แชร์

รจนีแย่งพระสังข์
รจนีแย่งพระสังข์
ผู้แต่ง: ซังกง

อารัมภบท

ผู้เขียน: ซังกง
last update ปรับปรุงล่าสุด: 2025-05-08 20:47:51

ณ เมืองสามนต์นคร รจนีบุตรชายองค์สุดท้องของท้าวสามนต์ ที่มีบุตรสาวจากนางมณฑามเหสีฝั่งขวาถึงเจ็ดองค์ ซึ่งเป็นบุตรสาวทั้งหมดเจ็ดพระองค์และทุกพระองค์ต่างเป็นบุหลันด้วยกันทั้งหมด

แต่ทว่าหลังจากที่รจนาบุตรสาวคนสุดท้องของมเหสีฝั่งขวาได้คลอดออกมาเพียงแค่ไม่กี่เดือน ซึ่งแน่นอนอยู่แล้วว่ารจนาก็เป็นบุหลันเหมือนกันกับพี่สาวทั้งหกของเธอ

จากที่นางมณฑาที่คิดว่าความรักทั้งหมดคงจะอยู่ที่ลูกคนสุดท้องอย่างรจนาแน่นอน แต่ทุกอย่างกลับต้องเปลี่ยนไปเมื่อนางมณโฑมเหสีฝั่งซ้ายที่เป็นน้องสาวของนางมณฑาได้ตั้งท้องขึ้นมา

หลังจากนั้นไม่กี่เดือนนางมณโฑก็ได้ให้กำเนิดบุตรชายขึ้นมา ซึ่งนั้นก็สร้างความดีใจท้าวสามนต์เป็นอย่างมาก เพราะด้วยความที่เขานั้นรักมเหสีฝั่งซ้ายมากกว่ารักมากกว่ามณฑาที่เป็นพี่สาว แต่ด้วยเหตุผลจำเป็นเขาต้องแต่งงานกับนางมณโฑก่อน

ถึงจะสามารถแต่งงานกันนางมณโฑผู้เป็นน้องสาวได้ เขาจึงต้องยอมทำตามข้อตกลงนั้นอย่างไม่อาจที่จะหลีกเลี่ยงได้

“ลูกของเราเป็นผู้ชายเจ้าค่ะเสด็จพี่ แต่ลูกของเราเป็นบุหลัน” มณโฑว่าออกไปด้วยความเสียใจแทนสามีที่คาดหวังจะได้ลูกชายที่เป็นทินกร

“….”

“ไม่ใช่ทินกร” มณโฑที่ได้อุ้มลูกชายเอาไว้ในอ้อมแขนว่าขึ้นด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาพร้อมกับก้มหน้างุดไม่กล้าที่จะจ้องมองสบตากับผู้เป็นสามีเท่าไหร่นัก

“ไม่เป็นไรหนามณโฑ ต่อให้ลูกของเราจะเป็นอะไรข้าก็สัญญาว่าจะรักและดูแลลูกของเราสองคนเป็นอย่างดี ไม่ให้ลูกของเราต้องมาเจ็บช้ำน้ำใจเหมือนกันกับอะไรที่จะมาทำร้ายลูกของเราได้”

ท้าวสามนต์เอื้อมมือไปอุ้มเด็กน้อยเอาไว้ด้วยความรักใคร่และทะนุถนอมเป็นอย่างดี

หลังจากนั้นผ่านไปห้าปีรจนีที่ได้โตขึ้นเรื่อยๆ ก็มีใบหน้าสวยหวานตัวเล็กราวกับผู้หญิงคนหนึ่ง แต่ต่างออกไปเพียงแค่เขาเป็นเด็กผู้ชายที่ได้รับความรักความเอ็นดูมาเป็นอย่างดี

แต่ไม่นานนางมณโฑผู้เป็นแม่ก็ได้เสียชีวิตลง ด้วยความที่เป็นคนที่ร่างกายค่อนข้างที่จะอ่อนแออยู่แล้ว เมื่อได้ให้กำเนิดบุตรร่างกายก็ยิ่งทรุดโทรมลงไปทุกที แล้วก็ได้เสียชีวิตลงในเวลาไม่กี่ปีให้หลังมานี้

