อวิ๋นเอ๋อร์ผ่อนลมหายใจ ดีบักครั้งแรกผ่านฉลุย ระหว่างที่ทุกคนกำลังจัดระเบียบ เธอเหลือบเห็นชายชุดสีเข้มยืนคุ้มเงาใต้ชายคา รูปร่างสูงชะลูด ดวงตาเป็นเส้นเฉียบที่คอยประเมินทุกอิริยาบถ
คนผู้นั้นคือองครักษ์เงา เว่ยหลาง...
เขาก้มศีรษะให้เพียงน้อยก่อนจะเอ่ยขึ้น “กระบวนการที่พระชายาวางไว้ลดช่องโหว่ได้จริง”
เสียงเขาทุ้ม “แต่ในวัง ความจริงไม่ใช่สิ่งเดียวที่ทำให้ผู้คนหยุดพูดได้”
อวิ๋นเอ๋อร์ยิ้มเอื่อย “ใช่ เพราะคนเรามักชอบเรื่องสนุกมากกว่าเรื่องจริง”
เธอยักไหล่ “งั้นเราก็ทำให้ความยุติธรรมมีความสนุกเสียสิ”
เว่ยหลางนิ่งไปชั่วครู่เหมือนคิดว่าตนฟังผิดไป
“พระชายา เอ่อ...พระชายาจะทรง ”
“ในงานเลี้ยงวันเพ็ญคืนนี้...” เธอนึกถึงตารางอีเวนต์ในเกม
“เราจะจัดโชว์เล็กน้อยให้ผู้คนจดจำ ภาษาชาวบ้านคือ PR ยังไงล่ะท่านองครักษ์”
“ชะ...โชว์? พะ...พี...เอ่อ...พีอะไรนะพ่ะย่ะค่ะพระชายา”
“เฮ้อ...เอาเถอะ ข้าหมายถึงการแสดงน่ะ การแสดงอย่างเช่นงิ้ว ละครปาหี่ เต้นรำ อะไรพวกนี้”
“อ๋อ กระหม่อมเข้าใจที่พระชายากล่าวแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
ช่วงบ่ายสายลมอุ่น เธอเดินกลับเรือนด้วยฝีเท้าที่เบากว่าตอนเช้าเล็กน้อย บ่าวไพร่โค้งคำนับพร้อมรอยยิ้มบาง ๆ ที่ไม่คุ้นเลยในจวนหลังนี้ ดอกเหมยขาวริมทางสะบัดกลีบเป็นริบบิ้น เธอสูดลมหายใจลึก ๆ
“โอเค อะไร ๆ ก็พอไหวอยู่” อวิ๋นเอ๋อร์พึมพำกับตัวเอง
จนกระทั่งเงาหนึ่งขวางแสงอาทิตย์ของเธอ หญิงสาวในชุดแพรสีครามอ่อน ปลายผมติดปิ่นหยกสีอ่อนใส พัดหอมในมือแกว่งช้า ๆ ดวงตายิ้ม แต่รอยยิ้มไม่แตะตา
“คาราวะพระชายาเพคะ มิได้พบกันเสียนาน”
อวิ๋นเอ๋อร์พิศดูนานพอที่จะเห็นความพยายามปิดบังความสะใจ ไป๋เยี่ยนหรง บุตรีเจ้ากรมกิจการพลเรือน ผู้ขึ้นชื่อเรื่องวางตัวเรียบร้อยต่อหน้าผู้ใหญ่ และวางหมากเก่งลับหลัง
อวิ๋นเอ๋อร์โค้งศีรษะรับบาง ๆ พร้อมยิ้มตอบ“คนที่ข้าไม่คิดถึง เจอกันทีไรก็ดูเหมือนจะบ่อยเกินไปเสมอ”
ไป๋เยี่ยนหรงหัวเราะนุ่มนิ่ม “พระชายาช่างมีวาทศิลป์ยิ่งนัก”
นางหันไปบอกบ่าว “นำของที่ข้านำมามอบให้ท่านอ๋องไปไว้ที่หอพิธี ข้าเพิ่งต้มน้ำแกงไก่ตุ๋นโสมเอง มือข้าพองไปทั้งแถบ”
