ห้วงเวิ้งแห่งว่างเปล่าไร้อาทิตย์ ดวงดาว และจันทร์สกาวส่องฉาย
อนันตาไร้สิ้นสุดในกาลยาวนานเกินจะนับได้หรืออาจเป็นเพียงเสียวเวลาสั้นแห่งการถอนใจไม่กี่คราแล้วก็มลายไป สิ้นแล้วซึ่งความหวัง ความอบอุ่นเย็นชาทั้งหลายในโลกีย์วิสัย สถานที่อันว่างเปล่าและขาวโพลน ที่ซึ่งแยกไม่ออกว่าเป็นทั้งฟ้าหรือผืนดิน หากแต่จะเรียกสิ่งนี้ว่าท้องฟ้า มันก็เป็นท้องฟ้าที่ไม่อาจจะรู้ได้ว่าเป็นกลางวันหรือกลางคืน ปกคลุมไปด้วยเงาสลัวรางอันมืดมิดและแสงจาดจ้าอันขาวโพลนสลับกันไปมากลายเป็นผืนนภาอันสุดทนดูที่กระด่างกระดำ ทั้งจะดำก็ไม่ดำจะขาวก็ไม่ขาว เป็นจุดแสงจุดมืดระยิบระยับสลับกัน ยังมีเสียงสาดซ่าบาดแก้วหูเดี๋ยวแว่วเดี๋ยวดับ จนหากคนเป็นได้ยลเห็นคงมิแคล้ววิงเวียนจนต้องอาเจียนออกมาเป็นแน่แท้ โชคดีนะที่นางตายแล้ว ปรภพช่างอุจาดตาเสียจริง อมนุษย์ที่ล่องลอยอย่างไร้จุดหมายคิด พลันฉุกสติตัวขึ้นมาได้ว่าตนนั้นคล้ายว่าจะตายเสียแล้ว จบสิ้นชีวิตอเนจอนาถสุดแสนจะน่าเวทนานี้เสียที ปรภพแห่งนี้เป็นสถานที่พิอันกลนัก ไร้แม่น้ำวั่งชวนเหม็นคาวคละคลุ้งทอดยาว ไม่มีสะพานไน่เหอหรือดอกปี่อั้นสองแดงฉานสองข้างทาง กระทั่งไม่มียายเมิ่งผู้ถือน้ำแกงลืมเลือนอีกต่างหาก เหมยลี่อิงอดคิดไม่ได้ว่าตนนั้นถูกยมทูตขาวดำพามาผิดที่หรือไม่ หรือเหตุยามเป็นคนตนนั้นแบกเคราห์สังหารมากเกินไป แม้ตายก็ยังไม่อาจเข้าสู่สังสารวัฏต้องกลายเป็นวิญญาณเร่รอนเสียแล้ว? ดวงวิญญาณของนางไม่รู้อยู่ในสภาพนี้มานานเท่าไร อาจเพราะปราศจากสิ่งใดไว้บอกเวลาให้หญิงสาวรู้ได้ หรืออาจเพราะสำหรับคนตายสิ่งที่เรียกว่าการเดินของเวลานั้นจะสำคัญไฉน ขณะวิญญาณดวงน้อยกำลังครุ่นคิดอย่างไร้จุดหมายพลันเสียงเสียดแหลมยาวก็ดังก้อง ปริบ ปริ๊บ ปรี๊บบบบบ เสียงแหลมยาวยากจะบรรยายดุจดั่งกระเบื้องเสียดแก้วดังขึ้น เหมยลี่อิงแม้รู้ว่าตนไร้ซึ่งร่างกายยังอดเอามือปิดหูตามสัญชาตญาณไม่ได้ “ระบบ...กะ.. ลัง ผูก...ติดกับ ฮะ..” เสียงบาดแหลมกลายเป็นเยียบเย็นเสียงสาบซ่า ขาดๆ หายๆ คล้ายเสียงเด็กที่หัดพูดอย่างสะเปะสะปะ ฟังดูเป็นจังหวะแต่ไม่อาจเข้าใจความหมายได้ “ระบบกำลังซิงค์ ข้อมูล” ใช้เวลายาวนานกว่าเสียงจะกลายเคียงคำที่นางน่าจะเข้าใจ แต่เมื่อนำคำต่างๆ มารวมกันกลับกลายเป็นว่านางไม่มีปัญญาเข้าใจพวกมันเสียแล้ว ระบบคือสิ่งใด ? แล้วซิงๆ สิง? คืออันใดกัน “ระบบกำลังดาวโหลดภาษาที่ใกล้เคียงกับโฮสในปัจจุบัน” “ระบบชดเชยพลังงานที่ถูกโจรกรรมระหว่างดวงดาวหมายเลข792ทำการซิงค์ข้อมูลเสร็จสิ้น” “ยินดีที่ได้พบโฮสหมายเลข792 ท่านคือผู้เสียหายเหมยลี่อิงใช่หรือไม่” หญิงสาวแม้ประโยคอื่นไม่เข้าใจ พอฟังประโยคเข้าใจได้บ้างสุดท้ายก็ลอบถอนหายใจโล่งอก “ข้าไม่แน่ใจว่าผู้เสียหายคือสิ่งใด แต่ข้าคือเหมยลี่อิง แล้วท่านเล่าเป็นใครกันยมฑูตหรือ?” “ไม่อาจกล่าวเช่นนั้นได้ ระบบเป็นเพียงระบบเป็นเครื่องมือที่ถูกสร้างให้มีสติปัญญาเพื่องานตามที่ได้มอบหมาย” เสียงเยียบเย็นไร้อารมณ์เอ่ยตอบ อัตตาเหมยลี่อิงระงับความฉงนเอาไว้เอ่ยถามอย่างระมัดระวัง “เครื่องมือที่มีสติปัญญา? คล้ายอาวุธจิตวิญญาณหรือไม่” “สามารถเข้าใจว่าเป็นสิ่งที่คล้ายกันได้ แต่การคงอยู่ระบบเป็นสิ่งที่เหนือล้ำกว่านั้นมาก” ย่อมเป็นสิ่งที่เหนือกว่านั้นมากแน่นอน สิ่งที่สามารถแทรกแซงช่วงชิงดวงวิญญาณคนตายอย่างนางมาจากปรภพได้ต้องทรงพลังมากใด เหมยลี่อิงยิ่งคิดยิ่งหวาดหวั่น ทราบว่ายามนี้ตนเสียเปรียบอีกฝ่ายมาก นางเอ่ยถามเพื่อหยั่งเชิงเจตนา “เช่นนั้นงานที่เจ้าได้รับมอบหมายคือสิ่งใด” “โฮสไม่ต้องกังวลระบบไม่ได้มีเจตนาร้าย” อัตตาของหญิงสาวผ่อนคลายลงเล็กน้อย แม้ไม่เชื่อทั้งหมดแต่เมื่ออีกฝ่ายกล่าวเช่นนั้นย่อมไม่ได้หมายทำร้ายนางอย่างน้อยก็ตอนนี้ เหมยลี่อิงคิดแล้วก็เยาะหยันหรือต่อให้ทำจริงอีกฝ่ายจะทำสิ่งใดได้ อย่างมากก็ถูกลบอัตตาดวงวิญญาณแหลกสลายไปเท่านั้น เพียงนึกถึงความเจ็บปวดของตนที่ผ่านมา หากนางได้สลายหายไปจริงๆ เช่นนั้นอาจจะดีกว่าแล้วก็ได้ อัตตาดวงน้อยคิดอย่างปลดปลงแล้วรู้ปลอดโปร่งโล่งใจขึ้นมา อย่างไรก็คงไม่มีสิ่งใดทำร้ายตนไปได้มากกว่านี้อีกแล้ว “งานของระบบก็คือคืนพลังงานที่ถูกขโมยไปให้กับโลกใบนี้ โฮสในฐานะบุตรแห่งฟ้าดินของโลกใบนี้และจัดเป็นผู้เสียหายรายใหญ่ที่ถูกจึงถูกผูกมัดเอาไว้กับระบบนั่นเอง” เหมยลี่อิงยิ่งฟังยิ่งไม่เข้าใจ “บุตรแห่งฟ้าดิน? ข้าน่ะหรือ? คืนพลังงานที่ถูกขโมย เจ้าหมายความอย่างไร?” เสียงอันเย็นชืดชะงักไปก่อนกล่าวว่า “เนื่องด้วยภาษาและวัฒธรรมที่แตกต่างระบบจะทำการอธิบายอย่างง่ายๆ ตัวระบบมาจากรัฐบาลในยุคสมัยแห่งอนาคตข้างหน้าไกลแสนไกล รัฐบาลทำหน้าที่เป็นตัวแทนปกครองและดูแลความเป็นระเบียบเรียบร้อยของเอกภพที่นั่นเทียบได้กับทางการในยุคสมัยของโฮส