ส่วนเหมยหญิงสาวอายุยี่สิบห้าปี เธอใช้ชีวิตมาอย่างดีด้วยการเลี้ยงดูจากยายที่เลี้ยงเธอมาเพียงลำพังตลอดหลายปี จนเธอเรียนจบมัธยมปลาย ยายที่ได้เลี้ยงดูเธอมาตั้งแต่เด็กจนโตก็ได้เสียชีวิตลงด้วยโรคชรา อย่างที่เธอไม่อาจที่จะหลีกเลี่ยงในการเกิดแก่เจ็บตายได้
เหมยจึงได้ใช้ชีวิตเพียงลำพังและต้องหาเงินส่งตัวเองต่อให้จบปริญญา เพื่อที่จะได้มีงานมีการดีๆ ทำ ไม่ต้องลำบากลำบน จากนั้นผ่านมาหลายปีเหมยก็ได้เข้าทำงานที่พิพิธภัณฑ์จากการที่เธอได้ทำงานที่นี่มาสามปี เธอจึงต้องลงพื้นที่เพื่อไปยังถ้ำจินดามณีพร้อมกันกับเจ้าหน้าที่พิพิธภัณฑ์ แต่ไม่ใช่เพื่อการตรวจดูสถานที่หรือความเก่าแก่แต่อย่างใด พวกกลุ่มคณะของพิพิธภัณฑ์ก็แค่อยากที่จะรวมตัวกันไปเที่ยวก็เท่านั้นไม่ได้มีอะไรเป็นพิเศษ “โอ้ย เราต้องนั่งรถเข้าไปอีกไกลแค่ไหนเนี่ย” แพรวดาวหนึ่งในคณะที่ร่วมออกเดินทางว่าบ่นออกมาด้วยความเหนื่อยล้าเต็มทีกับการที่ต้องตื่นเช้าและต้องนั่งรถมาหลายชั่วโมงเพื่อกราบไหว้บูชาพ่อเงาะป่า “อย่าบ่นสิแพรว อีกนิดเดียวก็จะถึงแล้วเนี่ย“ เหมยพูดบอกพร้อมกับชี้บอกทางให้เพื่อนมองไปที่ด้านหน้าที่มีรูปปั้นขนาดใหญ่ตั้งอยู่และเด็นจนมองเห็นจากไกลๆ ได้ เพื่อให้เพื่อนหยุดบ่นสักที หลังจากนั้นอีกไม่กี่นาทีผ่านไปรถตู้ที่พวกเธอได้เช่ามาก็หยุดรถลง เมื่อถึงที่หมายเป็นที่เรียบร้อยแล้ว “เหมยเรารีบลงไปกันเถอะ” แพรวดาวเอ่ยบอกกับเพื่อนด้วยรอยยิ้มกว้าง หลังจากที่นั่งหน้าบึ้งมาเกือบตลอดทั้งทาง เหมยที่ได้เดินลงมาจากรถและพักดื่มน้ำจนหายเหนื่อยแล้ว เธอก็ได้เงยหน้าขึ้นมามองสิ่งที่เธอได้เห็นจากไกลๆ ที่ว่าสวยแล้ว เมื่อได้มาเห็นใกล้ก็ยิ่งสวยยิ่งขึ้นไปอีก จนเธอไม่อาจที่จะละสายตาไปมองทางอื่นได้ “เหมยนั่นแกจะเดินไปไหน!?” แพรวดาวเอ่ยถามออกไปด้วยน้ำเสียงเหนื่อยจากการเดินขึ้นมายังที่แห่งนี้ เหมยที่จ้องมองรูปปั้นเงาตัวใหญ่ที่ยืนอยู่ด้านหลังของปู่นิลกาฬนาคราชย์องค์สีดำ เธอเดินตรงไปอย่างไม่ได้มีจุดหมายอะไร เธอแค่รู้ว่าตัวเองนั้นต้องเดินเข้าไปใกล้เพื่อเหตุผลอะไรบ้างอย่างที่เธอก็ไม่รู้ว่ามันคืออะไรกันแน่ “รจนี รจนี” ‘เสียงใครน่ะ ใครพูด’ เหมยที่ได้ยิ่งเสียงทุ้มต่ำ แต่แฝงไปด้วยความน่าเกรงขามจนเธอถึงกลับอยากรู้ว่าเสียงที่ได้ยินคืออะไรกันแน่ แต่เมื่อเธอลองหันดูรอบๆ ในตอนนี้ก็มีเพียงแค่กลุ่มคณะของเธอที่นั่งพักกันอยู่และคนอื่นๆ ที่อยู่ห่างออกไป