นางก้มมองมือของตน ผิวนั้นเนียนไร้รอยพอง ไม่มีรอยแดงหรือบาดแผลแม้แต่นิด
“เล่นใหญ่จังนะแม่คู๊ณณ” อวิ๋นเอ๋อร์แอบเหน็บแนมในใจ
“ข้าจะมอบแด่ท่านอ๋องด้วยตนเองในงานเลี้ยงคืนนี้”
ไป๋เยี่ยนหรงเงยหน้าขึ้น ดวงตาคมวาววับวัดใจ
“หวังว่าพระชายาหลินจะทรงอนุญาตให้คนที่หวังดีต่ออ๋องห้าเช่นหม่อมฉันได้รับใช้ใกล้ชิดท่านอ๋องบ้างนะเพคะ”
อวิ๋นเอ๋อร์ยิ้ม เป็นรอยยิ้มแบบคนที่รู้ว่าอีกฝ่ายโยนลูกอะไรมาให้
“ผู้ใดหวังดีจริงข้าก็ยินดี แต่ข้ายินดีเฉพาะผู้ที่หวังดีต่อเขาด้วยใจจริง ไม่ใช่หวังดีเพราะหวังในชื่อเสียงลาภยศของตัวเอง”
ไป๋เยี่ยนหรงชะงักไปเพียงเสี้ยววินาที ก่อนจะคลี่ยิ้มกลับเหมือนไม่มีอะไร
“เช่นนั้นคืนนี้ หม่อมฉันจะได้เห็นพระชายาทรงแสดงอะไรที่สนุกหรือไม่เล่าเพคะ”
“รีบเฉลยก็ไม่สนุกสิ” อวิ๋นเอ๋อร์ขยิบตาน้อย ๆ “สปอยล์มากไป คนดูจะเบื่อเอานะ”
“สปอยล์? คนดู?” ไป๋เยี่ยนหรงเลิกคิ้วน้อย ๆ
“อ้อ คงเป็นคำที่เกินกว่าเจ้าจะเข้าใจสินะ” อวิ๋นเอ๋อร์ยิ้มมุมปาก แววตาคมเหลือบมองอีกฝ่าย
ไป๋เยี่ยนหรงผายพัดเบา ๆ “แล้วพบกันคืนนี้นะเพคะ”
นางพูดจบก็หมุนกายจากไป กลิ่นหอมอ่อน ๆ ของดอกไม้วูบผ่านจมูก อวิ๋นเอ๋อร์ปล่อยลมหายใจช้า ๆ
นี่มันอะไรเนี่ย?! เธอมาโผล่ในโลกเกมที่ตัวเองเล่นจนท่องได้ ขืนปล่อยให้เรื่องเดินตามสคริปต์เดิม หลินซินอวิ๋นคงจบแบบ “ตัวร้ายที่ตายตอนจบ” แน่
แต่วันนี้ เธอได้ตั้งตัวแปรใหม่แล้ว “ความยุติธรรมที่ผู้คนจำได้” และ “ความน่ารักที่ผู้คนปฏิเสธไม่ได้”
ตกค่ำ โคมแดงเรียงรายราวดาราบนพื้นดิน ลานกว้างหน้าศาลารับรองประดับริ้วไหมหลากสี เครื่องสายบรรเลงทำนองนุ่ม เงียบหวิวด้วยความคาดหวัง บ่าวไพร่ซุบซิบข่าวที่พระชายาหลินเปลี่ยนไป ข่าวนั้นแพร่ไวเหมือนประกาศขายของลดราคา
อวิ๋นเอ๋อร์ก้าวสู่ลานพิธีด้วยชุดแพรสีงาช้างปักลายเหมย ระบายบ่าบางเบาพอให้ลมหยอก นางไม่ได้สวยจัดเพื่อข่มใคร แต่เรียบง่ายสง่างามจนคนมองแล้วอยากยิ้ม
เว่ยหลางยืนซ้อนเงาอยู่ไม่ไกล พยักหน้าบอก “พร้อม”
บนโต๊ะกลางตั้งกระดานไม้ กล่องเล็กสี่เหลี่ยมหลายใบ และถุงผ้าสามถุง อวิ๋นเอ๋อร์กวักมือเรียกอาซวนชายที่ขโมยข้าวขึ้นมา นางพูดให้ได้ยินโดยทั่ว
