สายลมเหน็บหนาวพาพัดคืนค่ำพรำลมฝน ความมืดยามวิกาลคืบคลานบดบังผืนฟ้าจวบจนจันทรามิอาจยลเห็น สายฝนฉ่ำเย็นรัตติกาลพาลพาผู้คนรู้สึกถึงลางร้ายดุจภูตพรายแห่งความตายวนเวียน
ใต้เฉลียงโคมส่องแสงกระทบเงาเท้าผู้คนเดินเข้าออกกระสับกระส่าย เสียงระงมวุ่นวาย “เป็นอย่างไร” ชายชราถามเสียงเหี้ยม ทำทีว่าหากคำตอบมิได้ดั่งใจก็จะฆ่าฟัน ทำให้เหล่าแพทย์นักปรุงโอสถทั้งหลายหลบตากันจ้าละหวั่น เสียงหัวเข่ากระแทกพื้นไม้ดังขึ้น “ท่านผู้เฒ่าเซียว นะ นี่.. . คุณหนูใหญ่ยังเล็กนัก เดิมที่ร่างกายก็อ่อนแออยู่แล้ว ครานี้ตกน้ำไปแม้จะยื้อลมหายใจคืนมาได้ แต่ชีพจรกลับแผ่วนัก หากใช้ยาแรงเกินไปก็เกรงว่าจะกระทบรากพรสวรรค์ ทว่าผ่านมากหลายชั่วยามคุณหนูใหญ่กลับไม่ฟื้นขึ้นมา หากไม่ใช้ยาแรงกว่านี้ผู้น้อยเกรงว่า.. .” คำพูดต่อไปไม่ต้องให้พวกเขาพูดต่ออตีดผู้นำตระกูลเซียวก็เดาได้ นายท่านผู้เฒ่าได้แต่ถอนใจด้วยความกลัดกลุ่มกังวล รากพรสวรรค์ในการฝึกตนของผู้คนมักแบ่งบานในช่วงวัยเจ็ดขวบ ร่างกายของหลานสาวตนเดิมที่ก็ไม่สู้ดีมาโดยตลอด สำหรับโลกแห่งการกระทบรากพรสวรรค์หมายถึงสิ่งใด ในฐานะผู้อาวุโสตระกูลใหญ่ในโลกแห่งการบำเพ็ญ เซียวอี้จงย่อมรู้ดีกว่าใคร อย่างไรนี่ก็เป็นหลานสาวเพียงคนเดียวที่นางทิ้งไว้ให้ ท่านผู้เฒ่าเซียวไม่อาจทนเห็นเซียวลี่อิงเป็นอะไรไปได้จริงๆ เปลือกตาเหี่ยวย่นดุจเปลือกไม้เก่าแก่ที่ข้ามผ่านการเวลาหลับตาลึก ก่อนตัดสินใจครั้งสุดท้าย “เช่นนั้นก็ใช้ยานั่น.. ..” “ฟื้นแล้วเจ้าค่ะ ! ฟื้นแล้วเจ้าค่ะ นายท่าน ! ท่านหมอ คุณหนูฟื้นแล้วเจ้าค่ะ !” เสียงชาวใช้ดังขัดจังหวะ บรรดาหมอโอสถต่างอึ้งงัน ผู้เฒ่าเซียวคล้ายรอนแรมทะเลทรายแล้วพบแหล่งน้ำอย่างกะทันหันพลันไม่รู้สึกว่าเป็นความจริงหรือไม่อยู่ครู่หนึ่ง ก่อนหัวเราะลั่นจากนั้นพลันตวาด “ฟื้นแล้วหรือ!? ฟื้นแล้วก็ดี! ฟื้นแล้วก็ดี! หลานตา หมอโอสถปากอีกาพวกเจ้ายังนิ่งอยู่ทำอะไร! ไฉนไม่รีบไปดูหลานข้าอีก!” หน้าผากชื้นเหงื่อไข้ถูกมือเล็กๆ ของเด็กน้อยจับกุมความเวียนพร่า ศีรษะอึ่งอล แล่นปรี่ไปตามโสตประสาท นางสดับฟังเสียงผู้คนโกลาหลไม่รู้ความอย่างมึนงง ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไร นับตั้งแต่ ‘นาง’ ตกลงตอบรับคำขอของระบบ ทำให้ ‘นาง’ ต้องไปฝึกฝนตนเองอยู่ในโลกเสมือนจริงที่ถูกสร้างขึ้นโดยระบบ ในโลกเหล่านั้นนางต้องสวมบทบาทต่างๆ และเอาชีวิตรอดตลอดจนจำลองการช่วงชิงวาสนากับเหล่าตัวเอกตัวร้ายพร้อมทั้งตัวละครสมทบในโลกสารพัดรูปแบบ การฝึกฝน ประสบการณ์ ความรู้สึกที่ ‘นาง’ ได้สัมผัสในสถานที่เหล่านั้นมันทั้งเจ็บปวดเหน็ดเหนื่อยและสมจริงเสียจนนางท้อใจ หลังผ่านไปหลายต่อหลายโลกจน ‘นาง’ แทบลืมว่าตนเองเป็นใคร นางต้องคอยย้ำเตือนตนเองว่า ‘นาง’ คือเหมยลี่อิง ผู้ซึ่งวันหนึ่งจะต้องกลับมายังโลกของนางเผื่อกัดฟันทนจนผ่านพ้นมันมาให้ได้ จวบจนตอนนี้ ‘นาง’ ยังไม่อยากเชื่อว่านางได้กลับมายังโลกของ ‘นาง’ แล้ว ไม่ใช่เพียงโลกเสมือนที่หลังเสร็จสิ้นภารกิจก็จะสลายสูญหายเป็นฝุ่นขาวทุกคราวไป “อิงเอ๋อ” ครู่หนึ่งนางก็ได้ยินเสียงใครบางคนที่อยู่ในความทรงจำอันห่างไกล “ทะ..