โลกที่เขารู้จักไม่เคยมีความงดงาม
อวิ๋นหังเกิดในจวนตระกูลใหญ่ แต่สถานะของเขากลับต่ำยิ่งกว่าบ่าวไพร่ เนื่องเพราะมารดาของเขาเป็นเผ่ามาร เขาเกิดมาก็ไม่รู้อะไรมากนัก รู้เพียงแต่ฮูหยินใหญ่จวนสี่มักไม่ยินดีในการมีอยู่ของเขา ส่วนผู้ได้ชื่อว่าเป็นบิดาเองก็ไม่เคยใส่ใจ ต่างจากความเป็นอยู่ของทายาทตระกูลใหญ่ เขาอาศัยอยู่ในห้องเก็บฟืนเล็กที่เต็มไปด้วยฟางแห้ง บ้าวครั้งก็มีหนู มีงู มีตะขาบเป็นเพื่อน พวกมันบ้างคราก็มานอนกับเขา บ้าวคราก็กัดเขา ฝังพิษบ้าง เขาไม่ได้ใส่ใจเพราะอย่างไรเขาก็ไม่ตาย อีกทั้ง อย่างไรก็ดีกว่าอยู่ตัวคนเดียว ตอนเช้าเขาต้องหาบน้ำ ตอนสายต้องเป็นลูกมือทำอาหาร ต้องเที่ยงต้องล้างจาน ตอนเย็นยังต้องซักผ้า ท้องฟ้าที่เขาเห็นไม่เคยเป็นสีฟ้าใส บางครั้งมันก็เปล่งประกายแดงๆ ในอากาศสีขาวดำ ความอาฆาตพยาบาทที่ลอยมาจากผู้คนมักเข้าเติมเต็มท้องของเขาประทังหิว มันมาพร้อมกับความขุ่นแค้น ริษยา อารมณ์อันแสนเหม็นเน่าที่เขาเพียงมองว่าเป็นอาหารเพราะว่าไม่อาจกินข้าวขาวได้อิ่มเหมือนคนอื่นๆ แม่นมจั่วข้างกายฮูหยินใหญ่มักเอามือนางจิกกระชากเส้นผมเขาแล้วกล่าว หากเจ้าไม่ทำงานก็จะไม่มีข้าวกิน แต่อวิ๋นหังมักไม่ค่อยเข้าใจเพราะไม่ว่าเขาจะทำงานหนักเท่าใด ก็ไม่ค่อยมีข้าวส่วนของเขาอยู่ดี แต่หากเขาไม่ทำก็จำถูกทุบตีมากขึ้นอีก แม้ประกายแสงสีแดงจากสามารถประทังให้อิ่มได้แต่ก็ไม่ใช่ข้าว ครั้งหนึ่งเขาทำงานหนักมาสามวันก็ยังไม่มีอาหารตกถึงท้องแล้ว จึงเดินไปหาฮูหยินใหญ่บอกนางว่าหิวข้าวเหลือเกิน นางเพียงกล่าวว่า “พวกลูกครึ่งมารก็ยังคงเป็นมาร ช่างตายยากเหมือนมารดามิมีผิด ช่างตายยากนัก” หลังจากนั้นนางหันไปเจรจากับหญิงสาวที่แต่งตัวสวยงาม ร่างกายกลับรายล้อมไปด้วยประกายแดงจ้า อารมณ์ขุ่นแค้นริษยาเหม็นโชยกว่าใคร หลังจากนั้นเขาก็ได้กินข้าวอิ่มหนำครั้งใหญ่แบบที่ไม่เคยกินมาก่อน นั้นเป็นวันที่เขาถูกลอบฆ่าผ่านการวางยาพิษเป็นครั้งแรก ทว่าเมื่อครั้งแรกผ่านไปย่อมมีครั้งที่สองสามสี่ ตามมาไม่รู้จักจบสิ้น เขาไม่เคยทำเลยว่ามันมีกี่ครั้ง กี่วิธีการที่ผ่านไป รู้เพียงแต่ว่าในใจนั้นกระด้างชาจนไม่รู้จักเจ็บปวด ฟ้าที่ควรเป็นสีฟ้าดั่งที่ผู้อื่นว่ากลับแดงก่ำคล่ำหม่นลงเรื่อยๆ เขาไม่ได้นับว่าตนเองคิดหนีไปจากนรกแห่งนี้กี่ครั้งหน เพียงไม่รู้ว่าที่ใดที่คนเช่นเขาสามารถหนีไปได้ หากเขาหนีไปได้ สักวันเขาจะต้องกลับมาเผาจวนตระกูลเซียวที่น่าชิงชังให้วาดวายเพื่อมลายความแค้นในดวงจิตให้สิ้น แล้วก็โอกาสของชีวิตเขาก็ได้มาถึง คุณหนูใหญ่หลานสาวคนโปรดของอตีดผู้นำตระกูลป่วยหนัก แม่นมและบ่าวไพร่โดนปลดโดนโบยตายไปมากมาย ฮูหยินใหญ่สายสี่คงคิดแผนการใดสักอย่างจึงส่งเขาไปที่นั้น แผนการของนางทั้งหยาบกระด้างเรียบง่ายยืมดาบฆ่าคน นางฆ่าเขาไม่ได้ แต่หากเป็นผู้เฒ่าเซียวที่วรยุทธสูงล้ำบันดาลโทสะเพื่อหลานสาวสุดที่รักเล่า? น่าขันนัก ทั้งยังน่าชิงชังอย่างยิ่ง เขาแสร้งทำสงบนิ่งเพื่อไม่ให้นางล่วงรู้ได้ว่าวางแผนจะโอกาสหลบหนีไป ยามผู้คนวนเวียนวุ่นวายผู้ใดจะสนใจบ่าวไพร่ตัวเล็กๆ แต่แผนที่วางไว้ก็ต้องผิดไป เมื่อบ่าวรับใช้ที่เรือนนี้เองก็ดูจะมีสายของนางคอยเฝ้ามองเขาอยู่เสมอ เขาได้แต่บอกให้ตนเองสงบใจไว้เพื่อเฝ้ารอโอกาส หรือว่าเขาควรเปลี่ยนแผนเป็นฝ่ายหยิบยื่นโอกาสให้ หากตนเองถูกลงโทษอย่างหนัก แสร้งทำเป็นตายแล้วหาโอกาสหนีไปยามถูกไปทิ้งในหลุมทิ้งศพย่อมง่ายกว่ามาก เขาคิดเช่นนั้นแล้วก็ตัดสินใจเช่นนั้น ก่อนที่แผนการแกล้งป่วยหนักของเขาจะได้ริเริ่ม กลับมือข้างหนึ่งผลักหลังของเขา อ่างทองแดงในมือหล่นร่วงลงพื้นน้ำสาดกระจายไปพื้นห้อง ไหล่ของเขาถูกกดให้คุกเข่าลงอย่างหยาบคาย หัวเข่าผอมช้ำจากกระแทกพื้น เด็กชายนั่งตัวสั่นฟังคำต่อว่า ไม่ใช่เพราะความหวาดหวั่นแต่เป็นความตื่นเต้นระทึกใจ ทันใดเสียงราวกระจ่างก็ทำลายแผนการทั้งหมด “ไม่เป็นไร เรื่องแค่นี้เอง” “เจ้าน่ะ เงยหน้าขึ้นสิ” เป็นครั้งแรกที่เขาได้เห็นนางอย่างเต็มตา ดุจดั่งภาพวาดสีน้ำหมึกขาวดำซีดจางกระจัดกระจาย ถูกฉีกขาดด้วยสีสันแรกแห่งชีวิต ดวงตาคู่นั้นมีสีชมพูแรกของดอกกุ้ยเหมยฮวาอันสวยสด ผลิบานกลางพนาดุจผืนป่าที่โอบอุ้มสรรพชีวิตที่สะท้อนอยู่ในนั้น เป็นครั้งแรกที่เขาเข้าใจว่าอะไรที่เรียกความงดงาม อันใดคือสิ่งที่เรียกว่าพันธนการที่งดงามที่สุดในโลกหล้า มันช่างชวนเบิกบานและจริงแท้ยิ่งกว่าสิ่งใดๆ แม้ว่าเจ้าของดวงตาคู่นั้นจะทำลายแผนการเขาจนยับเยินก็ตาม หลังจากนั้นทุกสิ่งก็ไม่มีสิ่งใดเป็นไปตามที่เขาคิดไว้เลยก็ดี มีคนใส่ใจเขาที่ตัวเปียกมอมแมมเป็นครั้งแรกของเขาที่ได้อาบน้ำอุ่นที่มีคนตระเตรียมให้ ไอน้ำเหล่านั้นมันอุ่นเกินไปจนทำหัวใจของเขาคันยุบยิบ ตอนนี้นางชี้นิ้วเล็กๆ มาที่เขาแล้วกล่าวว่าคนผู้นี้ทำเอาเขาพูดไม่ออก หัวใจของที่ถลอกปอกเปิกรุ่งริ่งคล้ายถูกลูกแมวตัวน้อยที่สวยงามจับจ้องด้วยความสงสัย