ฉางซื่อหลางได้ยินเช่นนั้นก็ให้ดีใจนัก คอยดูแลประคบประหงมหานฉงหรงราวกับสมบัติล้ำค่า องค์หญิงเองก็ส่งสมุนไพรบำรุงครรภ์ชั้นดีจากในวังมาให้ นางรับมาโดยดี แต่ก็ยังอดนึกระแวงไม่ได้ ในเรื่องราวหลังบ้านเช่นนี้ ไม่รู้ว่าองค์หญิงจะยินดีอย่างปากพูดหรือไม่ ทำให้หานฉงหรงแอบเทยาขององค์หญิงทิ้ง แล้วให้สาวใช้แอบซื้อยาบำรุงครรภ์จากภายนอกมากินเอง
เวลาผ่านไปจนครบสิบเดือน หานฉงหรงคลอดลูกชายคนแรกของตระกูลฉางได้สำเร็จ ฉางซื่อหลางนั้นปีติยินดีนัก องค์หญิงเวินอี๋เองก็มาร่วมยินดีด้วย นางมอบของมีค่าหลายอย่างให้กับนาง รวมไปถึงอาหารยาบำรุงอีกหลายขนาน ฉงหรงได้เห็นหน้าลูกน้อยเพียงแค่ชั่ววิบตาเดียวก็มีแม่นมมาพาออกไป...เด็กน้อยเนื้อตัวขาวนุ่ม ท่าทางแข็งแรง น่ารักน่าชังอย่างยิ่ง ฉางซื่อหลางยังคงกดจูบที่หน้าผากมน ปลอบประโลมภรรยาที่ลำบากแสนสาหัสคลอดลูกให้เขา ท่ามกลางสายตาขององค์หญิงที่มองด้วยสายตาเรียบนิ่งไร้ซึ่งระลอกคลื่นริษยา... เมื่อพ้นกำหนดสามเดือนของการอยู่เดือน ทว่าร่างกายของหานฉงหรงก็ไม่ค่อยสู้แข็งแรงดังเดิม ฉางซื่อหลางจึงให้หมอมาตรวจ ได้รับคำตอบว่า คนที่คลอดลูกก็เหมือนก้าวขาเข้าประตูผีไปก้าวหนึ่ง ร่างกายยากจะกลับมาฟื้นฟูให้ดีดังเดิม ทำให้ต้องกินยาบำรุงไปตลอดชีวิต ซึ่งตัวหานฉงหรงเองไม่มีปัญหาแต่อย่างใด ขอแค่ได้อยู่กับลูกก็พอ เวลาผ่านไปสามเดือน หกเดือน จนกระทั่งลูกชายตัวน้อยของนางอายุได้เก้าเดือน...เริ่มเรียกหานฉงหรงว่า "แม่" ได้ไม่ชัดนัก ร่างกายของหานฉงหรงกลับทรุดโทรมลงทุกที ผิวที่ขาวอยู่แล้วเริ่มขาวซีดปานซากศพ ร่างกายที่ผอมบางอยู่แล้วก็เริ่มซูบลงจนเห็นเส้นเลือดที่แขนขาปูดโปนเลื้อยพาดผ่านราวงูดิน และเริ่มมีอาการไอถี่ๆ สุดท้ายในวันหนึ่งของช่วงต้นเหมันต์บนผ้าเช็ดหน้าปักลายเหมยเขียวของนางก็มีหยดเลือดแต้มขนาดใหญ่เท่าผลลิ้นจี่ ฉางซื่อหลางไม่เคยละเลย เขาตามมาหมอมารักษาหานฉงหรง แต่หมอทุกคนต่างส่ายหน้า ได้แต่บอกเพียงให้นางถนอมช่วงเวลาที่อยู่กับคนรักเอาไว้ให้ดีๆ เขาเองก็เริ่มปลงตก ไม่ร้องขอให้สามีหาหนทางรักษาอีกต่อไป