ซึ่งอีกหนึ่งสิ่งที่สำคัญก็คือกลุ่มเธอที่มาไม่มีใครเป็นน้ำเสียงแบบนี้แน่นอน “เหมย แกเป็นอะไรหรือเปล่า” ในตอนที่เหมยกำลังจะเดินไปถึงตรงที่รูปปั้นเงาะขนาดใหญ่ก็มีมือหนึ่งมาจับรั้งแขนของเธอเอาไว้ “มะ ไม่ได้เป็นอะไรหรอก” เหมยว่าออกไปก่อนที่จะเดินตามเพื่อนกลับไปที่เดิมและรู้สึกมึนงงว่าเธอเดินมาทำอะไรตรงนี้กันแน่ หลังจากที่พวกกลุ่มคณะพิพิธภัณฑ์ที่มาด้วยกันได้ทำการกราบไหว้ขอพรพ่อเงาะป่ากับปู่นิลกาฬนาคราชย์องค์สีดำ ทั้งยังมีผีเสื้อสมุทรที่คนก็ต่างพากันมากราบไหว้เช่นกัน “สิ่งใดที่เจ้าปรารถนา ย่อมเป็นจริงได้เสมอ” เหมยที่กำลังกราบไหว้พ่อเงาะป่าขนาดใหญ่อยู่นั้น เมื่อได้ยินเสียงของผู้ชายที่เธอได้ยินตั้งแต่ตอนที่เธอขึ้นมาถึงก็ได้แต่หันซ้ายมองขวาว่าต้นเสียงมาจากตรงไหนกัน “แพรว แกได้ยินเสียงอะไรแปลกๆ ไหม” เหมยที่ไม่สามารถทนเก็บความสงสัยเอาไว้ได้ จึงได้เอ่ยถามเพื่อนที่นั่งอยู่ข้างกันด้วยความอยากรู้ว่าเสียงที่เธอได้ยินคือตัวเองไม่ได้หูฝาดไปเอง “เสียงอะไรของแก ไม่เห็นมีเสียงอะไรเลย” แพรวดาวเอ่ยตอบกลับไปอย่างไม่ได้คิดที่จะใส่ใจอะไรมาก ก่อนที่เธอจะลุกขึ้นและเดินไปรวมตัวกับคนอื่นๆ ยัยเพื่อนบ้า ไม่รอกันบ้างเลย เหมยว่าจบก็รีบลุกขึ้นยืนเพื่อเดินตามเพื่อนไป เพราะยังมีอีกหลายที่มากที่พวกเธอนั้นจะต้องไปกราบไหว้และเที่ยวก่อนที่ช่วงเย็นนั้นจะไปยังที่พักที่ได้จองเอาไว้ เหมยที่ได้กลับเข้ามาในช่วงเย็นและเก็บกระเป๋าของตัวเองไว้ในห้องแล้วเป็นที่เรียบร้อย เธอก็ได้คิดออกมาเดินเล่นอย่างไม่ได้คิดชวนใครให้มาด้วยกัน “ช่วยด้วยครับ ช่วยด้วย” แต่ทว่าในตอนที่เธอกำลังเดินเล่นอยู่บนพื้นทรายสีขาวเนียนละเอียดของท้องทะเลอยู่นั้น เธอก็ได้ยินเสียงเด็กผู้ชายตะโกนร้องขอความช่วยเหลือ “อยู่ตรงไหนกันนะ” เหมยว่าพึมพำกับตัวเองพร้อมกับหันมองลงไปที่ทะเล ก่อนที่เธอจะเห็นร่างของเด็กผู้ชายที่กำลังไกลจะจมน้ำ “อึก ช่วย อึก ด้วย” เด็กชายพยายามตะเกียดตะกายเอาชีวิตรอด เหมยที่เห็นแบบนั้น แม้ว่าเธอนั้นจะว่ายน้ำไม่แข็งก็ตามแต่จากการที่เธอได้ลองประเมินระยะความลึกของน้ำแล้วเธอก็คิดว่าตัวเองสามารถว่ายไปได้และน้ำคงจะไม่ได้ลึกอะไรมาก เหมยที่ตัดสินใจลงไปช่วยอย่างไม่ได้คิดลังเลอะไรมาก เธอก็ได้ช่วยร่างของเด็กเอาไว้ แต่ในตอนที่เธอกำลังจะพาเด็กชายขึ้นมาจากน้ำทะเล จู่ๆ เท้าของเธอก็ดันเป็นตะคริวขึ้นมาเสียอย่างนั้น