แล้วปากชมพูเล็กๆ ของมันบอกผู้อื่นว่ามันปรารถนาจะได้มา อุ้งเท้าขาวสองเตรียมกรงเล็บตะบปอย่างเย่อหยิ่งเอาแต่ใจ แผนการหลบหนีจากจวนตระกูลเซียวคล้ายมหายหายไปสิ้น เด็กชายถูกพัธนการที่มองไม่เห็นในแก้วตาสีชมพูคู่งามเกี่ยวรัดพันแน่นจนต้องพัวพันกับนางไปทั้งชีวิต เซียวอวิ๋นหังเงยหน้ามองผืนฟ้าครามและรู้ว่าท้องฟ้าวันนี้ดูครามสดใสขึ้นเล็กน้อย แสงแดดสะท้อนกระเบื้องหลังคา ตัวเหรือนไม้แปดเหลี่ยมโอ่อ่า ให้รถม้าแต่ละเรือนมาจอดเทียบชานวุ่นวายในยามเช้าตรู เหล่าบ่าวกู่ลีกุจอประคองเหล่าคุณหนูคุณชายลงจากรถม้า บ้างก็ประคองลงมา บ้างก็โค้งตัวลงเป็นฐานมนุษย์ให้เหยียบลง คนที่มายังที่แห่งมาเรียกมันว่าสำนักศึกษาตั้งอยู่ใจกลางตระกูลเซียวอันยิ่งใหญ่ นี่ก็คือสถานที่แห่งแรกในการบ่มเพาะเหล่าทายาทรุ่นเยาว์มาหลายต่อหลายรุ่น ทายาทตระกูลใหญ่ที่มาพร้อมกับพี่เลี้ยงข้ารับใช้สหายร่วมเรียน สภาพการณ์จึงวุ่นวายเล็กน้อย ไม่ค่อยเคร่งครัดเคร่งขรึมมากนัก เพื่อให้เด็กรุ่นหลังได้มีสายสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน ตระกูลเซียวจึงตรากฎไว้ตั้งแต่แรกว่าเหล่าทายาทไม่ว่าสายใดล้วนต้องเรียนรวมกัน ดังนั้นเฉพาะเหล่าลูกศิษย์รุ่นเล็กทั้งหลายจึงมีรวมกันไม่ต่ำกว่าห้าสิบคน คุณหนูคุณชายบางคนที่โตแล้วก็ยังพอนิ่งสงบได้ บางคนที่ยังเล็กเอาแต่ใจก็ร้องไห้โวยวายไม่อยากมาเรียน “ช่างวุ่นวายดีจริงๆ มาเรียนทุกเช้าก็วุ่นวายอยู่ได้ทุกเช้า ไฉนพวกเราต้องมาเรียนร่วมกับพวกเขาด้วย” เด็กชายชุดเขียววัยแปดหนาวเบ้ปากว่า ตัวเขาในฐานะคุณชายรองสายตรงกลับต้องเรียนรวมกับเหล่าเด็กน้อยจากตระกูลสาขานี่ไม่น่าภิรมย์อย่างยิ่ง เขาคิดแล้วคิดอีกก็ถอนหายใจ ทำท่าทางแก่กว่าวัยอย่างยิ่ง “ข้าไฉนไม่เก่งกาจเท่าศิษย์พี่ใหญ่หนอ จะได้ไปเรียนการสืบทอดจากท่านตาโดยตรงได้” ไม่ต้องมาเสียเวลาอยู่ที่นี่ บรรยากาศจึงนิ่งงันไป เด็กชายชุดเขียวเห็นเช่นนั้นก็ยิ่งเหนื่อยหน่าย จึงชายเสื้อกล่าว “เช่นนั้นช่วงนี้มีเรื่องใดน่าสนใจบ้างหรือไม่” คราคราวนี้บรรยากาศคึกคักขึ้นทันใด ไม่ว่าใครต่างก็อยากให้เรื่องเล่าของตนดึงดูกความสนใจขาใหญ่ผู้นี้ไว้ได้ เซียวสือรุ่นนั่งฟังด้วยความพอใจ กระทั่งได้ยินข่าวหนึ่งที่ควรค่าแก่การใส่ใจ “เจ้าว่าน้องหญิงใหญ่จะมาเรียนวันนี้งั้นหรือ?” มือหยกที่แกว่งคนถ้วยชาชะงักไป พวกเขาแม้อยู่สายตรงเหมือนกัน