ทุกวันขอเพียงได้เห็นรอยยิ้มและเสียงหัวเราะของลูกก็พอใจมากแล้ว จนวันหนึ่งในปลายฤดูหนาวที่หนาวเหน็บ อาการของหานฉงหรงเริ่มแย่ลง แม้ไม่ล้มหมอนนอนเสื่อ แต่อาการก็ใช่ว่าจะดี หญิงสาวกระชับเสื้อหนาวในอ้อมแขน หมายจะไปเยี่ยมฉางซื่อหลางที่กำลังอยู่ในห้องหนังสือ แสงไฟยังส่องสว่างนวลตา ทว่าได้ยินเสียงหัวร่อต่อกระซิกของชายหนุ่มหญิงสาวลอดออกมา "ซื่อหลาง ท่านว่าสตรีผู้นั้นจะมีชีวิตอยู่ได้อีกนานเท่าใด?" "กระหม่อมถามท่านหมอแล้ว คิดว่าคงไม่พ้นหนาวนี้" น้ำเสียงหวานรื่นหูแฝงด้วยกระแสปีติ "ดี...ดียิ่งถ้าให้นางมีชีวิตอยู่นานกว่านี้ เด็กคนนั้นคงไม่มีวันยอมรับข้าเป็นแม่แน่นอน" "เด็กคนนั้นจะไม่ยอมรับท่านเป็นแม่ได้อย่างไร ในเมื่อในวันข้างหน้าเขาจะมีแม่เพียงคนเดียว คือองค์หญิง" "น่าเสียดายที่ข้าไม่อาจมีลูกให้ท่านได้" น้ำเสียงเครือเจือสะอื้นเบาๆ ดังออกมา มีเสียงทุ้มนุ่มออดอ้อนตบท้าย "องค์หญิงอย่าเสียพระทัย ท่านมีลูกชายคนนี้ก็พอ เพราะเหตุนี้ ข้าถึงรับฉงหรงมาอยู่ที่นี่ ขอเพียงฉงหรงมีลูกให้องค์หญิง นางก็หมดค่า"หานฉงหรงถือวิสาสะเข้ามาในห้องของหลินหลางโดยไม่มีการบอกล่วงหน้า จึงได้ทันเห็นหลินหลางในสภาพบอบช้ำยับเยิน ทั่วร่างมีแต่รอยฟกช้ำไม่เว้นที่ โดยเฉพาะที่ใบหน้าที่แทบไม่เหลือเค้าความน่ารักน่าเอ็นดูอีกต่อไปใจหนึ่งหญิงสาวอยากจะสมน้ำหน้า แต่ใจหนึ่งก็สมเพชเวทนาที่อีกฝ่ายไม่ทันเล่ห์ลวงของบุรุษจนต้องมามีสารรูปเช่นนี้ นางสูดลมหายใจลึกก่อนเอ่ยเรียก “หลินหลาง”หลินหลางสะดุ้งสุดตัว ก่อนหันไปทางที่มาเสียง เมื่อเห็นว่าเป็นผู้ใด นางก็รีบยกมือปิดหน้าตนเองก่อนเอ่ยเสียงแผ่ว “คุณหนู”หานฉงหรงเพียงปรายตามองที่โต๊ะข้างเตียงก็เห็นว่ามีคนเอายามาวางเอาไว้แล้ว นางจึงฉวยเอาตลับกระเบื้องที่อยู่ในบรรดายาทั้งหมดออกมาใบหนึ่งแล้วเดินไปนั่งข้างๆ ท่าทางเต็มเปี่ยมด้วยความห่วงใย “ให้ข้าทายาให้เจ้า”“คุณหนูเจ้าคะ ข้าเป็นบ่าวต่ำต้อย ท่านอย่าได้ลดตัวทำเช่นนี้เพื่อข้าเลยเจ้าค่ะ”หานฉงหรงช้อนตาขึ้นมอง “บ่าวต่ำต้อยอันใด สกุลหานของเราให้เกียรติคนทุกชนชั้น ทั้งข้าและเจ้าต่างก็เป็นคนดุจเดียวกัน อีกอย่างเราสองคนเติบโตมาด้วยกัน รักใคร่ดั่งพี่น้อง เรื่องเพียงแค่นี้มิใช่เรื่องใหญ่โต”หลินหลางได้ฟังเช่นนั้นพลันน้ำตาเอ่อคลอ มองอีกฝ่ายป้า
