“ผู้หญิงแคว้นจ้าวก็เป็นอย่างนี้แหละเจ้าค่ะ หาคนกิริยามารยาทงามได้ยากยิ่ง ยิ่งพวกที่ทรยศบ้านเมืองตัวเองด้วยแล้ว ยิ่งไร้คุณสมบัติของผู้ดีไปอีกนะเจ้าคะ” ปลายเสียงหัวเราะฮึ ๆ ปู้เป่ยเอ่ย
‘ทรยศบ้านเมืองตัวเองอย่างนั้นหรือ เหตุใดกันล่ะ’ ฟู่หลินหลินคิดในใจ สับสนงงงวย กว่านางจะเข้าใจทุกเรื่องจะต้องใช้เวลาในการซักถามกับเจียงอ่าวเป็นวัน ๆ แน่นอน
“นี่เจ้า... ยังไม่รู้กาลเทศะเหมือนเดิมนะ”
เสียงรวบพัดตบเข้าหากันดังพรึบ ก่อนจะชี้มาที่ใบหน้าของฟู่หลินหลินอีก เมื่อฟู่หลินหลินได้ยินเช่นนั้นรีบตั้งสติ แล้วรีบลุกขึ้นยืน
“ฟู่หลินหลินคารวะท่านแม่” พร้อมทำท่าทางเหมือนที่เจียงอ่าวสอน และที่เห็นในจอโทรทัศน์ของที่บ้าน
รั่วฮูหยินไม่ตอบคำ เพียงแต่เบือนหน้าหนีราวกับจะไม่รับการคารวะจากนาง ฟู่หลินหลินเห็นดังนั้น ก็เข้าใจได้ในทันทีว่า รั่วฮูหยินคงไม่ชอบนางมากจริง ๆ ตอนที่ได้ยินเจียงอ่าวเล่า ยังไม่เห็นภาพ แต่ตอนนี้ชัดเจนยิ่งแล้ว
เกิดมายังไม่เคยมีใครทำอะไรให้ฟู่หลินหลินรู้สึกขุ่นเคืองได้เพียงนี้
‘แต่ที่นี่... ไม่ใช่บ้านท่านฟู่ ข้าต้องสงบใจ’ นางกำชับตัวเอง แม้ว่าตอนนี้ฟู่หลินหลินยังจับต้นชนปลายไม่ถูก ยังไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรต่อไป ก็เลยได้แต่ยืนนิ่งเฉยอยู่กับที่
เมื่อเห็นนางยืนอยู่ไม่ขยับไปไหน สักพักสาวใช้นางนั้นจึงได้หันหน้ามาแล้วพูดด้วยน้ำเสียงไม่พอใจว่า
“อ้าว! ยังยืนเสนอหน้าให้ฮูหยินเห็นอีก นายหญิงคารวะแล้ว ก็ออกไปสิเจ้าคะ ฮูหยินไม่ชมชอบให้ท่านมายืนอยู่ต่อหน้านาน ๆ ไป ชิ้ว...” โบกมือไล่อย่างไม่ไยดี
ฟู่หลินหลินได้ยินก็ถึงกับอึ้ง นางไม่คิดว่าที่เรือนนี้แม้กระทั่งสาวใช้ยังเหยียดหยามนางได้ นางไปทำอะไรให้พวกเขาโกรธเกลียดถึงขนาดนี้กันแน่
สองมือกำหมัดขึ้นมา ‘จะจัดการเสียดีไหม’ หัวใจของฟู่หลินหลินเดือดดาล แต่ก็ต้องข่มทุกสิ่งที่ไม่พอใจเอาไว้ ฟู่หลินหลินรีบหมุนตัวกลับอย่างระมัดระวัง
ยังไม่ทันที่นางกำลังจะเดินออกประตูด้วยซ้ำไป
แม่ทัพรั่วได้เดินข้ามธรณีประตูเข้ามาพอดี
