“อืม... ถ้าเช่นนั้นข้าคิดว่า ข้าก็เหมาะที่จะเป็นชาวจ้าวมากกว่าชาวฉินนะสิ จริงไหม? เพราะข้าไม่อยากจะอยู่ในพิธีรีตอง เอาแบบนี้เจียงอ่าว เราสองคนกลับไปเป็นชาวจ้าว และก็จะได้ทำอะไร ๆ แบบชาวจ้าว”
“พูดอย่างนั้นได้อย่างไรเล่าเจ้าคะ นายหญิงเหมือนลืมอะไรไป ไม่ใช่ว่าเมื่อคืนท่านถูกท่านแม่ทัพจัดการจนสมองจะเพี้ยนไป ในเมื่อนายหญิงแต่งมาอยู่ในครอบครัวของท่านแม่ทัพแล้ว นายหญิงก็นับเป็นชาวฉินไปแล้วเจ้าค่ะ แล้วสถานะตอนนี้ไม่ได้เป็นภรรยาเฉย ๆ แต่ยังถือว่าเป็นเชลยของท่านแม่ทัพด้วย” เจียงอ่าวเล่าความจริง ทำให้ฟู่หลินหลินกระจ่างในหัวใจ
‘เชลย’
‘โอ้! เหมือนเป็นทาสเป็นเชลยที่จะถูกจับมาทรมาน แล้วเมื่อคืนเขาก็ทรมานข้า’ ฟู่หลินหลินทำตาโตเท่าไข่หงส์
เจียงอ่าวที่ไม่ได้สนใจนายหญิง พูดจบแล้วก็เดินไปหยิบอาภรณ์ชุดสีชมพูอ่อนมา แล้วกางออกให้นายหญิงของตนดู
“ใส่อาภรณ์ชุดนี้นะเจ้าคะ มันทำมาจากผ้าไหมทออย่างละเอียด และมีปักลายดอกโบตั๋นที่สาบเสื้อตรงนี้ด้วย นายหญิงเคยโปรดปราน”
“ชุดนี้น่ะเหรอ” ถามกลับ เพราะดูโดยรวมแล้วเป็นชุดที่เรียบร้อยและอ่อนหวานหยดยิ่งนัก ฟู่หลินหลินรีบส่ายหัว ความชอบของนางคือสีมืดและทึม ๆ
“เอ๊ะ! ต้องใส่สิเจ้าคะ วันนี้นายหญิงต้องใส่ชุดนี้นะ เพราะเมื่อวันก่อนท่านแม่ทัพชมชอบนายหญิงว่าอยู่ในชุดอ่อนหวานช่างงดงามยิ่งนัก” เจียงอ่าวอยากให้นายหญิงของตนเป็นที่ต้องตาต้องใจและมัดใจสามีได้
“แต่ว่าข้าไม่ชอบสีชมพูนี่นา”
นางทำหน้าทำตาเป็นคุณหนูฟู่ผู้เอาแต่ใจ และพูดออกมาอย่างไม่สนใจ “ข้าอยากใส่สีม่วงไม่ได้หรือ เขาจะชมหรือไม่ จะชอบหรือเปล่า ก็ช่างเขาปะไร อีกอย่างคนอย่างตานั่นจะชมข้าว่าสวยหรือ ไม่เชื่อเด็ดขาด” นางนึกถึงหน้าตาของสามีที่จะชมภรรยาไม่ได้
เจียงอ่าวถอนหายใจเป็นครั้งที่สาม ก่อนจะเข้าไปจับตัวนายหญิงของตน
“ไม่เอาน่า อย่าดื้อเลย ประเดี๋ยวจะเจ็บตัวเจ็บใจอีก นายหญิงมาอยู่ที่นี่ ก็ต้องเอาใจคนที่นี่ไว้ให้มาก ถึงแม้ว่าท่านรั่วฮูหยินจะไม่ชอบนายหญิง แต่ว่าการทำตัวให้เป็นที่โปรดปรานของท่านแม่ทัพนั้น จะทำให้นายหญิงมีชีวิตอยู่อย่างสุขสบายในจวนนี้เจ้าค่ะ”
