หลังอาหารเช้าวันต่อมา ทุกคนที่จวนกั๋วกงต่างไปจองโรงเตี๊ยมเพื่อดูขบวนแห่ขุนนางใหม่ในปีนี้ ส่วนหลินฉิงเฉิงกับหลินฉิงหยางนั้นก็ไปเตรียมตัวเข้าขบวนโดยมีองครักษ์จ้านเฟิงกับเหล่ยติงเดินทางไปด้วย ขั้นตอนต่าง ๆ ขันทีได้กล่าวให้เหล่าขุนนางใหม่รับทราบกันเรียบร้อยแล้ว จ้านเฟิงยังแอบกระซิบนายน้อยทั้งสองด้วยว่าอย่ารับสิ่งที่สาว ๆ โยนมาให้เด็ดขาด ไม่เช่นนั้นจะถือว่าเป็นการหมั้นหมายระหว่างชายหญิงทันที ทำเอาหลินฉิงเฉิงกับหลินฉิงหยางที่ยังเด็กอยู่ถึงกับขนลุก พวกเขากลัวจริง ๆ ว่าจะมีคนโยนสิ่งของมาให้ตนเอง ทั้งสองจึงแอบตกลงกันว่าจะใช้พลังปราณอันน้อยนิดที่สะสมมาปัดสิ่งของออกห่างจากตัวแทน เพื่อไม่ให้หญิงสาวเหล่านั้นเสียน้ำใจมากเกินไป
วันนี้เมืองหลวงคึกคักกันตั้งแต่เช้าตรู่ พวกเขารอดูว่าขุนนางใหม่ในปีนี้มีใครที่ดูน่าสานสัมพันธ์บ้าง เพราะยังมีสตรีอีกมากที่ยังไม่ออกเรือน หากพวกนางได้รับเลือกจากขุนนางใหม่ก็ยังดีกว่าการเป็นฮูหยินของคนธรรมดาไม่น้อย
ที่ห้องพิเศษของโรงเตี๊ยมฮวยเฉียง เหิงกั๋วกง เหิงจิ้งกั๋ว หลินฉางหยู หลินอ้ายและหลินฉิงอ
หลังอาหารเช้าวันต่อมา ทุกคนที่จวนกั๋วกงต่างไปจองโรงเตี๊ยมเพื่อดูขบวนแห่ขุนนางใหม่ในปีนี้ ส่วนหลินฉิงเฉิงกับหลินฉิงหยางนั้นก็ไปเตรียมตัวเข้าขบวนโดยมีองครักษ์จ้านเฟิงกับเหล่ยติงเดินทางไปด้วย ขั้นตอนต่าง ๆ ขันทีได้กล่าวให้เหล่าขุนนางใหม่รับทราบกันเรียบร้อยแล้ว จ้านเฟิงยังแอบกระซิบนายน้อยทั้งสองด้วยว่าอย่ารับสิ่งที่สาว ๆ โยนมาให้เด็ดขาด ไม่เช่นนั้นจะถือว่าเป็นการหมั้นหมายระหว่างชายหญิงทันที ทำเอาหลินฉิงเฉิงกับหลินฉิงหยางที่ยังเด็กอยู่ถึงกับขนลุก พวกเขากลัวจริง ๆ ว่าจะมีคนโยนสิ่งของมาให้ตนเอง ทั้งสองจึงแอบตกลงกันว่าจะใช้พลังปราณอันน้อยนิดที่สะสมมาปัดสิ่งของออกห่างจากตัวแทน เพื่อไม่ให้หญิงสาวเหล่านั้นเสียน้ำใจมากเกินไปวันนี้เมืองหลวงคึกคักกันตั้งแต่เช้าตรู่ พวกเขารอดูว่าขุนนางใหม่ในปีนี้มีใครที่ดูน่าสานสัมพันธ์บ้าง เพราะยังมีสตรีอีกมากที่ยังไม่ออกเรือน หากพวกนางได้รับเลือกจากขุนนางใหม่ก็ยังดีกว่าการเป็นฮูหยินของคนธรรมดาไม่น้อยที่ห้องพิเศษของโรงเตี๊ยมฮวยเฉียง เหิงกั๋วกง เหิงจิ้งกั๋ว หลินฉางหยู หลินอ้ายและหลินฉิงอ
