ไปรยานั่งบนเปลยวนใต้ถุนบ้านหลังเก่า ทุกครั้งเมื่อมาที่บ้านสวน หล่อนชอบมานั่งเล่นอยู่ที่บ้านหลังนี้ เพราะความทรงจำในวัยเด็กของหล่อนอยู่ที่นี่...บ้านหลังนี้เคยมีพ่อ แม่ พี่ชาย และหล่อนอาศัยอยู่ร่วมกัน
เมื่อแม่จากไป พ่อทำใจไม่ได้ พ่อจึงสร้างบ้านอีกหลังในบริเวณพื้นที่เดียวกัน แล้วย้ายไปอยู่ที่นั่นแทน และไม่นานจากนั้นหล่อนกับพี่ชายก็ย้ายไปเรียนในกรุงเทพฯ พ่อจึงซื้อบ้านแถบชานเมืองให้อยู่ ซึ่งเป็นบ้านหลังที่หล่อนกับอชิระใช้พักอาศัยในปัจจุบัน โดยพ่อที่ยังปักหลักอยู่ที่บ้านสวนจะแวะเวียนไปเยี่ยมอยู่เสมอ เพิ่งเว้นช่วงไปเมื่อสองเดือนนี้แหละไปรยาปล่อยความคิดไปเพลินๆ กระทั่งได้ยินเสียงใสๆ ของลูกดังขึ้น“แม่กุ๊บกิ๊บคร้าบ อชิอยากไปบ้านป้าติ๋วแล้ว แม่กุ๊บกิ๊บพาอชิไปส่งหน่อยครับ”ลูกชายที่ขออยู่กับคุณตาตั้งแต่เดินทางมาถึงกำลังเรียกหาหล่อน หญิงสาวรีบลุกจากเปลยวน แล้วออกไปหาแก้วตาดวงใจที่ยืนรออยู่ตรงลานด้านหน้า“อชิไม่อยู่กับคุณตาแล้วหรือคะ”“ไม่อยู่ครับ อชิไปอยู่บ้านป้าติ๋วดีกว่า” พอเห็นสีหน้าของลูกชาย หญิงสาวก็ดึงร่างเล็กมา“ข้อความสุดท้ายที่คุณได้รับจากคนที่เคยมีความรู้สึกดีๆ มีอะไรบ้างคะ” กระทู้สังคมออนไลน์ในเว็บใหญ่ไม่เพียงสะดุดตา แต่มันยังทำให้หัวใจของไปรยากระตุก... แม้เห็นรำไรว่าเนื้อความข้างในคงหนีไม่พ้นแนวสะกิดรอยแผล แต่มันก็เหมือนแสงไฟที่ล่อให้หลายคนกระโจนลงไป โดยวัดได้จากจำนวนคนที่เข้าไปแสดงความคิดเห็นหลายร้อยคน ทั้งที่กระทู้ยังตั้งไม่ทันข้ามวันด้วยซ้ำ ยังไม่นับรวมคนที่เพียงเข้ามาอ่าน แต่ไม่ได้แบ่งปันเรื่องราวของตัวเองลงไป...เช่นเธอ เป็นต้นเมียพี่หยาง : บอกเขาว่าจะรอที่โต๊ะใต้ตึกคณะ เขาส่งสติ๊กเกอร์หมาร้องไห้ ไม่เข้าใจความหมายค่ะ เขาไม่มาตามนัดด้วย เรื่องมันผ่านมาปีกว่าแล้วหมีขั้วโลก : คุยกันอยู่ดีๆ เธอขอตัวเข้าห้องน้ำ สามปีผ่านไปเธอยังไม่ตอบกลับเลยครับ อ้อ! แต่ไม่ต้องห่วง เธอออกจากห้องน้ำแล้ว เพราะผมเห็นเธอไปแต่งงาน มีสามีมีลูกไปเรียบร้อยแล้วNatcha : เป็นข้อความบอกเลิกค่ะ เขาบอกว่าอยู่กับเราแล้วไม่มีความสุข ชีวิตเขาไม่ก้าวหน้า ทั้งที่เดือนก่อนยังบอกว่าเราเป็นนางฟ้าของเขา เราไม่ตอบค่ะ บล็อกไปแล้ว อยากเกลียดเขามาก แต่ดันยังรู้สึกดีๆ คิดถึงเขาทุกทีที่กลับห้องข้อความของผู้ใช้รายนี้มีความคิดเ
