ฝ่ายคุณหนูใหญ่ผู้เปี่ยมไปด้วยความลึกลับอันหญิงใหญ่กลับถอนหายใจอยู่ในรถม้ามองท่านตาที่ทำตาอาลัยอาวรอย่างเสียไม่ได้
แบบนี้นางได้มีหวังไปเข้าเรียนสายตั้งแต่วันแรกเป็นแน่แท้ เด็กน้อยฉีกรอยหวานประจบเอาใจผู้เป็นตา พลางเอ่ยปลอยว่า “ท่านตาเจ้าขา เดี๋ยวตอนเย็นพวกเราก็ได้เจอกันแล้วเจ้าคะ” เซียวจงสิงยังรำลาหลานพร้อมเช็ดน้ำตาในใจ ลูกนกที่เขาเริ่มฟูมฟักย่อมต้องเติบใหญ่ วันนี้บินไปเรียนที่สำหน้าศึกษา ไม่รู้ว่าวันหน้าจะโบยบินไปถึงที่ใด ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่อาจอยู่ใต้ปีกของตนได้ตลอดไป “อิงเอ๋อร์จำที่ตาบอกได้หรือไม่” เหมยลี่อิงพนักหน้าหงึกงัก พรางกระชับป้ายไม้อาคมให้มิดชิด ป้ายไม้อันนี้ท่านตาเชิญสหายนักพรตมาทำให้ตั้งแต่ยังเล็กเพื่อปกปิดพลังของนาง เหมยลี่อิงค่อนข้างพิเศษนางเกิดมาพร้อมกับพลังปราณอันบริสุทธิ์ดุจของขวัญอันล้ำค่าจากสวรรค์ แต่น้ำหนักของของขวัญนี้ยิ่งใหญ่เกินไป เหมยลี่อิงยังเล็กเกินกว่าจะแบกรับมันไว้ได้ ขอเพียงมีข่าวลือสักเล็กน้อยว่าทารกอายุไม่กี่เดือนกลับเดินลมปราณด้วยตนเอง พลังปราณที่ได้จากกลั่นลมกายใจเจื่อความบริสุทธิ์ผ่องใส ทำให้ทุกผู้คนอยากเข้าใกล้ สรรพสัตว์ทั้งหลายล้วนชิดเชื้อ ผลกระทบของเรื่องใหญ่หลวงเกินไป ผู้ฝึกเซียนทั้งหลายหากใครฟังแล้วจะอดใจไหวไม่เกิดความโลภในใจได้บ้าง เคราะห์ดีที่มีผลึกปริศนาในร่างกายนาง ทำให้สิ่งเหล่านี้ไม่เล็ดลอดออกมา ผนวกกับความพยายามของท่านตาและบรรดาสหายที่สรรหาวิธีการอาคมมาทำแถบป้ายไม้ผนึกกลิ่นอายของนางเอาไว้ได้อีกชั้น เมื่อตระกูลเซียวล่มสลายชาติที่แล้วระหว่างหลบหนีนางได้ทำป้ายไม้หล่นหาย เคราะห์ที่ไปถึงหุบเขาบุปผาได้ ท่านพ่อของนางจึงได้แก้ไขปัญหาเหล่านี้ให้ รวมถึงหลังจากพิษเหล่านั้นทำรากพรสวรรค์ของนางได้รับผลกระทบไปหรืออาจจะมีเรื่องของการถูกชิงวาสนาเข้ามาเกี่ยวข้อง กลิ่นอายเหล่านั้นของนางก็ลดลงไปมากเป็นธรรมดา กว่านางจะมาถึงศาลาเรียนกลางได้ก็ใช้เวลาไปมากโข นับว่านางมาถึงยามผู้คนเริ่มบางตา นางรู้ตัวว่าตนจะมาสายเสียแล้ว แม่นมฝู ผู้อาวุโสคนใหม่ที่ถูกส่งมาให้จากป้าสะใภ้ใหญ่เข้าไปติดต่ออาจารย์ให้ แม่นมคนใหม่ของนางแม้พูดน้อยเคร่งขรึมไปบ้างแต่ไม่เข้มงวดกวดขันกับนางมากนัก ในแง่ของสถานะและความอาวุโส นางคือฮูหยินของพ่อบ้านใหญ่ฝูถือว่ามีเกียรติไม่น้อย ทั้งยังเป็นแม่นมหลักของพี่ใหญ่เมื่อยังเล็ก ควรรู้ว่าพี่ใหญ่เป็นทายาทสายตรงเพียงคนเดียวทีถูกวางตัวให้เป็นผู้สืบทอดตระกูลรุ่นต่อไป บุตรชายของแม่นมยังเป็นหนึ่งในบ่าวรับใช้คนสนิทของพี่ใหญ่ การที่ป้าสะใภ้ใหญ่ส่งคนเช่นนี้มาให้ย่อมเป็นการแสดงความโปรดปรานถึงนางไม่ต้องสงสัย ไม่ว่าจะชาติใด ทั้งป้าสะใภ้ใหญ่ ลุงใหญ่ ลุงรองล้วนมีน้ำใจกับนางเสมอมา แม้ไม่ค่อยได้พบหน้าแต่นางจดจำไว้ในใจชาติที่แล้วไม่มีโอกาสตอบแทนเพราะสายเกินไป ชีวิตนี้ไม่ว่าอย่างไรนางก็ต้องตอบแทนความเมตตาของพวกเขาให้ได้ “เจ้าตื่นเต้นหรือไม่” นางหันไปทำเด็กชายตัวผอมที่นั่งนิ่งตัวเกร็งอยู่ในรถม้า “ขอรับ” เซียวอวิ๋นหังตอบกลับด้วยใบหน้าเรียบเฉย ทว่าแววตานั่นไม่ว่าจะมองอย่างไรก็ปกปิดความตื่นเต้นไว้ไม่มิด คงจะตื่นเต้นมากจริงๆ น่ารักจัง แม้ในอนาคตเขากลายเป็นจอมมารผู้เหี้ยมหาญ ทว่ากาลนี้กลับเป็นเพียงเด็กน้อยที่ตื่นเต้นกับสถานศึกษาใหม่เท่านั้นเอง “เรียบร้อยแล้วเจ้าค่ะ” แม่นมชราว่า เซียวอวิ๋นหังกระโดดลงจากรถม้า หันกลับมาประคองนาง มือนุ่มเล็กสัมผัสแขนเด็กชาย ตัวเขาคล้ายชะงักงันไปพักหนึ่ง เหมยลี่อิงกลับไม่ได้ใส่ใจ เดินเข้าอาคารไม้ไปอย่างผ่อนคลาย ไม่ได้สนใจสายตาวูบไหวของคนข้างกายเลยแม้แต่น้อย เพื่อไม่ให้เด็กๆ ในสถานศึกษารู้สึกถึงความแตกต่างของสถานะมากเกินไป ศาลาเรียนจึงไม่อนุญาตให้ผู้ปกครองมาส่งได้ ให้แค่เหล่าพี้เลี้ยงหรือแม่นมเท่านั้น แม้ในความคิดเห็นนางทำเนียมเหล่านี้จะไม่ช่วยอะไรก็ตามที “เซียวลี่อิงคาราวะท่านอาจารย์เจ้าค่ะ” เด็กหญิงย่อมกายคาราวะผู้อาวุโสด้วยกริยาเรียบร้อยน่ารัก ผู้อาวุโสชราพยักหน้าด้วยความพึงพอใจกัยท่าทางรู้ความของนาง หาได้ยากนักที่เด็กน้อยวัยกำลังซนจะทำตัวเรียบร้อยรู้ความเช่นนี้ ส่วนใหญ่อย่าแต่คาราวะผู้เป็นอาจารย์เลย ขอเพียงเข้าเรียนวันแรกโดยไม่ร้องไห้โยเยได้ เหล่าอาจารย์ทั้งหลายก็แทบต้องขอบคุณสวรรค์ด้วยความโล่งอก “เด็กดี เจ้าช่างเป็นเด็กดีนัก” นางยังหน้าตางดงามอีกด้วย หน้าตาช่างน่ารักน่าชังเหมือนมารดานางเหมือนครั้งยังเด็กไม่มีผิด แต่การประพฤติกายกลับรู้ประสาน่าเบาใจกว่าสตรีนางนั้นมาก มิน่า เหล่าผู้อาวุโสสายตรงถึงได้โปรดปรานนางเป็นการใหญ่ เมื่อเห็นว่านางไม่มีท่าทีผู้อาจารย์จึงพานางข้ามชั้นเรียนเด็กใหม่ไปยังชั้นเรียนทั่วไปอย่างรวดเร็ว ชั้นเรียนศิษย์ใหม่ที่ว่าก็มีไว้สำหรับลูกศิษย์ใหม่ที่เพิ่งเข้ามายังปรับตัวกับการนั่งเรียนนานๆ ไม่ได้ บ้างก็เป็นเด็กเล็กเอาแต่ใจ ไม่เคยถูกฝึกนิสัย เมื่ออยู่ในบ้านก็เป็นดั่งบรรพบุรุษน้อยๆ ที่ทุกคนของครอบครัวต้องเทิดทูนเอาใจ เมื่อเข้าสู้สถานที่ใหม่ๆ ก็ยังปรับตัวไม่ได้เป็นธรรมดา ไม่นานรองเท้าปักคู่เล็กก็เดินถึงชั้นเรียนแรกภายในอาคาร ศาลาไม้แปดเหลี่ยมสูงสามชั้น เหล่าลูกศิษย์จะถูกแบ่งออกเป็นสามระดับตามระดับอายุและความสามารถเช่นกัน มีชั้นเรียนแรก ชั้นเรียนที่สอง และชั้นเรียนสุดท้าย มีจะกล่าวว่าเป็นสถานศึกษาแต่เป็นแค่ที่เรียนเบื้องต้นสำหรับเด็กเล็กภายในตระกูลมิได้เข้มงวดกวดขันอะไร ยิ่งสำหรับเด็กที่รากพรสวรรค์ยังไม่เบ่งบานยิ่งแล้วใหญ่ ส่วนใหญ่จะเป็นที่ให้เด็กๆ เรียนความรู้พื้นฐาน ธรรมเนียม มารยาท จรรยา ศาสตรศิลป์ทั้งสี่นอกจากนั้นก็เป็นเพียงแค่สถานที่ที่ให้เด็กจากตระกูลสายต่างๆ ผูกไมตรีต่อกันก็เท่านั้น แต่สำหรับสายตรงของตระกูลทั้งหลาย มันคือที่ที่เอาไว้สอดส่องเหล่าเมล็ดพันธุ์พรสวรรค์ที่ควรค่าแก่การปลูกฝัง และโน้มน้าวตั้งแต่ยังเป็นต้นอ่อน นี่จึงเป็นสาเหตุตระกูลสายหลักสามารถครองอำนาจในจวนได้ย่างยาวนานฃ สุดท้ายในชีวิตนั้นของนาง กระทั่งตระกูลเซียวสายตรงล่มสลาย พวกสายรองที่คิดก่อกบฏก็ทำไม่สำเร็จและไม่ปัญญาทำสำเร็จด้วย แพรผ้าสีกลับบัวพลิ้วไหว เสียงรองเท้าเล็กเดินกระทบพื้นไม้เป็นจังหวะเสนาะหู พู่ปลายปิ่นผีเสื้อเหนือมวยผมก้องกังวาลใส ใบหน้างดงามประดับรอยยิ้มแห่งความมั่นใจเดินไปยังชั้นแรก เหล่าลูกศิษย์ต่างมองตรงมายังเด็กใหม่ที่ดูแปลกตา บางครายังได้ยินเสียงสูดลมหายใจลึกเพราะความตกตะลึงจนบรรยากาศเงียบสงัดก่อนดังจอแจราวนกแตกรัง “เด็กคนนั้นผู้ใดกันน่ะงามนัก!” “น่ารักจังเลย นี่เป็นพี่น้องจากสายใดกัน นางหน้าตาน่ารักราวตุ๊กตา!?” "ขออยากจับแก้มของนาง !" “ไม่ใช่แค่น่ารักนะ นางยังร่ำรวยมากอีกด้วย เจ้าดูเสื้อผ้านั้นสิ นี่ไม่ใช่ไหมจั๊กจั่นธาราหรอกหรือ?” “เฮือก! ใช่ที่เจ้าอ้อนวอนขอมารดาเป็นของขวัญวันเกิดเมื่อเดือนก่อนแต่ได้มาเพียงผ้าเช็ดหน้าใช่หรือไม่ แต่นางกลับมาเย็บใส่เป็นชุดทั้งตัว! สวรรค์! น่าอิจฉานัก” “ผู้ใดว่าไม่ใช่? ไม่รู้ว่าบุตรรักผู้มั่งคั่งจากสายตระกูลใด ปิ่นไม้ลายผีเสื้อนั้นก็ไม่ใช่ของธรรมดาเช่นกัน” “แต่สวมบนตัวนางพวกมันกลับดูไม่สะดุดตา!” “เพราะว่าทั้งตัวนางมีแต่สิ่งล้ำค่า โดยเฉพาะหน้าตานั้นเป็นที่ฟ้าตั้งใจประทานที่สุดต่างหาก เจ้าโง่!” “แต่ว่านางงดงามมากนะ งดงามจริงๆ” เหล่าเด็กๆ ซุบซิบพากันมองหน้าด้วยสายตาเป็นประกาย เหมยลี่อิงยิ้มผ่อนคลายพลางบ่นในใจ ข้าได้ยินนะ! เมื่อพวกเจ้าจะวิจารณ์ข้าเสียงดังถึงเพียงนี้ได้ ไยไม่มาตะโกนใส่หูข้าเสียให้มันจบๆ ไปเสียเล่า ! อาจารย์เคาะไม้ให้นักเรียนที่ตื่นเต้นกับลูกศิษย์ใหม่เงียบเสียงลงก่อนแนะนำนางอย่างเป็นทางการ ทันใดนั้นก็มีคำถามจากผู้ไม่ประสงค์ดีเอ่ยแทรกขึ้นมาทันที “ท่านอาจารย์เจ้าคะ ถึงนางจะเป็นลูกศิษย์ใหม่ที่มาจากสายตรงของตระกูลเราก็จริง แต่เผื่อไม่เกิดข้อครหาศิษย์อยากทราบว่านางอาศัยคุณสมบัติใดผ่านจากชั้นเรียนมายังชั้นเรียนแรกโดยตรงเจ้าคะ?” เหมยลี่อิงหันมองเด็กหญิงที่ถามอย่างประสงค์ร้าย ผู้อื่นไม่ใช่ใครที่ไหนแต่คุณหนูใหญ่จากสายรองหนึ่งในสาเหตุการล่มสลายของตระกูลเซียวนั่นเอง เด็กหญิงชุดสีกลีบบัวสยะยิ้มร้ายในใจ ในที่สุดก็ได้เริ่มคิดบัญชีสักที! ประโยคคำถามนี้ฟังดูเรียบง่าย ทว่าการตอบให้ดีนั้นเป็นเรื่องท้าทายมาก