ท่านตา” เสียงอันเยาว์วัยแหบพร่า สำลักตอบกลับมากระท่อนกระแท่น ร่างเล็กของเด็กหญิงไม่สนใจเสียงห้ามปรามของสาวใช้ พุ่งตัวเร็วจี๋ยิ่งกว่าลูกวิหคถลาลงจากเตียง เป็นภาพติดตาดุจลมหอบหนึ่ง ผู้ชรารู้สึกเพียงหยดน้ำไหลย้อมสาบเสื้อของเขา ความอบอุ่นของร่างเล็กๆ นุ่มนิ่มในอกที่โถมเข้าสู่อ้อมกอดตนในชั่วอึดใจ ดวงตาดอกท้อไร้เดียงสาราวลูกกวางเงยมองหน้า พร่ำเรียกร้องผู้อาวุโสกว่าจนใจอ่อนยวบ “ท่านตา ...ท่านตา ท่านตาเจ้าขา” เสียงใสๆ อันอ่อนเยาว์พาให้ถูกสายตาถูกดึงดูดไปยังร่างของนาง ยามคนยลใบหน้าหวานบริสุทธิ์ดุจจะหยดหยาดออกมาเป็นมธุรส ผิวพรรณผุดผาดสีระเรื่อคล้ายอิงเถาต้องแสงแดดวสันต์ฤดูมิแตกต่างจากสุคนธกำจาย กลิ่นอายอันใสสะอาดหมดจดทำให้ผู้ยลหลงใหลมิอาจละสายตา บรรยากาศน่าอันหลงใหลแทบมอมเมาทำให้ผู้คนเมามายเคลิ้ม ไม่ว่าจะให้รับใช้หรือเหล่านักโอสถที่ติดตามมา ล้วนมิอาจทานทนอดเผลอไผลไ บางคนตั้งสติได้แทบมิอาจปักใจเชื่อว่ากลิ่นอายเกินบรรยายเช่นนี้จะออกมาจากเด็กหญิงวัยห้าขวบ ประกอบกับเครื่องหน้าเล็กๆ งดงามจิ้มลิ้มดุจดอกตูมแย้มพรายยังมิเบ่งบานเต็มที่ของอีกฝ่าย มิแปลกใจที่ชายชราตระกูลเซียวจะประคบประงมหลานสาวคนนี้เสมือนแก้วตาดวงใจ หากพวกเขามีหลานสาวเช่นนี้ก็ล้วนประคองไว้ดุจมุขกลางฝ่ามือเช่นเดียวกัน ความงามของแม่นางน้อยนี้ช่างอยู่เหนือผู้คน คล้ายเพื่อยลยามใบหน้าดวงน้อยพรายยิ้มหวานก็พาลอยากคว้าตะวันมาหยอกเย้านาง คราคราวดวงหน้าเล็กพรั่งพรูน้ำตาหยาดใสโศกเศร้าก็อยากคว้าเดือนคว้าดาวมาอุ่นโอ๋ปลุกปลอบให้นางเบิกบานใจ เหล่านักปรุงโอสถชราที่มีประสบการณ์มากมายล้วนอดไม่ได้ที่จะถอดถอนใจ คนงามแต่เยาว์วัยเช่นนี้ มิรู้ว่ายามนางเติบใหญ่ขึ้นมาจะล่มบ้านล่มเมืองเองเพียงไหน หากคนงามเช่นนี้รอดชีวิตจนเติบใหญ่ได้ ไม่รู้จะก่อคลื่นลมอันใดบ้าง ไม่แคล้วเหล่าวีรบุรุษในภายภาคหน้าต้องพากันหลั่งโลหิตเพื่อพิชิตใจนาง ชายชราเช่นพวกเขามีอายุอานามหลายร้อยปีมีคนงามแบบใดบ้างมิเคยพบเห็น มิว่าคนจะงามเพียงใดสุดท้ายหลงเหลือเพียงธุลีขาวในโกศ ยามฟังกลอนกวีพิพาทถึงสาวงามว่า จฉาจมวารี ปักษีตกนภา พวกตนยังเย้ยหยันว่าบทกลอนเหล่านี้ล้วนเป็นสิ่งลวงตาของคนหนุ่มมิอาจตระหนักสัจธรรม มิคาดยามนี้กลับต้องสำลักน้ำลายตนเพราะมีแววว่าจะได้ยลเห็นสิ่งนี้จากเด็กหญิงที่กระทั่งยังไม่เติบใหญ่เป็นสาวผู้หนึ่งด้วยซ้ำ “ฮึ่ม!” ตาแก่หลงหลานสาวคนที่ว่าแค่นเสียงเย็นเยียบ จนคนหนุ่มสาวที่หลงอยู่ในภวังค์พาหลบตากันพลันวัน ก่อนเอ่ยปลอบหลานสาวเสียงอ่อน “อิงเอ๋อร์ อิงเอ๋อร์ ตาอยู่นี่แล้วไม่เป็นไรแล้วนะ อิงเอ๋อร์เจ็บตรงไหน ปวดที่ใด บอกตาดีหรือไม่ ตาจะได้ให้พวกเขารักษาให้เจ้า” ก้อนแป้งผู้งดงามส่ายหน้าซบอกผู้เป็นตา ตอบเสียงสะอื้น “หลานไม่เจ็บปวดแล้วเจ้าค่ะ หลานเพียงฝันร้ายก็เท่านั้น” เซียวข่ายจงปลอบหลานสาวระคนเวทนาเวทนา “ไม่เป็นไรแล้วๆ เด็กดี ฝันร้ายก็เป็นเพียงแค่ฝันร้ายเท่านั้นเอง” เด็กหญิงเลิกสะอื้นไห้ ดวงตาแดงน่าสงสารแอบซ่อนนัยต์ตาลึกล้ำยิ่งกว่าห้วงสมุทร มืออวบป้อมจิกแขนเสื้อผุ้อาวุโสกว่าจนยับย่นกล่าวเสียงแผ่วเบาราวกระซิบ “เจ้าค่ะ ท่านตากล่าวได้ถูกต้อง ฝันร้ายก็เป็นเพียงฝันร้ายเท่านั้น”เงาน้ำทอดอ่างทองแดงสั่นสะท้อน ผ้าฝ้ายผิวนุ่มถูกจุ่มชุบน้ำอุ่นก่อนบรรจงเช็ดลงบนดวงหน้าเล็กๆ ของเหมยลี่อิงที่กำลังงัวเงีย นางส่งเสียงงึมงำเล็กน้อยขณะสาวใช้กำลังล้างหน้าตนเอง ส่วนแม่นมเดิมที่คอยรับใช้นางนั้นถูกไล่ออกไปแล้วหลังประมาทจนนางตกน้ำ นางครุ่นคิดในใจว่าดีนักที่ตนย้อนมาช่วงนี้พอดี ในชีวิตก่อนของนางเพราะอุบัติเหตุอันเป็นฝีมือของมารดาปลอมๆ อันเป็นที่รักนี่เอง ที่ให้รากพรสวรรค์ของนางถูกกระทบ ไม่ว่าจะบำเพ็ญเพียรอย่างไร พยายามเท่าไร ผลของมันก็เพียงดีกว่าผู้บำเพ็ญเพียรทั่วไปเพียงเล็กน้อยเท่านั้น หากนางเป็นคนธรรมดาระดับการบำเพ็ญเล็กน้อยนั้นไม่นับเป็นอันใด ปัญหาคือหลังจากพลิกผันมากมาย สถานะของนางยังสูงส่งขัดกับพรสวรรค์ที่ควรมีกระทั่งถูกวิจารณ์อยู่บ่อยครั้ง จนถึงปัจจุบันนางยังขบคิดไม่เข้าใจ ว่ามารดาใดในโลกจะโหดร้ายกับลูกของตนเองได้ถึงเพียงนั้น แน่นอนว่ามีอีกหนึ่งความเป็นไปได้คือตนไม่ใช่บุตรสาวของนางจริงๆ เพล้ง !ซ่า! เสียงอ่างน้ำตกพื้น หยาดน้ำใสหยดกระจายจนเลอะพื้นห้อง กระเด็นโดนชายชุดนอนเด็หกหญิงจนเปียกชุม “ทำอะไรของเจ้า!!” สาวใช้ตวาดบ่าวเด็กผู้นั้นก่อนกดหัวเขาให้คุกเข่า
“หุบปากเสีย” นิ้วเล็กชี้ไปยังสาวใช้ที่คร่ำครวญไม่เลิกผู้นั้น เด็กน้อยวัยห้าขวบตัวกลมป้อม แก้มระเรื่อแดงก่ำจากการเพิ่งตื่นนอน ผมเผ้ารุงรังชี้นิ้วถลึงตา ไม่ว่าดูอย่างไรก็น่ารักน่าเอ็นดู ทว่าเพราะสถานะนางทำให้ผู้คนไม่กล้าเพิกเฉย รวมกับกลิ่นอายอันเป็นเอกลักษณ์ทำให้นางดูไม่สามัญธรรมดา เหมยลี่อิงชี้ไปที่บ่าวรับใช้ระดับสองให้ลากนางออกไป ด้วยฐานะหลานสาวสายตรงของนาง ปกติจะมีแม่นมหนึ่งคน สาวใช้ระดับหนึ่งรับใช้ข้างกายสองคน สาวใช้ระดับสองทำงานหยาบสี่คน บ่าวไพร่ทำงานหยาบในเรือนอีกไม่เกินห้าคน ยามนี้นางขาดแม่นมไปแล้วหนึ่งคน สาวใช้ข้างกายก็ใช้การไม่ได้อีกหนึ่งคน รวมเซียวอวิ๋นหังเจ้าปัญหาที่ไม่รู้ว่ารับเข้าเรือนมาตั้งแต่เมื่อไรผู้นี้อีก ยังไม่รู้เลยว่าบ่าวเหล่านี้ภักดีต่อใคร เป็นสายของเรือนไหนแฝงเข้ามาบ้าง ครู่หนึ่งเหมยลี่อิงพลันรู้สึกสมองพองโตขึ้นมา นางสั่งบ่าวระดับสองคนหนึ่งที่เหลือในห้องพลางมองไปที่เด็กชาย “เจ้าพาเขาไปอาบน้ำ เช็ดเนื้อตัวเสีย อย่าได้คิดกลั่นแกล้งรังแกคนให้คุณหนูเช่นข้าเห็นอีกเด็ดขาด เข้าใจหรือไม่ สาวใช้ตัวน้อยรู้สึกว่าคุณหนูของนางยามนี้หน้าเกรงขามอย่างยิ่ง พลันพยักห
โลกที่เขารู้จักไม่เคยมีความงดงาม อวิ๋นหังเกิดในจวนตระกูลใหญ่ แต่สถานะของเขากลับต่ำยิ่งกว่าบ่าวไพร่ เนื่องเพราะมารดาของเขาเป็นเผ่ามาร เขาเกิดมาก็ไม่รู้อะไรมากนัก รู้เพียงแต่ฮูหยินใหญ่จวนสี่มักไม่ยินดีในการมีอยู่ของเขา ส่วนผู้ได้ชื่อว่าเป็นบิดาเองก็ไม่เคยใส่ใจ ต่างจากความเป็นอยู่ของทายาทตระกูลใหญ่ เขาอาศัยอยู่ในห้องเก็บฟืนเล็กที่เต็มไปด้วยฟางแห้ง บ้าวครั้งก็มีหนู มีงู มีตะขาบเป็นเพื่อน พวกมันบ้างคราก็มานอนกับเขา บ้าวคราก็กัดเขา ฝังพิษบ้าง เขาไม่ได้ใส่ใจเพราะอย่างไรเขาก็ไม่ตาย อีกทั้ง อย่างไรก็ดีกว่าอยู่ตัวคนเดียว ตอนเช้าเขาต้องหาบน้ำ ตอนสายต้องเป็นลูกมือทำอาหาร ต้องเที่ยงต้องล้างจาน ตอนเย็นยังต้องซักผ้า ท้องฟ้าที่เขาเห็นไม่เคยเป็นสีฟ้าใส บางครั้งมันก็เปล่งประกายแดงๆ ในอากาศสีขาวดำ ความอาฆาตพยาบาทที่ลอยมาจากผู้คนมักเข้าเติมเต็มท้องของเขาประทังหิว มันมาพร้อมกับความขุ่นแค้น ริษยา อารมณ์อันแสนเหม็นเน่าที่เขาเพียงมองว่าเป็นอาหารเพราะว่าไม่อาจกินข้าวขาวได้อิ่มเหมือนคนอื่นๆ แม่นมจั่วข้างกายฮูหยินใหญ่มักเอามือนางจิกกระชากเส้นผมเขาแล้วกล่าว หากเจ้าไม่ทำงานก็จะไม่มีข้าวกิน แ
