ลมยามค่ำพัดโคมแดงแกว่งเบา ๆ เงาแสงสะท้อนบนพื้นหินเงาวับเหมือนผืนน้ำ กลิ่นกำยานอวลคลอเสียงเครื่องสาย นางกำนัลเดินเรียงแถวอย่างสงบเรียบร้อย แต่สายตาแอบสอดส่องกันไม่หยุด ข่าวที่ว่าพระชายาหลินเปลี่ยนไปกระพือเร็วยิ่งกว่าเปลวไฟแตะน้ำมัน
หลินอวิ๋นเอ๋อร์ยืนอยู่หน้ากระดานไม้เล็ก ๆ ที่นางวางไว้กลางลาน มือเรียวหยิบถุงผ้ารูดปากขึ้นลงอย่างไม่รีบร้อน นางปรายตาไปทางมุมเงาที่องครักษ์เงายืนคุมอยู่ เว่ยหลางพยักหน้าช้า ๆ ให้สัญญาณว่าพร้อม แววตาเขาแปลความได้สองคำ “ลองดู”
อวิ๋นเอ๋อร์ยิ้ม นางไม่เคยคิดว่าตัวเองจะมายืนสาธิตอะไรแบบนี้ กลางงานเลี้ยงของวังหลวง แต่ไหน ๆ ก็ถูกดูดมาจะให้มันธรรมดาไม่ได้แล้ว ก็ทำให้มันน่าจดจำไปเสียเลย
“ท่านทั้งหลาย” เสียงของนางไม่ได้ดังมาก แต่ชัดเจนพอให้คนมองมา
“ข้าไม่ได้อยากเล่นกลในงานเลี้ยง ทว่าในจวนอ๋อง วันนี้ข้าวในคลังไปสามถัง ข้าไม่อยากให้แค่ลงโทษ ตบมือแล้วจบ ข้าจึงอยากให้ทุกคนเห็นว่าร่องรอยของความผิดมักซ่อนไว้ตรงไหน”
เสียงฮือเบา ๆ ไล่กันเป็นวง นางเปิดกล่อง ภายในคือผงถ่านละเอียดกับเศษแป้งขาว บ่าวไพร่กับทหารเวรยามหลายคนชะโงกหน้าอย่างสงสัย เหล่าคุณหนูฝ่ายในหัวเราะหึ ๆ ด้วยความไม่เข้าใจพร้อมกับตั้งแง่
อวิ๋นเอ๋อร์สาธิตง่าย ๆ ว่าเมื่อโรยผงไว้ตรงช่องที่คนชอบลักลอบผ่าน รองเท้าจะติดคราบไว้โดยไม่รู้ตัว แล้วนางก็ชี้ให้ดูรองเท้าของอาซวน ชายที่เพิ่งได้รับโทษสถานเบา ที่นางแปะผงไว้ให้ดูเป็นตัวอย่าง คราบดำเลอะขอบรองเท้าชัดเจนแม้แต่คนโง่ที่สุดยังเห็น
เสียงหัวเราะผสมอุทานดังขึ้นพรืดเดียว บางคนตบมือ บางคนหน้าเสีย โดยเฉพาะพวกที่เคยหยิบเล็กหยิบน้อยจนเป็นนิสัย
“ของหลวงก็คือของหลวง” นางสรุปอย่างเรียบง่าย
“หากวันหน้าใครคิดว่าข้าวของเป็นของไม่มีเจ้าของ ก็จงคิดเสียใหม่ วันไหนที่พวกเจ้าหิวจนท้องร้อง คนแรกที่จะถูกตัดข้าวคือพวกเจ้าเอง”
คำพูดธรรมดา แต่ฝ่ามือหลายคู่ที่เคยรับส่วนเกินกลับเกาเบา ๆ ต้นคออย่างสะดุ้ง นั่นเองที่เงาร่างสูงในชุดคลุมสรเรียบก้าวผ่านฝูงชนเข้ามาหยุดไม่ไกล ท่านอ๋องห้าจ้าวเยี่ยนฝู เท้าที่เคยเดินด้วยจังหวะหนักหน่วงในสนามรบหยุดลงตรงแสงโคมที่ส่องถึงปลายรองเท้า เงาใบหน้าเขาคมชัดราวสลักบนหิน
