สายลมเหน็บหนาวพาพัดคืนค่ำพรำลมฝน ความมืดยามวิกาลคืบคลานบดบังผืนฟ้าจวบจนจันทรามิอาจยลเห็น สายฝนฉ่ำเย็นรัตติกาลพาลพาผู้คนรู้สึกถึงลางร้ายดุจภูตพรายแห่งความตายวนเวียน
ใต้เฉลียงโคมส่องแสงกระทบเงาเท้าผู้คนเดินเข้าออกกระสับกระส่าย เสียงระงมวุ่นวาย “เป็นอย่างไร” ชายชราถามเสียงเหี้ยม ทำทีว่าหากคำตอบมิได้ดั่งใจก็จะฆ่าฟัน ทำให้เหล่าแพทย์นักปรุงโอสถทั้งหลายหลบตากันจ้าละหวั่น เสียงหัวเข่ากระแทกพื้นไม้ดังขึ้น “ท่านผู้เฒ่าเซียว นะ นี่.. . คุณหนูใหญ่ยังเล็กนัก เดิมที่ร่างกายก็อ่อนแออยู่แล้ว ครานี้ตกน้ำไปแม้จะยื้อลมหายใจคืนมาได้ แต่ชีพจรกลับแผ่วนัก หากใช้ยาแรงเกินไปก็เกรงว่าจะกระทบรากพรสวรรค์ ทว่าผ่านมากหลายชั่วยามคุณหนูใหญ่กลับไม่ฟื้นขึ้นมา หากไม่ใช้ยาแรงกว่านี้ผู้น้อยเกรงว่า.. .” คำพูดต่อไปไม่ต้องให้พวกเขาพูดต่ออตีดผู้นำตระกูลเซียวก็เดาได้ นายท่านผู้เฒ่าได้แต่ถอนใจด้วยความกลัดกลุ่มกังวล รากพรสวรรค์ในการฝึกตนของผู้คนมักแบ่งบานในช่วงวัยเจ็ดขวบ ร่างกายของหลานสาวตนเดิมที่ก็ไม่สู้ดีมาโดยตลอด สำหรับโลกแห่งการกระทบรากพรสวรรค์หมายถึงสิ่งใด ในฐานะผู้อาวุโสตระกูลใหญ่ในโลกแห่งการบำเพ็ญ เซียวอี้จงย่อมรู้ดีกว่าใคร อย่างไรนี่ก็เป็นหลานสาวเพียงคนเดียวที่นางทิ้งไว้ให้ ท่านผู้เฒ่าเซียวไม่อาจทนเห็นเซียวลี่อิงเป็นอะไรไปได้จริงๆ เปลือกตาเหี่ยวย่นดุจเปลือกไม้เก่าแก่ที่ข้ามผ่านการเวลาหลับตาลึก ก่อนตัดสินใจครั้งสุดท้าย “เช่นนั้นก็ใช้ยานั่น.. ..” “ฟื้นแล้วเจ้าค่ะ ! ฟื้นแล้วเจ้าค่ะ นายท่าน ! ท่านหมอ คุณหนูฟื้นแล้วเจ้าค่ะ !” เสียงชาวใช้ดังขัดจังหวะ บรรดาหมอโอสถต่างอึ้งงัน ผู้เฒ่าเซียวคล้ายรอนแรมทะเลทรายแล้วพบแหล่งน้ำอย่างกะทันหันพลันไม่รู้สึกว่าเป็นความจริงหรือไม่อยู่ครู่หนึ่ง ก่อนหัวเราะลั่นจากนั้นพลันตวาด “ฟื้นแล้วหรือ!? ฟื้นแล้วก็ดี! ฟื้นแล้วก็ดี! หลานตา หมอโอสถปากอีกาพวกเจ้ายังนิ่งอยู่ทำอะไร! ไฉนไม่รีบไปดูหลานข้าอีก!” หน้าผากชื้นเหงื่อไข้ถูกมือเล็กๆ ของเด็กน้อยจับกุมความเวียนพร่า ศีรษะอึ่งอล แล่นปรี่ไปตามโสตประสาท นางสดับฟังเสียงผู้คนโกลาหลไม่รู้ความอย่างมึนงง ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไร นับตั้งแต่ ‘นาง’ ตกลงตอบรับคำขอของระบบ ทำให้ ‘นาง’ ต้องไปฝึกฝนตนเองอยู่ในโลกเสมือนจริงที่ถูกสร้างขึ้นโดยระบบ ในโลกเหล่านั้นนางต้องสวมบทบาทต่างๆ และเอาชีวิตรอดตลอดจนจำลองการช่วงชิงวาสนากับเหล่าตัวเอกตัวร้ายพร้อมทั้งตัวละครสมทบในโลกสารพัดรูปแบบ การฝึกฝน ประสบการณ์ ความรู้สึกที่ ‘นาง’ ได้สัมผัสในสถานที่เหล่านั้นมันทั้งเจ็บปวดเหน็ดเหนื่อยและสมจริงเสียจนนางท้อใจ หลังผ่านไปหลายต่อหลายโลกจน ‘นาง’ แทบลืมว่าตนเองเป็นใคร นางต้องคอยย้ำเตือนตนเองว่า ‘นาง’ คือเหมยลี่อิง ผู้ซึ่งวันหนึ่งจะต้องกลับมายังโลกของนางเผื่อกัดฟันทนจนผ่านพ้นมันมาให้ได้ จวบจนตอนนี้ ‘นาง’ ยังไม่อยากเชื่อว่านางได้กลับมายังโลกของ ‘นาง’ แล้ว ไม่ใช่เพียงโลกเสมือนที่หลังเสร็จสิ้นภารกิจก็จะสลายสูญหายเป็นฝุ่นขาวทุกคราวไป “อิงเอ๋อ” ครู่หนึ่งนางก็ได้ยินเสียงใครบางคนที่อยู่ในความทรงจำอันห่างไกล “ทะ..ท่านตา” เสียงอันเยาว์วัยแหบพร่า สำลักตอบกลับมากระท่อนกระแท่น ร่างเล็กของเด็กหญิงไม่สนใจเสียงห้ามปรามของสาวใช้ พุ่งตัวเร็วจี๋ยิ่งกว่าลูกวิหคถลาลงจากเตียง เป็นภาพติดตาดุจลมหอบหนึ่ง ผู้ชรารู้สึกเพียงหยดน้ำไหลย้อมสาบเสื้อของเขา ความอบอุ่นของร่างเล็กๆ นุ่มนิ่มในอกที่โถมเข้าสู่อ้อมกอดตนในชั่วอึดใจ ดวงตาดอกท้อไร้เดียงสาราวลูกกวางเงยมองหน้า พร่ำเรียกร้องผู้อาวุโสกว่าจนใจอ่อนยวบ “ท่านตา ...ท่านตา ท่านตาเจ้าขา” เสียงใสๆ อันอ่อนเยาว์พาให้ถูกสายตาถูกดึงดูดไปยังร่างของนาง ยามคนยลใบหน้าหวานบริสุทธิ์ดุจจะหยดหยาดออกมาเป็นมธุรส ผิวพรรณผุดผาดสีระเรื่อคล้ายอิงเถาต้องแสงแดดวสันต์ฤดูมิแตกต่างจากสุคนธกำจาย กลิ่นอายอันใสสะอาดหมดจดทำให้ผู้ยลหลงใหลมิอาจละสายตา บรรยากาศน่าอันหลงใหลแทบมอมเมาทำให้ผู้คนเมามายเคลิ้ม ไม่ว่าจะให้รับใช้หรือเหล่านักโอสถที่ติดตามมา ล้วนมิอาจทานทนอดเผลอไผลไ บางคนตั้งสติได้แทบมิอาจปักใจเชื่อว่ากลิ่นอายเกินบรรยายเช่นนี้จะออกมาจากเด็กหญิงวัยห้าขวบ ประกอบกับเครื่องหน้าเล็กๆ งดงามจิ้มลิ้มดุจดอกตูมแย้มพรายยังมิเบ่งบานเต็มที่ของอีกฝ่าย มิแปลกใจที่ชายชราตระกูลเซียวจะประคบประงมหลานสาวคนนี้เสมือนแก้วตาดวงใจ หากพวกเขามีหลานสาวเช่นนี้ก็ล้วนประคองไว้ดุจมุขกลางฝ่ามือเช่นเดียวกัน ความงามของแม่นางน้อยนี้ช่างอยู่เหนือผู้คน