ฮ่องเต้สั่งให้เจ้าหน้าที่คุมสอบนำกระดาษ พู่กันและหมึกไปวางไว้ที่โต๊ะซึ่งจัดให้กับบัณฑิตที่ได้ลำดับหนึ่งถึงสามนั่งตามตำแหน่งเพื่อรอตอบคำถามที่พระองค์เตรียมเอาไว้วันนี้มีมหาเสนาบดีเซี่ย เหิงกั๋วกง และขุนนางอีกหลายคนมาร่วมเป็นพยานในการสอบจอหงวนประจำปีครั้งนี้ไม่น้อย พวกเขาอยากรู้ว่าปีนี้ใครจะได้เป็นจ้วงหยวนซึ่งเป็นอันดับหนึ่งของแคว้นหมิงในการสอบปีนี้เมื่อฝ่าบาทเห็นว่าทุกอย่างพร้อมแล้ว พระองค์ก็ส่งกระดาษคำถามให้กับหวางกงกงเป็นผู้ประกาศและให้บัณฑิตทั้งสามคนตอบคำถามใส่ในกระดาษก่อนจะอธิบายเหตุผลในการตอบคำถามของพวกเขาอีกครั้งหนึ่ง“คำถามสำหรับการสอบต่อหน้าพระพักตร์ในปีนี้คือ หากพวกเจ้าได้เป็นขุนนางประจำเมืองใดเมืองหนึ่ง พวกเจ้าจะพัฒนาความเป็นอยู่ของชาวเมืองอย่างไรให้พวกเขาได้อยู่ดีกินดีมากกว่าที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน”บัณฑิตทั้งสามต่างพยักหน้าว่าพวกเขาเข้าใจคำถามที่หวางกงกงเอ่ยออกมา หลินฉิงเฉิงเองก็ไม่ได้คิดมากสำหรับคำถามเหล่านี้แต่อย่างใด เขาเคยเห็น
สองวันต่อมา วันนี้จ้านเฟิงกับจิงหยานอาสาไปรับคุณชายน้อยทั้งสองที่หน้าสนามสอบ พวกเขาขับรถม้าของจวนกั๋วกงออกไปตั้งแต่เช้าตรู่ โดยนำเพียงซาลาเปากับน้ำชามากินแทนมื้อเช้าเท่านั้น ด้วยพวกเขากลัวว่าจะไม่มีที่จอดรถม้าใกล้กับประตูทางออก ซึ่งเหิงกั๋วกงก็ไม่ได้ว่ากล่าวอะไร ในเมื่อพวกเขาทำไปด้วยความหวังดีที่ไม่อยากให้เด็ก ๆ ต้องเหนื่อยเดินไกลมากเกินไปเมื่อถึงยามอู่ หลินฉิงเฉิงกับหลินฉิงหยางก็เดินออกจากสนามสอบมาก่อนใครเพื่อน พวกเขาออกมาพร้อมรอยยิ้มเมื่อเห็นว่าจ้านเฟิงยืนรออยู่ที่หน้าประตู“คุณชายน้อยทำข้อสอบเป็นอย่างไรบ้างขอรับ”“ฮิ ฮิ รอให้ท่านพี่จ้านมาตรวจผลสอบพรุ่งนี้ด้วยตัวเองดีกว่านะขอรับ ข้าไม่อยากจะคุยเลยว่าข้ามั่นใจมากแค่ไหน” หลินฉิงเฉิงล้อเล่นอย่างทะเล้น“ท่านพี่ก็อย่าแกล้งพี่ชายจ้านสิขอรับ ข้าคิดว่าครั้งนี้การสอบของพวกเราต้องผ่านได้อย่างแน่นอนขอรับ ท่านพี่จ้านอย่าได้กังวลไปเลย” หลินฉิงหยางตอบกลับจ้านเฟิ