“ข้าคิดว่าเจ้าอยู่ที่นี่ ก็เลยมาตามน่ะ” ใช้สายตามอง ฟู่หลินหลินเพิ่งจะได้เห็นเขาแจ่มชัดก็ในตอนนี้
‘อะไรของเขา หล่อบ้าเบอร์นี้’ หัวใจของนางเต้นรัว
แม่ทัพรั่วกล่าวโดยที่ไม่แม้แต่จะมองใบหน้าของนางด้วยซ้ำไป แต่ฟู่หลินหลินอ้าปากตาค้าง จะได้สามีหน้าเหมือนกับออกมาจากจอโทรทัศน์ไม่ได้
“รั่วเฉิน เจ้ามีเรื่องอันใดหรือ” รั่วฮูหยินรีบเอ่ยถามลูกชายของตนในทันที
“เปล่าขอรับท่านแม่ ลูกแค่จะมารับนาง เกรงจะทำให้ท่านแม่ขุ่นเคืองใจ อีกอย่างคือลูกมีเรื่องจะคุยกับนางสักหน่อยขอรับ” แม่ทัพรั่วตอบเสียงราบเรียบ
“ก็พานางไปสิ อ้อ... รั่วเฉิน เจ้าต้องสั่งสอนนางด้วยนะ เป็นลูกสะใภ้สกุลรั่วตื่นสายแบบนี้ น่าขายหน้ายิ่ง รู้ไปถึงไหน ๆ อายไปถึงนั่นแน่” มองด้วยดวงตาชิงชัง
“ขอรับท่านแม่” รั่วเฉินรีบโค้งก้มหัวให้กับมารดา
จากนั้นแม่ทัพรั่วก็เดินนำหน้าออกไป โดยมีฟู่หลินหลินเดินตามหลังเขาออกไปจากตรงนั้น
เจียงอ่าวเมื่อเห็นนายหญิงเดินตามหลังท่านแม่ทัพมา ก็รีบเข้าไปประกบเจ้านายของตน ส่งมือดันหลังให้นางเดินเร็ว เพื่อตามท่านรั่วที่เดินนำไปยังห้องเขียนหนังสือ แต่ยังไม่ถึงประตูด้วยซ้ำ ท่านแม่ทัพก็หันมาสั่ง
“เจียงอ่าวรออยู่ข้างนอก แล้วก็ปิดประตูด้วย”
“เจ้าค่ะ” เสียงเจียงอ่าวขานรับ พร้อมกับหยุดอยู่กับที่ ฟู่หลินหลินหันมามอง
“ไปเจ้าค่ะ” ก้มงอตัว สายตามองหน้าของนายหญิง แล้วพยักพเยิด
อยู่ ๆ ฟู่หลินหลินก็ใจสั่นขึ้นมา เพราะเมื่อคืนนางได้มองหน้าเขาไม่ถนัดถนี่ แต่รู้ถึงการเคลื่อนไหวของเขาบนเนื้อตัวของนางทั้งทารุณและโหดร้ายในความรู้สึก
แล้วตอนนี้เขายังทำหน้าทำตาไม่หันมอง
‘แหม... ทำเข้มยิ่งกว่าตัวร้ายในละครเสียอีก’
ในเมื่อห้องนี้ มีเพียงแค่เขากับนางสองคนเท่านั้น ฟู่หลินหลินจึงเงยหน้ามองบุรุษท่านนี้ตัวใหญ่มาก ๆ
เมื่อคืนจินตนาการเอาไว้แค่สูงไม่เท่าไร แต่พอยืนใกล้ๆ ฟู่หลินหลินเหลือตัวเล็กนิดเดียว
ดวงหน้าน้อย ๆ ของนางแดงระเรื่อขึ้น ก็ในหัวสมองเต็มไปด้วยภาพจินตนาการในยามที่ท่านแม่ทัพขับเคลื่อนโยกขยับอยู่บนตัวของนางเท่านั้น