สายตาทั้งหมดไหลไปที่เขาเหมือนเหล็กถูกดูดด้วยแม่เหล็ก อวิ๋นเอ๋อร์สบตาเขาเพียงชั่วครู่ เวลานั้นเหมือนเสียงรอบตัวเบาลง นางเห็นอะไรบางอย่างกะพริบในดวงตาเขา คล้ายความพอใจที่ยังปฏิเสธจะเรียกมันว่าพอใจ
นางไม่หลบสายตา พลิกตักน้ำแกงร้อนในถ้วยหยกที่ไป๋เยี่ยนหรงเพิ่งนำมามอบให้อ๋องห้ามื่อครู่ เสียงช้อนกระทบถ้วยเบา ๆ คล้ายประกาศเริ่มเกมยันเชิง
“น้ำแกงนี้ ข้าจะเก็บไว้ให้ทหารเวรยาม” นางพูดก้องพอให้คนได้ยิน
“ทั้งคืนพวกเขาจะยืนเฝ้าประตู ลมแรงยิ่งนัก ได้ดื่มน้ำแกงอุ่น ๆ สักถ้วยจะดีต่อกระเพาะ เช่นนี้มันดีมากกว่าให้ท่านอ๋องดื่ม เพราะอาจจะทรงจุกเสียดทั้งคืน”
คนรอบวงหัวเราะจาง ๆ อย่างเอ็นดูในไหวพริบ กึ่งหัวเราะไปกับความซื่อของทหารเวรยามที่จู่ ๆ ก็กลายเป็นคนสำคัญในงานเลี้ยงสุดหรู บ่าวไพร่หลายคนเผลอยิ้มปนหัวเราะออกมาอย่างไม่รู้ตัว
ปลายหางตาของอ๋องห้าไหววูบ เหมือนรอยยิ้มเล็ก ๆ ที่ไม่ยอมเกิด ขณะที่ไป๋เยี่ยนหรงยังยิ้มละมุน แต่ปลายนิ้วบนด้ามพัดเกร็งแน่น มุมปากสั่นน้อย ๆ ราวกับโกรธจัดแต่ต้องเก็บงำเอาไว้ภายใน ส่วนภายนอกจำต้องเผยรอยยิ้มงามไว้
“งดงามนัก”
เสียงหนึ่งเอื้อนเอ่ยจากเรือนไม้สูงด้านข้าง สนมเอกผู้เป็นที่โปรดปรานอย่างกุ้ยเฟยเสวี่ยเหมย วางพัดแพรลงพร้อมยิ้มบาง ดวงตางามคมเหมือนคนเล่นหมากคอยหาช่องสังหาร
“พระชายาหลินช่างวางกฎได้น่าจดจำสมคำเล่าลือเสียจริง”
คำชมที่เอ่ยออกมาจากปากของกุ้ยเฟยเสวี่ยเหมยนั้นคมกริบเหมือนมีดสั้น อวิ๋นเอ๋อร์หันไปคารวะ
“ขอบพระทัยพระสนมเพคะ หม่อมฉันตั้งใจเพียงอยากให้ผู้คนในจวนอยู่กันอย่างสบายใจ ไม่มีใครต้องหวาดกลัวทั้งที่ยังไม่มีความผิด”
เสวี่ยเหมยหรี่ตาเหมือนแกล้งยิ้ม “เรื่องที่ไม่มีใครต้องหวาดกลัว หวังว่าในวันหน้าจะไม่ใช่เพียงคำพูดงาม ๆ ล่ะ”
“หม่อมฉันหวังให้คำพูดกับการกระทำไปด้วยกันเพคะ”
อวิ๋นเอ๋อร์ตอบสั้น ๆ มือหยิบพัดเล็กขึ้นมาพัดเบา ๆ กลบกลิ่นคม ๆ ของการปะทะคารม คราวนี้ คนที่เผลอยกมุมปากขึ้นเล็กน้อยคืออ๋องห้า รวดเร็วจนแทบจับไม่ได้ แต่พอให้หัวใจหนึ่งดวงเต้นผิดจังหวะไปครึ่งท่อน