คล้ายเพื่อยลยามใบหน้าดวงน้อยพรายยิ้มหวานก็พาลอยากคว้าตะวันมาหยอกเย้านาง คราคราวดวงหน้าเล็กพรั่งพรูน้ำตาหยาดใสโศกเศร้าก็อยากคว้าเดือนคว้าดาวมาอุ่นโอ๋ปลุกปลอบให้นางเบิกบานใจ เหล่านักปรุงโอสถชราที่มีประสบการณ์มากมายล้วนอดไม่ได้ที่จะถอดถอนใจ คนงามแต่เยาว์วัยเช่นนี้ มิรู้ว่ายามนางเติบใหญ่ขึ้นมาจะล่มบ้านล่มเมืองเองเพียงไหน หากคนงามเช่นนี้รอดชีวิตจนเติบใหญ่ได้ ไม่รู้จะก่อคลื่นลมอันใดบ้าง ไม่แคล้วเหล่าวีรบุรุษในภายภาคหน้าต้องพากันหลั่งโลหิตเพื่อพิชิตใจนาง ชายชราเช่นพวกเขามีอายุอานามหลายร้อยปีมีคนงามแบบใดบ้างมิเคยพบเห็น มิว่าคนจะงามเพียงใดสุดท้ายหลงเหลือเพียงธุลีขาวในโกศ ยามฟังกลอนกวีพิพาทถึงสาวงามว่า จฉาจมวารี ปักษีตกนภา พวกตนยังเย้ยหยันว่าบทกลอนเหล่านี้ล้วนเป็นสิ่งลวงตาของคนหนุ่มมิอาจตระหนักสัจธรรม มิคาดยามนี้กลับต้องสำลักน้ำลายตนเพราะมีแววว่าจะได้ยลเห็นสิ่งนี้จากเด็กหญิงที่กระทั่งยังไม่เติบใหญ่เป็นสาวผู้หนึ่งด้วยซ้ำ “ฮึ่ม!” ตาแก่หลงหลานสาวคนที่ว่าแค่นเสียงเย็นเยียบ จนคนหนุ่มสาวที่หลงอยู่ในภวังค์พาหลบตากันพลันวัน ก่อนเอ่ยปลอบหลานสาวเสียงอ่อน “อิงเอ๋อร์ อิงเอ๋อร์ ตาอยู่นี่แล้วไม่เป็นไรแล้วนะ อิงเอ๋อร์เจ็บตรงไหน ปวดที่ใด บอกตาดีหรือไม่ ตาจะได้ให้พวกเขารักษาให้เจ้า” ก้อนแป้งผู้งดงามส่ายหน้าซบอกผู้เป็นตา ตอบเสียงสะอื้น “หลานไม่เจ็บปวดแล้วเจ้าค่ะ หลานเพียงฝันร้ายก็เท่านั้น” เซียวข่ายจงปลอบหลานสาวระคนเวทนาเวทนา “ไม่เป็นไรแล้วๆ เด็กดี ฝันร้ายก็เป็นเพียงแค่ฝันร้ายเท่านั้นเอง” เด็กหญิงเลิกสะอื้นไห้ ดวงตาแดงน่าสงสารแอบซ่อนนัยต์ตาลึกล้ำยิ่งกว่าห้วงสมุทร มืออวบป้อมจิกแขนเสื้อผุ้อาวุโสกว่าจนยับย่นกล่าวเสียงแผ่วเบาราวกระซิบ “เจ้าค่ะ ท่านตากล่าวได้ถูกต้อง ฝันร้ายก็เป็นเพียงฝันร้ายเท่านั้น”บันไดศิลาดำทอดยาวเป็นวงเวียนจรดฟ้า กลางนภาสีครามสว่างเจิดจ้า ฟ้าเหนือศีรษะเป็นหมู่เมฆและดวงตะวัน หันหน้าลงมาเพียงเงาลานหินสีดำและผู้คุ้มสอบที่สีหน้าเย็นชา“ผู้เข้าสอบซ่งหลิงหลิงตกรอบ” ฟ่งปิงเยว่ประกาศ ศิษย์สายนอกสวมเครื่องแบบสีเขียวมรกตดิ้นเงินขึ้นไปรับตัวเด็กหญิงที่ไร้เรี่ยวแรงลงมาด้วยความเร็วแทบเป็นภาพติดตานี่สามารถพิสูจน์ได้ว่าแม้แต่ศิษย์สายนอกของสำนักแพทย์เขาปุบผาก็ยังมีพลังจิตสำนึกในระดับน่าตระหนกผู้รอบการทดสอบเห็นดังนั้นก็พยายามรุดหน้าต่อไป