สองสัปดาห์ต่อมา การสอบจอหงวนรอบแรกนั้นหลินฉิงเฉิงกับหลินฉิงหยางที่ผ่านการสอบจวี่เหรินมาก่อนหน้านี้ไม่จำเป็นต้องเข้าร่วม พวกเขานำเอกสารแสดงตนว่าผ่านการสอบจวี่เหรินมาส่งให้เจ้าหน้าที่ในวันสอบวันแรกและกลับไปเตรียมตัวสำหรับการสอบในอีกสามวันข้างหน้าระหว่างมื้ออาหารเที่ยงของวันต่อมา เหิงกั๋วกงถามความเห็นของเด็กทั้งสองว่าพวกเขาพร้อมที่จะเข้าร่วมสอบครั้งนี้แน่หรือไม่ เพราะช่วงหลังมานี้เหิงกั๋วกงปล่อยให้พวกเขาท่องจำตำราด้วยตนเองเสียเป็นส่วนใหญ่ เนื่องจากเรื่องราวที่เกิดขึ้นในราชสำนักที่เพิ่งผ่านมาจึงทำให้เขาไม่ค่อยมีเวลามากนัก“ข้ามั่นใจขอรับว่าจะสามารถผ่านการสอบในวันมะรืนได้อย่างแน่นอน” หลินฉิงเฉิงตอบกลับเหิงกั๋วกงด้วยสีหน้ามั่นใจ“ข้าเองก็เช่นเดียวกันขอรับท่านอาจารย์ปู่ เพียงแต่ว่าข้าคงทำคะแนนได้ไม่ดีเท่าท่านพี่ฉิงเฉิงขอรับ”“เรื่องนั้นเจ้าอย่าได้กังวลเลยฉิงหยาง ขอเพียงเจ้าทำข้อสอบให้ดีที่สุด ไม่ว่าจะได้อันดับที่
สองวันต่อมา เสนาบดีกรมอาญาประกาศความผิดขันทีและนางกำนัลที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการก่อการกบฏ ก่อนที่จะสั่งการประหารให้สิ้นไปต่อหน้าชาวเมืองมากมายที่มาชมดูการประหารในครั้งนี้“นึกไม่ถึงว่าในวังจะมีคนของพระสนมกุ้ยเฟยมากมายถึงเพียงนี้ สมแล้วที่พวกเขาจะถูกประหาร”“นั่นน่ะสิ ข้าคิดว่าพระสนมกุ้ยเฟยที่ดูเหมือนจะเป็นพระสนมที่ดีกลับเป็นคนใจคอโหดร้ายได้มากเพียงนี้ อีกทั้งยังสั่งคนของพระนางทำร้ายเหล่าสนมอื่น ๆ มานานหลายปีถึงขนาดนี้โดยที่ไม่ถูกลงโทษ”“เฮ้อ นับว่าเป็นบุญของแคว้นเราแล้วล่ะที่ครั้งนี้ฝ่าบาทล้างบางคนเลวออกไปจนสิ้นเช่นนี้ ไม่อย่างนั้นอาจเกิดเหตุการณ์เลวร้ายมากกว่านี้ก็เป็นได้”ชาวเมืองต่างวิพากษ์วิจารณ์เรื่องราวที่เกิดขึ้นในวังอย่างอดไม่ได้ พวกเขาไม่คิดมาก่อนว่าในวังเองก็มีการต่อสู้ลับ ๆ มากมายยิ่งกว่าจวนขุนนางใหญ่ที่มีสามภรรยาสี่อนุเสียอีก แถมการทำร้ายกันในวังหลวงนั้นรุนแรงมากจนถึงตายเลยทีเดียว ชาวเมือง