พอถึงช่วงบ่าย หานฉงหรงก็กลับมาถึงบ้านสกุลหานโดยสวัสดิภาพ จากนั้นจึงเดินไปต้มน้ำชงชาและเตรียมขนมด้วยตนเอง เพราะรู้ดีว่าหลินหลางในตอนนี้คงไม่อาจกลับมาถึงได้ในระยะเวลาสั้นๆ นี้ชาอู่อี๋เหยียน (ชาหินผา) ที่ถูกความร้อนค่อยๆ คลายตัวออกในถ้วยเปลี่ยนน้ำให้เป็นสีแดงดั่งทับทิม กลิ่นหอมคล้ายดอกกุ้ยซึ่งเป็นกลิ่นประเฉพาะตัวของชาชนิดนี้ลอยตลบอบอวลไปทั่วทั้งห้อง หลังจากนั้นก็แกะห่อกระดาษที่มีขนมเปี๊ยะไส้เนื้อ ขนมเกลียว และขนมอื่นๆ ที่นางแวะซื้อระหว่างทางกลับมาแกะกินอย่างมีความสุขเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันนี้นับว่าเป็นความสำเร็จก้าวแรกในการเขี่ยฉางซื่อหลางออกไปจากชีวิต ทว่าเพียงเท่านี้ยังไม่เพียงพอ นางต้องการอะไรบางอย่างที่จะเป็นจุดแตกหักในความสัมพันธ์ระหว่างเขากับนางให้ได้อย่างหมดจดพ้นเรื่องพ้นราวไป ซึ่งแน่นอนว่านางค้นพบแล้ว ถึงได้มานั่งกินขนมดื่มชาอย่างสบายใจเช่นนี้ขณะที่กำลังคิดอะไรเพลินๆ ฉางซื่อหลางก็มาถึงที่บ้านของนางพร้อมกับหลินหลางที่ผมเผ้ายุ่งเหยิง เสื้อผ้าก็ฉีกขาดบางส่วน จนฉงหรงต้องไม่พยายามออกปากถามว่าสตรีข้างๆ นางนั้นไปตบตีกับคนด้วยกันหรือว่าโดนฝูงสุนัขจรจัดรุมทึ้งมากันแน่ นางพยายามวางท่า
ใช้เวลาเดินโดยที่เหงื่อยังไม่ทันซึมหลัง หานฉงหรงและบุรุษปริศนาท่าทางงามสง่าก็เดินทางมาถึงโรงเตี๊ยมที่ใหญ่ที่สุดของเมืองจี๋หลิน โดยมีขันทีนามหลี่ฉางเดินนำทั้งสองขึ้นไปยังห้องพักชั้นสองที่อยู่ปีกขวาด้านในสุดซึ่งกล่าวกันว่าเป็นห้องที่หรูหราและมีความเป็นส่วนตัวเป็นที่สุด ซึ่งก็จริงดังคำกล่าว เมื่อหานฉงหรงอุ้มเด็กน้อยเข้ามาในห้องก็รู้สึกว่าห้องห้องนี้ตัดขาดกับโลกภายนอกโดยสิ้นเชิงราวกับอยู่กันคนละมิติฉงหรงอุ้มเด็กน้อยไปยังเตียงนอนที่อยู่ด้านในสุดที่มีเพียงแค่ม่านมุกกางกั้น เด็กชายที่ถูกนางอุ้มรู้สึกอุ่นกายสบายใจราวกับอยู่ในอ้อมอกมารดา