ฝ่ายคุณหนูใหญ่ผู้เปี่ยมไปด้วยความลึกลับอันหญิงใหญ่กลับถอนหายใจอยู่ในรถม้ามองท่านตาที่ทำตาอาลัยอาวรอย่างเสียไม่ได้ แบบนี้นางได้มีหวังไปเข้าเรียนสายตั้งแต่วันแรกเป็นแน่แท้ เด็กน้อยฉีกรอยหวานประจบเอาใจผู้เป็นตา พลางเอ่ยปลอยว่า “ท่านตาเจ้าขา เดี๋ยวตอนเย็นพวกเราก็ได้เจอกันแล้วเจ้าคะ” เซียวจงสิงยังรำลาหลานพร้อมเช็ดน้ำตาในใจ ลูกนกที่เขาเริ่มฟูมฟักย่อมต้องเติบใหญ่ วันนี้บินไปเรียนที่สำหน้าศึกษา ไม่รู้ว่าวันหน้าจะโบยบินไปถึงที่ใด ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่อาจอยู่ใต้ปีกของตนได้ตลอดไป “อิงเอ๋อร์จำที่ตาบอกได้หรือไม่” เหมยลี่อิงพนักหน้าหงึกงัก พรางกระชับป้ายไม้อาคมให้มิดชิด ป้ายไม้อันนี้ท่านตาเชิญสหายนักพรตมาทำให้ตั้งแต่ยังเล็กเพื่อปกปิดพลังของนาง เหมยลี่อิงค่อนข้างพิเศษนางเกิดมาพร้อมกับพลังปราณอันบริสุทธิ์ดุจของขวัญอันล้ำค่าจากสวรรค์ แต่น้ำหนักของของขวัญนี้ยิ่งใหญ่เกินไป เหมยลี่อิงยังเล็กเกินกว่าจะแบกรับมันไว้ได้ ขอเพียงมีข่าวลือสักเล็กน้อยว่าทารกอายุไม่กี่เดือนกลับเดินลมปราณด้วยตนเอง พลังปราณที่ได้จากกลั่นลมกายใจเจื่อความบริสุทธิ์ผ่องใส ทำให้ทุกผู้คนอยากเข้าใกล้ สรรพสัตว์ทั้งหลายล้วนชิดเ
ในความเห็นของนางสถานศึกษามักพร่ำบอกถึงความเที่ยงธรรมแม้จะเพียงฉากหน้าอย่างน้อยเรื่องนี้ก็ไม่ควรถูกผ่อนปรนง่ายๆ เพื่อทำลายภาพลักษณ์ที่ตระกูลเซียวสายหลักเป็นผู้สร้าง คำถามนี้เป็นกับดักที่บิดานางกำชับไว้อย่างแยบคาย นางไหนเลยจะปล่อยผ่านไปอย่างง่ายดายเช่นนี้ ในความเห็นของนาง เด็กหญิงคนหนึ่งย่อมสะท้อนทัศนคติที่ถูกปลูกฝังออกมา จากนั้นนางจะทิ้งเมล็ดพันธุ์แห่งความบาดหมางเอาไว้กับสายตระกูลอื่นที่จึงจะเป็นผลลัพธ์ที่นางอยากได้ นางกลับไม่คาดคิดว่าเหมยลี่อิงจะไม่เดินตามสามัญสำนึกถึงกับยกพระพุทธรูปองค์ใหญ่๑ออกมา “เจ้ากำลังเอาท่านผู้อาวุโสมากล่าวอ้าง!” เหล่าอาจารย์ที่ฟังบทสนทนาสีหน้าขุ่นมัวพลัน คุณหนูใหญ่สายรองแม้มีแผนการแต่ก็เป็นการบงการของผู้ใหญ่ ตัวนางเล็กนักด้วยอายุเพียงเจ็ดขวบปีย่อมไม่เข้าใจความลึกล้ำของปลักน้ำ ความเที่ยงธรรมอาจนำกะเกณฑ์กับผู้อื่นได้ แต่เมื่อใช้กับผู้เฒ่าเซียวที่ถือเป็นว่าเป็นกำลังหลักของตระกูล ผู้ทุ่มเทเสียสละเพื่อตระกูลเซียวไปมากมายจนชีวิตครอบครัวแทบพังทลายภรรยาเอกตาย บุตรสาวอีกคนหายสาบสูญเป็นสิ่งสมควรงั้นหรือ ตัวนางไม่รู้จักพอ ยังสาวความต่อการกระทำเหล่านี้ย
เนื่องจากเรือนศึกษาประกอบด้วยเด็กเล็กจำนวนมากจึงมีเพียงชั้นเรียนในช่วงเช้า หลังจากเที่ยงเหล่าคุณหนูนายน้อยล้วนสามารถกลับบ้านหรือเลือกพักผ่อนในห้องพักศิษย์ได้ตามอัธยาสัย เด็กส่วนใหญ่จะใช้เวลาเล่นกับสหายหรือทำความรู้จักกันในโถงกลาง มีบ้างที่กลับบ้านไปพักผ่อนหรือเรียนต่อกับครูที่ทางบ้านหามาเป็นการส่วนตัว เหมยลี่อิงเพิ่มมาใหม่นางไม่ได้สนิทสนมกับใครและไม่ใส่ใจจะสนิทสนม รวมถึงไม่มีภาระหน้าที่หรือแรงกกดดันใดๆ คุณหนูใหญ่เซียวพรูลมหายใจ ทรุดตัวลงบนตั่งด้วยอากาศเวียนศีรษะจากเสียงการแจ้งเตือนของระบบในหัวที่ดังระงมมาตั้งแต่เช้า ในหมู่เด็กๆ มีบ้างที่จะพบพานวาสนา ทว่าอย่างมากก็เป็นวาสนาระดับดินและระดับมนุษย์เท่านั้น ใช่แล้ว โชควาสนาเองก็มีระดับของมัน ตัวอย่างเช่นวาสนาของเซียวอวิ๋นหังที่สามารถพลิกฟ้าเปลี่ยนชะตาถือว่าเป็นวาสนาระดับสวรรค์ วาสนาที่สามารถส่งเสริมเกื้อหนุนแก่ผู้คนได้เรียกว่าวาสนาระดับฟ้า ส่วนโชคลางหรือมงคลที่เกิดขึ้นเป็นครั้งคราวเรียกว่าวาสนาระดับดิน สำหรับโชคลาภเล็กๆ น้อย ประเภทประเภทของหายได้คืน พ้นจากอากาศป่วยไข้จัดเป็นวาสนาระดับต่ำสุดคือวาสนาระดับมนุษย์ ส่วนวาสนาระดับที่สูงกว่