ในขณะเดียวกันก็มีโจรสลัดอวกาศที่ไม่ยอมรับการปกครองของรัฐบาลและช่วงชิงพลังงานจากยุคสมัย มิติ หรือโลกที่แตกต่างเพื่อสร้างกองกำลังและก่อกบฎ นอกจากจะทำให้ประชาชนของเราเดือดร้อนแล้ว ยังทำให้โลกที่ถูกช่วงชิงพลังงานไปได้รับความเสียหายและล่มสลายซึ่งจะส่งผลต่อๆ กันไปเป็นโดมิโน่เอฟเฟค เพื่อหยุดหยั้งโจรกรรมและแก้ปัญญาที่ต้นเหตุ นอกจากจับโจรสลัดเหล่านั้นแล้ว ระบบจึงถูกสร้างขึ้นเพื่อส่งต่อชดเชยพลังงานที่ถูกขโมยมากลับคืนยังโลกใบนั้น” สิ่งที่เรียกกว่าระบบได้อธิบายยืดยาวเหมยลี่อิงกลับฟังแล้วคล้ายเข้าใจบ้างคล้ายไม่เข้าใจบ้าง “กล่างคือเจ้าเป็นคนจากทางการมาคืนสิ่งที่เรียกว่าพลังงานใช่หรือไม่ แล้วพลังงานคือสิ่งใดกัน” ระบบขบคิดก่อนอธิบายเปรียบเทียบ “พลังงานก็คือสิ่งที่ทำให้โลกนั้นดำเนินต่อไปได้ มันจะเป็นตัวล่อเลี้ยงและแย่งชิงแข่งขันของสิ่งมีชีวิตในโลกนั้นๆ มนุษย์ในยุคของคุณอาจเรียกมันว่า โชคชะตาหรือวาสนา” เหมยลี่อิงนิ่งงันก่อนเอ่ยเสียงหนักอึ้ง “เจ้าหมายความว่าโลกใบนี้ถูกช่วงชิงดวงชะตาไป และข้าก็คือผู้ที่ถูกช่วงชิงไปมากที่สุดใช่หรือไม่?” “สามารถกล่าวเช่นนี้ได้” “มิน่า... .มิน่าเล่า” อัตตาเหมยลี่อิงหัวเราะเยาะหยันไม่หยุดด้วยความทุกข์ใจ หากนางยังมีร่างกายยามนี้คงหัวเราะจนตัวงอน้ำตาไหลลงมาอย่างน่าสมเพชดุจหมาขี้เรื้อนตัวหนึ่ง ชั่วชีวิตนี้นางเหมยลี่อิงคิดเพียงว่าตนเกิดมาโชคร้าย พยายามทำสิ่งก็ไม่ประสบความสำเร็จ ต้องเผชิญความระทมทุกข์ มีชีวิตเอจอนาจ นางจึงคิดว่าตนนั้นเกิดมาเคราะห์หามยามร้ายจนไม่อาจโชคร้ายไปมากกว่านี้ได้อีก กลับคิดไม่ถึงว่าคนเช่นตนจะถูกช่วงชิงวาสนาเสียได้ ช่าง.. ช่างน่าสมเพชจริงๆ ทั้งยัง ทั้งยังน่าแค้นใจนัก! ระบบ972เป็นระบบน้องใหม่ที่เพิ่งรับภารกิจครั้งแรกถึงการสื่ออารมณ์ของมันจะเย็นชาเนื่องจากขาดการชำนาญ แต่จริงๆ แล้วมันประหม่ามาก เมื่อเห็นโฮสโศกเศร้ามันก็ไม่รู้จะเอ่ยปลอบอย่างไร ทำได้เพียงมองเงียบๆ รอจนกราฟอารมณ์บ่งบอกว่าโฮสสงบใจแล้วจึงถามว่า “ระบบสามารถย้อนเวลาในโลกขอบคุณได้หนึ่งครั้ง คุณยินดีเริ่มต้นใหม่หรือไม่” เหมยลี่อิงตอบโดยไร้ความลังเล คำตอบนี้ส่งลึกมาจากจิตใจเจ็บแค้นแน่วแน่ของนาง “ย่อมแน่นอน”บันไดศิลาดำทอดยาวเป็นวงเวียนจรดฟ้า กลางนภาสีครามสว่างเจิดจ้า ฟ้าเหนือศีรษะเป็นหมู่เมฆและดวงตะวัน