“อยู่สุขสบายเสียที่ไหนกันเล่า เมื่อคืนยังปฏิบัติกับข้าราวกับสัตว์ป่าอยู่เลย” ฟู่หลินหลินบ่นพึมพำ
นึกถึงการกระทำหยาบโลนของเขาแล้วก็หน้าตาแดงระเรื่อร้อนขึ้นมาผ่าว ๆ
“เป็นเรื่องธรรมดาของผัวๆ เมียๆ เจ้าค่ะ นายหญิงก็ต้องอดทน” เจียงอ่าวรีบแต่งตัวให้นายหญิงของตน เสร็จก็เลือกเครื่องประดับเป็นปิ่นทองรูปดอกโบตั๋นเข้ากันกับชุดที่นางใส่สวม เจียงอ่าวบังคับให้ฟู่หลินหลินนั่งลง เมื่อจัดแต่งทรงผมเสร็จก็ได้ปักปิ่นนั่นลงบนผมของนาง
“ไปกันเถอะเจ้าค่ะ” เจียงอ่าวรีบพากันเดินออกจากเรือน ตรงมุ่งหน้าสู่เรือนบูรพาของท่านรั่วฮูหยิน
“เจียงอ่าว ข้าต้องพูดว่าอย่างไรต่อหน้าท่านแม่ของเขา” ฟู่หลินหลินถามกระซิบกระซาบ นึกเกรงกลัว จู่ ๆ ก็คิดตื่นเต้นขึ้นมาดื้อ ๆ เพราะบรรยากาศอย่างกับวังโบราณ
คนที่ไม่เคยอยู่ในกฎระเบียบ ทั้งบ้านของท่านฟู่ หรือที่ใด ๆ
ทุกคนต่างยกตำแหน่งให้กับฟู่หลินหลิน ว่าเป็นหญิงที่ดื้อด้านกว่าคนอื่น ๆ
“เจ้าบอกมาเร็ว ๆ”
“พูดชื่อนายหญิง แล้วก็ต่อด้วยคำว่า คารวะท่านแม่” เจียงอ่าวก็ตอบอย่างกระซิบกระซาบเช่นกัน
“แล้วข้าชื่อว่าอะไร” ฟู่หลินหลินถามอีก แม้ตัวตนของตนเองยังไม่รู้เลย เมื่อกี้ว่าจะขอเจียงอ่าวดูหน้าดูตาของตนในตอนที่หวีผม เจียงอ่าวก็ไม่ยอม บอกแต่ว่าเร่งรีบ
เจียงอ่าวถึงกับงุนงงกับคำถามนั้น
“นายหญิงได้รับการกระทบกระเทือนจากการเอาหัวโขกกำแพง หรือว่าท่านแม่ทัพได้เอาหัวของนายหญิงโขกกับเตียงเจ้าคะถึงได้จำชื่อของตนเองไม่ได้น่ะ หื้อ... ท่านชื่อฟู่หลินหลินเจ้าค่ะ ฟู่หลินหลิน” นางย้ำชื่อของนายหญิงดัง ๆ
“ฮึ... ข้าก็ชื่อฟู่หลินหลินอย่างนั้นหรือ แฮ่... บางทีข้าอาจจะตื่นเต้นจนเกินไปน่ะ” ฟู่หลินหลินกล่าว ฉงนกับเรื่องนี้ ยังคิดวนเวียนว่า ‘ทำไมเป็นชื่อเดิม หรือข้าจะฝันซ้อนฝัน’ นางหยิกตัวเอง
“อูย... แต่ข้าหยิกตนเอง ทำไมข้าถึงเจ็บ” ขยับปากบอกว่าเจ็บ เล็บที่จิกลงไปเนื้อหนังของตนก็รู้สึกเจ็บปวดมาก ๆ ก้มดูยังเห็นเป็นรอยเล็บ
