆ จากวังหลวงก็นำมาให้นาง ทั้งสภาพความเป็นอยู่ของนางนั้นไม่ด้อยไปกว่าองค์หญิง ซ้ำสามีก็ไม่เลือกที่รักมักที่ชัง ทำให้หานฉงหรงค่อยๆ กลับมามีความสุขอีกครั้ง
และความสุขนั้นก็พลันครบถ้วนบริบูรณ์ยิ่งขึ้นเมื่อหานฉงหรงตั้งครรภ์
ในขณะเดียวกันกับที่การหาต้นตอของโรคระบาดในเมืองจี๋หลินควบคู่ไปกับการรักษาอยู่นั้น รถม้าหลากหลายขนาดที่ประดับประดาอย่างวิจิตรงามตระการสมตามฐานะของเจ้าของกำลังเคลื่อนตัวเป็นทิวแถวอย่างเป็นระเบียบผ่านทิวทัศน์ป่าเขาที่ชอุ่มร่มรื่น รอบนอกเป็นเหล่าทหารองครักษ์และเจ้าหน้าที่จากที่ว่าการจี๋หลินคอยอารักขา รองลงมาเป็นเหล่านางกำนัลขันทีและผู้ติดตาม และในสุดจึงเป็นบุคคลสำคัญอย่างฮ่องเต้และเหล่าเชื้อพระวงศ์กับขุนนางระดับสูงทุกผู้ต่างเดินเท้าด้วยจังหวะและความเร็วที่สม่ำเสมอเพื่อที่จะได้ถึงเมืองหลวงโดยเร็วที่สุดตามรับสั่งของโอรสสวรรค์ ซึ่งในบรรดารถม้านั้น มีรถม้าที่ประดับประดาอย่างวิจิตรหรูหราไม่แพ้ราชรถของฮ่องเต้และหวงไทโฮ่ว เนื่องจากเป็นฤดูร้อน ม่านรถม้าจะเปลี่ยนผ้าเนื้อหนาหนักกันลมเป็นผ้าโปร่งปักลายดอกเหมยเขียวด้วยด้ายเงินดูน่ารักกระจุ๋มจิ๋ม ตรงชายผ้าม่านยังประดับพู่ไหมทองทำให้ภายในรถม้าเย็นสบายกอปรกับยามม่านโปร่งพลิกพลิ้วตามลมจนเห็นข้าวของเครื่องใช้ในรถม้าที่มีทั้งเครื่องเงินและกาสุราทองคำชั่วขณะหนึ่งยิ่งส่งเสริมให้รถม้าคันนี้ทั้งหรูหรามีระดับสมฐานะของเชื้อพระวงศ์หญิงระดับสูงของแคว้นชิ่ง หญิงสา
หลายวันต่อมา เมื่อสถานการณ์โรคระบาดในเมืองจี๋หลินคลี่คลายไปในทางที่ดีขึ้นและเป่ยหนานหวังอวิ๋นรุ่นเริ่มต้นการสอบสวนหาต้นตอที่มาของโรคระบาด รองผู้ว่าการเมืองจี๋หลินก็รีบมาคุกเข่าโขกศีรษะให้กับอวิ๋นรุ่นทั้งน้ำตา ข้างตัวมีชายหนุ่มคนหนึ่งถูกมัดมือมัดเท้าปานขนมจ้าง อีกทั้งใบหน้าและตลอดทั้งเนื้อตัวที่โผล่พ้นเสื้อผ้ามีแต่รอยฟกช้ำเขียวม่วงพร้อยพรายคล้ายถูกทำร้ายจนสะบักสะบอม โดยเฉพาะที่ปากนั้นบวมเป่งใหญ่กว่ากว่าปากคนปกติเกือบเท่าตัว เมื่อมองไปยังด้านหลังยังคงเห็นคราบเลือดและเศษฟันที่คายทิ้งตามรายทางชวนให้ขนพองสยองเกล้าอย่างยิ่งเมื่อพิจารณาซากสังขารที่ยังมีลมหายใจเสร็จสิ้น อวิ๋นรุ่นที่ถามสถานการณ์พอเป็นพิธีก็เริ่มล้างหูรอฟังชายชราตรงหน้าแผดเสียงสารภาพหมดเปลือก จับใจความได้ว่าคนที่นอนเป็นซากอยู่ตรงนั้นเป็นหลานชายของตระกูลสายรองของตน นิสัยเลวร้ายเสเพลซ้ำยังลอบค้าขายผงห้าศิลา เมื่อไม่นานมานี้ถูกทางการกวาดล้างจนไม่สามารถหาผงห้าศิลามาขายได้เพิ่ม จึงผูกใจเจ็บ ลอบวางยากำมะถันผสมกับผงห้าศิลาลงในบ่อน้ำจนทำให้ผู้คนเดือดร้อนไปทั่ว พอรู้ว่าเป็นฝีมือของคนชั่วผู้นี้ก็รีบจับมารับโทษกับท่านอ๋อง ขอให้ท่านอ๋องคน