งานเลี้ยงในค่ำคืนนี้ดำเนินต่อด้วยท่วงทำนองสบาย ๆ พร้อมเสียงซุบซิบที่อวิ๋นเอ๋อร์เลือกจะปล่อยให้ลอยผ่านหูไป นางยืนมองทหารเวรยามรับน้ำแกงไปคนละถ้วย ดวงตาเป็นประกายเหมือนเด็กได้ขนม เรื่องเล็ก ๆ แบบนี้กลับทำให้บรรยากาศทั้งลานอุ่นขึ้นอย่างประหลาด และก่อนที่นางจะถอยกลับ เงาร่างสูงนั้นก็ก้าวเข้ามาใกล้พอให้ได้ยินเสียงจริง ๆ เป็นครั้งแรกในคืนนี้
“เจ้าทำให้คนหัวเราะได้โดยไม่ต้องหยอกล้อ”
จ้าวเยี่ยนฝูว่าแผ่ว ๆ สายตาไม่ได้มองตรง เฉียดผ่านเหมือนคนตั้งใจไม่มอง
อวิ๋นเอ๋อร์ยิ้ม “หัวเราะเพราะสบายใจดีกว่าหัวเราะเพราะกลัวนะเพคะ”
“อืม” เขาเหมือนจะพยักหน้า แต่ก็ไม่ได้ทำเช่นนั้น
“ทำต่อไป ตราบใดที่ความยุติธรรมของเจ้าจะไม่ทำให้จวนวุ่นวาย”
คำพูดออกแนวตำหนิ แต่โทนเสียงไม่ได้เย็นชาเหมือนเดิม อวิ๋นเอ๋อร์อยากจะบอกว่าถ้าจะดุ ก็ขออย่ายกมุมปากแบบนั้น มันทำให้คนโดนดุอยากหัวเราะ แต่นางเก็บไว้เป็นความคิดลับ ๆ
นางค้อมกาย “เพคะ”
และเพียงเท่านั้น เขาก็ผละไป รวดเร็วเหมือนสายลม เก็บหัวใจคนที่ยืนอยู่ตรงนั้นให้ตกไปอีกหนึ่งจังหวะ
คืนเดียวกันนั้น ที่เรือนหยกจันทร์อันงดงามแต่เย็นชาไปด้วยไออำนาจ ไป๋เยี่ยนหรงวางพัดลงบนโต๊ะเสียงแผ่ว กระถางกำยานส่งกลิ่นหอมของดอกไม้โปรดของนางลอยคลุ้งจมูก แต่ก็ไม่อาจกลบความค้างคาใจของนางลงได้
“มือพองหรือเจ้าคะ” สาวใช้คนสนิทยืนพะงาบ ๆ นึกคำปลอบไม่ออก
ไป๋เยี่ยนหรงหัวเราะในลำคอ “มือข้าเนียนกว่าหยก จะไปพองด้วยน้ำแกงได้อย่างไร”
นางอ่านข้อความบนแผ่นไม้เล็ก ๆ ที่ส่งมาจากฝ่ายกงการเมือง คิ้วเรียวงามไหววาบ
“พรุ่งนี้พระราชกิจวังจะประกาศตารางงานถวายพระพร ท่านอ๋องห้าต้องเข้าเฝ้าแต่เช้า”
“คุณหนูจะ...” สาวใช้เว้นวรรค
“ข้าจะไปถวายผอบยาหอมหน้าท้องพระโรง” รอยยิ้มของไป๋เยี่ยนหรงเย็นลงจนแทบจับน้ำค้างได้
“อยากเห็นนักว่าพระชายาหลินผู้นั้นจะทำอย่างไรเมื่อต้องแบ่งพื้นที่ข้างกายท่านอ๋องให้กับคนอื่นในที่แจ้ง”
นางหยิบผอบหยกขึ้นมาลูบเบา ๆ เงาหยกกระทบดวงตาของนางจนสว่างวูบ เผยให้เห็นความตั้งใจบางอย่างในแววตานั้นของนางอย่างชัดเจน
วันรุ่งขึ้น แดดยามเช้ายังไม่แรงมาก ละอองหมอกเกาะตามปลายใบไผ่เป็นประกาย เมื่อลมนิด ๆ พัดผ่าน กลายเป็นละอองเพชรเคลื่อนไหว หลินอวิ๋นเอ๋อร์ตื่นเร็วกว่าปกติ ผู้เชี่ยวชาญในการเล่นเกมนี้อย่างนางรู้ดีว่า วันหลังงานใหญ่คือวันแห่งข่าวลือ และนางไม่อยากให้ข่าวลือวิ่งเร็วกว่าความจริง
“ม่ออี๋” นางเรียกสาวใช้คนสนิทที่กำลังเตรียมน้ำชา
“เช้านี้เราจะทำสองอย่าง หนึ่ง ส่งขนมอุ่น ๆ ไปให้ทหารเวรยามที่หน้าประตูตะวันตก เป็นของขอบใจที่ยืนเฝ้าเวรยามจนดึกดื่น สอง ให้คนไปประกาศกฎใหม่ที่ข้าตั้งเมื่อวาน ติดไว้หน้าคลังและโรงครัว ใครอ่านไม่ออกก็ให้คนที่อ่านออกอ่านให้ฟัง”
ม่ออี๋ลืมตาปรือตกใจในความเป็นระบบของเจ้านาย
“เพคะ พระชายา” นางยิ้มจนตาหยี
“เมื่อคืนทหารเวรยามยิ้มกันทั้งคืนเลยเพคะ และยังมีคนพูดไม่หยุดว่าน้ำแกงของพระชายาอร่อยมากเพคะ”
“ต้องบอกว่าเป็นน้ำแกงของคุณหนูไป๋สิ”
อวิ๋นเอ๋อร์หัวเราะ เมื่อนึกถึงภาพใบหน้าของคนที่ทำน้ำแกง หรือแกล้งว่าทำแล้วอดขำไม่ได้
“แต่ตำรับจริง ๆ ให้แม่ครัวเฒ่าปรับตามที่ข้าบอกนะ อย่าใส่โสมมากจนคนที่กินปวดท้อง”
“เพคะ”
อวิ๋นเอ๋อร์จัดเสื้อผ้าเรียบง่ายกว่าปกติ ตั้งใจจะไปดูคลังและโรงครัวอีกครั้ง ตลอดจนตรวจตลับผงถ่านที่วางไว้ตามจุดมืด
ใช่ นางวางระบบพื้นฐานของจวนไว้แล้ว ต้องทำให้มันทำงานจริง ไม่ใช่แค่โชว์
ระหว่างเดินผ่านระเบียง นางชะงัก เสียงรองเท้าหนักแน่นสม่ำเสมอของใครบางคนตัดผ่านลม เสี้ยววินาทีต่อมา เว่ยหลางก็โผล่พ้นเงาเสาดำ
“พระชายา” เขาค้อมศีรษะ “ท่านอ๋องให้มาบอกว่าเช้านี้จะเสด็จไปถวายพระพรฮ่องเต้ หากพระชายาประสงค์จะร่วมไปด้วย ท่านอ๋องก็ไม่ขัด”
นั่นสิ ในเกม จุดนี้คือ “ฉากปะทะต่อหน้าฮ่องเต้” ที่ไป๋เยี่ยนหรงว่าที่ชายารองตัวเต็งมักชิงพื้นที่ข้างกายท่านอ๋องห้าเพื่อแสดงให้เห็นว่าใครคู่ควรกับท่านอ๋องห้ามากกว่า
“ข้าจะไป” อวิ๋นเอ๋อร์ตอบทันที
“พระชายา จะไปหรือเพคะ” ม่ออี๋ถามขึ้น
“ข้าต้องไป เพื่อให้ใครบางคนที่คิดเหิมเกริมรู้ว่าควรยืนให้ถูกที่”
“ทราบแล้ว ข้าน้อยจะไปเรียนท่านอ๋องพ่ะย่ะค่ะ”
เว่ยหลางชำเลืองมอง เหมือนคนรู้ทันว่าคำพูดนี้พกมีดไว้ในกระพุ้งแก้ม
หน้าท้องพระโรงในยามสาย หินอ่อนขาวสะท้อนแสงจนตาพร่า ขุนนางยืนเรียงแถว สีหน้าทุกคนใสสะอาดราวไม่มีเรื่องลับในใจ ฮ่องเต้ยังไม่เสด็จสู่บัลลังก์ แต่ลานกว้างกลับเต็มไปด้วยบรรยากาศตึง ๆ ตามปกติวิสัยของการเข้าเฝ้าในท้องพระโรง