“วันนี้ ข้าจะสาธิตความจริงง่าย ๆ สิ่งใดหายไป ย่อมทิ้งร่องรอยไว้เสมอ ถ้าข้าทำให้ทุกคนเห็นร่องรอย พวกข่าวลือจะเหลือที่ยืนตรงไหนกันล่ะ”
นางเปิดกล่อง ภายในคือผงถ่านละเอียด “รองพื้นดินตรงทางลับที่คนชอบลักลอบผ่านด้วยผงนี้ เมื่อใครเหยียบเข้า รองเท้าจะติดสีออกมา เจอคราบ ตามร่องรอยได้”
นางชี้รองเท้าอาซวนที่ถูกแปะคราบไว้เป็นตัวอย่าง คนทั้งลานฮือฮา บางคนหัวเราะเพราะรู้สึกสะใจ บางคนก็ตื่นตาเพราะความแปลกใหม่
เสียงก้าวเท้าหนักแน่นดังขึ้น จ้าวเยี่ยนฝูปรากฏตัวในชุดคลุมสีเรียบ ไร้เครื่องประดับฟุ่มเฟือย ดวงตาคมทอดผ่านฝูงชนมาหยุดที่นางเพียงชั่วกะพริบ
ไป๋เยี่ยนหรงในชุดแพรสีครามก้าวออกมาพร้อมถาดหยก
“หม่อมฉันนำน้ำแกงโสมมามอบแด่ท่านอ๋องเพคะ”
นางย่อกายพองาม แต่ปลายหางตากลับชำเลืองมองพระชายาหลินอย่างท้าทาย
อวิ๋นเอ๋อร์ยิ้ม การแสดงกำลังจะเริ่มแล้วสินะ!
นางรับถาดมาด้วยมือมั่นคง หันไปหาแม่ครัวเฒ่าที่นางเพิ่งคืนศักดิ์ศรีในคดีคลังตอนบ่าย
“แม่เฒ่า ลองชิมดู”
แม่เฒ่าเหลือบตามองเสี้ยววินาทีอย่างรู้ทัน ใช้ช้อนเล็กตักไปจรดริมฝีปาก ขมวดคิ้ว
“หอมเพคะ แต่กลิ่นโสมแรงเกินไปหน่อย”
“แรงเกินไป?” ไป๋เยี่ยนหรงแย้มยิ้ม “โสมยิ่งเข้มก็ยิ่งดีมิใช่หรือไร”
อวิ๋นเอ๋อร์วางช้อนลงพร้อมกับเอ่ยเสียงเรียบ “จริงอยู่ที่โสมยิ่งเข้มก็ยิ่งดี แต่ถ้าแรงเกินไปจะกระทบกระเพาะผู้ที่ยังไม่ได้กินอาหารร้อน จะจุกเสียดและนอนไม่หลับ ท่านอ๋องเพิ่งกลับจากการตรวจงาน พักนี้ทรงเสวยน้อย หากเสวยน้ำแกงถ้วยนี้ คืนนี้เกรงว่าจะไม่สบายได้”
คนรอบข้างฮือฮาเบา ๆ อย่างออกรส นางไม่ได้ว่าอาหารไม่ดี แต่ห่วงคนกิน แบบที่ทำให้คนฟังยิ้มตามโดยอัตโนมัติ สายตาของอ๋องห้าขยับวูบ เหมือนคนกำลังเจอเหตุผลที่เกินคาด
เยี่ยนหรงยิ้มยังคงอยู่ แต่ปลายนิ้วแนบถาดแน่นขึ้นกว่าเดิม
“เช่นนั้น หม่อมฉันจะนำกลับไปปรับใหม่”
“ไม่จำเป็น” อวิ๋นเอ๋อร์ส่งถาดให้บ่าวรับใช้ “เก็บไว้ให้ทหารเวรยามที่ไม่ได้กินข้าวมื้อเย็น เติมข้าวนิดหน่อย น้ำแกงนี้จะช่วยให้ร่างกายอบอุ่นขึ้นในคืนที่ลมแรงอากาศเย็นเช่นนี้”