เพราะขอเพียงพวกหยุดช้าเพียงยี่สิบลมหายใจ สายตาอันแหลมคมของผู้คุมสอบก็จะจับจ้องไปยังพวกเขาในทันใด หากมีวี่แววว่าเจ้าจะไปต่อไม่ไหว สุ้มเสียงไร้น้ำใจไมตรีก็ประกาศว่าเจ้าตกรอบทันทีเด็กชายที่อยู่ข้างคนที่เพิ่งประกาศตกรอบไปถึงกับเสียวสันหลังวาบ ขนหัวลุกชี้ชัน กัดฟันเดินต่อแทบไม่คิดชีวิตเสียงสายลมกระพือพัดชายผ้าดุจท้องฟ้าคำรามหวีดวิวอยู่ข้างหู เหมยลี่อิงยังคงก้าวขึ้นบันไดดำอย่างใจเย็น สีดำทะมึนใต้ฟ้าเท้าราวกับมีชีวิตชีวายื่นมือออกมาดึงรั้งขายิ่งกว่าตะกั่วหนัก ช่างเป็นจิตสำนึกนึกอันทรงพลังอะไรเช่นนี้ขั้นที่ห้าสิบ เด็กหญิงยังเดินรุดหน้าด้วยท่าทาง
“เหอะ หากข้าไม่ขอโทษแล้วอย่างไร พวกเจ้าจะทำอะไรข้าได้” สวี่อวี้หลันยังคงเย่อหยิ่ง เรื่องอันใดต้องให้นางไปขอโทษคนไม่หัวนอนปลายเท้าจินเกอพ่นลมหายใจคราหนึ่ง เดินผ่านนางเข้าห้องไปเลือกเตียงที่อยู่หัวมุม“พวกเราก็จะได้รู้เช่นเห็นชาติสันดานเจ้ากระมัง”“เจ้า !!”“อวี้หลัน!! เจ้าพอได้แล้ว ที่นี่ไม่ใช่ที่บ้าน”สุดท้ายแล้วกลับเป็นสวี่ฟางเฟยที่เกลี้ยกล่อมน้องสาวอย่างอดทนพลางขอโทษสหายร่วมห้องแทน คนอื่นๆ ไม่พูดอะไร แม้แต่หลินรั่วอีก็ไม่รับคำขอโทษนั้น มีเพียงเหมยลี่อิงที่มองพวกนางสองพี่น้องอย่างมีความหมายสวี่ฟางเฟยได้แต่ยิ้มเจื่อน นางเองก็อับจนปัญญากระทั่งเพื่อนร่วมห้องอีกสองคนมาถึงบรรยากาศที่อึดอัดระหว่างพวกเขาถึงได้ผ่อนคลายลงรุ่งสางอาทิตยายังไม่โผล่พ้นขอบฟ้า รัตติกาลกำลังจะจางหาย แสงรำไรเพียงมองเห็นปลายฝ่ามือได้รางๆ ปรางแก้มสีชมพูอิ่มนิ่มนวลคลอเคลียเกศางาม อารามสาวน้อยกอดจิ้งจอกสีขาวขนฟูหลับสนิทด้วยความเหนื่อยล้าเมื่อคืนนางวางค่ายกลป้องกันไว้รอบเตียง จึงสามารถนอนหลับได้อย่างสบายใจจินเกอที่นอนอยู่เตียงข้างกันพลันลืมตาโผล่ เอื้อมมือคว้ามีดพกในอกเสื้อทันใด ประตูไม้ในเรือนนอนพวกนางเปิดออกโดยไร้ผ