หลับตาพริ้มพลางดูดนิ้วอย่างไร้เดียงสา ทำเอาหญิงสาวใจละลาย ทว่าเมื่อเห็นชายหนุ่มจ้องเขม็งมายังที่นาง จึงจำใจต้องวางร่างเล็กลงกับเตียงนอนทั้งๆ ที่ในใจยังรู้สึกอาวรณ์เด็กคนนี้น่ารักจริงๆ ไฉนผู้เลี้ยงดูจึงมิได้เศษเสี้ยวความน่ารักนี้มาบ้างเลยเล่าหานฉงหรงถอนใจอย่างนึกเห็นใจหนุ่มน้อยที่หลับปุ๋ยไปเรียบร้อยแล้ว จากนั้นจึงลุกขึ้นยืนเตรียมตัวจะเดินกลับออกไป ทว่าก็ติดกำแพงเลือดเนื้อที่ยังยืนตัวตรงประหนึ่งเสาค้ำสมุทรทำให้นางต้องหยุดนิ่งดุจเดิม “คุณชาย โปรดหลีกทางด้วยเจ้
3เด็กน้อยหานฉงหรงไปได้ยืนรออยู่ตรงปากทางเข้าตรอกชิงฮวาตามที่บอกไว้กับฉางซื่อหลาง กลับเพียงเดินไปอย่างไม่เร่งร้อนเพื่อดื่มด่ำกับบรรยากาศที่ห่างหายไปนานและเคยคิดว่าจะไม่มีโอกาสกลับมาอีกแล้วแต่เมื่อนึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ก็ให้รู้สึกผะอืดผะอมจนต้องเอามือปิดปากตนเอง สตรีสองคนตบตีกันเพราะบุรุษสารเลวเพียงผู้เดียว ถ้าผู้ที่ลงมือนั้นเป็นนางในอดีตที่ยังถูกซื่อหลางปิดหูปิดตาจนมืดบอดไม่ใช่หลินหลาง คงทำให้บิดาและสกุลหานอับอายขายหน้าเป็นแน่เนิ่นนานกว่าที่หานฉงหรงจะยอมเอามือออกจากปากตนเอง นางถอนใจอย่างแช่มช้า ทำท่าจะเดินกลับไปที่บ้านของตน ทว่านางกลับต้องชะงักอยู่กับที่เหมือนถูกบางอย่างกอดรัดตรึงขาเอาไว้เมื่อก้มลงมองก็เห็นเด็กชายที่อายุประมาณสามสี่ขวบคนหนึ่ง ตาสองข้างวามแววดั่งดวงดารา พวงแก้มกลมยุ้ย ริมฝีปากแดงอิ่มดังผลอิงเถา ช่างเป็นเด็กที่น่ารักน่าเอ็นดูเหลือประมาณโดยไม่ได้ตั้งใจ...สายตาของหานฉงหรงเผลอมองใบหน้าของเด็กชายซ้อนทับกับลูกน้อยของตนเอง...ลูกน้อยวัยเก้าเดือนที่สิ้นลมหายใจพร้อมกับนางในเพลิงผลาญซึ่งจะเกิดขึ้นในอีกไม่กี่ปีต่อมา...สองตาของนางพลันรื้อรื้นไปด้วยหยาดน้ำตาที่จวนเจีย
“หรงเอ๋อร์” ฉางซื่อหลางเลิกคิ้วถามอย่างนึกสงสัยที่อีกฝ่ายนิ่งเงียบไปหานฉงหรงหลุดจากภวังค์ ก่อนช้อนตาขึ้นมอง “ปิ่นที่เจ้าให้ ข้าชอบมาก เจ้าช่วยประดับที่เรือนผมของข้าให้หน่อยได้หรือไม่ จากนั้นข้าจะเดินไปอวดคนในตลาด ให้เขารู้ว่ากันให้ทั่วว่าว่าที่คู่หมั้นของข้านั้นช่างแสนดีเพียงใด”ฉางซื่อหลางสะอึกอึ้ง