“ผงห้าศิลาที่เป็นยาเสพติดที่ทางการสั่งห้ามประชนใช้อย่างเด็ดขาดน่ะหรือเพคะ” หานฉงหรงเลิกคิ้วถาม นางเคยอ่านเจอผ่านๆ ในตำราแพทย์ที่รวบรวมอยู่ภายในหอตำรา กำลังคิดว่าหลังจากที่โรคระบาดเสร็จสิ้นจะศึกษารายละเอียดเพิ่มเติม แต่ไม่นึกว่าจะได้มาเห็นของจริงเร็วเพียงนี้อวิ๋นรุ่นพยักหน้า “เดิมผงห้าศิลาเป็นยาสำหรับรักษาโรคบางชนิด แต่มีคนหัวหมอนำไปขายให้กับเหล่าชนชั้นสูงและเชื้อพระวงศ์ เพราะทำให้คึกคัก เสพติด มึนเมาเคลิบเคลิ้มเห็นภาพหลอน นักกวีบางคนก็ใช้มันเพื่อสร้างแรงบันดาลใจในการสร้างสรรค์ผลงาน ในทีแรกทางการก็มิได้ใส่ใจอะไรมากนัก แต่เมื่อผงห้าศิลาเริ่มระบาดไปยังขุนนางระดับสูงถึงระดับกลางไปจนถึงบัณฑิตนักปราชญ์ บางรายถึงขั้นคลุ้มคลั่งทำร้ายสังหารคน นั่นล่ะถึงได้นั่งกันไม่ติดตื่นตัวปราบปราม”“ผงห้าศิลาเป็นของหายากราคาก็มิใช่น้อย ส่วนประกอบของมันจะมาอยู่ตรงก้นบ่อน้ำในตลาดได้อย่างไรกัน หรือว่าจะเป็นเรื่องบังเอิญ...”“ถ้าเป็นเรื่องบังเอิญจริงๆ คงไม่มีส่วนประกอบของผงห้าศิลาอยู่ในดินโคลนก้นบ่อมากถึงขนาดนี้แน่ขอรับ” หยวนเคอแย้งก่อนยื่นรายงานที่เพิ่งเขียนเสร็จให้กับท่านอ๋องหนุ่ม “บางทีอาจเป็นที่พวกท่านสันน
เวลาผ่านไปถึงช่วงเย็น รายงานสภาพน้ำของแหล่งน้ำธรรมชาติและบ่อน้ำทั่วเมืองจี๋หลินก็ถูกส่งมาถึงมือของอวิ๋นรุ่น ในขณะเดียวกันตัวอย่างดินโคลนก้นบ่อสาธารณะและบ่อน้ำกินน้ำใช้ในแต่ละบ้านเรือนก็วางเรียงรายเต็มโต๊ะยาว หลังจากรับประทานซาลาเปาไส้เนื้อสับต้นหอมเป็นอาหารเย็นแล้ว ทั้งสองก็เริ่มลงมือทำงานทันที“ดินโคลนก้นบ่อที่รวบรวมมาได้ หม่อมฉันได้แยกออกเป็นเขตต่างๆ ในเมืองจี๋หลินเพื่อสะดวกในการตรวจสอบแล้วเพคะ” หานฉงหรงยิ้มเอ่ยหลังจากเขียกชื่อเขตเขตสุดท้ายของเมืองจี๋หลินลงบนแผ่นไม้แล้ววางไว้ที่กองก้อนโคลนที่เขียนชื่อสถานที่กำกับเอาไว้อวิ๋นรุ่นพยักหน้า ก่อนเรียกให้บุรุษผู้หนึ่งเข้ามา “นี่คือ หยวนเคอ เป็นเจ้าหน้าที่ควบคุมดูแลการขุดเหมืองแร่ส่งเข้าวังหลวงโดยตรง มีความสามารถในการจำแนกสินแร่ได้อย่างถูกต้องแม่นยำแม้ว่าจะเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยเพียงใดก็ตาม เขาจะมาช่วยเจ้าจำแนกสินแร่ที่ผิดปกติหรือไม่ชอบมาพากลได้”หยวนเคอและหานฉงหรงทักทายตามมารยาทพอสมควร ทั้งสองจึงเริ่มทำงานทันที หยวนเคอถึงแม้เป็นขุนนาง แต่ก็มีพื้นเพมาจากตระกูลสามัญชน อาศัยความสามารถและความจริงใจอาศัยฝ่าคลื่นลมมรสุมที่เต็มไปด้วยการแก่งแย่งชิง