แสงตะวันพลบค่ำอัสดงสีส้มนวลสว่างฉาบย้อมท้องฟ้าจนกลายเป็นผ้าไหมทองเข้มผืนหนึ่ง เหมยลี่อิงไม่ได้มีเวลาในรำพึงในใจนานนัก รองเท้าปักเดินก้าวตามขบวนคุ้มกันเข้าสู้สำนักในที่สุดพวกนางเดินตามสันเขาชมเมฆา ม่านหมอกเมฆหนาทึบลอยเอื่อยอ้อยอิ่ง กิ่งพัดใบไม่ไหวตามสายลมดังเคล้า เหล่าภมรปราณเริงร่าชมแนวผกาทอดทิวเขา ราวเหล่าภูติกระซิบสำเนียงแห่งพงไพร หัวใจที่เต้นกระหน่ำของเด็กหญิงก็ค่อยๆ เบาลง “เจ้าเป็นอะไรไป” จิงซิงเฉินถามเมื่อเห็นนางเหม่อลอย เหมยลี่อิงส่ายหน้าหยิบองหญิงจิ้งจอกหน่อยสีขาวฟูออกมาจากถุงเลี้ยงสัตว์ โม่เสวี่ยงัวเงียอยู่ในอ้อมแขนนางพลางหาวหวาดแม้แต่ตายังไม่ลืม “นั่นสัตว์สัญญาของเจ้าหรือ สายเลือดไม่เลวเลย แต่เจ้าต้องระวังการทดสอบไม่อนุญาติให้ใช้สัตว์ปราณช่วยเหลือเจ้าสามารฝากไว้ที่โถงสำนักระหว่างการสอบได้” ศิษย์หญิงที่เป็นผู้นำขบวนมากล่าวกับนางเล็กน้อยด้วยใบหน้าเรียบเฉยผู้ไม่สนิทย่อมฟังไม่ออกถึงความอบอุ่นที่ซ่อนอยู่ภายใน แต่ชาติที่แล้วนางคบหากับศิษย์พี่หญิงจางผิงจูมาหลายปีไหนเลยจะไม่ออก เหมยลี่อิงคลี่ยิ้มจนตาปิด เด็กหญิงนัยน์ตาดอกท้อใสกระจ่าง เรื่องหน้าจิ้มลิ้มม
เสียงกระบี่ฟาดฟันไล่ล่า คลื่นพลังปราณประทุเดือดพล่านทำลายป่าไม้ล้มระเนระนาด เหมยลี่อิงกับจิงซิงเฉินเห็นผู้ถูกไล่ล่าก็ม่านตาหดแคบ เป็นหลงเทียนสือผู้นั้นที่เคยมีปากเสียงกันที่โรงเตี๊ยมตงฟู ยามนี้ที่เด็กชายที่จมูกชี้ฟ้าสง่างามยิ่งผยองกลับไม่หลงเหลือความหยิ่งยโสเลยแม้แต่น้อย เสื้อผ้าอาภรณ์ชั้นดีของเขาในยามนี้ล้วนขาดวิ่นเนื้อตัวเต็มไปตัวบาดแผลฉกรร บางตำแหน่งลึกแทบเห็นกระดูก หากไม่ได้ผู้คุ้มกันทั้งสองสละชีวิตรั้งศัตรูไว้ตัวเขาก็แทบเอาชีวิตไม่รอด เด็กผู้นั้นเห็นได้ชัดว่าหนีการไล่ล่ามา เมื่อพวกจิงซิงเฉินในแววตาก็ปรากฎแววโล่งใจ แคว้นหลงกับแคว้นจินอยู่ข้างเคียงกัน ราชวงศ์ของพวกเขาล้วนมีความสัมพันธ์อันดี ถึงขึ้นมีการแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์กันมาหลายรุ่น ไม่ว่าด้วยเหตุผลใด จิงซิงเฉินไม่อาจปล่อยให้เขาตายโดยไม่ช่วยเหลือ หลงเทียนสือแม้หยิ่งผยองแต่ไม่ใช่ตัวโง่งม เพียงประสานมือคาราวะพวกเขานัยต์ทอแววอับอายอยู่บ้าง “บุญคุณครั้งนี้ข้าจะทดแทนภายหลังอย่างแน่นอน” จิงซิงเฉินลังเลเล็กน้อยหากมีเพียงเขาคนเดียวย่อมลงมือช่วยเหลืออีกฝ่ายโดยไม่คิดอะไร แต่ยามนี้เพื่อนร่วม