นางกล่าวพร้อมหันไปทางกลุ่มทหารเวรยามที่ยืนสำรวมอยู่ริมลานจัดงาน หลายคนชะงักเหมือนไม่เคยถูกนับเป็นคนในงานพิธีมาก่อน แววตาหลายคู่เปลี่ยน บ่าวไพร่ยืนหลังตรงขึ้นกว่าเดิมโดยไม่รู้ตัว และนั่นเองที่มุมปากของจ้าวเยี่ยนฝูยกขึ้นน้อยกว่าเสี้ยวกลับดอกไม่ แม้จะไม่ใช่รอยยิ้มเต็มรอย แต่ก็ไม่ใช่ความเฉยชาเหมือนเดิม
อวิ๋นเอ๋อร์เหลือบมอง หัวใจเหมือนมีมือเล็ก ๆ มาเคาะจนดังตึกตัก
“โอเค ท่านอ๋อง ข้าจับสัญญาณได้แล้ว” นางเอ่ยในใจ
ค่ำคืนดำเนินไปด้วยบทสนทนาที่คลายตึงเครียด นางสาธิต “ผงถ่านตามรอย” ให้ทุกคนที่มาร่วมงานครั้งนี้ดู นับว่าเป็นการละเล่นแบบผสมความรู้ เสียงหัวเราะเบา ๆ ดังผสมไปกับเสียงเครื่องสาย บทสนทนาของนางกับบ่าวไพร่เป็นธรรมชาติจนแม้แต่องครักษ์ยังต้องแอบมอง
และก่อนงานเลี้ยงจะจบ นางได้สบตาจ้าวเยี่ยนฝูอีกครั้ง คราวนี้ไม่มีคำพูด มีเพียงความเงียบงันระหว่างคนสองคนที่ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายคือศัตรูเดิมในสคริปต์หรือหุ้นส่วนใหม่ในชีวิตจริง
ในหัวของอวิ๋นเอ๋อร์ เหมือนมีหน้าต่างเล็ก ๆ เด้งขึ้นบนจอทิพย์
เควสภายใน “ลดการลงโทษโดยไร้หลักฐานเป็นศูนย์ใน 7 วัน” ความไว้วางใจระดับ 1
เควสใหม่ “ทำให้ใครบางคนหัวเราะเพราะเจ้า” รางวัลรอยยิ้มที่ไม่ยอมรับว่าเป็นรอยยิ้ม
เธอหัวเราะในใจเบา ๆ เกมนี้สนุกกว่าที่คิดแฮะ
และในเงามุมหนึ่ง ไป๋เยี่ยนหรงยืนมองภาพนั้นด้วยดวงตาเงียบสนิท ปลายพัดในมือหยุดนิ่ง นางพึมพำกับตัวเองต่ำกว่าเสียงลม
“เรื่องสนุกเพิ่งจะเริ่มเท่านั้น...”
เช้าวันนัด บนท้องฟ้ามีเมฆบาง ๆ เคลื่อนช้าเหมือนใครตั้งใจยืดเวลาออกให้นานที่สุด ลมหลังฝนพัดเย็นจนใส่สูทแล้วพอดี หลินอวิ๋นเอ๋อร์ยืนหน้ากระจกในห้อง ทำผมหางม้าสูงเรียบร้อย ลองยิ้มเบา ๆ ที่ไม่ตึงเกินและไม่อ่อนปวกเปียกเกินไป จากนั้นสูดลมหายใจยาว ครั้งหนึ่งเพื่อบอกหัวใจว่า นี่คือโลกของความจริง ไม่ใช่วังหลังที่เธอเคยไปอยู่เธอสวมต่างหูมุกเม็ดเล็ก เหลือบมองสมุดไดอารี่ปกผ้าลินินบนโต๊ะ“ไปด้วยกันนะ”เธอเอ่ยกับสมุดเหมือนคุยกับเพื่อนทั้งที่รู้ว่ามันเป็นแค่สมุด ก่อนจะหยิบแล็ปท็อปสีน้ำตาลเข้ม กอดแฟ้มเอกสารไว้แน่น เธอพร้อมแล้วสำหรับวันนี้...