เสียงข้อความดังขึ้น ทำให้คนที่กำลังยืดเส้นยืดสายอยู่ตรงระเบียงเรือนพักของรีสอร์ตริมทะเลต้องหยุดตัวเอง เขาเดินไปหยิบโทรศัพท์มือถือที่วางบนโต๊ะข้างประตูขึ้นมาอ่านคุณนายอรอร : อยู่ที่ไหน จะกลับบ้านเมื่อไร อาณัติเผลอยิ้ม แม้เป็นข้อความตัวอักษร แต่ให้ตายเถอะ เขาอ่านเป็นเสียงของแม่ไปได้อย่างไรอาณัติ : อยู่ที่ภูเก็ตครับ วันนี้จะกลับกรุงเทพฯ มะรืนนี้อย่าลืมให้คนขับรถมารับผมที่โรงแรมด้วยนะครับ แค่กดส่งข้อความไปไม่กี่วินาที ยังไม่ทันวางโทรศัพท์มือถือลงที่เดิม เสียงสายเรียกเข้าก็ดังขึ้น และแน่นอนว่าเป็นคนที่เขาคาดไว้นั่นแหละที่โทร.เข้ามา“ว่าอย่างไรครับแม่” ลูกชายคนเล็กของคุณนายอรอรส่งเสียงรื่นเริงทักทาย และคนปลายสายก็เข้าเรื่องอย่างไม่ยอมให้เสียเวลา “แกกลับมาเมืองไทยตั้งหลายวันแล้ว ป่านนี้ยังกลับไม่ถึงบ้าน พี่ชายแกจะแต่งงานทั้งที ฉันอุตส่าห์บอกเนิ่นๆ ให้แกมีเวลาเตรียมตัว แกจะได้ไม่ฉุกละหุก แต่ดูสิ แทนที่จะกลับบ้านเลย แกกลับแวะรายทางตั้งแต่ใต้จดเหนือ...แล้วอยู่ที่นั่นมากี่วันแล้วล่ะ”“เจ็ดวันพอดีครับ เช็กเอาต์วันนี้ บ่ายๆ ผมก็ขึ้นเครื่องไปกรุงเทพฯ” รอยยิ้มเกลื่อนบนใบหน้าหล่อเหลาที่เริ่มคร้
“ไม่เป็นไร...กูแค่ลืมของเอาไว้ที่บ้านคนรู้จัก เลยจะแวะไปถามดูว่าของยังอยู่หรือเปล่า” คนบนเก้าอี้ฝั่งผู้โดยสารบอกพลางดึงเข็มขัดนิรภัยมาคาดไว้ ทำให้คนนั่งหลังพวงมาลัยรถถึงกับหันขวับไปมอง “กูตั้งใจจะไม่ยุ่งเรื่องของมึง แต่มึงก็พูดเป็นปริศนาอยู่ได้ ทำให้กูสงสัยอีกแล้วเนี่ย” เกริกวิทย์บ่นก่อนจะสตาร์ตรถ แล้วเคลื่อนรถออกไปจากอาคารท่าอากาศยานเพื่อพาเพื่อนไปส่งยังโรงแรมตามที่เจ้าตัวต้องการ “มึงรู้...” อาณัติเปรย ตามด้วยเสียงหัวเราะอย่างรู้ทัน ส่วนเกริกวิทย์ก็ไม่รักษาท่าที เมื่อเจ้าตัวแย้มมา เขาก็รุกถามอย่างไม่ให้เสียเวลาเช่นกัน“มึงมีธุระกับใคร คนพี่...หรือคนน้อง”“คนน้องเกี่ยวอะไรด้วย”“กูก็ถามไปอย่างนั้น” ปากก็พูดไป แต่สายตาชำเลืองมองอาณัติไปด้วย เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายนิ่งเฉย ไม่แสดงความรู้สึกใดๆ เขาก็พูดถึงคนพี่อย่างจริงจัง “แน่ใจหรือว่าพี่ป้องยังอยู่บ้านเดิม ไม่ใช่ว่าหนีหนี้หายไปแล้วนะ”“เขาติดหนี้ใครอีก”“กูไม่รู้หรอก ได้ยินแต่รุ่นพี่เขาพูดกัน แต่มันน่าเชื่อว่าเป็นเรื่องจริง เพราะถ้าหลอกเงินมึงไปได้หลายแสน คนอื่นก็คงหลงเป็นเหยื่อได้เหมือนกัน”“ตอนนั้นกูโง่”“มึงไม่โง่หรอก กูเชื่อว่าถ้าเ