หากเจ้าจะบอกว่าการที่เจ้าข้ามผ่านชั้นเรียนใหม่มาได้เพราะว่าตนเองไม่ร้องไห้งอแงล่ะก็ หากประโยคนี้แพร่ออกไปย่อมหมายความว่าเหล่าเด็กๆ ที่อยู่ในชั้นเรียนใหม่ล้วนไม่ได้ความ การกล่าวความจริงย่อมไม่ใช่สิ่งที่น่าพิสมัย เมื่อเหล่าผู้ใหญ่ในสายตระกูลของเด็กๆ เหล่านั้นได้ยินย่อมถือว่านางได้ล่วงเกินคนเป็นจำนวนมาก แม้ไม่ถึงกลับขุ่นข้องหมองใจ แต่ย่อมกระทบทิ้งความประทับใจอันไม่น่าพิลัยไว้อย่างแน่นอน ทว่าเหมยลี่อิงคลี่รอยยิ้ม ดวงตาใสกระจ่างยิ่งกว่าท้องฟ้า เอ่ยเสียงภาคภูมิใจ “คุณสมบัติข้าคือการเป็นหลานของท่านตาเจ้าค่ะ!” นางว่าจบก็ขยิบตาท่าทางซุกซน เด็กหญิงหน้าประณีตน่ารักดุจตุ๊กตาหยกเมื่อเผยรอยยิ้มงดงามเจิดจ้าก็ราวกับสามารถเอื้อมคว้าโลกทั้งใบไว้ได้ในอุ้งมือ ผู้ใดจะแข็งใจถือสานางได้? อาจารย์และลูกศิษย์จำนวนมากกำลังหัวใจละลาย ทีเพียงผู้ประสงค์ร้ายที่รู้สึกกว่าไม่เป็นไปตามที่ตนมาดหมาย เซียวมี่ขมวดคิ้วมุ่นด้วยท่าทีไม่พอใจกล่าวแย้งว่า “เจ้าตอบเช่นนี้ใช้ได้ที่ไหน?!”บันไดศิลาดำทอดยาวเป็นวงเวียนจรดฟ้า กลางนภาสีครามสว่างเจิดจ้า ฟ้าเหนือศีรษะเป็นหมู่เมฆและดวงตะวัน หันหน้าลงมาเพียงเงาลานหินสีดำและผู้คุ้มสอบที่สีหน้าเย็นชา“ผู้เข้าสอบซ่งหลิงหลิงตกรอบ” ฟ่งปิงเยว่ประกาศ ศิษย์สายนอกสวมเครื่องแบบสีเขียวมรกตดิ้นเงินขึ้นไปรับตัวเด็กหญิงที่ไร้เรี่ยวแรงลงมาด้วยความเร็วแทบเป็นภาพติดตานี่สามารถพิสูจน์ได้ว่าแม้แต่ศิษย์สายนอกของสำนักแพทย์เขาปุบผาก็ยังมีพลังจิตสำนึกในระดับน่าตระหนกผู้รอบการทดสอบเห็นดังนั้นก็พยายามรุดหน้าต่อไป เพราะขอเพียงพวกหยุดช้าเพียงยี่สิบลมหายใจ สายตาอันแหลมคมของผู้คุมสอบก็จะจับจ้องไปยังพวกเขาในทันใด หากมีวี่แววว่าเจ้าจะไปต่อไม่ไหว สุ้มเสียงไร้น้ำใจไมตรีก็ประกาศว่าเจ้าตกรอบทันทีเด็กชายที่อยู่ข้างคนที่เพิ่งประกาศตกรอบไปถึงกับเสียวสันหลังวาบ ขนหัวลุกชี้ชัน กัดฟันเดินต่อแทบไม่คิดชีวิตเสียงสายลมกระพือพัดชายผ้าดุจท้องฟ้าคำรามหวีดวิวอยู่ข้างหู เหมยลี่อิงยังคงก้าวขึ้นบันไดดำอย่างใจเย็น สีดำทะมึนใต้ฟ้าเท้าราวกับมีชีวิตชีวายื่นมือออกมาดึงรั้งขายิ่งกว่าตะกั่วหนัก ช่างเป็นจิตสำนึกนึกอันทรงพลังอะไรเช่นนี้ขั้นที่ห้าสิบ เด็กหญิงยังเดินรุดหน้าด้วยท่าทาง
