เสียงข้อความดังขึ้น ทำให้คนที่กำลังยืดเส้นยืดสายอยู่ตรงระเบียงเรือนพักของรีสอร์ตริมทะเลต้องหยุดตัวเอง เขาเดินไปหยิบโทรศัพท์มือถือที่วางบนโต๊ะข้างประตูขึ้นมาอ่าน
คุณนายอรอร : อยู่ที่ไหน จะกลับบ้านเมื่อไร อาณัติเผลอยิ้ม แม้เป็นข้อความตัวอักษร แต่ให้ตายเถอะ เขาอ่านเป็นเสียงของแม่ไปได้อย่างไร อาณัติ : อยู่ที่ภูเก็ตครับ วันนี้จะกลับกรุงเทพฯ มะรืนนี้อย่าลืมให้คนขับรถมารับผมที่โรงแรมด้วยนะครับ แค่กดส่งข้อความไปไม่กี่วินาที ยังไม่ทันวางโทรศัพท์มือถือลงที่เดิม เสียงสายเรียกเข้าก็ดังขึ้น และแน่นอนว่าเป็นคนที่เขาคาดไว้นั่นแหละที่โทร.เข้ามา “ว่าอย่างไรครับแม่” ลูกชายคนเล็กของคุณนายอรอรส่งเสียงรื่นเริงทักทาย และคนปลายสายก็เข้าเรื่องอย่างไม่ยอมให้เสียเวลา “แกกลับมาเมืองไทยตั้งหลายวันแล้ว ป่านนี้ยังกลับไม่ถึงบ้าน พี่ชายแกจะแต่งงานทั้งที ฉันอุตส่าห์บอกเนิ่นๆ ให้แกมีเวลาเตรียมตัว แกจะได้ไม่ฉุกละหุก แต่ดูสิ แทนที่จะกลับบ้านเลย แกกลับแวะรายทางตั้งแต่ใต้จดเหนือ...แล้วอยู่ที่นั่นมากี่วันแล้วล่ะ” “เจ็ดวันพอดีครับ เช็กเอาต์วันนี้ บ่ายๆ ผมก็ขึ้นเครื่องไปกรุงเทพฯ” รอยยิ้มเกลื่อนบนใบหน้าหล่อเหลาที่เริ่มคร้ามแดด ก่อนเขาจะหยอกแม่ “ผมอยากจะพักสักเดือนด้วยซ้ำ เสียแต่ว่าค่าที่พักแพงไปหน่อย ขืนอยู่ยาว กระเป๋าผมแห้งพอดี เดี๋ยวจะไม่มีเงินรับขวัญหลานคนแรกของคุณนายอรอร” “ยังดีที่คิดได้ อีกหกเดือนพี่สะใภ้แกก็คลอดลูก พี่ชายแกจะเป็นพ่อคน ส่วนแกก็เป็นอา แกกำลังจะมีหลานเป็นตัวเป็นตนแล้วนะ” แม้ไม่ใช่วาจาอ่อนหวาน แต่อาณัติสัมผัสได้ว่าเสียงของแม่เจือความปลาบปลื้มอยู่ไม่น้อย...นึกไป มันก็เป็นเรื่องดีๆ ที่เกิดในครอบครัวของเขา แต่ชายหนุ่มก็อดที่จะแปลกใจกับพี่ชายคนโตไม่ได้ “ว่าแต่เกิดอะไรขึ้นกับพี่อั๋น ทำไมถึงปุบปับรับโชค เฮียเล่นซะไม่ให้ผมเตรียมใจกันเลย ทีเมื่อก่อนทำเสียงแข็งว่าจะไม่มีลูกเมีย แม่พูดเรื่องพวกนี้ทีไร ผมเห็นพี่อั๋นโบ้ยให้ผมกับพี่โอ๊ตรับไปทุกที” “จะเกิดอะไร...” คุณนายขึ้นเสียงสูง คราวนี้น้ำเสียงเจือความหมั่นไส้อยู่เต็มร้อย “พี่แกแค่คิดได้ว่าถึงเวลามีเมียมีลูก อายุอานามก็ปูนนี้กันแล้ว จะทำตัวล่องลอยเหมือนบางคนอยู่ได้ยังไง” อาณัติหัวเราะ...