ด้วยความที่รจนีอยู่ตำหนักฝั่งซ้ายกับนางมณโฑมาโดยตลอด เมื่อทาวสามนต์ได้ชักชวนให้ไปอยู่ด้วยกันที่ตำหนักฝั่งขวา

แต่รจนีก็ได้เอ่ยปฏิเสธออกไป เพราะว่าเขานั้นไม่ได้สนิทสนมกับพวกที่สาวทั้งเจ็ดคนเลยแม้อต่นิดเดียว ทั้งเมื่อมีโอกาสพวกพี่สาวก็มักจะมาแกล้งหรือรังแกเขาอยู่บ่อยๆ

ตอนนั้นเขายังมีแม่ที่เป็นที่พึ่งของดูแล ทั้งเขายังไม่เคยเอาเรื่องนึ้ไปกราบทูลฟ้องเสด็จพ่อเลยแม้แต่ครั้งเดียว นั้นจึงทำให้พวกพี่สาวได้ใจและมารุมรังแกเขามากขึ้นเมื่อเสด็จแม่ไม่อยู่แล้ว

“ท่านรจนีจักไม่เอาเรื่องที่ถูกเหล่าองค์หญิงทั้งรังแกไปกราบทูลกับท่านท้าวสามนต์แน่หรือเจ้าคะ”

ข้ารับใช้ที่อยู่รับใช้มาตั้งแต่พระมเหสีมณโฑยังอยู่จนถึงตอนนี้เอ่ยว่าถามขึ้นด้วยความเป็นห่วงและไม่อยากให้นายของตัวเองถูกใครรังแก

“บอกไปก็มีแค่เสด็จพ่อจะเป็นห่วงไปเสียเปล่า”

รจนีว่าเอ่ยออกไปด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลพลางจ้องมองหญิงรับใช้ของตัวเองด้วยแววตาหวั่นไหว เพราะตัวเขาไม่อยากที่จะต้องไปมีเรื่องกับใครโดยไม่จำเป็น ยิ่งเป็นพี่น้องกันเองเขายางไม่อยากให้พวกพี่ๆ ต้องมาเกลียดเขามากไปกว่านี้แล้ว

“แต่…”

“ พอเถอะ เจ้าพูดไปข้าก็มิมีวันจักเปลี่ยนใจ” รจนีที่แม้ภายนอกเธอนั้นจะดูเป็นผู้ชายที่ถึงแม้จะไม่ได้สูงขนาดมาตรฐานชายแท้ แต่ก็สูงกว่าพวกผู้หญิงได้พอประมาณ

ทว่าเขานั้นไม่ได้จริงใจอ่อนแอเหมือนกับที่พวกพี่สาวเห็นเลยแม้แต่สักนิดเดียว เขาแค่ไม่ชอบการมีเรื่องถึงได้ทำตัวสงบปากสงบคำและอยู่แต่ในพื้นที่ของตัวเองเพียงเท่านั้น เพื่อเป็นการตัดปัญหาการได้เจอหน้ากับพวกพี่สาวทั้งเจ็ดของตัวเองไปเลย

“เพคะ งั้นหม่อมฉันจะไปหาอะไรมาให้เสวยเพคะ” สาวใช้ที่เป็นคนเลี้ยงรจนีมาตั้งแต่เด็กว่าบอกพร้อมกับคลานเข่าลุกขึ้นเดินจากไป

รจนีที่ช่วงนี้เป็นช่วงรดูจึงยิ่งเก็บตัวมากเป็นพิเศษ ประตูห้องและหน้าต่าง ต่างถูกปิดเอาไว้แน่นหนา เพื่อไม่ให้กลิ่นความเป็นบุหลันเล็ดลอดออกไปได้ ซึ่งกลิ่นเฉพาะตัวของบุหลันแต่ละคนนั้นจะแตกต่างกันออกไป

ซึ่งกลิ่นเฉพาะตัวของรจนีที่เป็นบุหลันก็คือกลิ่นดอกบุหงาส่าหรี ที่ขนาดต่อให้จะไม่ใช่ช่วงที่รจนีเป็นรดูก็มักจะมีกลิ่นหอมจางๆ ลอยออกมาอยู่เสมอ