“เหอะ หากข้าไม่ขอโทษแล้วอย่างไร พวกเจ้าจะทำอะไรข้าได้” สวี่อวี้หลันยังคงเย่อหยิ่ง เรื่องอันใดต้องให้นางไปขอโทษคนไม่หัวนอนปลายเท้าจินเกอพ่นลมหายใจคราหนึ่ง เดินผ่านนางเข้าห้องไปเลือกเตียงที่อยู่หัวมุม“พวกเราก็จะได้รู้เช่นเห็นชาติสันดานเจ้ากระมัง”“เจ้า !!”“อวี้หลัน!! เจ้าพอได้แล้ว ที่นี่ไม่ใช่ที่บ้าน”สุดท้ายแล้วกลับเป็นสวี่ฟางเฟยที่เกลี้ยกล่อมน้องสาวอย่างอดทนพลางขอโทษสหายร่วมห้องแทน คนอื่นๆ ไม่พูดอะไร แม้แต่หลินรั่วอีก็ไม่รับคำขอโทษนั้น มีเพียงเหมยลี่อิงที่มองพวกนางสองพี่น้องอย่างมีความหมายสวี่ฟางเฟยได้แต่ยิ้มเจื่อน นางเองก็อับจนปัญญากระทั่งเพื่อนร่วมห้องอีกสองคนมาถึงบรรยากาศที่อึดอัดระหว่างพวกเขาถึงได้ผ่อนคลายลงรุ่งสางอาทิตยายังไม่โผล่พ้นขอบฟ้า รัตติกาลกำลังจะจางหาย แสงรำไรเพียงมองเห็นปลายฝ่ามือได้รางๆ ปรางแก้มสีชมพูอิ่มนิ่มนวลคลอเคลียเกศางาม อารามสาวน้อยกอดจิ้งจอกสีขาวขนฟูหลับสนิทด้วยความเหนื่อยล้าเมื่อคืนนางวางค่ายกลป้องกันไว้รอบเตียง จึงสามารถนอนหลับได้อย่างสบายใจจินเกอที่นอนอยู่เตียงข้างกันพลันลืมตาโผล่ เอื้อมมือคว้ามีดพกในอกเสื้อทันใด ประตูไม้ในเรือนนอนพวกนางเปิดออกโดยไร้ผ
แสงตะวันพลบค่ำอัสดงสีส้มนวลสว่างฉาบย้อมท้องฟ้าจนกลายเป็นผ้าไหมทองเข้มผืนหนึ่ง เหมยลี่อิงไม่ได้มีเวลาในรำพึงในใจนานนัก รองเท้าปักเดินก้าวตามขบวนคุ้มกันเข้าสู้สำนักในที่สุดพวกนางเดินตามสันเขาชมเมฆา ม่านหมอกเมฆหนาทึบลอยเอื่อยอ้อยอิ่ง กิ่งพัดใบไม่ไหวตามสายลมดังเคล้า เหล่าภมรปราณเริงร่าชมแนวผกาทอดทิวเขา ราวเหล่าภูติกระซิบสำเนียงแห่งพงไพร หัวใจที่เต้นกระหน่ำของเด็กหญิงก็ค่อยๆ เบาลง “เจ้าเป็นอะไรไป” จิงซิงเฉินถามเมื่อเห็นนางเหม่อลอย เหมยลี่อิงส่ายหน้าหยิบองหญิงจิ้งจอกหน่อยสีขาวฟูออกมาจากถุงเลี้ยงสัตว์ โม่เสวี่ยงัวเงียอยู่ในอ้อมแขนนางพลางหาวหวาดแม้แต่ตายังไม่ลืม “นั่นสัตว์สัญญาของเจ้าหรือ สายเลือดไม่เลวเลย แต่เจ้าต้องระวังการทดสอบไม่อนุญาติให้ใช้สัตว์ปราณช่วยเหลือเจ้าสามารฝากไว้ที่โถงสำนักระหว่างการสอบได้” ศิษย์หญิงที่เป็นผู้นำขบวนมากล่าวกับนางเล็กน้อยด้วยใบหน้าเรียบเฉยผู้ไม่สนิทย่อมฟังไม่ออกถึงความอบอุ่นที่ซ่อนอยู่ภายใน แต่ชาติที่แล้วนางคบหากับศิษย์พี่หญิงจางผิงจูมาหลายปีไหนเลยจะไม่ออก เหมยลี่อิงคลี่ยิ้มจนตาปิด เด็กหญิงนัยน์ตาดอกท้อใสกระจ่าง เรื่องหน้าจิ้มลิ้มม
เสียงกระบี่ฟาดฟันไล่ล่า คลื่นพลังปราณประทุเดือดพล่านทำลายป่าไม้ล้มระเนระนาด เหมยลี่อิงกับจิงซิงเฉินเห็นผู้ถูกไล่ล่าก็ม่านตาหดแคบ เป็นหลงเทียนสือผู้นั้นที่เคยมีปากเสียงกันที่โรงเตี๊ยมตงฟู ยามนี้ที่เด็กชายที่จมูกชี้ฟ้าสง่างามยิ่งผยองกลับไม่หลงเหลือความหยิ่งยโสเลยแม้แต่น้อย เสื้อผ้าอาภรณ์ชั้นดีของเขาในยามนี้ล้วนขาดวิ่นเนื้อตัวเต็มไปตัวบาดแผลฉกรร บางตำแหน่งลึกแทบเห็นกระดูก หากไม่ได้ผู้คุ้มกันทั้งสองสละชีวิตรั้งศัตรูไว้ตัวเขาก็แทบเอาชีวิตไม่รอด เด็กผู้นั้นเห็นได้ชัดว่าหนีการไล่ล่ามา เมื่อพวกจิงซิงเฉินในแววตาก็ปรากฎแววโล่งใจ แคว้นหลงกับแคว้นจินอยู่ข้างเคียงกัน ราชวงศ์ของพวกเขาล้วนมีความสัมพันธ์อันดี ถึงขึ้นมีการแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์กันมาหลายรุ่น ไม่ว่าด้วยเหตุผลใด จิงซิงเฉินไม่อาจปล่อยให้เขาตายโดยไม่ช่วยเหลือ หลงเทียนสือแม้หยิ่งผยองแต่ไม่ใช่ตัวโง่งม เพียงประสานมือคาราวะพวกเขานัยต์ทอแววอับอายอยู่บ้าง “บุญคุณครั้งนี้ข้าจะทดแทนภายหลังอย่างแน่นอน” จิงซิงเฉินลังเลเล็กน้อยหากมีเพียงเขาคนเดียวย่อมลงมือช่วยเหลืออีกฝ่ายโดยไม่คิดอะไร แต่ยามนี้เพื่อนร่วม