ที่จริงแล้ว ก่อนที่ฟู่หลินหลินจะมาเข้าร่างของแม่นางฟู่คนนี้ ในคืนวันที่แม่นางฟู่เข้าเรือนหอกับแม่ทัพรั่วนั้น แม่นางฟู่ตัดสินใจวิ่งเอาหัวโขกกำแพงเพื่อฆ่าตัวตาย
เนื่องจากนางถูกบังคับให้มาแต่งงาน เหมือนเป็นเชลย แม่นางฟู่ไม่อยากตกเป็นภริยาของแม่ทัพแคว้นศัตรู เมื่อนางเอาหัวโขกกำแพงแล้วก็สลบไป
ทว่าพอฟื้นขึ้นมาอีกที ก็กลายเป็นฟู่หลินหลินที่กำลังโดนแม่ทัพรั่วจัดการมอบความเป็นสามีให้นางอยู่ คล้ายลักหลับนั่นแหละ เขาก็อยากจะทำให้นางเป็นของตน แม้จะสมยอมหรือไม่ ก็ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นเมีย
บุรุษอกสามศอกเฉกเช่นเขาจะให้นางผู้ที่ได้ชื่อว่าแต่งเข้ามาเป็นภรรยาหยามน้ำใจหรืออย่างไร เขาไม่มีวันยอมหรอก
เมื่อฟู่หลินหลินกับเจียงอ่าวมาถึงที่หน้าประตูเรือนบูรพา เจียงอ่าวก็สะกิดให้นายหญิงของตนเดินเข้าไปเพียงผู้เดียว
“ทำไมเจ้าไม่เข้าไปกับข้าเล่า” บรรยากาศไม่น่าไว้วางใจ ฟู่หลินหลินก็นึกหวาดกลัว ทุกอย่างรอบตัวแปลกประหลาด แม้กระทั่งความวังเวงที่น่าขนลุกเช่นนี้ ก็ทำให้ขนแขนของฟู่หลินหลินตั้งชันลุกเกรียว
ฟู่หลินหลินที่ตื่นเต้นมากจนเดินสะดุดธรณีประตู
นางล้มหน้าคะมำลงกับพื้น ดีว่าไม่แรงมาก ไม่เช่นนั้นศีรษะกับใบหน้าก็คงจะโขกลงไปกับพื้น
“ซุ่มซ่าม ไม่มีกิริยาผู้ดีเอาเสียเลย” เสียงสตรีดังขึ้น
‘ท่านแม่ของเขาอย่างนั้นหรือ’ ค่อย ๆ เงยหน้าขึ้นมองไปยังต้นเสียง รั่วฮูหยินนั่งจิบน้ำชาอยู่บนเก้าอี้ไม้ที่แกะสลักตัวใหญ่ ท่านฟาดสายตามองอย่างหยามเหยียด
ลูกสะใภ้ไร้ศักดินา ลูกศัตรู แต่จะทำอย่างไรได้ เพราะขัดราชโองการของฮ่องเต้ไม่ได้ ก็ต้องน้อมรับ และแต่งงานให้เข้ามาอยู่ในครอบครัว
“จริงเจ้าค่ะ” สาวรับใช้ด้านข้างเอ่ยสอพลอ และกำลังรินน้ำชาให้รั่วฮูหยิน ฮูหยินสูงศักดิ์แสยะมุมปากเล็กน้อย เมื่อเห็นว่าลูกสะใภ้ที่ไม่ต้องการพยายามลุกยืน
ฟู่หลินหลินที่สะดุดล้มพยายามยันตัวลุกขึ้น แต่ก็ลุกไม่ได้ แล้วก็คะมำทั้งตัวถลามาอยู่ที่ใกล้ปลายเท้าของแม่สามี รั่วฮูหยินชักขยับเท้ากลับ ก่อนที่จะยกปลายเท้าชี้ไปที่หน้าของฟู่หลินหลิน