จ้าวเยี่ยนฝูในชุดคลุมสีเรียบยืนตรงตำแหน่ง ข้างกายว่างเปล่า ไม่ใช่เพราะไม่มีใครอยากยืนใกล้เขา แต่เพราะเขาไม่ให้ใครยืนใกล้
เสียงกรอบแกรบของรองเท้าจะงอยื่นมาจากอีกฝั่ง ไป๋เยี่ยนหรงเดินมาด้วยท่วงท่าพอดีพองาม ไม่ชิดเกินไป ไม่ไกลเกินไป มือซ้ายอุ้มผอบหยกขาว ริมฝีปากยิ้มเบาบาง
“ท่านอ๋อง” นางค้อมกายอย่างงาม “หม่อมฉันนำยาหอมมาให้เพคะ สิ่งนี้จะช่วยให้ทรงสดชื่นตลอดทั้งวัน หวังว่าจะช่วยบรรเทาความอ่อนล้าจากงานหนักให้ท่านอ๋องได้เพคะ”
สายตาหลายคู่หันมอง ชัดเจนว่ามีคนที่เอาใจต่อหน้าคนทั้งท้องพระโรง นี่เรียกว่าการส่งสัญญาณ ไม่ใช่แค่ความห่วงใยแบบปกติ
จ้าวเยี่ยนฝูไม่ขยับแม้แต่ปลายนิ้ว “วางไว้”
ไป๋เยี่ยนหรงยิ้ม เหมือนชนะอะไรสักอย่างเพราะได้เข้าใกล้เขา ขณะกำลังจะก้าวอีกครึ่งก้าวเพื่อวางผอบในระยะที่พอเรียกว่าข้างกาย ทว่าทันใดนั้น มือขาวเรียวอีกคู่หนึ่งก็เอื้อมไปหยิบผอบเสียก่อน
“ข้าจะช่วยวางให้” เสียงนั้นดังพอได้ยินชัดเจน
หลินอวิ๋นเอ๋อร์สวมชุดแพรสีหวายนวลเดินเข้ามาอย่างใจเย็น นางไม่ได้ยืนข้างท่านอ๋องห้า แต่เดินอ้อมไปวางผอบไว้บนแท่นหินข้างที่วางของ ระยะพอเหมาะพอดีจนมารยาทฝ่ายในหาเรื่องจับผิดยาก นางหันกลับมายิ้มบาง ๆ ให้ไป๋เยี่ยนหรง
“กลิ่นหอมดีทีเดียว กลิ่นเช่นนี้ช่วยให้หายเวียนศีรษะในวันที่แดดจัดได้”
ไป๋เยี่ยนหรงยิ้มไม่เปลี่ยน “พระชายาทรงรสนิยมดียิ่งนัก”
อวิ๋นเอ๋อร์ก้มหัวเล็กน้อย แล้วหันไปทางทหารเวรยามที่ยืนเคร่งอยู่ด้านข้าง
“คนที่อยู่ตรงนั้นน่ะ พวกเจ้า ระวังบันไดชำรุดขั้นที่สามด้วยนะ เมื่อวานข้าเพิ่งเห็นรอยแตก ถ้าตกลงไปจะบาดเจ็บเอาได้”
เสียงหัวเราะเบา ๆ หลุดจากมุมปากของหลายคนโดยไม่ตั้งใจ พระชายาหลินที่ขึ้นชื่อว่าโหดเหี้ยมเมื่อก่อน กลับเตือนทหารเวรยามเรื่องบันไดชำรุด?
ไป๋เยี่ยนหรงนิ่งวูบ เพราะวินาทีนั้น คนที่ยืนอยู่ข้างกายท่านอ๋องห้าไม่ได้เป็นเพียงศัตรูของนาง แต่เป็นความธรรมดาที่ทำให้คนรอบข้างคลายระวังได้ นางไม่ได้ทำอะไรมากมายเลยด้วยซ้ำ แต่ทุกสายตากลับไหลไปหานางเอง...