ซึ่งเป็นจังหวะเดียวกันกับที่มีผู้ชายอีกหนึ่งคนได้ลงมาช่วยเด็กคนนั้นต่อจากเธอพอดี แต่ยังไม่ทันที่เธอจะได้พูดเอ่ยอะไรออกไปและภาพของทั้งสองคนก็ออกห่างไปไกล จากนั้นร่างของเหมยก็ค่อยๆ จมลงไปด้วยความตกใจและไม่สามารถที่จะกั้นหายใจในน้ำได้ จึงทำให้เธอจมน้ำลงไปใต้ท้องทะเลอย่างช้าๆ โดยที่เธอนั้นไม่มีแม้แต่แรงที่จะว่ายขึ้นไปด้านบนของผิวน้ำด้วยซ้ำ นี่ฉันจะต้องมาตายแบบนี้จริงๆ เหรอเนี่ย!? ชีวิตในชาตินี้ของฉันยังใช้ไม่คุ้มเลย แล้วชาติหน้าจะมีจริงหรือเปล่าก็ไม่รู้ เหมยที่ค่อยๆ จมลงไปได้แต่นึกในใจตัดพ้อกับชีวิต ที่ต้องมาตายในอายุเพียงแค่ยี่สิบห้าปี “เหตุใด เจ้าทิ้งข้าไป มิรอรัก เจ้าจงได้พานพบกับความเสียใจ มิแพ้กัน” แต่ในก่อนที่สติของเหมยกำลังจะดับวูบไป อย่างไม่มีทางได้รับรู้อะไรอีก ก็มีเสียงหนึ่งดังแว่วเข้ามาแบบที่เธอไม่สามารถจะรู้ได้ว่าเสียงนั้นต้องการที่จะบอกอะไรกับเธอกันแน่ “เสด็จแม่ ถ้ารจนีมันไม่ยอมฟื้นขึ้นมาข้าจะทำเช่นไรดี” รจนาที่ตอนนี้ยืนกระวนกระวายอยู่ที่ตำหนักฝั่งซ้ายจ้องมองร่างของรจนีที่นอนอยู่บนแท่นบรรทมไม่ขยับเลยแม้แต่สักนิดเดียว “เจ้ามิต้องห่วงไป ถ้ามันไม่ฟื้นถ้าจะช่วยเจ้าพูดกับเสด็จพ่อของเจ้าเอง” นางมณฑาว่าเอ่ยบอกไป เพราะเธอคิดที่จะทูลกับพระสวามีว่ารจนีได้ผลัดตกลงไปเองลูกของเธอทั้งเจ็ดคนไม่ได้มีส่วนรู้เห็นแต่อย่างใด “ชีวิตในชาตินี้ ข้ามิอาจที่จะทนรับไหวได้ ชีวิตนับต่อจากนี้ข้ายกให้เจ้า” รจนีที่ไม่อยากที่จะมีชีวิตอยู่แล้วเลือกที่จะยอมแพ้กับการใช้ชีวิตในชาตินี้ที่จะต้องพานพบ แต่ความเจ็บปวดอยู่ร่ำไป เขาจึงเลือกที่จะยอมสละโลกนี้ไปอย่างไม่คิดอะไรอีกต่อไปแล้ว เหมยที่ได้ลืมตาตื่นขึ้นมาสะดุ้งเฮือกด้วยความตกใจและลุกขึ้นนั่งเองโดยอัตโนมัติพร้อมกับสูดอากาศเข้าไปจนเต็มปอด เพราะคิดว่าตัวเองนั้นได้ขึ้นมาอยู่บนบกแล้วเรียบร้อย ทั้งยังคิดว่าตัวเองยังมีชีวิตอยู่ นี่ฉันยังไม่ตายเหรอเนี่ย แต่ทำไมตัวถึงได้ไม่เปียกเลยล่ะ เหมยพูดถามกับตัวเองพลางพลิกฝ่ามือตัวเองทั้งสองข้าง เพื่อตรวจดูร่างกายของตัวเองที่เนื้อตัวแห้งไม่ได้เปียกเลยแม้แต่นิดเดียว จากนั้นเหมยจึงเริ่มตรวจสอบไปยังสถานที่โดยรอบด้วยความรู้สึกประหลาดใจ ถึงภาพที่ไม่คุ้นเคย “นี่ฉันอยู่ที่ไหนกันเนี่ย!?” เหมยว่าถามกับตัวเองด้วยความมึนงงและไม่รู้ว่าตอนนี้เธอกำลังเจอกับภาพหลอนอยู่หรือเปล่า