หันหน้าลงมาเพียงเงาลานหินสีดำและผู้คุ้มสอบที่สีหน้าเย็นชา“ผู้เข้าสอบซ่งหลิงหลิงตกรอบ” ฟ่งปิงเยว่ประกาศ ศิษย์สายนอกสวมเครื่องแบบสีเขียวมรกตดิ้นเงินขึ้นไปรับตัวเด็กหญิงที่ไร้เรี่ยวแรงลงมาด้วยความเร็วแทบเป็นภาพติดตานี่สามารถพิสูจน์ได้ว่าแม้แต่ศิษย์สายนอกของสำนักแพทย์เขาปุบผาก็ยังมีพลังจิตสำนึกในระดับน่าตระหนกผู้รอบการทดสอบเห็นดังนั้นก็พยายามรุดหน้าต่อไป เพราะขอเพียงพวกหยุดช้าเพียงยี่สิบลมหายใจ สายตาอันแหลมคมของผู้คุมสอบก็จะจับจ้องไปยังพวกเขาในทันใด หากมีวี่แววว่าเจ้าจะไปต่อไม่ไหว สุ้มเสียงไร้น้ำใจไมตรีก็ประกาศว่าเจ้าตกรอบทันทีเด็กชายที่อยู่ข้างคนที่เพิ่งประกาศตกรอบไปถึงกับเสียวสันหลังวาบ ขนหัวลุกชี้ชัน กัดฟันเดินต่อแทบไม่คิดชีวิตเสียงสายลมกระพือพัดชายผ้าดุจท้องฟ้าคำรามหวีดวิวอยู่ข้างหู เหมยลี่อิงยังคงก้าวขึ้นบันไดดำอย่างใจเย็น สีดำทะมึนใต้ฟ้าเท้าราวกับมีชีวิตชีวายื่นมือออกมาดึงรั้งขายิ่งกว่าตะกั่วหนัก ช่างเป็นจิตสำนึกนึกอันทรงพลังอะไรเช่นนี้ขั้นที่ห้าสิบ เด็กหญิงยังเดินรุดหน้าด้วยท่าทาง
“เหอะ หากข้าไม่ขอโทษแล้วอย่างไร พวกเจ้าจะทำอะไรข้าได้” สวี่อวี้หลันยังคงเย่อหยิ่ง เรื่องอันใดต้องให้นางไปขอโทษคนไม่หัวนอนปลายเท้าจินเกอพ่นลมหายใจคราหนึ่ง เดินผ่านนางเข้าห้องไปเลือกเตียงที่อยู่หัวมุม“พวกเราก็จะได้รู้เช่นเห็นชาติสันดานเจ้ากระมัง”“เจ้า !!”“อวี้หลัน!! เจ้าพอได้แล้ว ที่นี่ไม่ใช่ที่บ้าน”สุดท้ายแล้วกลับเป็นสวี่ฟางเฟยที่เกลี้ยกล่อมน้องสาวอย่างอดทนพลางขอโทษสหายร่วมห้องแทน คนอื่นๆ ไม่พูดอะไร แม้แต่หลินรั่วอีก็ไม่รับคำขอโทษนั้น มีเพียงเหมยลี่อิงที่มองพวกนางสองพี่น้องอย่างมีความหมายสวี่ฟางเฟยได้แต่ยิ้มเจื่อน นางเองก็อับจนปัญญากระทั่งเพื่อนร่วมห้องอีกสองคนมาถึงบรรยากาศที่อึดอัดระหว่างพวกเขาถึงได้ผ่อนคลายลงรุ่งสางอาทิตยายังไม่โผล่พ้นขอบฟ้า รัตติกาลกำลังจะจางหาย แสงรำไรเพียงมองเห็นปลายฝ่ามือได้รางๆ ปรางแก้มสีชมพูอิ่มนิ่มนวลคลอเคลียเกศางาม อารามสาวน้อยกอดจิ้งจอกสีขาวขนฟูหลับสนิทด้วยความเหนื่อยล้าเมื่อคืนนางวางค่ายกลป้องกันไว้รอบเตียง จึงสามารถนอนหลับได้อย่างสบายใจจินเกอที่นอนอยู่เตียงข้างกันพลันลืมตาโผล่ เอื้อมมือคว้ามีดพกในอกเสื้อทันใด ประตูไม้ในเรือนนอนพวกนางเปิดออกโดยไร้ผ