แต่ถ้าช่วงที่เป็นรดูจะมีความเข้มข้นมากจนเกินไป ซึ่งนั้นจะไม่ค่อยปลอดภัยกับพวกบุหลันเท่าไหร่ถ้าอยู่ข้างนอก การเก็บตัวอยู่ในบ้านและกินยาต้ม เพื่อบรรเทาอาการความร้อนรุ่มภายในร่างกายให้ทุเลาลง

“เจ้าออกไปเถอะ ข้าอยากพักผ่อน” รจนีว่าบอกกับข้ารับใช้ที่ยังคงนั่งคอยดูแลรับใช้เขาอยู่ข้างกายในตอนนี้

“แต่..”

“ออกไปเถอะ ข้าอยู่ดูแลตัวเองได้” รจนีว่าเอ่ยออกไป เพราะบางครั้งเขาก็ไม่ได้ต้องการให้ใครมาคอยต้องดูแลเขาอยู่ตลอดเวลา

“ได้เพคะ” ข้ารับใช้ที่เห็นว่าไม่สามารถขัดอะไรได้จึงเลือกที่จะเดินจากไป เพื่อคอยเฝ้าดูแลที่ด้านหน้าห้องบรรทมแทน

รจนีที่ไม่อยากเอาแต่อุดอู้อยู่ในห้องได้แอบเปิดหน้าต่างออก เพื่อรับเอาลมเย็นๆ เข้ามาด้าน แต่ทว่าเขากลับเห็นเงาร่างของผู้ชายคนหนึ่งยืนอยู่ที่พุ่มไม้ นั้นจึงทำให้เขารู้สึกตกใจจนต้องรีบปิดหน้าต่างหนีไป

พอเช้าวันถัดมารจนีจึงได้คิดไปถึงร่างผู้ชายที่ยืนอยู่ด้านล่าง แต่เขาไม่กล้าที่จะพูดเอ่ยอะไรออกไป ทั้งตอนนี้ยังเป็นวัดสุดท้ายในช่วงรดูของเขาแล้ว มันจึงทำให้เขารู้สึกสบายตัวมากขึ้นกว่าในตอนแรกที่ร่างกายมีแต่ความร้อนรุ่มและทรมานมาตลอดหลายปีตั้งแต่เขาแตกเนื้อหนุ่มมาจนถึงทุกวันนี้

“ท่านท้าวสามนต์ทรงให้ท่านรจนีไปเข้าเฝ้าเพคะ” แก้วตาข้ารับใช้คนสนิทเอ่ยบอกกับผู้เป็นนายที่ยังเอาแต่นั่งเหม่อลอยอยู่ในห้องราวกับมีเรื่องให้ต้องคิดหนักอยู่ในเวลานี้

“ได้ เดี๋ยวข้าตามไป” รจนีว่าตอบออกไปพร้อมกับลุกขึ้นเดินตามข้ารับใช้ของตัวเองไป

“เสด็จพ่อให้ลูกมาหามีเรื่องอันใดหรือเพคะ!?” รจนีว่าถามออกไปด้วยอยากรู้

“พ่อแค่เป็นห่วงเลยมาหาเจ้าเพียงเท่านั้น” ท้าวสามนต์พูดบอกกับลูกชายคนสุดท้องพลางลูบหัวด้วยความเอ็นดูและทะนุถนอม

“ขอรับ ลูกรู้แล้ว เสด็จพ่อมิต้องเป็นห่วงลูก” รจนีว่าตอบออกไปด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลด้วยรอยยิ้มอ่อน

“ดีๆ แล้ว พ่อเอาเสื้อผ้ามาให้เจ้าในระหว่างที่ได้เดินผ่านเมือง เมืองหนึ่งพอดีแล้วเห็นว่าผ้าสีนี้เหมาะกับลูก” ท้าวสามนต์ว่าพร้อมกับส่งผ้านุ่งกระโจมอกและผ้าคลุมหลายลูกไม้ให้กับลูกชายสุดที่รักของตัวเอง

“ขอบพระทัยเสด็จพ่อ ลูกชอบมากเลยขอรับ” รจนีว่าพร้อมกับยกมือไหว้และรับผ้านุ่งมาถือไว้ในมือด้วยความรู้สึกชอบใจในสีเสื้อสีแดง ถึงแม้ว่าเขาจะชอบแต่ก็ไม่เคยมีความกล้าที่จะใส่ผ้านุ่งกระโจมอกสีฉูดฉาดแบบนี้