ถึงได้เห็นอะไรที่มันโบราณและมาได้ดูทันสมัยแบบนี้รจนีที่ได้ตื่นขึ้นมาในตอนเช้าด้วยความสดชื่นแบบถึงที่สุดและสบายใจมากที่สุดที่รู้ว่าตัวเองยังไม่ชีวิตอยู่แบบครบสามสิบสอง “ฮือ ไม่สิ ไม่ครบสามสิบสอง เพราะฉันมีดุ้นแทน…. ฮือ แค่คิดก็อยากจะร้องไห้ออกมา” เป็นฉันนี่มันน่าเหนื่อยจริงๆ เลย ชีวิตนี้ยังไม่เคยมีผัวหรือมีแฟนเลยสักคน แต่ทำไมชีวิตฉันถึงต้องมาอาภัพถึงขนาดนี้กันเนี่ย รู้งี้น่าจะมีแฟนตั้งแต่เรียนจบจะได้ไม่ต้องมารู้สึกเสียดายแบบนี้ ฮืออออ แต่การอยู่ในร่างของผู้ชายก็ดีเหมือนกันนะ เพราะฉันจะได้ต้องมานั่งเป็นประจำเดือนให้เหนื่อยหรือป่วยท้องทุกเดือนอีก ซึ่งนั้นยังมีอีกหนึ่งอย่างที่รจนีนั้นยังไม่ได้รู้เกี่ยวกับร่างกายของตัวเองที่จะต้องเป็นรดูของพวกบุหลันเพศชายเหมือนกันแม้ว่าจะไม่ได้มีรอบเดือน แต่จะเป็นการทรมานและร้อนรุ่มทางร่างกายแทนในความอยากทางกายที่มีอยากมีอะไรกับบุรุษเพศไม่ว่าจะเป็นทินกรหรืออัมพรก็ตาม ทั้งบุหลันแต่ละคนก็ได้มีกลิ่นเฉพาะตัวที่บ่งบอกถึงความเย้ายวนในตัวเองและนั้นก็คือสิ่งที่รจนียังไม่รู้ “ฉันจะต้องอยู่ในโลกนี้อย่างสงบสุขให้ได้” รจนีที่ตอนนี้กำลังเดินสาละวนอยู่ในห้องนอนของตัวเอง เพื่อต้องการสำรวจพื้
ท้าวสามนต์ที่เดินขึ้นมาเพื่อดูอาการของลูกชายหลังจากที่ตกบันไดและสลบไปหลายวันด้วยความเป็นห่วง “รจนีเจ้าฟื้นแล้วลูกพ่อ เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง” ท้าวสมมนต์เอ่ยถามลูกชายที่เป็นดั่งแก้วตาดวงใจด้วยความเป็นห่วง ทั้งที่เขานั้นก็รู้อยู่เต็มอกว่าลูกชายของเขามักจะถูกพวกพี่สาวรังแกอยู่บ่อยครั้ง แต่ด้วยความที่เขานั้นอยากจะฝึกให้ลูกมีอะไรก็ยอมที่จะพูดบอกเขาทุกเรื่องบ้าง ใครคือรจนีเนี่ย!? “เป็นอะไรหรือรจนี” ผู้เป็นพ่อเอ่ยถามลูกชายด้วยความเป็นห่วงนักยิ่งขึ้นไปอีก เมื่อเห็นว่าแววตาของลูกชายนั้นมีแต่ความสับสนและสงสัยจนปิดเอาไว้แทบไม่มิด เขาคุยกับฉันเหรอ!? แล้วรจนีไหน เคยได้ยินแต่รจนา เหมยได้แค่นึกเถียงขึ้นในใจ เพราะสิ่งที่เธอนั้นรู้จักดีมีแค่รจนาในเรื่องสังข์ทองเพียงเท่านั้น แล้วรจนีคือนิทานพื้นบ้านเรื่องไหนกัน นั้นคือสิ่งที่เธอสนใจอยู่ในตอนนี้ “ปะ เปล่า อ๊ะ ไม่สิ แล้วฉันต้องพูดว่าอะไรเนี่ย!?” เหมยว่าพึมพำกับตัวเอง เพราะไม่รู้ว่าเองจะต้องพูดเอ่ยอะไรออกไปถึงจะเป็นสิ่งที่ถูกต้องกันแน่ “พ่อว่าเจ้าคงอาจจะต้องการใช้เวลาในการพักรักษาตัว” “ดีค่ะ เอ่อ เพคะ” เหมยว่าตอบกล