รู้ทันว่าถูกแม่แซะเข้าให้แล้ว “ถ้าผมเกิดปุบปับเหมือนพี่อั๋นขึ้นมาบ้าง แม่จะว่ายังไง” “รับรองว่าฉันไม่หัวใจวาย แกก็เถอะ อย่าดีแต่ปาก ทำให้มันจริง” เอากับคุณนายอรอรสิ เมื่อกี้เขาแกล้งแหย่ไปเท่านั้นเอง...รู้ซึ้งเลยว่าถ้าไม่แน่จริง ไม่มั่นใจว่าทำได้ ก็อย่าไปท้าแม่ของเขา “งั้นขอเวลาหน่อยนะ เพราะผมทำแต่งานมาหลายปี กลับไปที่อเมริการอบนี้ ผมเดตสาวไม่กี่ครั้งเอง ยากละที่โชคจะมาถึงตัวเหมือนพี่อั๋น” “พูดดีไปเถอะ ใครจะไปรู้เรื่องของแก แกร่อนไปทั่วทั้งไทยและต่างประเทศอยู่ตั้งหลายปี ถ้าจู่ๆ มีเด็กโผล่มาเรียกฉันว่าย่าอีกคน ฉันก็ไม่ตกใจ” อยากบอกแม่ว่าไม่มีทาง เพราะตลอดสี่ปีที่อยู่ในอเมริกา เขาใช้ชีวิตอย่างรอบคอบ เรียกได้ว่าสติอยู่กับตัวตลอดเวลา...ชดเชยกับความก้าวพลาดที่ผ่านมา หากอาณัติก็ไม่ค้านแม่ เขาได้แต่ยิ้มรับ ก่อนที่จะขอวางสายเพื่อเก็บกระเป๋าเดินทางกลับกรุงเทพฯ ในบ่ายวันนี้ เขามีเรื่องต้องจัดการที่นั่น บางสิ่งยังคาราคาซังอยู่เครื่องบินโดยสารภายในประเทศที่ออกจากสนามบินนานาชาติภูเก็ตแตะรันเวย์ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิในเวลาเย็น ชายหนุ่มร่างสูงวัยใกล้สามสิบปีเดินปะปนมากับผู้โดยสารเที่ยวบินเดียวกัน และคนที่ยืนรอรับก็ยกมือขึ้นส่งสัญญาณเมื่อเห็นเขา
อาณัติเดินไปหาผู้ชายร่างสูงไล่เลี่ยกับเขา หลังจากทักทายตามประสาเพื่อนสนิทที่ไม่เจอกันหลายปี ฝ่ายนั้นก็ถามขึ้นเมื่อเห็นว่าเขามีกระเป๋าเดินทางหนึ่งใบกับเป้ใส่สัมภาระอีกใบเท่านั้น “ของมีเท่านี้หรือวะ กูอุตส่าห์เอารถใหญ่ที่บ้านมา กะว่าจะได้ขนของให้มึงได้สะดวก” “มีเท่านี้แหละ กระเป๋าส่วนใหญ่ส่งกลับบ้านไปก่อนแล้ว” “อ๋อ! ถึงว่าสิ...งั้นกลับกันเลย กูจองโรงแรมไว้ให้แล้ว ความจริงมึงพักที่คอนโดกูก็ได้ ไม่เข้าใจเลยว่าจะให้กูหาโรงแรมแถวนั้นทำไม มึงก็ไม่ได้นั่งเครื่องบินกลับบ้านไม่ใช่เหรอ” มันน่าสงสัยที่อาณัติบอกให้จองโรงแรมแถวดอนเมือง เพราะรู้ว่าเจ้าตัวให้รถที่บ้านมารับในวันมะรืน ไม่ใช่จะนั่งเครื่องบินจากสนามบินดอนเมืองกลับบ้านที่ต่างจังหวัดสักหน่อย...