“ดีแล้วที่เจ้าชอบ เจ้าเอาเวลาไปพักผ่อนเถอะ” ผู้เป็นพ่อพูดเอ่ยบอกกับลูกชายสุดที่รักด้วยรอยยิ้มอบอุ่นเหมือนดังเช่นทุกครั้ง

“กระผมคงต้องขอตัวก่อน” รจนีว่าจบก็ยื่นผ้านุ่งให้ข้ารับใช้ก่อนที่จะลุกขึ้นเดินจากไป

รจนีที่เดินออกมาอยู่นอกตำหนักก่อนทางที่ใช้ลงเดินของบันไดก็พบกับพวกพี่สาวต่างมารดายืนจ้องมองมาทางเขาราวกับกำลังไม่พอใจอะไรบ้างอย่างอยู่

“พวกเสด็จพี่มีอะไรกับข้าหรือขอรับ” รจนีเอ่ยถามออกไปด้วยความหวาดหวั่นใจเล็กน้อย เมื่อตัวเองเดินมาถึงยังมุมหนึ่งของบริเวณบันไดที่พวกพี่สาวกำลังยืนรวมกันอยู่

“เหตุอันใดพวกข้าถึงต้องมีน้องเป็นบุหลันด้วย ทั้งที่พวกข้าทั้งเจ็ดคนก็ต่างล้วนแล้วเป็นบุหลันกันทั้งสิ้น” พี่สาวคนโตว่าถามออกไปด้วยน้ำเสียงประชดประชันผู้เป็นน้องชายคนเล็กที่เป็นบุหลันเช่นเดียวกัน ทั้งที่รจนีนั้นเป็นผู้ชาย

“ฮึก ข้าก็มิได้อยากเป็นบุหลันให้พวกพี่ชังน้ำหน้า แต่ข้าเกิดมาเป็นแบบนี้ พี่จะให้ข้าทำเยี่ยงไร!?” รจนีว่าถามพี่สาวคนโตที่ตอนนี้กำลังต่อว่าเขาอยู่ ทั้งที่เขาไม่ได้อยากให้ใครต้องมารังแกหรือดูถูกเขาเลยแม้แต่น้อย

“งั้นแกก็ตายๆ ไปสักที ถ้าไม่มีแก เสด็จพ่อคงจะรักพวกข้ามากกว่านี้” รจนาว่าจบก็ผลักร่างเล็กเบาๆ

แต่ทว่าด้วยความที่รจนีกำลังยืนอยู่ที่มุมของขอบบันได จึงทำให้ร่างของรจนีนั้นผลัดตกลงบันได ด้วยความตกใจของพวกพี่ๆ ที่ไม่ได้คิดจะทำรุนแรงกับน้องชายขนาดนั้น