ก่อนเอ่ยอย่างไม่เต็มเสียงนัก “หรงเอ๋อร์ ปิ่นชิ้นนี้ข้าอุตส่าห์สั่งทำพิเศษเพื่อเจ้า ไว้ประดับในงานสำคัญหรือช่วงเทศกาลไม่ดีกว่าหรือ ถ้าเกิดเผลอไผลทำตกขึ้นมาจะไม่มีอีกแล้วนะ”ฉงหรงกล่าวเสียงเง้างอดอย่างมิเคยทำ “ไม่เอา ในเมื่อเป็นของพิเศษที่มีชิ้นเดียวในโลกก็ต้องอวดให้ผู้อื่นได้เห็นสิ นอกเสียจากว่าปิ่นชิ้นนี้จะมีผู้อื่นใส่เหมือนกัน”เห็นฉางซื่อหลางทำสีหน้าย่ำแย่เหมือนคนกลืนไม่เข้าคายไม่ออกนั้นนางพลันรู้สึกปลอดโปร่งเล็กน้อย จากนั้นก็เอ่ยวาจาออดอ้อนเขาต่อ “ถือว่าข้าขอร้องเจ้านะ ซื่อหลาง”คล้ายคนขี่หลังเสือแล้วไม่อาจหาทางลงได้ สุดท้ายฉางซื่อหลางก็พยักหน้าด้วยสีหน้าจืดเจื่อนเล็กน้อยเนื่องจากเป็นช่วงสาย ตลาดที่ถนนสายหลักยังคงครึกครื้น หานฉงหรงยิ้มรับขนมเม็ดบัวคลุกผงกุ้ยฮวาที่ว่าที่คู่หมายซื้อมาให
โบราณว่า "พบศัตรูบนทางแคบ" ไม่ว่าจะเกลียดคนผู้นั้นมากเพียงใดจะหลบเลี่ยงเพียงไหนก็ยังมีโอกาสพบเจอ แล้วประสาอะไรกับฉางซื่อหลางที่ตอนนี้ยังเป็นคู่หมั้นคู่หมายของนาง "คุณหนู คุณชายฉางมาขอพบเจ้าค่ะ" เด็กสาวผูกมวยผมสองข้างหน้าตาน่ารักน่าเอ็นดูเดินเข้ามาในบ้านด้วยน้ำเสียงไม่พอใจนัก นางคือ หลินหลาง สาวใช้ที่บิดาของนางซื้อตัวมาในขณะหลินหลางคุกเข่าข้างศพมารดา ประกาศตนว่าจะขอขายตัวเป็นข้ารับใช้หรือเป็นม้าเป็นวัวจนกว่าชีวิตจะหาไม่ ทั้งนางและหลินหลางสนิทสนมรักใคร่ราวกับพี่น้องร่วมอุทรก็ไม่ปานทว่าหลังจากที่หานฉงหรงถูกเรียกตัวมายังเมืองหลวง ในระหว่างที่นางตั้งครรภ์ซื่อหลางจึงเรียกหลินหลางมาเพื่ออยู่ปรนนิบัติรับใช้นางระหว่างตั้งครรภ์ แต่ใครจะคาดคิดว่า วันหนึ่งของการตั้งครรภ์ในเดือนที่ห้า หลินหลางกลับมาที่ห้องด้วยสภาพที่บอบช้ำทั้งร่างกายและจิตใจ หลังจากที่หานฉงหรงคาดคั้นอยู่นานนางจึงยอมสารภาพว่า ฉางซื่อหลางเมามาย องค์หญิงเวินอี๋สุขภาพมิสู้ดีไม่ยินยอมปรนนิบัติ ส่วนนางตั้งครรภ์มิอาจร่วมอภิรมย์บนเตียงได้ ซื่อหลางจึงฉุดคร่านางเข้าห้อง ใช้กำลังบังคับนางด้วยแรงกำหนัดกล้าโดยที่หลินหลางมิยินยอม ตอนนั้นฉงหรง