ช่วงบ่ายของวัน มีราชโองการประกาศความผิดของเหล่ากบฏซึ่งหลิวกงกงเป็นผู้ออกมาประกาศราชโองการที่หน้าศาลต้าหลี่ ส่วนราชโองการแต่งตั้งตำแหน่งของมหาเสนาบดีกับตำแหน่งกั๋วกงและขุนนางขั้นสามของหลินฉิงอันนั้นเป็นหวางกงกงที่ทำหน้าที่นั้นเหล่าชาวเมืองที่สงสัยกันมาตั้งแต่เช้าแล้วว่าเกิดสิ่งใดขึ้นในเมืองหลวงต่างรีบมาล้อมวงกันคุกเข่ารอฟังราชโองการจากหลิวกงกงอย่างตั้งใจ“ข้าหมิงอู่ ฮ่องเต้ในรัชกาลปัจจุบัน ขอประกาศว่า เสนาบดีควน พระสนมกุ้ยเฟย องค์ชายสาม รวมถึงขุนนางฝ่ายขวาทั้งหมดก่อการกบฏขึ้นในวังหลวงเมื่อคืนนี้ ครอบครัวของพวกเขาจะถูกสอบสวนและริบคืนทรัพย์สินให้ทางการ ก่อนจะมีการประหารเก้าชั่วโคตรเพื่อไม่ให้เป็นเยี่ยงอย่างแก่ผู้อื่นที่คิดจะกบฏต่อแผ่นดิน หากใครให้ความช่วยเหลือบุคคลเหล่านี้ ข้าจะให้พวกเจ้ารับโทษประหารด้วยเช่นเดียวกัน ระหว่างการสอบสวน ขอให้ชาวเมืองทุกคนอยู่ในความสงบ จนกว่าจะถึงวันประหารในอีกหกวันหลังจากนี้ จบราชโองการ”เสียงฮือฮาดังขึ้นทันทีที่จบราชโองการ พวกเขาคิดไม่ถึงว่
ค่ำคืนนั้นในเมืองหลวงต่างเต็มไปด้วยทหารจากค่ายนอกเมืองที่เข้าควบคุมจวนขุนนางที่เข้าร่วมก่อการกบฏ พวกเขาแบ่งกำลังส่วนหนึ่งเข้าวัง และอีกสองส่วนที่มีรองแม่ทัพทั้งสองล้อมเมืองหลวงเอาไว้หนึ่งกับอีกหนึ่งที่แบ่งกำลังกันเข้าไปล้อมรอบจวนขุนนางกบฏทั้งหมดก่อนที่พวกเขาจะไหวตัวทันจนหลบหนีไปชาวเมืองที่ไม่ทราบเรื่องราวต่างเข้านอนกันตั้งแต่หัวค่ำเหมือนเช่นปกติ ถึงแม้พวกเขาจะรู้ว่าวันนี้ที่พระราชวังจะมีการจัดงานเลี้ยงประจำปีขึ้นก็ตามทีเหิงอันโหวกับหลินฉิงอันกลับจวนโหวไปด้วยกัน ส่วนเหิงจิ้งกั๋วยังมีหน้าที่ในการควบคุมกองกำลังทหารทั้งหมดเพื่อตรวจสอบว่ายังมีทหารรักษาการคนใดในเมืองหลวงที่เป็นคนของเสนาบดีควนอีกบ้าง การสืบสวนครั้งนี้คงจะกินเวลาไปหลายวันเลยทีเดียว แต่เขาก็เชื่อว่าคนของตนเองที่มีประสบการณ์มากมายจะทำได้โดยไม่มีสิ่งใดผิดพลาดกลางดึกหลังจากรองแม่ทัพที่เข้าไปในวังพาตัวคนร้ายทั้งหมดกลับค่ายได้ไม่นาน กลุ่มรองแม่ทัพอีกกลุ่มก็เข้าจับกุมคนในจวนของพวกเขามัดเอาไว้ทั้งหมดเช่นเดียวกัน โดยที่คราแรกเห