‘กูเข้าใจมึง ไปเถอะ แล้วยังไงก็ติดต่อกลับมาหากูด้วย ถ้ามึงมีปัญหา อยากให้กูไปหาที่นั่นก็ย่อมได้เสมอ แค่บอกมา ถึงกูไม่มีเงินซื้อตั๋วเครื่องบิน กูก็จะไปไถเงินเสี่ยยศเพื่อมึง’แม้เป็นการพูดติดตลก แต่อาณัติรู้ดีว่าถ้าถึงคราวจำเป็น เกริกวิทย์สามารถทำให้มันเป็นเรื่องจริงได้ในที่สุดเขาก็ผ่านช่วงเวลาย่ำแย่นั้นมาได้ เขาสมัครเข้าทำงานด้วยวุฒิที่เรียนจบในอเมริกา ผ่านช่วงเรียนรู้งานในเวลาสั้นๆ จากนั้นชีวิตคนทำงานในต่างแดนของเขาก็อยู่ตัว ในหลายขณะ อาณัติคิดจะปักหลักอยู่ที่อเมริกา แต่เป็นเพราะเขายังติดค้างสัญญากับแม่ว่าจะกลับมาช่วยทำงาน ชายหนุ่มจึงตัดใจ เวลาสี่ปีมันนานเพียงพอสำหรับเขาแล้ว...นานพอที่จะสร้างเขาคนใหม่ และนานพอที่ทำให้เขาไม่เจ็บปวดหัวใจเมื่อนึกถึงผู้หญิงคนนั้น ‘พี่ของแกจะแต่งงาน’ตอนที่เปิดโทรศัพท์มือถือมาเห็นข้อความของแม่ อาณัติก็ยิ้มอย่างดีใจและเกิดความโล่งใจขึ้นอย่างประหลาด...รู้ทันทีว่าถึงเวลาที่เขาควรกลับบ้านแล้ว เวลาสี่ปีไม่ทำให้สภาพแวดล้อมของหมู่บ้านนี้เปลี่ยนไป อาณัติเดินเตร็ดเตร่เข้าไปในซอย หลังจากบอกแท็กซี่ให้จอดส่งเขาที่ริมถนนใหญ่ตรงปากทางเข้าหมู่บ้านบ้านเดี่ยวชั้นเดียว
“พ่อเราหนีไป ไม่อยู่เลี้ยงเราใช่ไหม”เพิ่งรู้ตัวว่าตนใจร้ายเกินไปก็ตอนที่เห็นดวงหน้าเล็กนั้นเบ้ ทำท่าจะร้องไห้ แต่น้ำตาก็ไม่ได้ไหลออกมา เพราะเจ้าตัวฮึบไว้ได้ทัน ก่อนจะมองแรงมายังเขา ทั้งที่น้ำใสๆ ยังรื้นหน่วยตา“อชิโป้งคุณลุง ไม่ให้คุณลุงมาบ้านอชิ”อาณัติเองก็จังงังไปเลย คำพูดของเขาแรงไปสำหรับเด็กชาย เขาไม่ควรตั้งป้อมกับเด็ก เพราะมันเป็นเรื่องระหว่างผู้ใหญ่ ไม่ว่าพ่อเจ้าเด็กคนนี้ทำอะไรกับเขาไว้ แต่มันก็ไม่เกี่ยวกับคนเป็นลูก“ฉันขอโทษแล้วกันนะ”“อชิโกรธ อชิจะฟ้องคุณตาด้วย”เออวะ ขอโทษแล้วไง ทำไมไม่หายโกรธอีก เป็นครั้งแรกที่อาณัติจนมุม ไม่รู้จะไปต่ออย่างไร เขาไม่คุ้นกับเด็ก ด้วยความที่เป็นลูกคนเล็กในบ้าน เขาจึงไม่ต้องเอาใจใคร และตั้งแต่จำความได้ เขาจะได้รับการปกป้องจากแม่และพี่ชายทั้งสองคนเสมอ คนเหล่านี้ดูแลเขาปานไข่ในหิน คงเป็นเพราะพ่อของเขาจากไปตั้งแต่เขายังเป็นเด็กเล็กมาก แม่กับพี่ชายจึงพยายามทำหน้าที่นั้นแทนและจะว่าไป ถ้าเด็กคนนี้เป็นลูกชายของปกป้อง ความที่พ่อหนีไปไม่ได้เลี้ยงดู หนูน้อยก็ถือเป็นเด็กที่น่าสงสารเหมือนกัน“เราจะฟ้องใครก็ตามใจ แต่ลุงสัญญาว่าจะไม่พูดไม่ดีกับเราอีก โอเค
“ได้ยินว่าพี่ป้องย้ายไปอยู่ทางใต้ แล้วเขาก็มีแฟนที่นั่น กูไม่รู้ว่าเด็กที่มึงเห็นเป็นลูกจากแฟนคนนี้หรือเปล่า”“ถ้าเขากับแฟนไม่มีปัญหากัน แล้วจะเอาลูกมาทิ้งไว้ในสภาพแวดล้อมแบบนั้นทำไม มันไม่ใช่ตัวเลือกที่ดีที่จะเลี้ยงเด็กสักคนให้โตขึ้นมา...ถ้ากูมีลูก กูไม่ปล่อยลูกกูไว้แบบนั้นแน่”“มึงก็พูดง่ายไป คนมีทางเลือกดีๆ ก็ไม่มีใครอยากอยู่ในที่ที่ไม่ดีหรอก...