สาวใช้นางนั้นก้มโน้มลงมอง นางมีนามปู้เป่ยก็แสยะปากยิ้มร้าย ๆ ตามเจ้านายของมัน
“แล้วถ้าท่านพี่ทายผิด”“อือ… ข้าจะลาออกจากราชการ และไปอยู่กับเจ้าที่นอกเมืองหลวง ไปอยู่ในชนบทดีไหม”“จริงหรือเจ้าคะ” หน้าตาของฟู่หลินหลินยินดีมาก นางรีบลุกขึ้น แล้ววิงวอนสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทันที เพราะนางเปรยเรื่องนี้มาหลายครั้ง เพราะไม่อยากเห็นสามีตายในสนามรบ สี่ตีนยังรู้พลาด นักปราชญ์ยังรู้พลั้ง“ลูกขอให้เป็นไปดั่งคำทายของข้า ให้ท่านพี่ทายผิด เราจะได้ไปอยู่นอกเมืองอย่างสงบเจ้าค่ะ”“ทำไมล่ะ เจ้าถึงต้องการมากถึงเพียงนี้”“ท่านพี่ ท่านน่ะไม่รู้ใจของข้าหรอก ตอนที่ท่านออกรบ ข้านอนไม่ได้ กินไม่ได้ เพราะเป็นห่วงท่าน ถ้าจะให้ดีเราไปเป็นเกษตรกรดีกว่า”แม่ทัพรั่วถึงกับหัวเราะเสียงใส“ข้าจะเก็บเอาไว้พิจารณานะ”แต่แล้วพอถึงวันคลอด ฟู่หลินหลินคลอดลูกสาว ทำให้แม่ทัพรั่วต้องทำงานรับใช้ราชสำนักต่อไป และเริ่มไว้หนวดเครา เพราะว่ารักลูกสาวตัวน้อยอย่างกับไข่ในหินและทั้งสองได้ตั้งชื่อลูกสาวว่า “ลูหลู้”ฟู่หลินหลิ
นางเพียงก้าวออกมาจากห้องเรื่อย ๆ แม้ลมที่พัดมาจะวูบพัดพาความเย็นมามากเพียงใด ทว่าใบหน้าของนางก็เต็มไปด้วยเหงื่อที่แตกพลั่ก ๆแล้วขาที่อ่อนแรงก็ทำให้นางลื่นล้มและไถลไปกับพื้น ก้นและหลังกระแทกเข้ากับก้อนหินก้อนใหญ่ที่วางประดับอยู่ใกล้ ๆ ตรงนั้น“โอ๊ย!” เสียงร้องอย่างตกใจ และร้องอย่างเจ็บปวดดังขึ้น ฟู่หลินหลินที่กำลังเดินมา เพื่อจะมาหารั่วฮูหยิน“ท่านแม่ ท่านแม่ ท่านอยู่ที่ไหน”“ข้าอยู่นี่ ช่วยด้วย ช่วยด้วย” พยายามเปล่งเสียงออกมาให้ดังที่สุดฟู่หลินหลินเดินตามเสียง จนพบว่าแม่สามีกำลังนอนอยู่กับพื้นร้องโอดโอย นางจึงรีบวิ่งเข้าไปช่วยทันที“ท่านแม่ ท่านแม่ ท่านเป็นอะไรหรือไม่” ฟู่หลินหลินรีบยกหัวของท่านขึ้นมา“โอ๊ย!”“ข้าถูกวางยา”“ใครกันทำท่านแม่”ยังไม่ได้คำตอบ รั่วฮูหยินหมดสติไปแล้วฟู่หลินหลินวางท่านลง แล้ววิ่งไปตามบ่าวไพร่ และให้คนไปตามหมอลมที่พัดแรงอากาศรอบตัวดูเวิ้งว้าง ฟู่หลินหลินใจหา