“เขาที่ว่านั่นคือผู้ใดกันเจ้าคะ การเลือกทำกับผู้อื่นเช่นนั้นเพราะความเชื่อที่ไร้ที่มาที่ไปนั่นนั่นคร่ำครึยิ่ง”เหมยลี่อิงยิ่งคิดยิ่งไม่พอใจ นางอยู่ในโลกจำลองมานานรับเอาค่านิยมเรื่องความเท่าเทียมและความขัดแย้งทางเผ่าพันธุ์มามาก ทั้งยังมองว่าอคติของพี่รองของนางนั้นไม่ดีต่อตัวเขาเท่าไรไม่ว่าในอตีดชาติหรือปัจจุบันก็ดีเซียวสือรุ่ยแม้จะซุกซนแขวกขนบ แต่ทระนงถือดียิ่ง แม้เขาจะฉลาดเฉลียวเพียงใดโลกทัศน์ก็ยังแคบนัก สายตาไม่กว่างไกล ผนวกกับความภาคภูมิใจและความเย่อยิ่งแบบเด็กๆ ที่ถูกปลูกฝังมาของชนชั้นสูงทำให้รับสิ่งที่นางพูดไม่ได้เขาได้แต่คิดว่าน้องหญิงถูกขังอยู่ในเรือนมานานเกินไป ไม่มีใครสอนสิ่งเหล่านี้ให้นางจึงถูกพวกมารหลอกลวงเอาได้ ส่วนท่านปู่ตามตามใจน้องยิ่งมากเกินไปเช่นนี้ใช้การไม่ได้ในฐานะพี่ชายที่ดีเขาต้องนำทางมาสู่เส้นทางที่ถูกต้องทั้งสองถกเถียงกันไปไม่มีใครมองสีหน้า ‘มาร’ ที่อยู่ในบทสนทนาเซียวอวิ๋นหังยามนี้สับสนในใจ ใช่ เขาเองก็เคยได้ยินว่าใครที่อยู่ใกล้เผ่ามารจะโชคร้าย นี่เป็นเหตุผลที่แม้แต่บ่าวไพร่ในตระกูลเซียวก็ไม่กล้าเข้าใกล้เขาด้วยสถานะของนางที่เป็นคุณหนูใหญ่ มีเหตุผลใดไฉนต้อง
เด็กหญิงยิ้มหวานอย่างไม่คิดอะไรให้พี่รองและเซียวอวิ๋นหังที่ห่วงกังวล แล้วพาพวกเขาออกไปจากตรงนั้น“แล้วเราจะไปที่ใด” เซียวสือรุ่นไพล่ตามเปี่ยนบรรยากาศ“ท่านเคยสำรวจที่ใดมาแล้วบ้าง”เซียวสือรุ่ยพออกทำท่าทางภาคภูมิใจ “ใคร่ควรถามว่าที่ใดที่พวกข้ายังไม่ได้ไปบ้างจะดีกว่า”“แต่ท่านก็ไม่เจอสิ่งใดไม่ใช่หรือ” เหมยลี่อิงกล่าวไม่เกรงใจ ทำเอาไหล่ที่ยกสูงของคุณชายน้อยชุดเขียวห่อเหี่ยวลงศาลบรรพชนแห่งนี้กล่าวได้ว่าเป็นสิ่งที่สร้างขึ้นมาอย่างประณีตอย่างแท้จริง พื้นที่กว้างขวางโอ่โถงปลอดโปล่ง แต่คงไว้ซึ่งความสง่างามเคร่งขรึม เคยมีคนกล่าวว่าหากอยากรู้ว่าตระกูลนั้นมีประวัติศาสตร์ยาวนานเพียงใด ให้ดูที่ศาลบรรพชนของตระกูลนั้นคำกล่าวนี้เป็นคำกล่าวที่ถูกต้องเพราะยิ่งตระกูลมีประวัติยาวนานและมีความมั่งคั่งมากเท่าใด ยิ่งให้ความสำคัญกับสถานที่หลังความตายของตนมากเท่านั้น ทั้งคนรุ่นหลังยังต้องขอบคุณบรรพบุรุษที่มอบรากฐานอันยาวนานเหล่านี้ให้สถานที่ตั้งศาลบรรพชนที่ดีต้องมีกี่อย่าง หนึ่งคือต้องมีที่ให้ลมผ่าน สองคือมีที่ให้ธารน้ำไหล ตามนิมิตของพี่รองที่นางเห็นคืออีกฝ่ายไปตามหาเพื่อนที่ขี้ขลาดและหายไปจนพบสะหายอยู่ใต้
สายฉินสั่นสะเทือนนักดนตรีบรรเลงดีหรือไม่ หากท่านฟังดนตรีเป็น ท่านจะบอกได้เพียงได้ยินดนตรีทำนองแรกท่วงทำนองอันใสสะอาดที่ชำแรกลงในแสงอาทิตย์ยามเที่ยงวัน แสงตะวันต้องศีรษะนางเผยให้เห็นเส้นผมรำไรเหนือคิ้วโค้งดั่งคังศร แพขนตาหลุบซ่อนความรู้สึกที่ไม่อาจมีผู้ใดรับรู้ได้นั่งลงบนเก้าอี้ไม้สลัก สองมือเรียวปรับสายฉินอย่างไม่รีบร้อน การเคลื่อนไหวเรียบร้อยลื่นไหลดุจเมฆล่องสายฝนริน บ่งบอกถึงความชำนาญและทักษะอันแข็งแกร่งของนาง ทำให้คนที่เอาแต่วิจารณ์ล้วนต้องหุบปากสิ้นลำพังท่าทีนี้ของกินขาดคุณหนูสกุลจ้าวไปแล้วเกินครึ่ง“เริ่มได้เลยหรือไม่เจ้าคะ”เหล่าอาจารย์ตัดสินพลันได้สติจากสองมือขาวที่คล้ายกำลังร่ายมนตร์ของนาง “เริ่มเถอะ”ลานกว้างที่บรรจุคนนับร้อยพลันเงียบสงัดก่อนสายลมพัดแผ่วนำพาท่วงทำนองอันวิจิตรเข้าสู่โสต ดุริยทำนองครวญมันบอกเล่าเรื่องราวเหนือต้นอู่ถงโบราณเก่าแก่สูงค้ำตระง่านฟ้าบนต้นมีรังร้างอยู่รังหนึ่งในรังมีไข่นกฟองหนึ่งท่วงทำนองเร่งกระชั้นขึ้นอย่างรวดเร็ว บ่งบอกถึงความยากลำบากของลูกนก จะงอยปากเล็กๆ ยังอ่อนนิ่มเมื่อเทียบกับเปลือกไข่เจ้านกน้อยส่งเสียงร้องจิบๆ ตามสัญชาตญาณไม่มีใครสนใ