ปัง ! กระแทกผนังจนแตกกระจาย ผนังไม่กลับเป็นเพียงรอยขีดข่วน ผู้คุ้มกันทั้งลายออกมาคุ้มกันคุณหนูคุณชายของพวกเขาไว้ตรงกลางป้องกันการโดนลูกหลง เหมยลี่อิงอดพำพึมไม่ได้ “ช่างเป็นพนังไม้ที่แข็งแกร่งสมคำโอ่จริงๆ” “อาศัยสวะเช่นเจ้ากล้าเหิมเกริมกับข้า ช่างไม่รู้จักคำว่า ‘ตาย’สะกดอย่างไร” ดรุณีนางหนึ่งหน้าตาสระสวยสะพายกระบี่เล่มใหญ่ ระเบิดพลังสวะของหนิงม่ายออกมาเต็มที่ พวกเหมยลี่อิงมีผู้คุ้มกัยปิดป้องย่อมไม่เป็นไร เหล่าเสี่ยวเอ้อร์ล้วนหลับไปยังค่ายกลหลังร้านอย่างรู้หน้าที่ มีเพียงรู้ค้าบ้างคนพลังฝีมือต่ำอยู่บ้างทุกลูกหลงกันไปหอมปากหอมคอ ไม่มีใครเข้าไปห้าม ประการแรกเพราะยอกข้าวของในร้านแล้วไม่มีผู้ใดได้รับความเสียหาย นับว่าหญิงสาวนางนั้นควบคุมตนเองได้ดีอยู่บ้าง ประการที่สองผู้ใดจะอยากหาเรื่องใส่ตัวด้วยการแส่เรื่องของผู้อื่น หญิงสาวนางนั้นร่างกายไม่กำยำแต่สังขารแข็งแกร่งยิ่ง ปราบอันธพาลรานถิ่นที่กล่าววาจาแทะโลมนางด้วยหมัดหลุนๆ อีกหมัดตามด้วยอีกหมัด เสียงถูกชกอย่างรุนแรงปานนี้ อันธพาลผู้นั้นโดนอัดไม่กี่ทีก็หลงเหลือเพียงลมหายใจรวยริน ถู
“ข้าจ่ายไปสองจิงสือระดับสามเมื่อท่านเสนอเพิ่มราคาให้ เช่นนั้นมิสู้ให้ข้าสี่จิงสือระดับสามเถอะ”หลงเทียนสือแม้มาจากแคว้นไหนแต่ไม่ใช่ตระกูลยอดยุทธไม่มีเหมืองหินผลึกปราณ เขาไหนเลยจะมีจิงสือมากมายปานนั้น ขณะกำลังจะทักท้วงมองเห็นรูปโฉมของคนที่ออกมาจากประตูเสียงก็พลันขากห้วงไป“นี่เจ้ากะจะปล้นชิงกันหร--”“ข้าจ่ายให้เขาราคานี่จริงๆ เมื่อท่านเสนอเพิ่มราคาก็สมควรใจกว้างกว่านี้สักหน่อย”เหมยลี่อิงงามยามนี้สวมผ้าคลุมเพียงครึ่งหน้า เห็นคิวโก่งเรียวดุจใบหลิว แพขนตาเงาหนาดุจม่านฝน นัยต์ตาดอกท้อสวยหวานราวลูกกวางทั้งเย้ายวนทั้งดูไร้เดียงสา เพียงเท่านี้ก็เผยรูปลักษณ์ปานหยาดฟ้ามาดินของนางจนผู้มองอดไม่ได้จะสูดลมหายใจลึกกับการงานห้องนั้นนางหาได้มีปัญหาอันใด เพียงเหมยลี่อิงไม่ชมชอบพฤติการณ์ของคนผู้นี้ฝ่ายหลงเทียนสือผู้ถูกสบประมาท ตัวเขามาจากราชวงศ์แคว้นใหญ่แคว้นหนึ่ง แต่ไหนแต่ไหนก็ไม่เคยไม่ได้สิ่งที่ต้องการ เด็กหญิงนางนี้กลับกล้าขัดใจเขา แม้เด็กหญิงผู้นั้นจะเป็นสาวงาม แต่ตัวเขาเป็นลูกผู้ชายกลับถูกผู้อื่นหยามว่าใจไม่กว้างพอ เรื่องนี้ยอมไม่ได้เด็กทั้งสองรวามถึงผู้คุ้มกันฝ่ายพวกเขาจ้องมองกันด้วยความเป็นป