ปัง ! กระแทกผนังจนแตกกระจาย ผนังไม่กลับเป็นเพียงรอยขีดข่วน ผู้คุ้มกันทั้งลายออกมาคุ้มกันคุณหนูคุณชายของพวกเขาไว้ตรงกลางป้องกันการโดนลูกหลง เหมยลี่อิงอดพำพึมไม่ได้ “ช่างเป็นพนังไม้ที่แข็งแกร่งสมคำโอ่จริงๆ” “อาศัยสวะเช่นเจ้ากล้าเหิมเกริมกับข้า ช่างไม่รู้จักคำว่า ‘ตาย’สะกดอย่างไร” ดรุณีนางหนึ่งหน้าตาสระสวยสะพายกระบี่เล่มใหญ่ ระเบิดพลังสวะของหนิงม่ายออกมาเต็มที่ พวกเหมยลี่อิงมีผู้คุ้มกัยปิดป้องย่อมไม่เป็นไร เหล่าเสี่ยวเอ้อร์ล้วนหลับไปยังค่ายกลหลังร้านอย่างรู้หน้าที่ มีเพียงรู้ค้าบ้างคนพลังฝีมือต่ำอยู่บ้างทุกลูกหลงกันไปหอมปากหอมคอ ไม่มีใครเข้าไปห้าม ประการแรกเพราะยอกข้าวของในร้านแล้วไม่มีผู้ใดได้รับความเสียหาย นับว่าหญิงสาวนางนั้นควบคุมตนเองได้ดีอยู่บ้าง ประการที่สองผู้ใดจะอยากหาเรื่องใส่ตัวด้วยการแส่เรื่องของผู้อื่น หญิงสาวนางนั้นร่างกายไม่กำยำแต่สังขารแข็งแกร่งยิ่ง ปราบอันธพาลรานถิ่นที่กล่าววาจาแทะโลมนางด้วยหมัดหลุนๆ อีกหมัดตามด้วยอีกหมัด เสียงถูกชกอย่างรุนแรงปานนี้ อันธพาลผู้นั้นโดนอัดไม่กี่ทีก็หลงเหลือเพียงลมหายใจรวยริน ถู
“ข้าจ่ายไปสองจิงสือระดับสามเมื่อท่านเสนอเพิ่มราคาให้ เช่นนั้นมิสู้ให้ข้าสี่จิงสือระดับสามเถอะ”หลงเทียนสือแม้มาจากแคว้นไหนแต่ไม่ใช่ตระกูลยอดยุทธไม่มีเหมืองหินผลึกปราณ เขาไหนเลยจะมีจิงสือมากมายปานนั้น ขณะกำลังจะทักท้วงมองเห็นรูปโฉมของคนที่ออกมาจากประตูเสียงก็พลันขากห้วงไป“นี่เจ้ากะจะปล้นชิงกันหร--”“ข้าจ่ายให้เขาราคานี่จริงๆ เมื่อท่านเสนอเพิ่มราคาก็สมควรใจกว้างกว่านี้สักหน่อย”เหมยลี่อิงงามยามนี้สวมผ้าคลุมเพียงครึ่งหน้า เห็นคิวโก่งเรียวดุจใบหลิว แพขนตาเงาหนาดุจม่านฝน นัยต์ตาดอกท้อสวยหวานราวลูกกวางทั้งเย้ายวนทั้งดูไร้เดียงสา เพียงเท่านี้ก็เผยรูปลักษณ์ปานหยาดฟ้ามาดินของนางจนผู้มองอดไม่ได้จะสูดลมหายใจลึกกับการงานห้องนั้นนางหาได้มีปัญหาอันใด เพียงเหมยลี่อิงไม่ชมชอบพฤติการณ์ของคนผู้นี้ฝ่ายหลงเทียนสือผู้ถูกสบประมาท ตัวเขามาจากราชวงศ์แคว้นใหญ่แคว้นหนึ่ง แต่ไหนแต่ไหนก็ไม่เคยไม่ได้สิ่งที่ต้องการ เด็กหญิงนางนี้กลับกล้าขัดใจเขา แม้เด็กหญิงผู้นั้นจะเป็นสาวงาม แต่ตัวเขาเป็นลูกผู้ชายกลับถูกผู้อื่นหยามว่าใจไม่กว้างพอ เรื่องนี้ยอมไม่ได้เด็กทั้งสองรวามถึงผู้คุ้มกันฝ่ายพวกเขาจ้องมองกันด้วยความเป็นป