ถึงงานเลี้ยงจะจบสิ้นไปแล้ว แต่ใช่ว่าสกุลเซียวจะรีบร้อนไล่แขกเรือกลับไป แขกจำนวนมากมาจากแดนไกลเผื่อเข้าร่วมงาน ด้วยฐานะของสกุลเซียวแล้วจะรับรองพวกเขาพักผ่อนในเรือนพักแขกสองสามวันไม่ใช่ปัญหาดังนั้นจึงมีผู้คนจำนวนมาก ไม่รีบร้อนกลับภูมิลำเนาและเลือกจะพักแรมด้วยเหตุผลต่างๆ กันไป ไม่ว่ารอคอยบุตรที่อาจสอบเข้าสำนักศึกษา สานสัมพันธ์กับตระกูลอื่นๆ ที่ไม่ได้พบเห็นกันง่ายๆ หรือแม้แต่อยู่ต่อเพราะความอยากรู้อยากเห็นล้วนๆ เช่นคุณชายผู้หนึ่งแซ่ซ่งนามจินเป็นต้น“เจ้ารู้เรื่องการเดิมพันของคุณหนูจ้างและคุณหนูเหมยหรือยัง”ซ่งจินผู้ได้รับข่าวก่อนใครเอ่ยอย่างมั่น “ฟังว่าการสอบและการเดิมพันครั้งนี้เพราะมีคนนอกสอบเข้าจึงสามารถให้คนนอกร่วมชมได้ ข้าให้บ่าวไปบ่าวไปจองที่นั่งแถวหน้าไว้แต่เนิ่นๆ แล้ว”เหล่าคุณชายได้ยินดังนั้นก็ยิ่งคึกคัก “สมแล้วที่เป็นคุณชายซ่ง นับถือๆ"“เจ้าว่าใครจะชนะ”“ข้าว่าเป็นหนูจ้าว อักษรเมื่อคืนนี้ยอดเยี่ยมอย่างแท้จริง”“แต่เทียบกันแล้วข้าประทับใจของขวัญของคุณหนูเหมยมากกว่า ข้าว่านางเองก็ไม่อาจประมาท”“ถูกต้อง นางได้รับการอบรมจากสายหลักสกุลเซียวแน่นอนว่าความสามารถย่อมมิใช่ธรรมดา”“คุณชาย
สุดสิ้นช่วงเวลาอันครึกครื้น งานเลี้ยงอันยิ่งใหญ่ถึงคราเลิกรา ความเงียบงันยามวิกาลโรยตัวลงปกคลุมทั่วจวนสกุลเซียวขนาดใหญ่ใต้ซอกกำแพงที่ผุพังด้านหนึ่ง ก้อนขนสีขาวเล็กขมุกขมอมมุดลอดออกมาจากรูโหว่ที่พังทลายโม่เสวี่ยไม่รู้ว่ามันอยู่ที่ไหนของจวนใหญ่ แต่ในงานวันนี้มีคนที่ทรงอำนาจกว่าสตรีใจเหี้ยมนางนั้นมากมาย ขอเพียงล่อลวงใครสักคนที่ใหญ่กว่านางได้ ไม่ว่ายังไงมันก็ต้องหนีออกมาจากบ่วงอำมหิตจของหญิงนางนั้นใบหน้าเล็กๆ ที่ปกขนไปด้วยขนสีขาวยับย่นด้วยความไม่พอใจ ยามคิดว่ามันที่เพิ่งออกมาเที่ยวเล่นกลับตกหลุมพรางของมนุษย์ได้อย่างไรโม่เสวี่ยเป็นรถึงองค์หญิงองค์เล็กแห่งเผ่าจิ้งจอกสวรรค์ลวงตา นางเกิดมาพร้อมสายเลือดอันเข้มข้นของบรรพบุรุษ ทว่าต้องแลกมากับร่างกายที่อ่อนแอเปราะบางกว่าตนอื่นๆ ตั้งแต่แรกเกิดบิดามารดาพี่ชายพี่สาวทะนุถนอมนางมาก ผู้คนในเผ่าก็ล้วนรักเอ็นดูนาง จิ้งจอกเด็กรุ่นเดียวกันยิ่งไม่มีใครกล้าขัดใจนาง พวกมันเป็นทั้งบ่าวรับใช้และลูกสมุน เป็นทุกอย่างให้นางยกเว้นสหายเผ่าจิ้งจอกถือเรื่องสถานะและความเข้มข้นของสายเลือดอย่างยิ่ง เสด็จแม่จิ้งจอกบอกกับนางว่าจิ้งจอกน้อยสายเลือดบางเบาเหล่านั้นล้วนจ
นัยต์ตาดอกท้อทอประกายระยิบระยับ เหมยลี่อิงแย้มยิ้มอย่างน่ารัก นางหยิบกระระฆังเล็กๆ สีทองเหลืองขนาดเท่ากำมือออกมาพลางกล่าว “ลี่อิงคาราวะท่านตา ขอให้ท่านตาอายุยืนยาวเป็นพันๆ ปีดุจเขาไท่ซ่าน มีความสุขโชติช่วงไม่สิ้นสุดเจ้าค่ะ ” เสียงกระฆังน้อยในมือนางก้องกังวาลเป็นสัญญาณให้โคมลอยมากมายที่ถูกจุดจนส่องสว่างลอยขึ้นสู่ท้องฟ้า ไม่มีใครรู้ว่านางใช้วิธีการใดเหล่าโคมกลับไม่ลอยปลิวหนีไป แต่ค่อยๆ เรียบตัวเหนือผืนฟ้าเป็นอักษร“福 (ฝู)—ความสุข