ย่านธุรกิจยังไม่ถึงชั่วโมงเร่งด่วนเต็มกำลัง รถยังไหล เธอลงจากแท็กซี่หน้าตึกบริษัท อินฟินิตี้ เกม สตูดิโอ จำกัด ตึกกระจกสูงสะท้อนเมฆสีเทาอ่อนเหมือนผืนไหมแผ่ปกท้องฟ้า เสี้ยววินาทีที่ยกหน้าเงย เธอได้ยินเสียงหัวใจตัวเองดังเหมือนเสียงกลองยามล็อบบี้หินอ่อนกลิ่นน้ำหอมจาง ๆ ให้ความมั่นใจแปลก ๆ เสียงรองเท้าหนังของผู้คนจังหวะต่างกันสับสน แต่ทุกคนมีทิศทางของตัวเอง บนผนังหน้าจอแอลอีดีฉายฉากไฮไลต์จากเกมดัง“คุณหลินอวิ๋นเอ๋อร์ใช่ไหมคะ” เลขาหน้าตาคมในชุดสูทครีมก้าวเข้ามาหา ยิ้
เช้าวันฝนตก เมฆครึ้มเหนือเมืองหลวงทอเงาหนาแน่นไปทั่วตึกสูงเรียงราย ถนนใหญ่เต็มไปด้วยรถที่เคลื่อนช้า ๆ ฝนโปรยละอองบางจนกระจกแท็กซี่พราวน้ำ หลินอวิ๋นเอ๋อร์นั่งเบาะหลัง กำเอกสารแฟ้มสีน้ำเงินแน่น แล็ปท็อปถูกเก็บอยู่ในกระเป๋าหนังสีน้ำตาลเรียบหรูที่เธอเพิ่งซื้อเพื่อโอกาสนี้โดยเฉพาะหัวใจเต้นแรงทุกครั้งที่รถเคลื่อนผ่านตึกสูง จนกระทั่งแท็กซี่หยุดหน้าสำนักงานใหญ่ของบริษัท อินฟินิตี้ เกม สตูดิโอ จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทผู้พัฒนาเกมระดับท็อปของภูมิภาค ตึกกระจกสูงกว่าสี่สิบชั้นสะท้อนท้องฟ้าสีหม่น แต่โลโก้สีทองรูปมังกรพันวงล้อเกมกลับเปล่งประกายชัดเจนเหนือประตูใหญ่ เธอลงจากรถ สูดลมหายใจลึก พยายามบอกตัวเองให้ใจเย็น ๆ“หลินอวิ๋นเอ๋อร์ วันนี้ไม่ใช่แค่วันธรรมดา แต่คือวันที่อาจเปลี่ยนชีวิตเธอไปทั้งชีวิต สู้ ๆ นะ”โถงล็อบบี้โอ่อ่าตกแต่งด้วยหินอ่อน เงากระจกใสสะท้อนภาพพนักงานในชุดสูทยุคใหม่สลับกับจอแอลอีดีขนาดใหญ่ที่ฉายตัวอย่างเกมดัง ๆ ของบริษัท เสียงพนักงานต้อนรับเอ่ยทักพร้อมรอยยิ้ม“คุณหลินอวิ๋นเอ๋อร์ใช่ไหมคะ? เชิญที่ชั้น 15 ห้องประชุมใหญ่เลยค่ะ ทีมพัฒนารออยู่”“ขอบคุณค่ะ”เธอยกมือไหว้เล็กน้อยก่อนก้าวเข้าสู่ล
หลังจากที่ตัดสินใจอยู่นาน ในที่สุดหลินอวิ๋นเอ๋อร์ก็ตัดสินใจยื่นใบลาออก เธอพยายามอย่างเต็มที่ที่จะลืมเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เธอได้เผชิญมา แต่ก็ไม่สามารถทำได้เลย การลาออกไปพักกายพักใจ อาจจะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดในตอนนี้ บางทีการได้ไปสถานที่ใหม่ ๆ ทำสิ่งใหม่ ๆ อาจจะช่วยให้หายเศร้าไก้บ้าง ถึงแม้ว่าหัวหน้าของเธอจะพยายามบอกให้เธอตัดสินใจใหม่ แต่หลินอวิ๋นเอ๋อรก็ยังคงยืนกรานคำเดิม“ฉันตัดสินใจดีแล้วค่ะหัวหน้า