เป่ยหนานหวังหันไปถามอีกฝ่ายเสียงเรียบ “ยังมีที่ใดอีก” แต่นางกลับไม่ตอบเขาทันที เพียงเดินไปทางด้านหลังเรือน ตรงไปยังบ่อน้ำที่ใช้กินใช้ภายในเรือน “ถ้าพูดถึงแหล่งน้ำ ที่จี๋หลินมิได้มีเพียงแต่แหล่งน้ำธรรมชาติอย่างเดียว ยังมีบ่อน้ำที่ทางการสร้างเอาไว้ใช้เพื่อสาธารณะ และบ่อน้ำที่ชาวบ้านขุดเอาไว้ใช้เองที่บ้าน ท่านพ่อเคยบอกว่าบ่อน้ำทุกบ่อในเมืองจี๋หลินแห่งนี้ต่างใช้น้ำใต้ดินสายเดียวกัน ถ้าบ่อหนึ่งมีปัญหา บ่อน้ำที่เหลือก็ไม่น่าจะปลอดภัย”เพราะถ้าแหล่งน้ำธรรมชาติไม่มีความผิดปกติ แต่มีเฉพาะน้ำบ่อ ก็เป็นไปได้ว่าโรคระบาดในครานี้อาจเป็นฝีมือของมนุษย์...“เรื่องนั้นข้าก็คิดเหมือนกันกับเจ้า เลยสั่งให้คนไปสำรวจน้ำในบริเวณบ่อน้ำกินน้ำใช้ของแต่ละบ้านด้วย” อวิ๋นรุ่นกล่าว “ที่เจ้าพูดถึงเรื่องนี้เพราะกลัวว่าโรคระบาดคราวนี้จะเป็นฝีมือมนุษย์ใช่หรือไม่”หานฉงหรงพยักหน้ารับเขาจึงได้เข้าใจ ถึงแม้จะไม่ใช่เรื่องที่เหนือความคาดหมายเท่าใดนัก แต่เขาก็อดพอใจมิได้ที่นางคิดการเผื่อเขาอย่างรอบคอบเช่นนี้หญิงสาวกลับส่ายหน้าช้าๆ “ยังไม่พอเพคะ ถ้าจะให้ดีหม่อมฉันอยากให้ตรวจสอบดินโคลนก้นบ่อด้วย ถ้าเกิดว่าต้นตอของโรคระบาดเกิด
“ถึงเป็นเช่นนั้นหม่อมฉันก็รู้สึกซาบซึ้งในตัวพระองค์จากใจจริงเพคะ” หานฉงหรงยิ้มแย้มก่อนรินชาอีกจอกเทินส่งให้เขาอีกครา “หม่อมฉันขอใช้ชาจอกนี้แทนคำสัตย์สาบาน จะขอช่วยเหลือท่านอ๋องและหมอหลวงทุกท่านในการหาต้นตอของโรคระบาดให้พบให้ได้ เพื่อตอบแทนในพระกรุณาในครานี้”“เป็นเช่นนั้นก็ดี แต่อย่าได้หักโหมจนล้มป่วยไปอีกคน เจ้าเป็นลูกสาวของว่าที่ขุนนางคนสำคัญ เกิดล้มหายตายจากไปข้าคงไม่มีปัญญาชดใช้ให้”นางอมยิ้มพลางพยักหน้ารับไม่หยุด จนอวิ๋นรุ่นขมวดคิ้วสงสัยว่าอีกฝ่ายจะอารมณ์ดีอันใดหนักหนา หานฉงหรงก็กล่าวเพียงว่า“วันนี้หม่อมฉันได้พบเจอคนดี ได้รับฟังแต่เรื่องน่ายินดี จึงได้อารมณ์ดีเช่นนี้ และอาจจะเป็นเช่นนี้ไปอีกหลายวัน ขอท่านอ๋องทรงโปรดอย่าได้ถือสาหม่อมฉันเลยเพคะ”หญิงชาวบ้านที่หานฉงหรงเคยช่วยบุตรชายของนางเอาไว้ที่ตลาดวันก่อนกลับมาหานางที่สถานศึกษาสกุลหานเพื่อรายงานอาการและจำนวนผู้ป่วยในอีกหนึ่งวันหลังจากนั้น ที่ทิ้งช่วงนานข้ามวันกว่าจะกล้ามาอาจเป็นเพราะว่ากำลังรอดูอาการบุตรชายที่กินยาของนางเข้าไปจะได้ผลดีมากน้อยเพียงใด พอเห็นว่าปลอดภัยในระดับหนึ่งจึงยอมวางใจให้ความร่วมมือ ดังนั้นสิ่งที่ต้องคิดต่อจา