มีโชค)” ที่สวยงามอย่างยิ่ง ใต้ท้องนภาสีดำเข้มราวน้ำหมึก ปรากฎประภาอักษร ‘ฝู’ สีทองส่องสว่างงดงามเป็นมงคล เฉิดฉายราวจะกลบแสงจันทร์ให้หม่นหมอง เหมยลี่อิงยิ้มตาหยีลั่นระฆังใบน้อยในมืออีกครั้ง ม้วนกระดาษใต้โคมไฟเหล่านั้นถูกปล่อยลงมา โคมทุกใบเต็มไปด้วยคำอวยพรอันเรียบง่ายแต่จริงใจจากพวกเขาสามคนพี่น้อง ‘ขอให้ท่านตาอายุยืนยาวเป็นที่รักของลี่อิงตลอดไป’ ‘ขอให้ท่านตามีความสุขดุจอาทิตย์เที่ยงวัน’ ‘ขอให้ท่านตารักข้ามากขึ้น ทำโทษข้าน้อยลง’ ‘…..’ ‘ขอใหท่านตาสุขภาพแข็งแรง’ ‘ขอให้ท่านตาแข็งแกร่งดั่งวัวเหล็กยักษ์ ก้าวขาทีสะเทือนขุนเขา’ ‘ขอให้เส้นทางบำเพ็ญข
หากจ้าวลี่อิงคือดารากลางนภาสว่างไสวให้ผู้คนต้องเหลียวมองซ้ำ การคงอยู่เหมยลี่อิงนั้นกลับเจิดจรัสดั่งจันทร์ฉาย ทำให้ผู้คนไม่อาจล่ะสายตาจากนางได้ตั้งแต่แรกเริ่ม เด็กหญิงในชุดสีแดงอิ่มเอิ่บดุจผลทับทิมสุกงอม ผิวขาวกระจ่างราวหิมะแรก คิ้วโก่งดั่งใบหลิว นัยต์ตาดอกท้อเปล่งประกายเหมือนบรรจุไว้ด้วยมหาสมุครดวงดาวนับหมื่นพัน ทั้งที่สามใส่อาภรณ์สีแดงสดใส แต่กลิ่นอายของนางกลับวิสุทธิ์สุกใสปราศจากมนทินใดๆ ดุจเซียนน้อยใต้อาสนะดอกบัวของพระโพธิ์สัตว์ผู้ค้ำจุนสรรพชีวิต ทำให้ผู้คนรู้สึกทั้งต้องเว้นระยะห่างและต้องการชิดใกล้นางโดยสัญชาตญาณ กล่าวโดยสรุปนางเหมือนตุ๊กตามงคลตัวน้อยอันปราณีตที่ให้ความรู้สึกไม่คล้ายสมจริง เสียงไพเราะของปีกปิ่นผีเสี้อสีลูกหว้ากระทบกันเบาๆ เหนือศรีษะ เวลาที่นางย่างก้าวยังส่งเสริมให้นางดูศักดิ์สิทธิ์สง่างาม “ผู้คนสามารถงดงามได้ถึงเพียงนี้จริงๆ ” ซ่งจินรู้สึกว่าตนมีชีวิตอยู่มาสิบสี่ปีช่างเสียเปล่านัก วันนี้ถึงได้รู้ว่าอะไรเรียกว่าคนงามที่แท้จริง เขาอดไมใได้เย้าแหย่สหายข้างกายเล็กน้อย “เจ้ามิใช่บอกว่านางมีข่าวลือว่าอัปลักษณ์พิกลพิการหรอกหรือ” คุณชายผู้นั้นพึมพำอย่างเลื่อนลอย “นาง
ช่องสีเหลี่ยมตารางตัดขวางเสมอกัน เม็ดขาวดำกลมเกลี้ยงเป็นมันวาว ชั้นเรียนนี้วันนี้คือหมากล้อมหนึ่งในศาสตร์ศิลป์อันเลื่องลื่อหมากขาวบนกระดานค่อยๆ ถูกรุกไล่ ถูกกลืนกินที่ละนิดดุจชายฝั่งเซาะน้ำฝนค่อยเลือนหาย เม็ดทรายกระจัดกระจายลงผืนน้ำ สายน้ำนั้นทั้งอ่อนโยน ลุ่มลึกแต่กลับไม่อาจต้านทานได้เหมยลี่อิงได้แต่นั่งมองหมากขาวถูกกลืนหายปตาปริบๆ อย่างช่วยไม่ได้“ข้าแพ้อีกแล้ว!”นางทรุดตัวลงบนเก้าอี้ถามอย่างท้อแท้ “เจ้าเพิ่งเคยเล่นจริงๆ หรือ”“ถูกต้อง” เซียวอวิ๋นหังกล่าวโดยหน้าไม่เปลี่ยนสีเหมยลี่อิงยิ่งฟังยิ่งโรยแรงดุจต้นกล้าน้อยที่เหี่ยวเฉา นางแทบทำใจเชื่อไม่ได้ว่าตัวนางที่ประสบการณ์มากมายกลับพ่ายแพ้ให้กลับเด็กที่เพิ่งหัดเล่นไม่ถึงครึ่งชั่วยามตาแรกยังพอแก้ตัวได้ว่าตนประมาทไปพอตาที่สองตาที่สามที่สี่ที่ห้า....นางอยากจะบ้าตาย ไม่รู้ว่าตัวเขาเป็นอัจฉริยะเกินไปหรือว่านางโง่เขลาเกินไปกันแน่เด็กหญิงเริ่มสงสัยในชีวิตหรือทุกสิ่งที่นางประสบมาล้วนเป็นเพียงภาพลวงตา เป็นฟองสบู่บางๆ ที่ถูกจิ้มแตกแล้วก็จางหาย“เป็นถึงคุณหนูใหญ่สายตรงกับไม่อาจเอาชนะแม้แต่ลูกอนุสายสี่ได้ เจ้าช่างน่าอนาจใจโดยแท้”เสียงดัดแ