ฉันจะอยู่ทำงานต่ออีก 2 สัปดาห์ เคลียร์งานที่ค้างอยู่ให้เสร็จค่ะ”“ในเมื่อเธอตัดสินใจแล้ว งั้นก็โชคดีนะอวิ๋นเอ๋อร์ เธอเป็นคนเก่ง ไม่ว่าเธอจะทำอะไรก็ต้องสำเร็จแน่”“ขอบคุณนะคะหัวหน้าที่เข้าใจฉัน และก็ขอบคุณที่ดูแลอย่างดีมาตลอดค่ะ”เวลา 2 สัปดาห์มาถึงอย่างรวดเร็ว โต๊ะทำงานถูกเก็บอย่างเรียบร้อย เธอเอ่ยลาเพื่อนร่วมทีมทีละคน“ไว้เจอกันนะ”“ไปพักให้เต็มที่ อย่าคิดถึงที่นี่ก็กลับมาได้เสมอ” หัวหน้าเอ่ยกับเธออีกครั้ง“ส่งรูปทะเลมาอวดด้วยนะ” เพื่อนอีกคนเอ่ยแซวหลังจากกอดลาทุกคนเสร็จแล้ว เธอก็เดินไปยังหน้าลิฟต์ได้อย่างไม่โหวกเหวก แต่พอประตูลิฟต์ปิดลง เธอก็เห็นภาพสะท้อนของตัวเอง หญิงสาวร่างบางเล็กที่กำล
ค่ำคืนที่ออฟฟิศปิดไฟหมดแล้ว มีเพียงแสงจากจอมอนิเตอร์สาดลงบนใบหน้าซีดของเธอ นิ้วพิมพ์ไปเรื่อย ๆ น้ำตาก็หยดลงบนคีย์บอร์ด เธอหัวเราะทั้งน้ำตา“หลินอวิ๋นเอ๋อร์ เธอนี่บ้าจริง ๆ ถึงขนาดคิดถึงคนที่ไม่มีอยู่จริงไปซะได้”เช้าวันจันทร์ฝนพรำ รถไฟฟ้าแน่นขนัดจนเธอต้องขยับเท้าตามแรงเบียด เหงื่อคนอื่นผสมกลิ่นน้ำหอมจาง ๆ ลอยปะทะ เธอตรึงสายตาไว้กับประกาศสีฟ้า “สถานีถัดไป” เหมือนตั้งใจจ้องอะไรสักอย่างเพื่อไม่ให้ใจหลุดไปไกลกว่านี้ แต่ระหว่างเสียงรถลากรางโลหะ เธอกลับได้ยินเสียงกลองยามเสียดขึ้นแทรกมาในหัวอย่างดื้อดึง จังหวะนั้นเองที่เธอก้มลงมองมือขวาของตัวเอง มือที่ครั้งหนึ่งเคยถูกกุมแน่นไว้ใต้ศาลาดอกเหมย แล้วรีบชักสายตาหนี ราวกับการมองนานจะทำให้ความทรงจำกลายเป็นจริงขึ้นมาอีกประตูรถเปิด ชุดทำงานพรืดไหลลงชานชาลา เธอก้าวเร็ว ๆ ฝนเม็ดเล็กกระทบแก้ม เธอแอบขำกับตัวเอง ฝนในโลกนี้ก็เย็นเหมือนฝนในโลกนั้น แต่ทันทีที่วูบนึกถึงคำว่า “โลกนั้น” หัวใจเธอก็ร่วงวูบเหมือนยืนอยู่บนโถงหินว่างเปล่าทันทีออฟฟิศกระจกสูงสะท้อนท้องฟ้า บัตรแตะประตูดังติ๊ด ไฟสีเขียวสว่างขึ้น เธอฝืนยิ้มทักทีม“อรุณสวัสดิ์ค่ะ”เธอกล่าวทักทายเพื่อนร่