“ก็มีความจริงอยู่นิดหนึ่งนั่นแหละ แต่ตอนนี้ข้าไม่เหมือนเดิมแล้ว”“แน่นอนอยู่แล้วหลินหลิน ก็เจ้ากำลังจะเป็นแม่คนแล้วนี่นา”“ข้าตื่นเต้นจริง ๆ เจ้าค่ะ”“พี่หาหมอที่ดีที่สุดมาทำคลอดให้เจ้าแล้ว เจ้าไม่ต้องเป็นห่วงไปยิ่งใกล้คลอดข้าจะให้แม่หมอมาอยู่กับเจ้าเลย”แค่นี้ฟู่หลินหลินก็อบอุ่นในหัวใจแล้วแม่ทัพรั่วจึงพานางไปจับจ่ายซื้อของในตลาด พอได้ กินขนม และชมการละเล่นต่าง ๆ จนนางพอใจ ก็ชวนกลับ“หลินหลิน เจ้าลองคิดดูสิว่าเจ้าได้ลืมสิ่งใดไปหรือไม่” แม่ทัพรั่วเอ่ยถามในขณะที่พานางออกมาชมดอกบัวที่สระว่ายน้ำใหญ่น่าจวน“ข้าลืมอะไรไปหรือเจ้าคะ”ฟู่หลินหลินมองเขาอย่างประหลาดใจ พยายามนึกเท่าไรก็นึกไม่ออกว่าตนเองลืมอะไรนางก็นึกไม่ออกแม่ทัพรั่วใช้มือข้างหนึ่งล้วงเข้าไปในแขนเสื้อแล้วหยิบพู่ห้อยเอวที่ทำจากไม้อันหนึ่งออกมา“เจ้าจำสิ่งนี้ได้หรือไม่” “นี่คือพู่ห้อยเอวที่ข้าคล้องห่วงได้วัน
แม้ฟู่หลินหลินจะมีความรู้ด้านการถอนพิษติดตัวมาจากชาติที่แล้วบ้าง แต่ในเมื่อฮ่องเต้ส่งหมอที่เก่งที่สุดมาถึงแล้ว จำต้องหลีกทาง“เจียงอ่าวเจ้าพานายหญิงออกไปที่ห้องรับรองเถอะ” นางจึงพาฟู่หลินหลินออกมาที่ห้องรับรอง และบังคับให้นอน“นายหญิงท่านต้องพักผ่อน เพื่อนายน้อยของเจียงอ่าวที่อยู่ในท้องนี้ด้วยนะเจ้าคะ แล้วนายหญิงไม่ต้องเป็นห่วงท่านแม่ทัพแล้ว เพราะอยู่ในมือของหมอหลวง มาทั้งสองคน และมีเครื่องมือและยาถอนพิษมาพร้อมสรรพ ท่านแม่ทัพจะหายในเร็ววันนี้เจ้าค่ะ”“อื้อ” ฟู่หลินหลินเอนตัวลงนอนอย่างเหนื่อยล้า และได้แต่ภาวนาให้หมอหลวงรักษาหมอท่านจะต้องหาทางช่วยชีวิตของเขาให้ได้ ตอนนี้ทุกคนทำได้แต่เพียงรอความหวังจากการรักษาของหมอหลวงเท่านั้น จากที่จับชีพจรของแม่ทัพรั่วดู และทดสอบเล็กน้อย หมอหลวงก็สามารถตอบได้ทันที“ท่านแม่ทัพถูกพิษของเจิ้นตู๋ เป็นพิษที่ได้มาจากนกเจิ้นเหนี่ยว”“ถ้าอย่างนั้นไม่น่าจะยาก” ว่าแล้วท่านหมอหลวงก็สั่งให้ผู้ช่วยของเขาหยิบนอแรดที่อยู่ในล่วมยาออกมาทำการฝนสองสามทีแล้วเทผงที่ได้