แม่ทัพรั่วหมุนตัวกลับมาหา หัวใจของฟู่หลินหลินตกลงไปอยู่ที่ตาตุ่ม ใจหายและหวั่นไหว คิดไปหมด บางทีเขาอาจจะคิดทำอะไรที่มันไม่สมควรกับนางอยู่ในห้องอ่านหนังสือนี้ก็เป็นได้
นางจึงก้มหน้า และหลบสายตาเขา ฟู่หลินหลินไม่กล้าที่จะสบตาท่านแม่ทัพเลย ทั้งที่ในใจในขณะนี้ นางอยากจะวิ่งหนีออกไปจากที่นี่
แต่ทว่าสองขากลับไม่ขยับ เหมือนถูกค้อนทุบเหล็กให้ตรึงสองเท้าของนางเอาไว้ ลมหายใจของฟู่หลินหลินขาดช่วง ‘หวั่นกลัว’ จนตัวเองไม่กล้าวิ่งออกไปแต่อย่างใด ไม่เคยเลยที่คุณหนูฟู่จะยืนกุมมือสงบนิ่งอยู่ต่อหน้าคนอื่นแบบนี้
“เจียงอ่าว เจ้าอย่าให้ใครย่างก้าวเข้ามาในนี้ล่ะ เฝ้าระวังเอาไว้อย่าให้ใครเข้าใกล้ได้” แม่ทัพรั่วเขาตะโกนออกคำสั่ง เพราะเขาเหมือนจะรู้ว่าเจียงอ่าวขยับเอาตัวและหูมาแนบอยู่ที่บานประตู
“เจ้าค่ะ” เจียงอ่าวรับคำ แล้วถอยหลังกรูด ไปยืนห่างหลายวา ใบหน้าออกสีแดงเพราะถูกท่านแม่ทัพจับได้
ฟู่หลินหลินได้ยินเสียงของเขาชัดเจน และใกล้จนดังลั่นหู แถมดุดันเข้มอย่างไม่เกรงใจใคร นางก็รู้สึกกลัวมากขึ้นไปอีก
‘กรรมหรือเวรของข้ากันแน่’ ฟู่หลินหลินที่นึกถึง ก็คือความรุนแรงจากการกระทำของเขาเมื่อคืนเท่านั้น นางไม่รู้อะไรที่เกี่ยวกับตัวบุรุษท่านนี้เลย ความทรงจำเดียวที่มีต่อเขา ก็คือการกระทำย่ำยีบนเตียงกับตนเอง
ฟู่หลินหลินนางยืนหลับตาปี๋
“แล้วเจ้าได้ยินไหมที่ท่านแม่บอกนั่น เจ้าอย่านอนตื่นสายอีก จนทำให้ข้าถูกท่านแม่ตำหนิ” เขาบอกเสียงราบเรียบ
ทั้งที่รู้เมื่อคืนเป็นคืนแรกที่เขาได้มอบความเป็นสามี แล้วด้วยความประทับจิตประทับใจในรสสวาทที่หวานหยาดเยิ้มที่ได้จากร่างกายของนาง
เขาก็เลยเล่นงานนางเนิ่นนานและรุนแรงไปหน่อย ฟู่หลินหลินยังไม่ตอบหรือรับน้ำคำ ยืนนิ่ง และอดไม่ได้ที่จะงัดใบหน้าขึ้น แล้วมองค้อนเขาเล็ก ๆ
“นี่เจ้าเป็นอะไรของเจ้าฮึ ข้าพูดกับเจ้าอยู่นะ ทำบ้าใบ้ไม่ตอบสักคำ” เขาตวาดเสียงดังอีก
“อะ ขะ ก็... คือ ขะ...ข้า...” ฟู่หลินหลินเกิดติดอ่าง และตะกุกตะกัก
ยังมิทันได้ตอบคำก็มีเสียงคำสั่งพูดออกมาอีกว่า
“นั่งลง เจ้ามานั่งลงตรงนี้” ชี้ไปที่เก้าอี้ตัวหนึ่ง