อีกทั้งระยะทางจากที่ตรงนี้ไปยังโรงแรมที่จองไว้ก็เรียกว่าขับรถข้ามฟากเมืองกันทีเดียว “กูมีธุระแถวนั้น” “ธุระอะไร” คนปากไวถามต่อ แต่ฉุกคิดได้ทัน “ขอโทษที ลืมตัว ถามซอกแซกไปหน่อย” อาณัติไม่ได้ตอบในทันที จนทั้งสองคนเดินไปถึงรถคันใหญ่ที่จอดไว้ หลังจากนำข้าวของไปวางบนเบาะหลังเสร็จเรียบร้อย พวกเขาจึงเปิดประตูรถเข้าไปนั่งทางตอนหน้า“หลายวันมานี้กุ๊บกิ๊บนอนเยอะกว่าปกติ ไม่สบายหรือเปล่าครับ”คำถามมาจากเจ้าของรอยจูบที่แตะเบาๆ บนขมับของภรรยาที่ยังนอนหลับตาพริ้มอยู่บนเตียงนอน...หลังจากที่เขานอนกอดหล่อนอยู่พักใหญ่ แต่เจ้าหล่อนก็ไม่ยอมตื่นนอนสักที เขาจึงลุกขึ้นไปอาบน้ำและแต่งตัว หากเมื่อกลับมาดูอีกรอบก็พบว่าหล่อนยังนอนอยู่ในท่าเดิม“อื้อ...พี่อู๋อย่ากวน”“ยังจะมางอแงอีก เกือบเก้าโมงเช้าแล้วนะ จะตื่นไหม”“ลูกอยู่ที่ไหนคะ”“อชิอยู่กับคุณย่า ไม่ต้องห่วงลูกหรอก รายนั้นมีโปรแกรมให้ทำอะไรสนุกทั้งวัน”“งั้นกุ๊บกิ๊บขอนอนอีกหน่อยนะ”พอได้ยินคำต่อรอง คนเป็นสามีก็ยื่นมือไปสัมผัสหน้าผากและดวงหน้าของหล่อน เมื่อเห็นว่าอุณหภูมิปกติดีก็มองพิศดวงหน้าหวานอย่างสังเกตมากขึ้น“กุ๊บกิ๊บหน้าซีดไปนะ ไปตรวจร่างกายสักหน่อยไหม”ชายหนุ่มเริ่มไม่สบายใจ นอกจากจะมีอาการหลับง่าย หล่อนยังกินอาหารน้อยกว่าปกติด้วย แถมของที่เคยชอบก็กลับไม่ชอบทางด้านไปรยา เมื่อสัมผัสได้ว่าสามีกังวลกับการเปลี่ยนไปของตัวเอง หล่
ตอนพิเศษครอบครัวใหญ่ของอชิระหลังจากผ่านพ้นพิธีสู่ขอ อาณัติและไปรยาก็จัดงานแต่งงานเล็กๆ ขึ้นที่อัมพวา หากคุณนายอรอรก็ได้จัดงานฉลองมงคลสมรสให้ทั้งสองคนอีกรอบที่จังหวัดพิษณุโลกคุณนายมีความสุขอย่างมิอาจหาสิ่งใดมาเทียบได้ เพราะในปีนี้เธอได้จัดงานมงคลให้ลูกชายถึงสองคน แถมยังได้หลานชายพ่วงมาด้วยอชิระกับแม่ได้ย้ายเข้ามาอยู่ที่บ้านหลังใหม่แล้ว ส่วนบ้านหลังสีฟ้าหลังเดิม พ่อของเขารีโนเวตให้ใหม่จนแทบไม่เหลือเค้าเดิม กลายเป็นบ้านหลังกะทัดรัดรูปแบบสมัยใหม่ที่น่าอยู่ขึ้นมาก และแม่ก็ตั้งใจจะเก็บบ้านหลังนี้ไว้ เพื่อให้คุณตากับป้าติ๋วได้มาพักยามเดินทางเข้ากรุงเทพฯช่วงนี้เป็นวันหยุดยาวสี่วัน พ่อกับแม่พาอชิระมาเยี่ยมคุณย่า อชิระชอบมาเที่ยวที่บ้านคุณย่าไม่น้อยไปกว่าการไปบ้านสวนของคุณตา เพราะนอกจากคุณย่าจะใจดีแล้ว คุณย่ายังมักพาไปที่ร้านขายของขนาดใหญ่ แล้วยังพาไปที่บ้านไร่ของลุงอั๋นด้วยที่บ้านของลุงอั๋นมีเด็กตัวเล็กที่เพิ่งคลอดหนึ่งคน คุณย่าบอกว่าเด็กคนนี้เป็นน้องชายของเขา เมื่อน้องโตขึ้น น้องจะเรียกเขาว่าพี่อชิ...แค่ได้ยินคุณย่าบอก อชิระก็รู้สึกดีใจจนหุบ