ฮ่องเต้ไม่สนพระทัยในเสียงคร่ำครวญของพระสนมกุ้ยเฟย ในเมื่อนางเป็นคนปล่อยให้คนร้ายเข้ามาในวังของเขาอย่างไม่สนใจเลยว่าจะมีผู้ใดบาดเจ็บล้มตายกันไปบ้าง“ทหาร! จับพวกเขาทั้งหมดให้ข้า โทษประหารเก้าชั่วโคตรจะถูกนำมาใช้เพื่อไม่ให้เป็นเยี่ยงอย่างกับขุนนางคนใดที่คิดใฝ่สูงอีก”“กระหม่อมรับด้วยเกล้าพะย่ะค่ะ” เหล่าทหารขานรับเสียงดังพวกเขาเข้าไปจับกุมเสนาบดีควน พระสนมกุ้ยเฟย องค์ชายสาม รวมถึงขุนนางฝ่ายขวาที่เข้าร่วมก่อการกบฏครั้งนี้ให้คุกเข่าลงต่อหน้าฮ่องเต้กับฮองเฮาทันที เสนาบดีควนได้แต่เงยหน้ามองฮ่องเต้อย่างกับจะกินเลือดกินเนื้อ แต่ฝ่าบาทกลับไม่สนใจสายตานั้นแม้แต่น้อยเหล่าขุนนางที่กลัวตายต่างรีบร้องขอพระเมตตาจากฮ่องเต้ทันทีหลังจากถูกบังคับให้คุกเข่าลงพร้อมกับคนอื่น ๆ“ขอฝ่าบาทโปรดเมตตาพะย่ะค่ะ พวกกระหม่อมเพียงแค่ทำตามคำสั่งของเสนาบดีควนเท่านั้น กระหม่อมมิบังอาจคิดการใหญ่เช่นนี้ได้ด้วยตัวเองแน่พะย่ะค่ะ&rdquo
เสนาบดีควน พระสนมกุ้ยเฟยและองค์ชายสามนั่งมองดูการต่อสู้อย่างไม่ใส่ใจนัก พวกเขาคิดว่าคราวนี้จะต้องได้รับชัยชนะอย่างแน่นอน จึงได้ลำพองใจเช่นนี้ ส่วนขุนนางคนอื่นต่างก็ยืนอยู่ด้านหลังทั้งสามคนอย่างยิ้มแย้มเช่นเดียวกัน ด้วยกำลังของพวกเขาที่มีมากกว่าทหารองครักษ์ อย่างไรการต่อสู้ครั้งนี้พวกเขาก็ต้องได้รับชัยชนะและเสนาบดีควนก็จะได้ขึ้นเป็นพระปิตุลาอย่างแน่นอนการต่อสู้ยังคงเป็นไปอย่างดุเดือด องครักษ์ทั้งหลายเริ่มบาดเจ็บกันมากขึ้นทุกที หลินฉิงอันเห็นว่าหลายคนเริ่มบาดเจ็บมากแล้วก็สั่งให้พวกเขาหลบมาอยู่ด้านหลังแทน ส่วนคนที่ยังต่อสู้ได้ก็ให้อยู่ด้านหน้าโดยมีนางเป็นคนช่วยยิงลูกดอกสกัดกั้นเหล่าคนร้ายไม่ให้กรูเข้ามามากกว่านี้ฮ่องเต้เห็นว่าสมควรแก่เวลาที่ทหารของเหิงจิ้งกั๋วน่าจะเข้ามาระงับเหตุก่อนที่จะเกิดความสูญเสียไปมากกว่านี้ พระองค์ทรงจุดพลุไฟเพื่อส่งสัญญาณให้ทหารนับหมื่นเคลื่อนพลเข้ามาในงานเลี้ยงทันทีเสนาบดีควนกับคนอื่น ๆ ไม่รู้ว่าพลุที่ฮ่องเต้จุดคืออะไร นี่เป็นสิ่งที่หลินฉิงอันช่วยคิดขึ้น