แสงตะวันพลบค่ำอัสดงสีส้มนวลสว่างฉาบย้อมท้องฟ้าจนกลายเป็นผ้าไหมทองเข้มผืนหนึ่ง เหมยลี่อิงไม่ได้มีเวลาในรำพึงในใจนานนัก รองเท้าปักเดินก้าวตามขบวนคุ้มกันเข้าสู้สำนักในที่สุดพวกนางเดินตามสันเขาชมเมฆา ม่านหมอกเมฆหนาทึบลอยเอื่อยอ้อยอิ่ง กิ่งพัดใบไม่ไหวตามสายลมดังเคล้า เหล่าภมรปราณเริงร่าชมแนวผกาทอดทิวเขา ราวเหล่าภูติกระซิบสำเนียงแห่งพงไพร หัวใจที่เต้นกระหน่ำของเด็กหญิงก็ค่อยๆ เบาลง “เจ้าเป็นอะไรไป” จิงซิงเฉินถามเมื่อเห็นนางเหม่อลอย เหมยลี่อิงส่ายหน้าหยิบองหญิงจิ้งจอกหน่อยสีขาวฟูออกมาจากถุงเลี้ยงสัตว์ โม่เสวี่ยงัวเงียอยู่ในอ้อมแขนนางพลางหาวหวาดแม้แต่ตายังไม่ลืม “นั่นสัตว์สัญญาของเจ้าหรือ สายเลือดไม่เลวเลย แต่เจ้าต้องระวังการทดสอบไม่อนุญาติให้ใช้สัตว์ปราณช่วยเหลือเจ้าสามารฝากไว้ที่โถงสำนักระหว่างการสอบได้” ศิษย์หญิงที่เป็นผู้นำขบวนมากล่าวกับนางเล็กน้อยด้วยใบหน้าเรียบเฉยผู้ไม่สนิทย่อมฟังไม่ออกถึงความอบอุ่นที่ซ่อนอยู่ภายใน แต่ชาติที่แล้วนางคบหากับศิษย์พี่หญิงจางผิงจูมาหลายปีไหนเลยจะไม่ออก เหมยลี่อิงคลี่ยิ้มจนตาปิด เด็กหญิงนัยน์ตาดอกท้อใสกระจ่าง เรื่องหน้าจิ้มลิ้มม
เสียงกระบี่ฟาดฟันไล่ล่า คลื่นพลังปราณประทุเดือดพล่านทำลายป่าไม้ล้มระเนระนาด เหมยลี่อิงกับจิงซิงเฉินเห็นผู้ถูกไล่ล่าก็ม่านตาหดแคบ เป็นหลงเทียนสือผู้นั้นที่เคยมีปากเสียงกันที่โรงเตี๊ยมตงฟู ยามนี้ที่เด็กชายที่จมูกชี้ฟ้าสง่างามยิ่งผยองกลับไม่หลงเหลือความหยิ่งยโสเลยแม้แต่น้อย เสื้อผ้าอาภรณ์ชั้นดีของเขาในยามนี้ล้วนขาดวิ่นเนื้อตัวเต็มไปตัวบาดแผลฉกรร บางตำแหน่งลึกแทบเห็นกระดูก หากไม่ได้ผู้คุ้มกันทั้งสองสละชีวิตรั้งศัตรูไว้ตัวเขาก็แทบเอาชีวิตไม่รอด เด็กผู้นั้นเห็นได้ชัดว่าหนีการไล่ล่ามา เมื่อพวกจิงซิงเฉินในแววตาก็ปรากฎแววโล่งใจ แคว้นหลงกับแคว้นจินอยู่ข้างเคียงกัน ราชวงศ์ของพวกเขาล้วนมีความสัมพันธ์อันดี ถึงขึ้นมีการแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์กันมาหลายรุ่น ไม่ว่าด้วยเหตุผลใด จิงซิงเฉินไม่อาจปล่อยให้เขาตายโดยไม่ช่วยเหลือ หลงเทียนสือแม้หยิ่งผยองแต่ไม่ใช่ตัวโง่งม เพียงประสานมือคาราวะพวกเขานัยต์ทอแววอับอายอยู่บ้าง “บุญคุณครั้งนี้ข้าจะทดแทนภายหลังอย่างแน่นอน” จิงซิงเฉินลังเลเล็กน้อยหากมีเพียงเขาคนเดียวย่อมลงมือช่วยเหลืออีกฝ่ายโดยไม่คิดอะไร แต่ยามนี้เพื่อนร่วม