อ่านหนังสือเล่มนี้ต่อได้ฟรี
สแกนรหัสเพื่อดาวน์โหลดแอป

บทล่าสุด

  • รจนีแย่งพระสังข์   บทที่๔

    รจนีที่ได้ตื่นขึ้นมาในตอนเช้าด้วยความสดชื่นแบบถึงที่สุดและสบายใจมากที่สุดที่รู้ว่าตัวเองยังไม่ชีวิตอยู่แบบครบสามสิบสอง “ฮือ ไม่สิ ไม่ครบสามสิบสอง เพราะฉันมีดุ้นแทน…. ฮือ แค่คิดก็อยากจะร้องไห้ออกมา” เป็นฉันนี่มันน่าเหนื่อยจริงๆ เลย ชีวิตนี้ยังไม่เคยมีผัวหรือมีแฟนเลยสักคน แต่ทำไมชีวิตฉันถึงต้องมาอาภัพถึงขนาดนี้กันเนี่ย รู้งี้น่าจะมีแฟนตั้งแต่เรียนจบจะได้ไม่ต้องมารู้สึกเสียดายแบบนี้ ฮืออออ แต่การอยู่ในร่างของผู้ชายก็ดีเหมือนกันนะ เพราะฉันจะได้ต้องมานั่งเป็นประจำเดือนให้เหนื่อยหรือป่วยท้องทุกเดือนอีก ซึ่งนั้นยังมีอีกหนึ่งอย่างที่รจนีนั้นยังไม่ได้รู้เกี่ยวกับร่างกายของตัวเองที่จะต้องเป็นรดูของพวกบุหลันเพศชายเหมือนกันแม้ว่าจะไม่ได้มีรอบเดือน แต่จะเป็นการทรมานและร้อนรุ่มทางร่างกายแทนในความอยากทางกายที่มีอยากมีอะไรกับบุรุษเพศไม่ว่าจะเป็นทินกรหรืออัมพรก็ตาม ทั้งบุหลันแต่ละคนก็ได้มีกลิ่นเฉพาะตัวที่บ่งบอกถึงความเย้ายวนในตัวเองและนั้นก็คือสิ่งที่รจนียังไม่รู้ “ฉันจะต้องอยู่ในโลกนี้อย่างสงบสุขให้ได้” รจนีที่ตอนนี้กำลังเดินสาละวนอยู่ในห้องนอนของตัวเอง เพื่อต้องการสำรวจพื้

  • รจนีแย่งพระสังข์   บทที่๒

    ท้าวสามนต์ที่เดินขึ้นมาเพื่อดูอาการของลูกชายหลังจากที่ตกบันไดและสลบไปหลายวันด้วยความเป็นห่วง “รจนีเจ้าฟื้นแล้วลูกพ่อ เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง” ท้าวสมมนต์เอ่ยถามลูกชายที่เป็นดั่งแก้วตาดวงใจด้วยความเป็นห่วง ทั้งที่เขานั้นก็รู้อยู่เต็มอกว่าลูกชายของเขามักจะถูกพวกพี่สาวรังแกอยู่บ่อยครั้ง แต่ด้วยความที่เขานั้นอยากจะฝึกให้ลูกมีอะไรก็ยอมที่จะพูดบอกเขาทุกเรื่องบ้าง ใครคือรจนีเนี่ย!? “เป็นอะไรหรือรจนี” ผู้เป็นพ่อเอ่ยถามลูกชายด้วยความเป็นห่วงนักยิ่งขึ้นไปอีก เมื่อเห็นว่าแววตาของลูกชายนั้นมีแต่ความสับสนและสงสัยจนปิดเอาไว้แทบไม่มิด เขาคุยกับฉันเหรอ!? แล้วรจนีไหน เคยได้ยินแต่รจนา เหมยได้แค่นึกเถียงขึ้นในใจ เพราะสิ่งที่เธอนั้นรู้จักดีมีแค่รจนาในเรื่องสังข์ทองเพียงเท่านั้น แล้วรจนีคือนิทานพื้นบ้านเรื่องไหนกัน นั้นคือสิ่งที่เธอสนใจอยู่ในตอนนี้ “ปะ เปล่า อ๊ะ ไม่สิ แล้วฉันต้องพูดว่าอะไรเนี่ย!?” เหมยว่าพึมพำกับตัวเอง เพราะไม่รู้ว่าเองจะต้องพูดเอ่ยอะไรออกไปถึงจะเป็นสิ่งที่ถูกต้องกันแน่ “พ่อว่าเจ้าคงอาจจะต้องการใช้เวลาในการพักรักษาตัว” “ดีค่ะ เอ่อ เพคะ” เหมยว่าตอบกล