ว่าแต่สิ่งแวดล้อมที่พูดถึง มันเป็นยังไงวะ”“คล้ายชุมชนเข้าไปทุกที” อาณัติให้นิยามสั้นๆ หากมองอีกมุมก็คล้ายหมู่บ้านร้างในหนังสยองขวัญไม่ผิดเพี้ยน เงียบและเก่าโทรม ไร้การดูแล แม้แต่หน้าบ้านหลังเป้าหมายที่เขาไปในวันนี้ ประตูรั้วยังมีสนิมเกรอะจนเขาแทบไม่กล้าแตะเพราะกลัวบาดทะยักชายหนุ่มกำลังคิดขำๆ สมองของเขามีแต่บรรยากาศรอบๆ บ้านหลังที่แวะเวียนไปหากับเด็กชายแก้มกลมหัวหย็องคนนั้น“น้องกุ๊บกิ๊บล่ะ เจอเขาหรือเปล่า”มันห้ามไม่ให้เขาหยุดชะงักไม่ได้ มือที่กำลังหยิบแก้วเหล้าของอาณัติค้างกลางอากาศ…“เมื่อกี้มึงถามถึงคนบ้านนั้นเอง กูก็เลยพูดถึงน้องเขาด้วย”“กูไม่ได้ว่าอะไร” อาณัติไหวไหล่เมื่อตั้งตัวได้ “กูไม่เจอเขา แล้วมึงรู้เรื่องของเขาบ้างไหม”“ไม่รู้
ไปรยาเห็นดวงหน้าเล็กกลมโผล่มามองจากกรอบประตูบ้าน…ชะรอยเจ้าตัวน้อยจะรู้ว่าตนได้ทำบางสิ่งที่สร้างความไม่สบายใจให้กับแม่แล้วหญิงสาวหย่อนกายนั่งบนเก้าอี้ไม้หน้าบ้าน ซึ่งปกติมันเป็นที่นั่งเล่นชั้นดีของลูกชาย แล้วเรียกเขาด้วยเสียงอ่อนโยน“อชิ มาหาแม่มาลูก” อชิระเดินไปหาแม่ตามคำเรียก แล้วเบียดกายเล็กเข้าไปหาด้วยท่าทีประจบ จนหัวใจของคนเป็นแม่อ่อนยวบ ไปรยาไม่เคยโกรธหรือโทษลูกสักที ไม่ว่าลูกทำสิ่งใดลงไป เพราะหล่อนถือเป็นความรับผิดชอบของตัวเองทั้งสิ้น หญิงสาวลูบใบหน้าชื้นเหงื่อของลูกอย่างแสนรัก เพ่งพิศดวงหน้าเล็กด้วยหัวใจไหววูบ“เมื่อวานตอนที่แม่ไม่อยู่ มีคนมาที่บ้านเราหรือจ๊ะ”“ครับ”“อชิรู้จักเขาไหม”เด็กชายส่ายหน้าหวือ หากประกายบางอย่างในดวงตากลมทำให้ไปรยาต้องเอียงคอมอง แล้วถามนำทาง“มีอะไรจะเล่าให้แม่ฟังไหม” “อชิโป้งคุณลุง”“เขาทำให้ลูกโกรธหรือจ๊ะ”อชิระพยักหน้าหงึกๆ แล้วมุ่นคิ้วคิด ด้วยกำลังเรียบเรียงเหตุผลเพื่อบอกแม่“อชิจะเข้าบ้าน แล้วคุณลุงมาขวาง...ไม่ให้อชิเข้าครับ”“แล้วลูก เอ่อ...คุยกับเขาด้วยไหม”“คุยเยอะแยะเลยครับ” บอกแม่ว่าคุยเยอะแยะ แต่เจ้าตัวเล็กก็ต้องใช้ความคิดอีกนั่นแหละว่
ไปรยาไม่รู้ว่าของที่อาณัติพูดถึงเป็นอะไร เขาหมายถึงเงินที่ปกป้องยืมไปทุ่มในร้านอาหารกึ่งผับที่เปิดข้างมหาวิทยาลัยแล้วขาดทุนจนทุนจมหาย หรือยังมีของชิ้นอื่นที่พี่ชายของหล่อนเอาไปอีกกันแน่“ถ้าถามจากพี่ป้อง รายนั้นคงบอกความจริงไม่หมดอยู่ดี”ช่วงแรกไปรยายังต้องรับมือกับบรรดาเจ้าหนี้ของพี่ชาย ส่วนคนต้นเหตุนั้นหนีหายตั้งแต่รู้ตัวว่าไม่สามารถกอบกู้ร้านอาหารมาได้แล้ว ปกป้องบอกหล่อนว่าจะไปทำงานหาเงินมาใช้หนี้ ไปรยาจึงสนับสนุน แต่นานไปถึงรู้ว่าพี่ชายจงใจหนี เขาตัดช่องทางติดต่อกับครอบครัว หล่อนจึงต้องรับหน้ากับเจ้าหนี้ของเขาตามลำพัง...