“เจ้าคะ” ฟู่หลินหลินลั่นปากเสียงเบา ขยับตัวลงไปนั่งลงที่เก้าอี้ตัวที่ไกลจากเขาที่สุด ทั้งที่เขาชี้ให้นางนั้นเข้ามานั่งใกล้ ๆ
ทว่าฟู่หลินหลินไม่ได้ไยดีจะไปนั่งเก้าอี้ตัวนั้น ใจหวั่นประหม่า
‘ขอข้านั่งห่างท่านจะปลอดภัยที่สุด’ นางได้แต่คิดในใจ
“แล้วถ้าท่านพี่ทายผิด”“อือ… ข้าจะลาออกจากราชการ และไปอยู่กับเจ้าที่นอกเมืองหลวง ไปอยู่ในชนบทดีไหม”“จริงหรือเจ้าคะ” หน้าตาของฟู่หลินหลินยินดีมาก นางรีบลุกขึ้น แล้ววิงวอนสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทันที เพราะนางเปรยเรื่องนี้มาหลายครั้ง เพราะไม่อยากเห็นสามีตายในสนามรบ สี่ตีนยังรู้พลาด นักปราชญ์ยังรู้พลั้ง“ลูกขอให้เป็นไปดั่งคำทายของข้า ให้ท่านพี่ทายผิด เราจะได้ไปอยู่นอกเมืองอย่างสงบเจ้าค่ะ”“ทำไมล่ะ เจ้าถึงต้องการมากถึงเพียงนี้”“ท่านพี่ ท่านน่ะไม่รู้ใจของข้าหรอก ตอนที่ท่านออกรบ ข้านอนไม่ได้ กินไม่ได้ เพราะเป็นห่วงท่าน ถ้าจะให้ดีเราไปเป็นเกษตรกรดีกว่า”แม่ทัพรั่วถึงกับหัวเราะเสียงใส“ข้าจะเก็บเอาไว้พิจารณานะ”แต่แล้วพอถึงวันคลอด ฟู่หลินหลินคลอดลูกสาว ทำให้แม่ทัพรั่วต้องทำงานรับใช้ราชสำนักต่อไป และเริ่มไว้หนวดเครา เพราะว่ารักลูกสาวตัวน้อยอย่างกับไข่ในหินและทั้งสองได้ตั้งชื่อลูกสาวว่า “ลูหลู้”ฟู่หลินหลิ
นางเพียงก้าวออกมาจากห้องเรื่อย ๆ แม้ลมที่พัดมาจะวูบพัดพาความเย็นมามากเพียงใด ทว่าใบหน้าของนางก็เต็มไปด้วยเหงื่อที่แตกพลั่ก ๆแล้วขาที่อ่อนแรงก็ทำให้นางลื่นล้มและไถลไปกับพื้น ก้นและหลังกระแทกเข้ากับก้อนหินก้อนใหญ่ที่วางประดับอยู่ใกล้ ๆ ตรงนั้น“โอ๊ย!” เสียงร้องอย่างตกใจ และร้องอย่างเจ็บปวดดังขึ้น ฟู่หลินหลินที่กำลังเดินมา เพื่อจะมาหารั่วฮูหยิน“ท่านแม่ ท่านแม่ ท่านอยู่ที่ไหน”“ข้าอยู่นี่ ช่วยด้วย ช่วยด้วย” พยายามเปล่งเสียงออกมาให้ดังที่สุดฟู่หลินหลินเดินตามเสียง จนพบว่าแม่สามีกำลังนอนอยู่กับพื้นร้องโอดโอย นางจึงรีบวิ่งเข้าไปช่วยทันที“ท่านแม่ ท่านแม่ ท่านเป็นอะไรหรือไม่” ฟู่หลินหลินรีบยกหัวของท่านขึ้นมา“โอ๊ย!”“ข้าถูกวางยา”“ใครกันทำท่านแม่”ยังไม่ได้คำตอบ รั่วฮูหยินหมดสติไปแล้วฟู่หลินหลินวางท่านลง แล้ววิ่งไปตามบ่าวไพร่ และให้คนไปตามหมอลมที่พัดแรงอากาศรอบตัวดูเวิ้งว้าง ฟู่หลินหลินใจหา