เช้าวันนัด บนท้องฟ้ามีเมฆบาง ๆ เคลื่อนช้าเหมือนใครตั้งใจยืดเวลาออกให้นานที่สุด ลมหลังฝนพัดเย็นจนใส่สูทแล้วพอดี หลินอวิ๋นเอ๋อร์ยืนหน้ากระจกในห้อง ทำผมหางม้าสูงเรียบร้อย ลองยิ้มเบา ๆ ที่ไม่ตึงเกินและไม่อ่อนปวกเปียกเกินไป จากนั้นสูดลมหายใจยาว ครั้งหนึ่งเพื่อบอกหัวใจว่า นี่คือโลกของความจริง ไม่ใช่วังหลังที่เธอเคยไปอยู่เธอสวมต่างหูมุกเม็ดเล็ก เหลือบมองสมุดไดอารี่ปกผ้าลินินบนโต๊ะ“ไปด้วยกันนะ”เธอเอ่ยกับสมุดเหมือนคุยกับเพื่อนทั้งที่รู้ว่ามันเป็นแค่สมุด ก่อนจะหยิบแล็ปท็อปสีน้ำตาลเข้ม กอดแฟ้มเอกสารไว้แน่น เธอพร้อมแล้วสำหรับวันนี้...ย่านธุรกิจยังไม่ถึงชั่วโมงเร่งด่วนเต็มกำลัง รถยังไหล เธอลงจากแท็กซี่หน้าตึกบริษัท อินฟินิตี้ เกม สตูดิโอ จำกัด ตึกกระจกสูงสะท้อนเมฆสีเทาอ่อนเหมือนผืนไหมแผ่ปกท้องฟ้า เสี้ยววินาทีที่ยกหน้าเงย เธอได้ยินเสียงหัวใจตัวเองดังเหมือนเสียงกลองยามล็อบบี้หินอ่อนกลิ่นน้ำหอมจาง ๆ ให้ความมั่นใจแปลก ๆ เสียงรองเท้าหนังของผู้คนจังหวะต่างกันสับสน แต่ทุกคนมีทิศทางของตัวเอง บนผนังหน้าจอแอลอีดีฉายฉากไฮไลต์จากเกมดัง“คุณหลินอวิ๋นเอ๋อร์ใช่ไหมคะ” เลขาหน้าตาคมในชุดสูทครีมก้าวเข้ามาหา ยิ้
เช้าวันฝนตก เมฆครึ้มเหนือเมืองหลวงทอเงาหนาแน่นไปทั่วตึกสูงเรียงราย ถนนใหญ่เต็มไปด้วยรถที่เคลื่อนช้า ๆ ฝนโปรยละอองบางจนกระจกแท็กซี่พราวน้ำ หลินอวิ๋นเอ๋อร์นั่งเบาะหลัง กำเอกสารแฟ้มสีน้ำเงินแน่น แล็ปท็อปถูกเก็บอยู่ในกระเป๋าหนังสีน้ำตาลเรียบหรูที่เธอเพิ่งซื้อเพื่อโอกาสนี้โดยเฉพาะหัวใจเต้นแรงทุกครั้งที่รถเคลื่อนผ่านตึกสูง จนกระทั่งแท็กซี่หยุดหน้าสำนักงานใหญ่ของบริษัท อินฟินิตี้ เกม สตูดิโอ จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทผู้พัฒนาเกมระดับท็อปของภูมิภาค ตึกกระจกสูงกว่าสี่สิบชั้นสะท้อนท้องฟ้าสีหม่น แต่โลโก้สีทองรูปมังกรพันวงล้อเกมกลับเปล่งประกายชัดเจนเหนือประตูใหญ่ เธอลงจากรถ สูดลมหายใจลึก พยายามบอกตัวเองให้ใจเย็น ๆ“หลินอวิ๋นเอ๋อร์ วันนี้ไม่ใช่แค่วันธรรมดา แต่คือวันที่อาจเปลี่ยนชีวิตเธอไปทั้งชีวิต สู้ ๆ นะ”โถงล็อบบี้โอ่อ่าตกแต่งด้วยหินอ่อน เงากระจกใสสะท้อนภาพพนักงานในชุดสูทยุคใหม่สลับกับจอแอลอีดีขนาดใหญ่ที่ฉายตัวอย่างเกมดัง ๆ ของบริษัท เสียงพนักงานต้อนรับเอ่ยทักพร้อมรอยยิ้ม“คุณหลินอวิ๋นเอ๋อร์ใช่ไหมคะ? เชิญที่ชั้น 15 ห้องประชุมใหญ่เลยค่ะ ทีมพัฒนารออยู่”“ขอบคุณค่ะ”เธอยกมือไหว้เล็กน้อยก่อนก้าวเข้าสู่ล