  • รจนีแย่งพระสังข์   บทที่๑

    ส่วนเหมยหญิงสาวอายุยี่สิบห้าปี เธอใช้ชีวิตมาอย่างดีด้วยการเลี้ยงดูจากยายที่เลี้ยงเธอมาเพียงลำพังตลอดหลายปี จนเธอเรียนจบมัธยมปลาย ยายที่ได้เลี้ยงดูเธอมาตั้งแต่เด็กจนโตก็ได้เสียชีวิตลงด้วยโรคชรา อย่างที่เธอไม่อาจที่จะหลีกเลี่ยงในการเกิดแก่เจ็บตายได้ เหมยจึงได้ใช้ชีวิตเพียงลำพังและต้องหาเงินส่งตัวเองต่อให้จบปริญญา เพื่อที่จะได้มีงานมีการดีๆ ทำ ไม่ต้องลำบากลำบน จากนั้นผ่านมาหลายปีเหมยก็ได้เข้าทำงานที่พิพิธภัณฑ์จากการที่เธอได้ทำงานที่นี่มาสามปี เธอจึงต้องลงพื้นที่เพื่อไปยังถ้ำจินดามณีพร้อมกันกับเจ้าหน้าที่พิพิธภัณฑ์ แต่ไม่ใช่เพื่อการตรวจดูสถานที่หรือความเก่าแก่แต่อย่างใด พวกกลุ่มคณะของพิพิธภัณฑ์ก็แค่อยากที่จะรวมตัวกันไปเที่ยวก็เท่านั้นไม่ได้มีอะไรเป็นพิเศษ “โอ้ย เราต้องนั่งรถเข้าไปอีกไกลแค่ไหนเนี่ย” แพรวดาวหนึ่งในคณะที่ร่วมออกเดินทางว่าบ่นออกมาด้วยความเหนื่อยล้าเต็มทีกับการที่ต้องตื่นเช้าและต้องนั่งรถมาหลายชั่วโมงเพื่อกราบไหว้บูชาพ่อเงาะป่า “อย่าบ่นสิแพรว อีกนิดเดียวก็จะถึงแล้วเนี่ย“ เหมยพูดบอกพร้อมกับชี้บอกทางให้เพื่อนมองไปที่ด้านหน้าที่มีรูปปั้นขนาดใหญ่ตั้งอยู่และเด

  • รจนีแย่งพระสังข์   อารัมภบท

    ณ เมืองสามนต์นคร รจนีบุตรชายองค์สุดท้องของท้าวสามนต์ ที่มีบุตรสาวจากนางมณฑามเหสีฝั่งขวาถึงเจ็ดองค์ ซึ่งเป็นบุตรสาวทั้งหมดเจ็ดพระองค์และทุกพระองค์ต่างเป็นบุหลันด้วยกันทั้งหมด แต่ทว่าหลังจากที่รจนาบุตรสาวคนสุดท้องของมเหสีฝั่งขวาได้คลอดออกมาเพียงแค่ไม่กี่เดือน ซึ่งแน่นอนอยู่แล้วว่ารจนาก็เป็นบุหลันเหมือนกันกับพี่สาวทั้งหกของเธอ จากที่นางมณฑาที่คิดว่าความรักทั้งหมดคงจะอยู่ที่ลูกคนสุดท้องอย่างรจนาแน่นอน แต่ทุกอย่างกลับต้องเปลี่ยนไปเมื่อนางมณโฑมเหสีฝั่งซ้ายที่เป็นน้องสาวของนางมณฑาได้ตั้งท้องขึ้นมา หลังจากนั้นไม่กี่เดือนนางมณโฑก็ได้ให้กำเนิดบุตรชายขึ้นมา ซึ่งนั้นก็สร้างความดีใจท้าวสามนต์เป็นอย่างมาก เพราะด้วยความที่เขานั้นรักมเหสีฝั่งซ้ายมากกว่ารักมากกว่ามณฑาที่เป็นพี่สาว แต่ด้วยเหตุผลจำเป็นเขาต้องแต่งงานกับนางมณโฑก่อน ถึงจะสามารถแต่งงานกันนางมณโฑผู้เป็นน้องสาวได้ เขาจึงต้องยอมทำตามข้อตกลงนั้นอย่างไม่อาจที่จะหลีกเลี่ยงได้ “ลูกของเราเป็นผู้ชายเจ้าค่ะเสด็จพี่ แต่ลูกของเราเป็นบุหลัน” มณโฑว่าออกไปด้วยความเสียใจแทนสามีที่คาดหวังจะได้ลูกชายที่เป็นทินกร “….” “ไม่ใช

สำรวจและอ่านนวนิยายดีๆ ได้ฟรี
เข้าถึงนวนิยายดีๆ จำนวนมากได้ฟรีบนแอป GoodNovel ดาวน์โหลดหนังสือที่คุณชอบและอ่านได้ทุกที่ทุกเวลา
อ่านหนังสือฟรีบนแอป
สแกนรหัสเพื่ออ่านบนแอป
DMCA.com Protection Status