ในเวลานั้นไปรยาไม่กล้าบอกให้พ่อรู้ แต่นั่นแหละ สุดท้ายหล่อนก็ปิดความลับนี้ไม่ได้พ่อผิดหวังในตัวปกป้อง แต่หล่อนก็ไม่ได้ดีไปกว่าพี่ชาย เพราะในวันเดียวกัน พ่อยังต้องมารับรู้ว่าลูกสาวคนเดียวกำลังตั้งท้องโดยไม่รู้ว่าใครเป็นพ่อของเด็กอีกด้วยสีหน้าเจ็บปวดและผิดหวังของพ่อยังตราอยู่ในใจ ไปรยาร้องไห้ ความอ่อนแอและสิ้นหวังจู่โจมเข้ามาอย่างถึงที่สุด ในบางค่ำคืนเมื่อหลับตานอน ไปรยาเคยภาวนาว่าขอให้พรุ่งนี้ตนไม่ต้องตื่นมาอีกเลยความทุกข์ของหญิงสาวไม่ได้รอดพ้นจากสายตาของพ่อ พ่อ
ไปรยานั่งบนเปลยวนใต้ถุนบ้านหลังเก่า ทุกครั้งเมื่อมาที่บ้านสวน หล่อนชอบมานั่งเล่นอยู่ที่บ้านหลังนี้ เพราะความทรงจำในวัยเด็กของหล่อนอยู่ที่นี่...บ้านหลังนี้เคยมีพ่อ แม่ พี่ชาย และหล่อนอาศัยอยู่ร่วมกันเมื่อแม่จากไป พ่อทำใจไม่ได้ พ่อจึงสร้างบ้านอีกหลังในบริเวณพื้นที่เดียวกัน แล้วย้ายไปอยู่ที่นั่นแทน และไม่นานจากนั้นหล่อนกับพี่ชายก็ย้ายไปเรียนในกรุงเทพฯ พ่อจึงซื้อบ้านแถบชานเมืองให้อยู่ ซึ่งเป็นบ้านหลังที่หล่อนกับอชิระใช้พักอาศัยในปัจจุบัน โดยพ่อที่ยังปักหลักอยู่ที่บ้านสวนจะแวะเวียนไปเยี่ยมอยู่เสมอ เพิ่งเว้นช่วงไปเมื่อสองเดือนนี้แหละไปรยาปล่อยความคิดไปเพลินๆ กระทั่งได้ยินเสียงใสๆ ของลูกดังขึ้น“แม่กุ๊บกิ๊บคร้าบ อชิอยากไปบ้านป้าติ๋วแล้ว แม่กุ๊บกิ๊บพาอชิไปส่งหน่อยครับ”ลูกชายที่ขออยู่กับคุณตาตั้งแต่เดินทางมาถึงกำลังเรียกหาหล่อน หญิงสาวรีบลุกจากเปลยวน แล้วออกไปหาแก้วตาดวงใจที่ยืนรออยู่ตรงลานด้านหน้า“อชิไม่อยู่กับคุณตาแล้วหรือคะ”“ไม่อยู่ครับ อชิไปอยู่บ้านป้าติ๋วดีกว่า”พอเห็นสีหน้าของลูกชาย หญิงสาวก็ดึงร่างเล็กมา
“เขารู้ค่ะ”“นี่ขนาดมันรู้นะว่าอชิเป็นลูกของมัน แต่มันยังทวงเงินกับพี่ได้หน้าตาเฉย”“ไม่เกี่ยวกันเลยนะพี่ป้อง อชิก็อยู่ส่วนอชิ พี่อย่าดึงลูกของกุ๊บกิ๊บไปยุ่งเรื่องนี้ แล้วพี่เอาเงินเขาไป พี่ก็ต้องคืนเขา ไม่อย่างนั้นมันก็ไม่จบสักที”ไปรยายอมพี่ชายมาโดยตลอด แต่เมื่อเขาดึงลูกชายของหล่อนเข้าไปในปัญหาที่ยังคาราคาซัง ปัญหาที่ผู้ใหญ่ร่วมกันก่อขึ้นเอง หล่อนก็ต้องปกป้องลูกชายเอาไว้ปกป้องถอนหายใจ แล้วพูดเสียงอ่อนลง ชะรอยเขาจะรู้ตัวว่ากำลังคิดไม่เข้าท่า“พี่มีเงินที่ไหนกันล่ะ ถ้าพี่มี พี่คืนมันไปนานแล้ว”“พ่อก็มีเงินไม่มากค่ะ รายได้จากการทำสวนของพ่อปีละไม่กี่แสน แต่พ่อก็มีวิธีของพ่อ ถึงตอนนี้พ่อใช้หนี้ให้พี่ไปเกินล้านแล้ว เหลือแค่หนี้ของพี่อู๋ กุ๊บกิ๊บคิดว่าหนี้ก้อนนี้พี่ควรรับไปจัดการเอง กุ๊บกิ๊บสงสารพ่อ อยากให้พ่อได้พักผ่อน”เป็นครั้งแรกกระมังที่ไปรยาขัดความต้องการของพี่ชาย ปกติหล่อนเป็นน้องสาวที่ไม่มีปากเสียง เป็นน้องที่ว่านอนสอนง่าย...ซึ่งคงเป็นสาเหตุให้หล่อนต้องเข้าไปพัวพันกับ