หลังจากที่ตัดสินใจอยู่นาน ในที่สุดหลินอวิ๋นเอ๋อร์ก็ตัดสินใจยื่นใบลาออก เธอพยายามอย่างเต็มที่ที่จะลืมเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เธอได้เผชิญมา แต่ก็ไม่สามารถทำได้เลย การลาออกไปพักกายพักใจ อาจจะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดในตอนนี้ บางทีการได้ไปสถานที่ใหม่ ๆ ทำสิ่งใหม่ ๆ อาจจะช่วยให้หายเศร้าไก้บ้าง ถึงแม้ว่าหัวหน้าของเธอจะพยายามบอกให้เธอตัดสินใจใหม่ แต่หลินอวิ๋นเอ๋อรก็ยังคงยืนกรานคำเดิม“ฉันตัดสินใจดีแล้วค่ะหัวหน้า ฉันจะอยู่ทำงานต่ออีก 2 สัปดาห์ เคลียร์งานที่ค้างอยู่ให้เสร็จค่ะ”“ในเมื่อเธอตัดสินใจแล้ว งั้นก็โชคดีนะอวิ๋นเอ๋อร์ เธอเป็นคนเก่ง ไม่ว่าเธอจะทำอะไรก็ต้องสำเร็จแน่”“ขอบคุณนะคะหัวหน้าที่เข้าใจฉัน และก็ขอบคุณที่ดูแลอย่างดีมาตลอดค่ะ”เวลา 2 สัปดาห์มาถึงอย่างรวดเร็ว โต๊ะทำงานถูกเก็บอย่างเรียบร้อย เธอเอ่ยลาเพื่อนร่วมทีมทีละคน“ไว้เจอกันนะ”“ไปพักให้เต็มที่ อย่าคิดถึงที่นี่ก็กลับมาได้เสมอ” หัวหน้าเอ่ยกับเธออีกครั้ง“ส่งรูปทะเลมาอวดด้วยนะ” เพื่อนอีกคนเอ่ยแซวหลังจากกอดลาทุกคนเสร็จแล้ว เธอก็เดินไปยังหน้าลิฟต์ได้อย่างไม่โหวกเหวก แต่พอประตูลิฟต์ปิดลง เธอก็เห็นภาพสะท้อนของตัวเอง หญิงสาวร่างบางเล็กที่กำล
ค่ำคืนที่ออฟฟิศปิดไฟหมดแล้ว มีเพียงแสงจากจอมอนิเตอร์สาดลงบนใบหน้าซีดของเธอ นิ้วพิมพ์ไปเรื่อย ๆ น้ำตาก็หยดลงบนคีย์บอร์ด เธอหัวเราะทั้งน้ำตา“หลินอวิ๋นเอ๋อร์ เธอนี่บ้าจริง ๆ ถึงขนาดคิดถึงคนที่ไม่มีอยู่จริงไปซะได้”เช้าวันจันทร์ฝนพรำ รถไฟฟ้าแน่นขนัดจนเธอต้องขยับเท้าตามแรงเบียด เหงื่อคนอื่นผสมกลิ่นน้ำหอมจาง ๆ ลอยปะทะ เธอตรึงสายตาไว้กับประกาศสีฟ้า “สถานีถัดไป” เหมือนตั้งใจจ้องอะไรสักอย่างเพื่อไม่ให้ใจหลุดไปไกลกว่านี้ แต่ระหว่างเสียงรถลากรางโลหะ เธอกลับได้ยินเสียงกลองยามเสียดขึ้นแทรกมาในหัวอย่างดื้อดึง จังหวะนั้นเองที่เธอก้มลงมองมือขวาของตัวเอง มือที่ครั้งหนึ่งเคยถูกกุมแน่นไว้ใต้ศาลาดอกเหมย แล้วรีบชักสายตาหนี ราวกับการมองนานจะทำให้ความทรงจำกลายเป็นจริงขึ้นมาอีกประตูรถเปิด ชุดทำงานพรืดไหลลงชานชาลา เธอก้าวเร็ว ๆ ฝนเม็ดเล็กกระทบแก้ม เธอแอบขำกับตัวเอง ฝนในโลกนี้ก็เย็นเหมือนฝนในโลกนั้น แต่ทันทีที่วูบนึกถึงคำว่า “โลกนั้น” หัวใจเธอก็ร่วงวูบเหมือนยืนอยู่บนโถงหินว่างเปล่าทันทีออฟฟิศกระจกสูงสะท้อนท้องฟ้า บัตรแตะประตูดังติ๊ด ไฟสีเขียวสว่างขึ้น เธอฝืนยิ้มทักทีม“อรุณสวัสดิ์ค่ะ”เธอกล่าวทักทายเพื่อนร่