ด้านนอกจวน คนดูแลรถม้าใช้เวลาเตรียมตัวไม่ถึงหนึ่งชั่วยามขบวนรถม้าที่มีเพียงฟู่หลินหลิน เจียงอ่าว แล้วก็องครักษ์อีกสองนาย ก็ออกเดินทางมุ่งสู่เมืองซุยโจวถึงแม้ว่าการนำองครักษ์ไปเพียงแค่ไม่กี่นายนั้นออกจะเสี่ยงมากเกินไปหน่อยแต่ทว่าฟู่หลินหลินไม่อยากให้การเดินทางล่าช้าไปกว่านี้อีกแล้วในใจนางอยากจะไปให้ถึงเมืองซุยโจวในวันนี้พรุ่งนี้เสียด้วยซ้ำไปจนกระทั่ง…กำแพงเมืองซุยโจวตั้งตระหง่านอยู่เบื้องหน้า ฟู่หลินหลินมองไปก็รู้สึกว่ากำแพงเมืองนี้ช่างขัดขวางหัวใจของนางยิ่งนัก ใจจริงแล้วอยากที่จะเดินทะลุฝ่ากำแพงเมืองไปเพื่อเจอสามีของตนเองให้เร็ว ๆ การรออยู่ที่ด่านตรวจตรงประตูเมืองเพียงชั่วเวลาแค่ครึ่งก้านธูปนั้น ก็ยาวนานราวกับว่าเป็นเวลาร่วมสิบวัน “เจ้าช่วยไปบอกให้พวกเขาปล่อยให้พวกเราเข้าไปก่อนได้หรือไม่ บอกเขาไปว่านี่เป็นรถม้าของภรรยาท่านแม่ทัพ” เจียงอ่าวกระซิบบอกองครักษ์ที่ยืนอยู่ด้านข้างองครักษ์ผู้นั้นยิ้มตอบอย่างลำบา
แต่ว่ามันไม่ได้ง่ายขนาดนั้น แม่ทัพรั่วมีความทรหดอดทนมากกว่าที่เขาคาดคิดไว้ แทนที่เขาจะถูกพิษแล้วล้มลงไปกลับกลายเป็นว่าเขาไม่ได้แสดงท่าทีว่าเจ็บปวดอะไรเลยแม้แต่น้อย อีกทั้งยังควบม้าพุ่งใส่เขาได้อีก หรือว่าธนูอาบยาพิษของเขาจะเกิดการผิดพลาดเสียงทวนกระทบกับดาบดังสะท้อนไปทั่วป่า ทั้งแม่ทัพรั่วและซื่อเล่อต่างก็โจมตีโรมรันกันไม่หยุดซื่อเล่อถึงแม้จะฝีมือด้อยกว่า ประสบการณ์น้อยกว่า แต่ทว่าเจอกับแม่ทัพรั่วที่มีลูกธนูปักอยู่ที่ไหล่ ก็เรียกได้ว่าไม่ทิ้งห่างกันมาก พวกทหารของซื่อเล่อพยายามยิงธนูเข้าใส่แม่ทัพรั่ว แต่ก็ทำไม่ได้ เนื่องจากกลัวว่าจะพลาดไปโดนแม่ทัพของตัวเอง อย่างไรแล้วพญาอินทรีก็ยังคงเป็นพญาอินทรี ซื่อเล่อถึงแม้จะเป็นยอดฝีมือของชนเผ่าเร่ร่อน แต่เมื่อเจอกับแม่ทัพรั่ว ก็ยังคงเป็นเพียงนกอินทรีตัวผู้ที่บังอาจผยองอยากเป็นพญาอินทรีเท่านั้นซื่อเล่อถูกทวนของแม่ทัพรั่วแทงเข้าที่ท้องจนได้รับบาดเจ็บ แต่ว่าด้วยความว่องไวของเขา ทำให้หลบหนีไปได้ หลังจากนั้นเขาก็สั่งให้ถอยทัพกลับไป