“อากาศเย็นกำลังดีนะ”อาณัตินอนหนุนตักหญิงสาวอยู่บนพื้นไม้ตรงระเบียงของโฮมสเตย์ ตอนนี้เป็นเวลาค่ำคืน ดวงดาวกำลังทอประกายพริบพราวด้วยเป็นคืนเดือนแรม“ช่วงนี้หน้าหนาวนี่คะ อากาศก็ต้องเย็นเป็นธรรมดา แต่หน้าร้อนที่นี่ก็ไม่ได้ร้อนอบอ้าว ลมยังพัดดีค่ะ”“แล้วทำไมลูกเราถึงไม่ยอมนอน กุ๊บกิ๊บให้ลูกกินอะไรหรือเปล่า”อาณัติเปลี่ยนเรื่องได้หน้าตาเฉย จนไปรยาต้องแกล้งบีบปลายจมูกโด่งเป็นสันนั้นอย่างหมั่นไส้“อชิเป็นอย่างนี้แหละค่ะ เวลามาที่บ้านคุณตา อชิไม่ชอบเข้านอนเร็ว เขาจะนอนเล่นอยู่ข้างนอก พอง่วงจนทนไม่ไหวถึงจะยอมให้พาไปนอน”“ตอนนี้สองทุ่มแล้ว อชิคงใกล้จะน็อกแล้วละ”“พี่อู๋นี่ยังไงกันนะ”ไปรยาอดที่จะขำเขาไม่ได้ ส่วนเด็กชายที่นอนไขว่ห้างอยู่บนพื้นไม้ใกล้ๆ นั้นกำลังร้องเพลงอย่างสบายอารมณ์ เจ้าตัวเล็กพลิกกายมามองพ่อกับแม่เมื่อได้ยินเสียงหัวเราะของพวกเขา ต่อเมื่อเห็นว่าคนทั้งคู่ไม่ได้สนใจตน เด็กชายจึงหันกลับไปเล่นกับตุ๊กตาไดโนเสาร์ในอ้อมกอดต่อ“พี่อู๋อยาก
“ลูกเขยของลุงเป็นยังไงบ้างคะ ให้คะแนนผ่านหรือเปล่า”ติ๋วที่เดินตามนายอุดมเข้าไปในสวนถามขึ้น ขณะที่อีกฝ่ายกำลังใช้มีดพร้าตัดหญ้าสาบเสือที่งอกเป็นกออยู่ใต้ต้นมะพร้าวน้ำหอม“คนไม่เคยเจอหน้า ยังไม่ได้คุยกัน จะรู้ได้ยังไงว่าเขาเป็นคนแบบไหน”“ติ๋วเห็นลุงยืนดูเขาตั้งแต่จอดรถแล้ว ลุงมองเขาตาไม่กะพริบเชียว”“ช่างสังเกตนะเรา”“ติ๋วเห็นลุงทุกที่นั่นแหละ ไม่ว่าลุงจะอยู่ตรงไหน”“พูดซะน่ากลัว” นายอุดมหัวเราะขัน ก่อนเขาจะนิ่งคิดไปถึงผู้ชายคนนั้น แล้วบอกตามความรู้สึกจริง “เขาคงไม่เลว ไม่งั้นอชิคงไม่ร้องหาพ่อตั้งแต่มาถึงบ้านตา”“ท่าทางเขาใช้ได้ทีเดียวค่ะ หล่อด้วยนะลุง ติ๋วไม่สงสัยเลยว่าเจ้าอชิได้ความหล่อมาจากใคร”“เธอก็ชอบแต่คนหล่อ”“เพราะชอบคนหล่อ ติ๋วถึงได้ชอบลุงดมไง”พยาบาลสาวใหญ่ที่ครองตัวเป็นโสดมาตั้งแต่วัยสาวหยอดชายวัยกลางคน ถ้าไม่บอกว่าตอนนี้เขากลายเป็นคุณตาและคุณปู่ไปแล้วก็คงยากที่ใครจะเชื่อถึงแ