ส่วนเหมยหญิงสาวอายุยี่สิบห้าปี เธอใช้ชีวิตมาอย่างดีด้วยการเลี้ยงดูจากยายที่เลี้ยงเธอมาเพียงลำพังตลอดหลายปี จนเธอเรียนจบมัธยมปลาย ยายที่ได้เลี้ยงดูเธอมาตั้งแต่เด็กจนโตก็ได้เสียชีวิตลงด้วยโรคชรา อย่างที่เธอไม่อาจที่จะหลีกเลี่ยงในการเกิดแก่เจ็บตายได้ เหมยจึงได้ใช้ชีวิตเพียงลำพังและต้องหาเงินส่งตัวเองต่อให้จบปริญญา เพื่อที่จะได้มีงานมีการดีๆ ทำ ไม่ต้องลำบากลำบน จากนั้นผ่านมาหลายปีเหมยก็ได้เข้าทำงานที่พิพิธภัณฑ์จากการที่เธอได้ทำงานที่นี่มาสามปี เธอจึงต้องลงพื้นที่เพื่อไปยังถ้ำจินดามณีพร้อมกันกับเจ้าหน้าที่พิพิธภัณฑ์ แต่ไม่ใช่เพื่อการตรวจดูสถานที่หรือความเก่าแก่แต่อย่างใด พวกกลุ่มคณะของพิพิธภัณฑ์ก็แค่อยากที่จะรวมตัวกันไปเที่ยวก็เท่านั้นไม่ได้มีอะไรเป็นพิเศษ “โอ้ย เราต้องนั่งรถเข้าไปอีกไกลแค่ไหนเนี่ย” แพรวดาวหนึ่งในคณะที่ร่วมออกเดินทางว่าบ่นออกมาด้วยความเหนื่อยล้าเต็มทีกับการที่ต้องตื่นเช้าและต้องนั่งรถมาหลายชั่วโมงเพื่อกราบไหว้บูชาพ่อเงาะป่า “อย่าบ่นสิแพรว อีกนิดเดียวก็จะถึงแล้วเนี่ย“ เหมยพูดบอกพร้อมกับชี้บอกทางให้เพื่อนมองไปที่ด้านหน้าที่มีรูปปั้นขนาดใหญ่ตั้งอยู่และเด
ณ เมืองสามนต์นคร รจนีบุตรชายองค์สุดท้องของท้าวสามนต์ ที่มีบุตรสาวจากนางมณฑามเหสีฝั่งขวาถึงเจ็ดองค์ ซึ่งเป็นบุตรสาวทั้งหมดเจ็ดพระองค์และทุกพระองค์ต่างเป็นบุหลันด้วยกันทั้งหมด แต่ทว่าหลังจากที่รจนาบุตรสาวคนสุดท้องของมเหสีฝั่งขวาได้คลอดออกมาเพียงแค่ไม่กี่เดือน ซึ่งแน่นอนอยู่แล้วว่ารจนาก็เป็นบุหลันเหมือนกันกับพี่สาวทั้งหกของเธอ จากที่นางมณฑาที่คิดว่าความรักทั้งหมดคงจะอยู่ที่ลูกคนสุดท้องอย่างรจนาแน่นอน แต่ทุกอย่างกลับต้องเปลี่ยนไปเมื่อนางมณโฑมเหสีฝั่งซ้ายที่เป็นน้องสาวของนางมณฑาได้ตั้งท้องขึ้นมา หลังจากนั้นไม่กี่เดือนนางมณโฑก็ได้ให้กำเนิดบุตรชายขึ้นมา ซึ่งนั้นก็สร้างความดีใจท้าวสามนต์เป็นอย่างมาก เพราะด้วยความที่เขานั้นรักมเหสีฝั่งซ้ายมากกว่ารักมากกว่ามณฑาที่เป็นพี่สาว แต่ด้วยเหตุผลจำเป็นเขาต้องแต่งงานกับนางมณโฑก่อน ถึงจะสามารถแต่งงานกันนางมณโฑผู้เป็นน้องสาวได้ เขาจึงต้องยอมทำตามข้อตกลงนั้นอย่างไม่อาจที่จะหลีกเลี่ยงได้ “ลูกของเราเป็นผู้ชายเจ้าค่ะเสด็จพี่ แต่ลูกของเราเป็นบุหลัน” มณโฑว่าออกไปด้วยความเสียใจแทนสามีที่คาดหวังจะได้ลูกชายที่เป็นทินกร “….” “ไม่ใช