“พิษ?” ในที่นี้มีเพียงเซียวสือรุ่ยที่ตกใจ“เป็นพิษไร้สี ไร้กลิ่น สะสมทีน้อยและออกฤทธิ์เมื่อผ่านไปหมื่นวันเท่านั้น เมื่อมันออกฤทธิ์ผู้ต้องพิษจะเส้นลมปราณสูญสลายและถึงแก่ความตายโดยไร้ยาแก้”เซียวสือหลงแทบทำใจเชื่อไม่ได้ “...ยาพิษที่ทำลายเส้นลมปราณ”“ผู้ใดกัน ช่างชั่วร้ายอะไรเช่นนี้!” เซียวสือรุ่ยกัดฟันกล่าวเซียวจงสิงถอนหายใจ “ข้ากลับไม่รู้ว่าตนถูกวางยาตั้งแต่เมื่อใด ยังดีที่ได้ส่าหร่ายคลายวิญญาณของอิงเอ๋อร์ มิเช่นนั้นครานี้คงย่ำแย่แล้วจริงๆ ”เด็กหญิงพูดไม่ออกคล้ายก้อนอะไรสักอย่างจุกอยู่ในลำคอ ใช้แขนเสื้อเช็ดน้ำตาที่คลอหน่วยของตัวเองเงียบๆในกาลก่อนท่านตาผู้ยิ่งใหญ่ของนางถูกยาพิษนี้เล่นงาน กว่ารู้ตัวก็สายเกินแก้ไข แต่ครานี้นางช่วยท่านตาเอาไว้ได้ตระกูลเซียวที่ไม่สูญเสียเสาค้ำยันก็สมควรเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้นใช่หรือไม่ไม่มีผู้ใดบอกได้กระทั่งตัวนางเองก็ยังไม่แน่ใจชีวิตที่เจ็บปวด ล้มเหลว ร่อนเร่ เซซังแหลกสลายยังคงเกิดขึ้นและไม่เคยผ่านไป ติดค้างอยู่ในความทรงจำอันเจ็บปวดเหมือยปลายเข็มซ่อนในยอดหญ้า รอคอยประเดประดังเข้ามาทุกคราที่นางล้มลงในความโดดเดี่ยวเด็กหญิงโผกอดท่านตาที่อุ้มนางเอาไว้
เซียวสือรุ่ยเบ้ปาก เดินไปยังลูกกลมสีทองที่ดูสว่างที่สุดในความคิดเขา แม้ความจริงๆ แล้วทุกๆ อันจะสว่างเท่ากันก็ตาม เซียวอวิ๋นหังเพียงหยิบลูกแก้วสีเงินที่โผล่ขึ้นมาข้างเท้า ในเมื่อทั้งหมดแล้วเป็นของดีจะอันไหนก็เหมือนกัน เขาจะมอบให้เสี่ยวอิงหมด เหมยลี่อิงเรียกระบบในใจ “ตอนนี้ข้ามีแต้มลิขิตเท่าไร”[โฮสต์ได้รับมาสองร้อยแต้ม รวมกับที่สะสมไว้ในโลกภารกิจ สามหมื่นสองพันสี่ร้อยแต้ม เป็นทั้งหมดสามหมื่นสองพันหกร้อยแต้ม ]“ใช้แรกเนตรหยั่งรู้ระดับแรก”[ทำการแลกเปลี่ยนเสร็จสิ้น โฮสต์ได้รับเนตรหยั่งรู้ระดับหนึ่งคงเหลือ สามหมื่นหกร้อยแต้ม]นัยต์ตาดอกท้อของเด็กหญิงทอประกายสีทองจางๆ เหมยลี่อิงไม่รอช้ารับหยิบของที่นางต้องการทันทีผู้เฒ่ากระต่ายเท้าอุ้งเท้านุ่มนิ่มเท่าคางมองนางอย่าพิจารณาครู่หนึ่ง แต่ไม่ได้ว่าอะไร ความสามารถก็นับเป็นโชควาสนาอย่างหนึ่งเช่นกันกระต่ายเป็นสัตว์คิดไวใจร้อนเสร็จธุระแล้วก็จะใส่ใจเห็นพวกเขาเลือกของรางวัลกันแลวก็กระทืบเท้าเคาะพื้นส่งพวกมนุษย์จิ๋วออกจากแดนลับทันที“อ้ากก เจ้าอ้วกใส่เสื้อข้าแล้วเจ้าโง่ !”เซียวสือรุ่ยหยิบตัวเซียวอวิ๋นหังขึ้นมาโยนเข้าไปในธารน้ำจุดที่
เซียวสือรุ่ยลองถามแน่นอนว่าเจ้าหมีตัวใหญ่ไม่เข้าใจ เขาเลยลองเดินตามมันตัวมันในที่สุดก็คิดว่าพวกเขาคงเข้าใจความนัยจึงนำทางพวกเขาไปในที่สุดแสงตะวันถอดผ่านแนวผา ชะแง่งหินขรุขระทางเดินคับแคบ เด็กมอมแมมสามคนเดินตามแม่หมีที่มีลูกน้อยนั่งอยู่บนหัวหนึ่งตัว“เจ้าจะพาพวกเราเดินไปถึงเมื่อไร”แน่นอนว่ามารดาหมีศิลาไม่อาจตอบพวกเขาได้ พวกเขาได้แต่เดินตามมันไป กระทั่งจวนจะเดินไม่ไหว เซียวสือรุ่ยได้ประคองเหมยลี่อิงที่กำลังจะล้มลงแม่มีสีน้ำตาลตัวใหญ่จึงผินหน้ากลับมาก็ค้อมตัวให้ เจ้าลูกหมีเข้าใจมันรีบลงจากหลังแม่ ดึงแขนเสื้อชุดเด็กๆ ให้ขึ้นมา“พวกเราขึ้นไปได้จริงหรือ” เหมยลี่อิงตามอย่างไม่ค่อยแน่ใจเซียวสือรุ่ยประคองน้องสาวขึ้นไปท่าทางระวังภัยอยู่ในที กระทั่งไม่เห็นแม่หมีโมโหก็ว่างใจ ให้เซียวอวิ๋นหังปีนตามขึ้นไปแล้วค่อยปิดท้ายด้วยตนเหมยลี่อิงลอบยิ้ม พี่รองของนางเป็นเช่นนี้เสมอ แม้ภายนอกจะดูเหมือนไม่ค่อนใส่ใจอะไร แต่กลับขวัญกล้าจิตใจละเอียดอ่อนกลายเป็นสามคนหนึ่งตัวอยู่ถูกบรรทุกอยู่บนหลังแม่หมีตัวใหญ่ ขนสีน้ำตาลของหมีศิลาไม่อ่อนนุ่มเหมือนลูกหมี ขนเส้นหนาระคายสากบนแผ่นหลังกว้างทำให้นางไม่สบายตัวอยู่บ้