ปัง ! กระแทกผนังจนแตกกระจาย ผนังไม่กลับเป็นเพียงรอยขีดข่วน ผู้คุ้มกันทั้งลายออกมาคุ้มกันคุณหนูคุณชายของพวกเขาไว้ตรงกลางป้องกันการโดนลูกหลง เหมยลี่อิงอดพำพึมไม่ได้ “ช่างเป็นพนังไม้ที่แข็งแกร่งสมคำโอ่จริงๆ” “อาศัยสวะเช่นเจ้ากล้าเหิมเกริมกับข้า ช่างไม่รู้จักคำว่า ‘ตาย’สะกดอย่างไร” ดรุณีนางหนึ่งหน้าตาสระสวยสะพายกระบี่เล่มใหญ่ ระเบิดพลังสวะของหนิงม่ายออกมาเต็มที่ พวกเหมยลี่อิงมีผู้คุ้มกัยปิดป้องย่อมไม่เป็นไร เหล่าเสี่ยวเอ้อร์ล้วนหลับไปยังค่ายกลหลังร้านอย่างรู้หน้าที่ มีเพียงรู้ค้าบ้างคนพลังฝีมือต่ำอยู่บ้างทุกลูกหลงกันไปหอมปากหอมคอ ไม่มีใครเข้าไปห้าม ประการแรกเพราะยอกข้าวของในร้านแล้วไม่มีผู้ใดได้รับความเสียหาย นับว่าหญิงสาวนางนั้นควบคุมตนเองได้ดีอยู่บ้าง ประการที่สองผู้ใดจะอยากหาเรื่องใส่ตัวด้วยการแส่เรื่องของผู้อื่น หญิงสาวนางนั้นร่างกายไม่กำยำแต่สังขารแข็งแกร่งยิ่ง ปราบอันธพาลรานถิ่นที่กล่าววาจาแทะโลมนางด้วยหมัดหลุนๆ อีกหมัดตามด้วยอีกหมัด เสียงถูกชกอย่างรุนแรงปานนี้ อันธพาลผู้นั้นโดนอัดไม่กี่ทีก็หลงเหลือเพียงลมหายใจรวยริน ถู
“ข้าจ่ายไปสองจิงสือระดับสามเมื่อท่านเสนอเพิ่มราคาให้ เช่นนั้นมิสู้ให้ข้าสี่จิงสือระดับสามเถอะ”หลงเทียนสือแม้มาจากแคว้นไหนแต่ไม่ใช่ตระกูลยอดยุทธไม่มีเหมืองหินผลึกปราณ เขาไหนเลยจะมีจิงสือมากมายปานนั้น ขณะกำลังจะทักท้วงมองเห็นรูปโฉมของคนที่ออกมาจากประตูเสียงก็พลันขากห้วงไป“นี่เจ้ากะจะปล้นชิงกันหร--”“ข้าจ่ายให้เขาราคานี่จริงๆ เมื่อท่านเสนอเพิ่มราคาก็สมควรใจกว้างกว่านี้สักหน่อย”เหมยลี่อิงงามยามนี้สวมผ้าคลุมเพียงครึ่งหน้า เห็นคิวโก่งเรียวดุจใบหลิว แพขนตาเงาหนาดุจม่านฝน นัยต์ตาดอกท้อสวยหวานราวลูกกวางทั้งเย้ายวนทั้งดูไร้เดียงสา เพียงเท่านี้ก็เผยรูปลักษณ์ปานหยาดฟ้ามาดินของนางจนผู้มองอดไม่ได้จะสูดลมหายใจลึกกับการงานห้องนั้นนางหาได้มีปัญหาอันใด เพียงเหมยลี่อิงไม่ชมชอบพฤติการณ์ของคนผู้นี้ฝ่ายหลงเทียนสือผู้ถูกสบประมาท ตัวเขามาจากราชวงศ์แคว้นใหญ่แคว้นหนึ่ง แต่ไหนแต่ไหนก็ไม่เคยไม่ได้สิ่งที่ต้องการ เด็กหญิงนางนี้กลับกล้าขัดใจเขา แม้เด็กหญิงผู้นั้นจะเป็นสาวงาม แต่ตัวเขาเป็นลูกผู้ชายกลับถูกผู้อื่นหยามว่าใจไม่กว้างพอ เรื่องนี้ยอมไม่ได้เด็กทั้งสองรวามถึงผู้คุ้มกันฝ่ายพวกเขาจ้องมองกันด้วยความเป็นป