“ก็มีความจริงอยู่นิดหนึ่งนั่นแหละ แต่ตอนนี้ข้าไม่เหมือนเดิมแล้ว”“แน่นอนอยู่แล้วหลินหลิน ก็เจ้ากำลังจะเป็นแม่คนแล้วนี่นา”“ข้าตื่นเต้นจริง ๆ เจ้าค่ะ”“พี่หาหมอที่ดีที่สุดมาทำคลอดให้เจ้าแล้ว เจ้าไม่ต้องเป็นห่วงไปยิ่งใกล้คลอดข้าจะให้แม่หมอมาอยู่กับเจ้าเลย”แค่นี้ฟู่หลินหลินก็อบอุ่นในหัวใจแล้วแม่ทัพรั่วจึงพานางไปจับจ่ายซื้อของในตลาด พอได้ กินขนม และชมการละเล่นต่าง ๆ จนนางพอใจ ก็ชวนกลับ“หลินหลิน เจ้าลองคิดดูสิว่าเจ้าได้ลืมสิ่งใดไปหรือไม่” แม่ทัพรั่วเอ่ยถามในขณะที่พานางออกมาชมดอกบัวที่สระว่ายน้ำใหญ่น่าจวน“ข้าลืมอะไรไปหรือเจ้าคะ”ฟู่หลินหลินมองเขาอย่างประหลาดใจ พยายามนึกเท่าไรก็นึกไม่ออกว่าตนเองลืมอะไรนางก็นึกไม่ออกแม่ทัพรั่วใช้มือข้างหนึ่งล้วงเข้าไปในแขนเสื้อแล้วหยิบพู่ห้อยเอวที่ทำจากไม้อันหนึ่งออกมา“เจ้าจำสิ่งนี้ได้หรือไม่” “นี่คือพู่ห้อยเอวที่ข้าคล้องห่วงได้วัน
แม้ฟู่หลินหลินจะมีความรู้ด้านการถอนพิษติดตัวมาจากชาติที่แล้วบ้าง แต่ในเมื่อฮ่องเต้ส่งหมอที่เก่งที่สุดมาถึงแล้ว จำต้องหลีกทาง“เจียงอ่าวเจ้าพานายหญิงออกไปที่ห้องรับรองเถอะ” นางจึงพาฟู่หลินหลินออกมาที่ห้องรับรอง และบังคับให้นอน“นายหญิงท่านต้องพักผ่อน เพื่อนายน้อยของเจียงอ่าวที่อยู่ในท้องนี้ด้วยนะเจ้าคะ แล้วนายหญิงไม่ต้องเป็นห่วงท่านแม่ทัพแล้ว เพราะอยู่ในมือของหมอหลวง มาทั้งสองคน และมีเครื่องมือและยาถอนพิษมาพร้อมสรรพ ท่านแม่ทัพจะหายในเร็ววันนี้เจ้าค่ะ”“อื้อ” ฟู่หลินหลินเอนตัวลงนอนอย่างเหนื่อยล้า และได้แต่ภาวนาให้หมอหลวงรักษาหมอท่านจะต้องหาทางช่วยชีวิตของเขาให้ได้ ตอนนี้ทุกคนทำได้แต่เพียงรอความหวังจากการรักษาของหมอหลวงเท่านั้น จากที่จับชีพจรของแม่ทัพรั่วดู และทดสอบเล็กน้อย หมอหลวงก็สามารถตอบได้ทันที“ท่านแม่ทัพถูกพิษของเจิ้นตู๋ เป็นพิษที่ได้มาจากนกเจิ้นเหนี่ยว”“ถ้าอย่างนั้นไม่น่าจะยาก” ว่าแล้วท่านหมอหลวงก็สั่งให้ผู้ช่วยของเขาหยิบนอแรดที่อยู่ในล่วมยาออกมาทำการฝนสองสามทีแล้วเทผงที่ได้