“โทร.ตอนนี้เลยได้ไหม”“สองทุ่มแล้ว พ่อใกล้จะนอนแล้วค่ะ”“งั้นพี่รอพรุ่งนี้ก็ได้...อย่าให้พี่รอนานกว่านี้นะ พ่อของกุ๊บกิ๊บรู้เรื่องของเราแล้ว พี่ไม่อยากถูกพ่อตาหมายหัว”อาณัติพูดติดอารมณ์ขัน แต่หญิงสาวไม่รู้สึกขันไปกับเขาด้วย หล่อนมองเขา แล้วถามจริงจัง“คุณไม่มีใครจริงๆ หรือคะ”“ถ้าถามถึงช่วงที่พี่อยู่ที่อเมริกา พี่มีเดตกับผู้หญิงบ้าง แต่ไม่ถึงขั้นคบกัน ตอนนั้นพี่คิดว่าตัวเองโสด ก็เลยใช้ชีวิตแบบผู้ชายโสดไปตามปกติ ไม่ได้สานต่อกับใครจริงจัง พอคิดจะกลับเมืองไทย พี่ก็กลับได้อย่างอิสระ”“คุณจะกลับไปอยู่ที่นั่นอีกหรือเปล่า”“ไม่แล้วละ พี่ไม่รู้จะกลับไปทำไม นอกเสียจากพาลูกเมียไปเที่ยวเป็นครั้งคราว เพราะชีวิตของพี่มีเป้าหมายอยู่ที่นี่แล้ว เราอาจข้ามขั้นตอนไปบ้าง อาจทำบางช่วงเวลาหล่นหายไป แต่ถ้ากุ๊บกิ๊บให้โอกาสพี่ มันก็ไม่สายที่เราจะกลับมาเป็นครอบครัวกันใหม่ พี่รู้ว่ากุ๊บกิ๊บยังมีพ่อให้นึกถึง พี่เองก็คิดเรื่องนี้มาตลอด พี่จะไม่ให้พ่อของกุ๊บกิ๊บและตัวกุ๊บกิ๊บเองผิดหวังในตัวของพี่ พี
อาณัติขับรถมาจอดหน้าบ้านหลังสีฟ้าในเวลาเกือบสองทุ่ม เขามองไปทางข้างหลัง ลูกชายกำลังหลับสนิท ซึ่งเจ้าตัวเล็กออกอาการง่วงนอนตั้งแต่ออกจากบ้านหลังใหม่แล้ว“กุ๊บกิ๊บไปเปิดประตูรั้วสิ พี่อุ้มลูกเข้าไปให้”ชายหนุ่มบอกเมื่อเห็นแม่ของลูกเตรียมจะอุ้มเจ้าตัวกลมเข้าบ้านเอง หญิงสาวพยักหน้าอย่างไม่เกี่ยงงอน ลูกชายของหล่อนตัวโตขึ้นมากในช่วงไม่กี่เดือนมานี้ แถมยังมีพัฒนาการก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว ซึ่งคนเป็นแม่ที่อยู่กับลูกทุกวันสังเกตเห็นได้ร่างเล็กกลมถูกอุ้มขึ้นมาจากคาร์ซีต เด็กชายขยับตัว หากเมื่อได้ซบบนไหล่หนาที่อบอุ่นของพ่อก็พร้อมจะหลับต่อไปรยาเดินนำชายหนุ่มตรงไปยังตัวบ้าน เมื่อเปิดประตูบ้านแล้วหันมาทางเขา ดวงตาสองคู่ที่สบกันทำให้ไปรยาทำตัวไม่ถูก“พี่จะพาลูกเข้านอน ขอให้พี่ทำหน้าที่นี้สักครั้งเถอะนะ”จากเดิมที่ตั้งท่าจะค้าน แต่พอเห็นสายตาวอนขอ หล่อนก็ไม่อาจปฏิเสธหญิงสาวเดินนำเข้าไปในห้องนอนที่ตนกับลูกครอบครองอยู่ อาณัติวางร่างของลูกชายลงบนเตียงนอนเคียงข้างตุ๊กตาไดโนเสาร์สีฟ้า เขาถอยออกมา หากสายตายังทอดมองลูกชายนิ่งๆ