ภรรยาของปกป้องพาลูกสาววัยหกเดือนกลับไปที่โรงแรมซึ่งจองไว้เป็นที่พักสำหรับคืนนี้แล้ว ส่วนตัวเขายังพูดคุยอยู่กับพ่อ“พ่อไม่เคยสอนให้ลูกหนีปัญหา ปัญหามันเกิดขึ้นแล้ว เราก็ต้องแก้ไข ไม่มีปัญหาอะไรที่เราแก้ไม่ได้ แต่ขั้นแรกเราต้องยอมรับมันก่อน แล้วค่อยหาทางแก้กันไป”นายอุดมเพิ่งได้พูดถึงเรื่องหนี้สินที่ลูกชายก่อขึ้นเมื่อสี่ปีก่อน ทั้งที่เขาอยากคุยมานานแล้ว แต่ไม่เคยได้เปิดใจคุย เพราะปกป้องเองก็พยายามหลบเลี่ยงเขา ซึ่งคราวนี้ชายวัยกลางคนก็รอจนลูกสะใภ้พาหลานสาวกลับไปก่อนถึงได้หยิบมาพูด ด้วยรู้ถึงสถานการณ์ของลูกชายดี เขาไม่ต้องการตำหนิลูกชายให้ลูกสะใภ้ได้ยิน อีกทั้งเห็นว่าปัญหานี้มีมาก่อนที่ปกป้องจะได้พบกับลูกสะใภ้ ดังนั้นลูกชายจึงควรแก้ปัญหาด้วยตัวเอง“ผมพยายามทำงานหลายอย่าง แต่มันก็พลาดทุกที”คนเป็นพ่อรู้ว่าหากไม่จนทาง ลูกชายคงไม่ยอมรับความพ่ายแพ้...แต่หากรั้นไป ทั้งที่มองไม่เห็นทางออก มันก็พบแต่ความผิดพลาดอย่างที่เป็นมา“ถ้าเราทำเต็มที่ทุกงาน แต่ผลยังออกมาไม่ดี เราก็ต้องคิดใหม่นะว่าเราอาจทำผิดทาง ถึงจะเชื่อมั่นความคิดตัวเอ
ไปรยานั่งบนเปลยวนใต้ถุนบ้านหลังเก่า ทุกครั้งเมื่อมาที่บ้านสวน หล่อนชอบมานั่งเล่นอยู่ที่บ้านหลังนี้ เพราะความทรงจำในวัยเด็กของหล่อนอยู่ที่นี่...บ้านหลังนี้เคยมีพ่อ แม่ พี่ชาย และหล่อนอาศัยอยู่ร่วมกันเมื่อแม่จากไป พ่อทำใจไม่ได้ พ่อจึงสร้างบ้านอีกหลังในบริเวณพื้นที่เดียวกัน แล้วย้ายไปอยู่ที่นั่นแทน และไม่นานจากนั้นหล่อนกับพี่ชายก็ย้ายไปเรียนในกรุงเทพฯ พ่อจึงซื้อบ้านแถบชานเมืองให้อยู่ ซึ่งเป็นบ้านหลังที่หล่อนกับอชิระใช้พักอาศัยในปัจจุบัน โดยพ่อที่ยังปักหลักอยู่ที่บ้านสวนจะแวะเวียนไปเยี่ยมอยู่เสมอ เพิ่งเว้นช่วงไปเมื่อสองเดือนนี้แหละไปรยาปล่อยความคิดไปเพลินๆ กระทั่งได้ยินเสียงใสๆ ของลูกดังขึ้น“แม่กุ๊บกิ๊บคร้าบ อชิอยากไปบ้านป้าติ๋วแล้ว แม่กุ๊บกิ๊บพาอชิไปส่งหน่อยครับ”ลูกชายที่ขออยู่กับคุณตาตั้งแต่เดินทางมาถึงกำลังเรียกหาหล่อน หญิงสาวรีบลุกจากเปลยวน แล้วออกไปหาแก้วตาดวงใจที่ยืนรออยู่ตรงลานด้านหน้า“อชิไม่อยู่กับคุณตาแล้วหรือคะ”“ไม่อยู่ครับ อชิไปอยู่บ้านป้าติ๋วดีกว่า”พอเห็นสีหน้าของลูกชาย หญิงสาวก็ดึงร่างเล็กมา