ด้านนอกจวน คนดูแลรถม้าใช้เวลาเตรียมตัวไม่ถึงหนึ่งชั่วยามขบวนรถม้าที่มีเพียงฟู่หลินหลิน เจียงอ่าว แล้วก็องครักษ์อีกสองนาย ก็ออกเดินทางมุ่งสู่เมืองซุยโจวถึงแม้ว่าการนำองครักษ์ไปเพียงแค่ไม่กี่นายนั้นออกจะเสี่ยงมากเกินไปหน่อยแต่ทว่าฟู่หลินหลินไม่อยากให้การเดินทางล่าช้าไปกว่านี้อีกแล้วในใจนางอยากจะไปให้ถึงเมืองซุยโจวในวันนี้พรุ่งนี้เสียด้วยซ้ำไปจนกระทั่ง…กำแพงเมืองซุยโจวตั้งตระหง่านอยู่เบื้องหน้า ฟู่หลินหลินมองไปก็รู้สึกว่ากำแพงเมืองนี้ช่างขัดขวางหัวใจของนางยิ่งนัก ใจจริงแล้วอยากที่จะเดินทะลุฝ่ากำแพงเมืองไปเพื่อเจอสามีของตนเองให้เร็ว ๆ การรออยู่ที่ด่านตรวจตรงประตูเมืองเพียงชั่วเวลาแค่ครึ่งก้านธูปนั้น ก็ยาวนานราวกับว่าเป็นเวลาร่วมสิบวัน “เจ้าช่วยไปบอกให้พวกเขาปล่อยให้พวกเราเข้าไปก่อนได้หรือไม่ บอกเขาไปว่านี่เป็นรถม้าของภรรยาท่านแม่ทัพ” เจียงอ่าวกระซิบบอกองครักษ์ที่ยืนอยู่ด้านข้างองครักษ์ผู้นั้นยิ้มตอบอย่างลำบา
แต่ว่ามันไม่ได้ง่ายขนาดนั้น แม่ทัพรั่วมีความทรหดอดทนมากกว่าที่เขาคาดคิดไว้ แทนที่เขาจะถูกพิษแล้วล้มลงไปกลับกลายเป็นว่าเขาไม่ได้แสดงท่าทีว่าเจ็บปวดอะไรเลยแม้แต่น้อย อีกทั้งยังควบม้าพุ่งใส่เขาได้อีก หรือว่าธนูอาบยาพิษของเขาจะเกิดการผิดพลาดเสียงทวนกระทบกับดาบดังสะท้อนไปทั่วป่า ทั้งแม่ทัพรั่วและซื่อเล่อต่างก็โจมตีโรมรันกันไม่หยุดซื่อเล่อถึงแม้จะฝีมือด้อยกว่า ประสบการณ์น้อยกว่า แต่ทว่าเจอกับแม่ทัพรั่วที่มีลูกธนูปักอยู่ที่ไหล่ ก็เรียกได้ว่าไม่ทิ้งห่างกันมาก พวกทหารของซื่อเล่อพยายามยิงธนูเข้าใส่แม่ทัพรั่ว แต่ก็ทำไม่ได้ เนื่องจากกลัวว่าจะพลาดไปโดนแม่ทัพของตัวเอง อย่างไรแล้วพญาอินทรีก็ยังคงเป็นพญาอินทรี ซื่อเล่อถึงแม้จะเป็นยอดฝีมือของชนเผ่าเร่ร่อน แต่เมื่อเจอกับแม่ทัพรั่ว ก็ยังคงเป็นเพียงนกอินทรีตัวผู้ที่บังอาจผยองอยากเป็นพญาอินทรีเท่านั้นซื่อเล่อถูกทวนของแม่ทัพรั่วแทงเข้าที่ท้องจนได้รับบาดเจ็บ แต่ว่าด้วยความว่องไวของเขา ทำให้หลบหนีไปได้ หลังจากนั้นเขาก็สั่งให้ถอยทัพกลับไป