“หน้าตาโหงวเฮ้งดีเชียว หน้าเรียวผุดผ่อง หน้าผากนูนเกลี้ยง ไม่มีรอย แก้มก็อิ่ม ผิวพรรณดี”บรรยากาศภายในห้องพักผ่อนของบ้านจัดสรรสองชั้นในโครงการหรูเป็นไปอย่างสงบ หากท่าทีของคุณนายอรอรก็สร้างความแปลกใจให้กับลูกชายและแม่ของหลานนัก“ไหน เอามือมาให้แม่ดูสิ” แค่จบคำพูด คุณนายอรอรก็ดึงมือบางของคนที่นั่งข้างๆ มากุมไว้เอง หญิงสาวถึงกับสะดุ้ง เพราะไม่ทันตั้งตัว “มือไม่นุ่มเท่าไร หนูคงต้องทำงานอยู่ตลอดสินะ แต่ไม่เป็นไร ทาโลชันบ่อยๆ ไม่นานก็หาย แต่นิ้วมือเรียวอวบดี ลักษณะส่งเสริมคู่ครอง”“แม่ทำอะไรเนี่ย แล้วแม่เป็นหมอดูโหวงเฮ้งตั้งแต่เมื่อไร”อาณัติอดที่จะถามเพราะสงสัยไม่ได้ อีกทั้งยังเกรงว่าไปรยาจะอึดอัดและกลัวว่าที่แม่สามีไปเสียก่อน“ฉันหัดดูตั้งแต่มีพี่สะใภ้แก”ถ้านับนิ้วก็คงเป็นเวลาไม่กี่เดือนสินะ...ลูกชายตีสีหน้าประหลาดเมื่อมองแม่หมอมือใหม่กำลังลองวิชากับว่าที่ลูกสะใภ้คนใหม่ หากคนใกล้ชิดคุณนายอรอรที่ติดตามมาด้วยนั้นก็บอกให้เขาเข้าใจ“สบายใจเถอะค่ะ คุณนายรักลูกสะใภ้จนเป็นที่เลื่องลือทั้
แล้วอาณัติก็ส่งเบอร์โทร.ของพ่อตาไปให้แม่ เขาได้เบอร์นี้มาพร้อมกับเบอร์ของปกป้อง...หรือจะพูดให้ถูกนั่นก็คือเขาแอบเก็บเบอร์ของพ่อตามาในคราวนั้นด้วยพอเห็นว่าหมดธุระกับเขาแล้ว คุณนายอรอรก็เอนกายนอนบนเก้าอี้นอนเล่นในห้องพักผ่อนแล้วหลับตาลง เป็นการปิดการสนทนากลายๆ จากนั้นอาณัติถึงได้ขับรถออกมารับลูกชายนี่แหละ“พ่อครับ คุณย่าจะใจดีกับแม่กุ๊บกิ๊บไหมครับ”คำถามของลูกทำให้เขาต้องนิ่งงัน รับรู้ถึงสายใยระหว่างแม่และลูกชายที่ไม่อาจแยกจากกัน“คุณย่าเป็นคนใจดี พ่อคิดว่าคุณย่าจะใจดีกับแม่ด้วย แต่ถ้าอชิอยากรู้จริงๆ อชิต้องถามคุณย่าเอาเองนะ”เด็กชายตีสีหน้าครุ่นคิด เรียวคิ้วเล็กขมวดเข้าหากันอย่างน่าเอ็นดู จู่ๆ เขาก็อยากรู้ความคิดของลูกขึ้นมา“คุณย่าต้องใจดีกับแม่กุ๊บกิ๊บแน่นอนครับ เพราะแม่กุ๊บกิ๊บสวย แม่กุ๊บกิ๊บรักอชิมากด้วย”“เหตุผลเข้าท่า...แต่ถ้าแม่กุ๊บกิ๊บรักพ่ออู๋ด้วยก็จะสมบูรณ์แบบมากกว่านี้”“แม่กุ๊บกิ๊บรักพ่ออู๋ครับ ถ้าแม่ไม่รัก แม่ไม่ให้พ่อกอดหรอก ไม่ให้พ่อหอมแก้มด้วย”“เดี๋ยว
ช่วงบ่ายของวันศุกร์ ผู้ชายรูปร่างสูง หน้าตาหล่อเหลา รูปลักษณ์เด่นสะดุดตากำลังยืนอยู่ที่หน้าประตูรั้วโรงเรียนอนุบาล เขาจะอยู่ตรงนี้ตรงตามเวลาทุกวัน เป็นอันรู้กันว่าเขาเป็นคุณพ่อของเด็กชายอชิระหากก่อนหน้านี้ไม่ว่าคุณครูหรือเพื่อนนักเรียนตัวน้อยต่างคุ้นเคยว่าคุณแม่ของอชิระจะเป็นคนมารับเด็กชาย และคุณแม่ก็มักมารับช้ากว่าพ่อแม่ของนักเรียนคนอื่นด้วยเหตุผลจากภาระหน้าที่การงาน ทำให้อชิระต้องกลับบ้านเป็นกลุ่มสุดท้ายเกือบทุกวัน แต่เดี๋ยวนี้เพียงแค่เลิกเรียน เด็กชายก็วิ่งออกมาเป็นคนแรกๆ เพราะรู้ว่าพ่อของตนจะต้องมารออยู่ก่อนแล้ว…และวันนี้ก็เช่นกัน“พ่ออู๋มารับอชิแล้วครับ”เด็กชายร้องบอกคุณครู