เสียงพัดลมคอมหมุนเบา ๆ ภายในห้องเงียบงัน ต่างกับเมื่อครู่ที่ยังเต็มไปด้วยเสียงกลองและเสียงเอ่ยถวายบังคม เธอก้มลงกอดเข่า น้ำตาไหลพรั่งพรู“นี่มันแค่ความฝันจริง ๆ หรือว่า ข้าจะไม่ได้เจอท่านอีกแล้วใช่ไหม ท่านอ๋อง...”หน้าจอสี่เหลี่ยมวาวแสงสีฟ้าจาง ๆ สะท้อนเงาใบหน้าซีดของหลินอวิ๋นเอ๋อร์ ดวงตาแดงฉ่ำชื้นด้วยน้ำตา ขนตาเปียกชิดกันเป็นแพ เธอยังนั่งท่าเดิม มือซ้ายคาเหนือแป้นพิมพ์ มือขวาวางทับเมาส์ เหมือนโลกทั้งใบเพิ่งถูกหยุดเวลาไว้ตอนที่เธอยังหายใจเข้าไม่สุดเธอเหลือบสายตาไปมุมจอ นาฬิกาดิจิทัลบอกเวลา 03:17 น. ตัวเลขนิ่งสนิทจนทำให้หัวใจเจ็บยิ่งขึ้น เพราะเวลาตี 3 ของโลกนี้ ไม่ใช่ยามสามของวังหลังที่เธอเคยได้ยินเสียงฆ้องยามจากหอระฆังดังกังวานก้องบนหน้าจอเกมเล่ห์รักวังบุปผาค้างอยู่ที่ฉากสุดท้าย กล่องข้อความกรอบทองหม่นกึ่งโปร่งปรากฏอยู่กลางจอ ปุ่มยืนยันกะพริบเป็นจังหวะช้า ๆ เหมือนจงใจกลั่นแกล้ง สายตาเธอถูกตรึงด้วยบรรทัดเดียวที่เย็นชากว่าดาบ“จบสิ้นแล้ว”เธอขยับนิ้วโป้งไถแป้นเมาส์เล็กน้อย ความเคยชินบอกให้ลองคลิก คลิกเพื่อย้อน คลิกเพื่อหาเส้นทางลับ คลิกเพื่อเปิดอะไรสักอย่างที่พาเธอกลับไป แต่หน้าจอกลับ
ท้องพระโรงวันนี้แตกต่างจากทุกครั้ง เสียงกลองดังขึ้นสามครั้ง ฮ่องเต้เสด็จมาประทับบนบัลลังก์ ขุนนางน้อยใหญ่เรียงรายตามลำดับชั้น จ้าวเยี่ยนฝูและหลินอวิ๋นเอ๋อร์ยืนเคียงกันต่อหน้าพระพักตร์ สายตาผู้คนจับจ้องพวกเขาเต็มไปด้วยความคาดหมายเว่ยหลางก้าวออกมากลางลาน ก้มคำนับแล้วรายงาน“กระหม่อมได้หลักฐานยืนยันจากกรมอาญาและหมอหลวง ว่ากระปุกยาที่พบในเรือนของพระชายา ไม่ใช่ยาพิษร้ายแรง หากแต่เป็นเพียงยาล่อให้คนเข้าใจผิด อีกทั้งพบปิ่นปักผมของสาวใช้สกุลไป๋ ที่กำแพงฝั่งตะวันตก นอกจากนี้ เซวียนเอ๋อร์สาวใช้คนสนิทของคุณหนูไป๋ก็ได้สารภาพแล้วว่าทุกสิ่งที่ทำเป็นคำสั่งของนาง”เสียงฮือฮาดังก้องไปทั่วท้องพระโรง ประตูด้านข้างถูกเปิดออก ไป๋เยี่ยนหรงถูกนำตัวเข้ามา นางยังคงแต่งกายงดงามแต่ใบหน้าเคร่งเครียด สายตาแดงกร้าวจ้องหลินอวิ๋นเอ๋อร์อย่างไม่ปิดบัง“เป็นเจ้า! นังสารเลว! นังคนชั่วที่มาแย่งสิ่งที่ควรเป็นของข้า!” เสียงของนางก้องสะท้อน สั่นไปทั่วท้องพระโรงหลินอวิ๋นเอ๋อร์ไม่หวั่นไหว นางก้าวออกมายืนกลางลาน ใบหน้าอ่อนโยนแต่สายตาแน่วแน่“สิ่งที่เจ้าพยายามไขว่คว้ามาแต่ต้นคือหัวใจของเขา แต่หัวใจไม่ใช่สิ่งที่จะปล้นหรือบังคั