เสียงพัดลมคอมหมุนเบา ๆ ภายในห้องเงียบงัน ต่างกับเมื่อครู่ที่ยังเต็มไปด้วยเสียงกลองและเสียงเอ่ยถวายบังคม เธอก้มลงกอดเข่า น้ำตาไหลพรั่งพรู“นี่มันแค่ความฝันจริง ๆ หรือว่า ข้าจะไม่ได้เจอท่านอีกแล้วใช่ไหม ท่านอ๋อง...”หน้าจอสี่เหลี่ยมวาวแสงสีฟ้าจาง ๆ สะท้อนเงาใบหน้าซีดของหลินอวิ๋นเอ๋อร์ ดวงตาแดงฉ่ำชื้นด้วยน้ำตา ขนตาเปียกชิดกันเป็นแพ เธอยังนั่งท่าเดิม มือซ้ายคาเหนือแป้นพิมพ์ มือขวาวางทับเมาส์ เหมือนโลกทั้งใบเพิ่งถูกหยุดเวลาไว้ตอนที่เธอยังหายใจเข้าไม่สุดเธอเหลือบสายตาไปมุมจอ นาฬิกาดิจิทัลบอกเวลา 03:17 น. ตัวเลขนิ่งสนิทจนทำให้หัวใจเจ็บยิ่งขึ้น เพราะเวลาตี 3 ของโลกนี้ ไม่ใช่ยามสามของวังหลังที่เธอเคยได้ยินเสียงฆ้องยามจากหอระฆังดังกังวานก้องบนหน้าจอเกมเล่ห์รักวังบุปผาค้างอยู่ที่ฉากสุดท้าย กล่องข้อความกรอบทองหม่นกึ่งโปร่งปรากฏอยู่กลางจอ ปุ่มยืนยันกะพริบเป็นจังหวะช้า ๆ เหมือนจงใจกลั่นแกล้ง สายตาเธอถูกตรึงด้วยบรรทัดเดียวที่เย็นชากว่าดาบ“จบสิ้นแล้ว”เธอขยับนิ้วโป้งไถแป้นเมาส์เล็กน้อย ความเคยชินบอกให้ลองคลิก คลิกเพื่อย้อน คลิกเพื่อหาเส้นทางลับ คลิกเพื่อเปิดอะไรสักอย่างที่พาเธอกลับไป แต่หน้าจอกลับ
ท้องพระโรงวันนี้แตกต่างจากทุกครั้ง เสียงกลองดังขึ้นสามครั้ง ฮ่องเต้เสด็จมาประทับบนบัลลังก์ ขุนนางน้อยใหญ่เรียงรายตามลำดับชั้น จ้าวเยี่ยนฝูและหลินอวิ๋นเอ๋อร์ยืนเคียงกันต่อหน้าพระพักตร์ สายตาผู้คนจับจ้องพวกเขาเต็มไปด้วยความคาดหมายเว่ยหลางก้าวออกมากลางลาน ก้มคำนับแล้วรายงาน“กระหม่อมได้หลักฐานยืนยันจากกรมอาญาและหมอหลวง ว่ากระปุกยาที่พบในเรือนของพระชายา ไม่ใช่ยาพิษร้ายแรง หากแต่เป็นเพียงยาล่อให้คนเข้าใจผิด อีกทั้งพบปิ่นปักผมของสาวใช้สกุลไป๋ ที่กำแพงฝั่งตะวันตก นอกจากนี้ เซวียนเอ๋อร์สาวใช้คนสนิทของคุณหนูไป๋ก็ได้สารภาพแล้วว่าทุกสิ่งที่ทำเป็นคำสั่งของนาง”เสียงฮือฮาดังก้องไปทั่วท้องพระโรง ประตูด้านข้างถูกเปิดออก ไป๋เยี่ยนหรงถูกนำตัวเข้ามา นางยังคงแต่งกายงดงามแต่ใบหน้าเคร่งเครียด สายตาแดงกร้าวจ้องหลินอวิ๋นเอ๋อร์อย่างไม่ปิดบัง“เป็นเจ้า! นังสารเลว! นังคนชั่วที่มาแย่งสิ่งที่ควรเป็นของข้า!” เสียงของนางก้องสะท้อน สั่นไปทั่วท้องพระโรงหลินอวิ๋นเอ๋อร์ไม่หวั่นไหว นางก้าวออกมายืนกลางลาน ใบหน้าอ่อนโยนแต่สายตาแน่วแน่“สิ่งที่เจ้าพยายามไขว่คว้ามาแต่ต้นคือหัวใจของเขา แต่หัวใจไม่ใช่สิ่งที่จะปล้นหรือบังคั