แล้วกระโดดเหยงๆ พลางโบกไม้โบกมือให้พ่อเห็นว่าตนมาแล้ว“อชิลาคุณครูแล้วก็กลับบ้านได้ค่ะ อย่าลืมสวัสดีคุณพ่อด้วยนะคะ”“ครับคุณครู” เด็กชายทำตามคุณครูบอกอย่างว่าง่าย เมื่อวิ่งไปหาพ่อก็ยกสองมือป้อมๆ ขึ้นมาไหว้หัวใจของอาณัติเบ่งบาน เขาบอกไม่ได้เลยว่าความสุขในทุกวันนี้นอกจากการเห็นรอยยิ้มของลูกแล้ว ยังมีสิ่งใดที่มีค
“บอกพี่สิว่ากุ๊บกิ๊บยังติดอะไร ถึงได้ไม่อยากเริ่มต้นใหม่กับพี่”“คุณก็รู้”“พี่รู้? รู้อะไร?”“คุณกลับมาที่นี่เพื่ออะไรคะ ก่อนที่คุณจะรู้ว่าฉันมีอชิอยู่ด้วย”คำถามนั้นทำให้ชายหนุ่มนิ่งงัน ก่อนเขาจะถามกลับทั้งที่รู้แก่ใจว่าหล่อนหมายถึงอะไร“กุ๊บกิ๊บหมายถึงหนี้ของพี่ป้องใช่ไหม”“ตอนนี้มันไม่ได้เป็นแค่หนี้ของพี่ป้องค่ะ แต่เป็นหนี้ของครอบครัวเรา”“พี่ไม่เคยคิดอย่างนั้น ถึงพี่ป้องจะเป็นพี่ชายของกุ๊กกิ๊บ แต่พี่ก็ไม่เคยอยากให้กุ๊บกิ๊บมาใช้หนี้แทนเขา มันไม่ยุติธรรม ใครก่อเรื่องไว้ก็ต้องให้คนนั้นรับผิดชอบ”อาณัติพูดง่าย...แต่ในความเป็นจริง ไปรยากับพ่อทำไม่ได้“เราเลี่ยงความรับผิดชอบไม่ได้หรอกค่ะ”“เพราะพี่ป้องหนีไป กุ๊บกิ๊บกับพ่อต้องอยู่รับหน้าก็เลยต้องใช้หนี้แทนเขาอย่างนั้นหรือ”ในทีแรกไปรยาไม่ได้คิดว่าเรื่องจะมาถึงขั้นนี้ หล่อนเข้าใจว่าปกป้องไปทำงานที่อื่นเพื่อจะหาเงินส่งมาใช้หนี้ พี่ชายคงรับผิดชอบหนี้สินที่ตัวเองก่อขึ้น หากหล่อน
รถคันสีขาวค่อนข้างเก่าเคลื่อนมาจอดหน้าบ้านจัดสรรที่อยู่ค่อนไปทางด้านหลังของโครงการหรู แม้บ้านหลังนี้จะมีขนาดเล็กเมื่อเทียบกับหลังอื่นในโครงการเดียวกัน แต่พื้นที่รอบบ้านนั้นกว้างขวางไม่ต่างกันไปรยาเปิดประตูรถออกมาหลังจากดับเครื่องยนต์แล้ว เมื่อสักครู่หล่อนขับรถผ่านป้อมยามหน้าหมู่บ้านก็สัมผัสได้ถึงมาตรการรักษาความปลอดภัยที่มีค่อนข้างสูง หากพอมาถึงบ้านหลังนี้ หล่อนก็ขับรถเข้ามาได้เลย เพราะประตูรั้วเปิดกว้างอยู่หล่อนมาไม่ผิดบ้านแน่นอน เพราะเห็นรถคันสีดำคุ้นตาจอดอยู่ เมื่อมองผ่านผนังกระจกเข้าไปในห้องหนึ่งซึ่งมีสภาพโล่งว่าง ไม่มีผ้าม่านกำบัง และทั่วทั้งห้องก็แทบไม่มีเฟอร์นิเจอร์ หล่อนก็เห็นลูกชายกำลังนั่งอยู่กลางพื้นห้อง ใกล้กันนั้นก็เห็นคนตัวใหญ่นั่งอยู่บนเก้าอี้ด้วยท่าทางจดจ่ออยู่กับอะไรสักอย่าง...พวกเขายังไม่รู้ถึงการมาของหล่อนไปรยาตัดสินใจเดินเข้าไปในบ้าน ผ่านห้องโถงใหญ่แล้วตรงไปยังห้องนั้น เมื่อหล่อนปรากฏตัวอยู่ตรงประตู พวกเขาจึงเงยหน้าขึ้นมามอง“แม่มารับอชิแล้ว”อชิระร้องบอก รอยยิ้มกว้างประดับบนดวงหน้าเล็กกลมที่เปรอะเปื้อนเศษอาหาร เนื้อตัวก็มอ