แต่น้องหญิงใหญ่ผู้นี้ช่างลึกลับนัก นางเกิดจากอาหญิงของเขาที่ยังไม่แต่งงาน ตามหลักควรถือเป็นน้องสาวนอกแซ่ แต่เพราะความโปรดปราณของท่านปู่ผู้ยิ่งใหญ่ จึงอนุญาติให้นางใช้แซ่เชียวได้โดยไม่มีผู้ใดคัดค้าน นางไม่ได้ออกมานอกเขตเรือนหลักเท่าไร แต่ท่านพ่อของเขาและท่านลุงใหญ่กลับรักใคร่เอ็นดูนางมาก แม้ไม่ค่อยได้พบเจอเท่าไร ทว่าไม่ว่าของสิ่งใดที่เขาและพี่ชายได้หรือมีจะต้องทำส่งไปหรือสำรองไว้ให้นางชุดหนึ่ง กลับกันอาหญิงเองเสียอีกที่ไม่ใคร่พอใจกลับความโปรดปราณที่บุตรสาวได้ ไม่ว่าพูดถึงนางเมื่อใดก็มีสำหน้ากระด้างเย็นชาทุกคราไป ฟังว่านางร่างกายอ่อนแอจึงถูกงดเว้นจากการร่วมโต๊ะอาหารวันปีใหม่หรือร่วมโต๊ะคาราวะผู้ใหญ่ในงานต่างๆ การจะเห็นเงานางสักครั้งยังยากยิ่งกว่าการได้พบท่านลุงใหญ่ซึ่งเป็นผู้นำตระกูลเสียอีก คุณหนูใหญ่สายหลักผู้ลึกลับ เรื่องนี้เป็นเรื่องน่าสนใจอยู่พักหนึ่งในจวนตระกูลเซียว ผู้อื่นอยากรู้เท่าไรย่อมไม่สามารถเขามาเขตเรือนสายหลักของพวกเขาได้ แต่ยามยังเล็กเขาเคยเกิดความอยากรู้อยากเห็น กอปรกับปีนั้นนางป่วยหนักแต่เรือยนหลักกับมีนักพรตเซียนยันต์เดินเข้าเดินออกเต็มไปหมดแม้จะเป็นไปอย่างลับๆ แต่จะปกปิดสายตาคนในบ้านใหญ่ด้วยกันได้อย่างไร เขาใคร่อยากรู้ว่านางเป็นอย่างข่าวลือว่าจริงๆ ไม่ได้ป่วยหนักอันใด แต่ถูกผีเข้าจนเสียสติใช่หรือไม่ จึงย่องไปปีนกำแพงแอบดู.... ผลลัพธ์คือไม่ได้เห็นเงาคนกลับถูกจับได้ ท่านลุงใหญ่กับท่านพ่อโมโหใส่เขาจนโดนกักบริเวรอยู่พักใหญ่ ไม่รู้ว่าน้องหญิงมีผู้นี้มีความลับที่ยิ่งใหญ่อันใดกันแน่ แต่ไม่กล้าไปแอบดูอีก ยามนี้ได้ยินว่านางเพิ่งหายป่วยไข้ แต่ไฉนท่านปู่หักใจให้นางมาเรียนร่วมกลับผู้อื่นได้ เซียวสือรุ่ยดวงตาเป็นประกาย ไม่รู้ว่านางจะนำความประหลาดใจแบบไหนมาบันไดศิลาดำทอดยาวเป็นวงเวียนจรดฟ้า กลางนภาสีครามสว่างเจิดจ้า ฟ้าเหนือศีรษะเป็นหมู่เมฆและดวงตะวัน หันหน้าลงมาเพียงเงาลานหินสีดำและผู้คุ้มสอบที่สีหน้าเย็นชา“ผู้เข้าสอบซ่งหลิงหลิงตกรอบ” ฟ่งปิงเยว่ประกาศ ศิษย์สายนอกสวมเครื่องแบบสีเขียวมรกตดิ้นเงินขึ้นไปรับตัวเด็กหญิงที่ไร้เรี่ยวแรงลงมาด้วยความเร็วแทบเป็นภาพติดตานี่สามารถพิสูจน์ได้ว่าแม้แต่ศิษย์สายนอกของสำนักแพทย์เขาปุบผาก็ยังมีพลังจิตสำนึกในระดับน่าตระหนกผู้รอบการทดสอบเห็นดังนั้นก็พยายามรุดหน้าต่อไป เพราะขอเพียงพวกหยุดช้าเพียงยี่สิบลมหายใจ สายตาอันแหลมคมของผู้คุมสอบก็จะจับจ้องไปยังพวกเขาในทันใด หากมีวี่แววว่าเจ้าจะไปต่อไม่ไหว สุ้มเสียงไร้น้ำใจไมตรีก็ประกาศว่าเจ้าตกรอบทันทีเด็กชายที่อยู่ข้างคนที่เพิ่งประกาศตกรอบไปถึงกับเสียวสันหลังวาบ ขนหัวลุกชี้ชัน กัดฟันเดินต่อแทบไม่คิดชีวิตเสียงสายลมกระพือพัดชายผ้าดุจท้องฟ้าคำรามหวีดวิวอยู่ข้างหู เหมยลี่อิงยังคงก้าวขึ้นบันไดดำอย่างใจเย็น สีดำทะมึนใต้ฟ้าเท้าราวกับมีชีวิตชีวายื่นมือออกมาดึงรั้งขายิ่งกว่าตะกั่วหนัก ช่างเป็นจิตสำนึกนึกอันทรงพลังอะไรเช่นนี้ขั้นที่ห้าสิบ เด็กหญิงยังเดินรุดหน้าด้วยท่าทาง
“เหอะ หากข้าไม่ขอโทษแล้วอย่างไร พวกเจ้าจะทำอะไรข้าได้” สวี่อวี้หลันยังคงเย่อหยิ่ง เรื่องอันใดต้องให้นางไปขอโทษคนไม่หัวนอนปลายเท้าจินเกอพ่นลมหายใจคราหนึ่ง เดินผ่านนางเข้าห้องไปเลือกเตียงที่อยู่หัวมุม“พวกเราก็จะได้รู้เช่นเห็นชาติสันดานเจ้ากระมัง”“เจ้า !!”“อวี้หลัน!! เจ้าพอได้แล้ว ที่นี่ไม่ใช่ที่บ้าน”สุดท้ายแล้วกลับเป็นสวี่ฟางเฟยที่เกลี้ยกล่อมน้องสาวอย่างอดทนพลางขอโทษสหายร่วมห้องแทน คนอื่นๆ ไม่พูดอะไร แม้แต่หลินรั่วอีก็ไม่รับคำขอโทษนั้น มีเพียงเหมยลี่อิงที่มองพวกนางสองพี่น้องอย่างมีความหมายสวี่ฟางเฟยได้แต่ยิ้มเจื่อน นางเองก็อับจนปัญญากระทั่งเพื่อนร่วมห้องอีกสองคนมาถึงบรรยากาศที่อึดอัดระหว่างพวกเขาถึงได้ผ่อนคลายลงรุ่งสางอาทิตยายังไม่โผล่พ้นขอบฟ้า รัตติกาลกำลังจะจางหาย แสงรำไรเพียงมองเห็นปลายฝ่ามือได้รางๆ ปรางแก้มสีชมพูอิ่มนิ่มนวลคลอเคลียเกศางาม อารามสาวน้อยกอดจิ้งจอกสีขาวขนฟูหลับสนิทด้วยความเหนื่อยล้าเมื่อคืนนางวางค่ายกลป้องกันไว้รอบเตียง จึงสามารถนอนหลับได้อย่างสบายใจจินเกอที่นอนอยู่เตียงข้างกันพลันลืมตาโผล่ เอื้อมมือคว้ามีดพกในอกเสื้อทันใด ประตูไม้ในเรือนนอนพวกนางเปิดออกโดยไร้ผ
แสงตะวันพลบค่ำอัสดงสีส้มนวลสว่างฉาบย้อมท้องฟ้าจนกลายเป็นผ้าไหมทองเข้มผืนหนึ่ง เหมยลี่อิงไม่ได้มีเวลาในรำพึงในใจนานนัก รองเท้าปักเดินก้าวตามขบวนคุ้มกันเข้าสู้สำนักในที่สุดพวกนางเดินตามสันเขาชมเมฆา ม่านหมอกเมฆหนาทึบลอยเอื่อยอ้อยอิ่ง กิ่งพัดใบไม่ไหวตามสายลมดังเคล้า เหล่าภมรปราณเริงร่าชมแนวผกาทอดทิวเขา ราวเหล่าภูติกระซิบสำเนียงแห่งพงไพร หัวใจที่เต้นกระหน่ำของเด็กหญิงก็ค่อยๆ เบาลง “เจ้าเป็นอะไรไป” จิงซิงเฉินถามเมื่อเห็นนางเหม่อลอย เหมยลี่อิงส่ายหน้าหยิบองหญิงจิ้งจอกหน่อยสีขาวฟูออกมาจากถุงเลี้ยงสัตว์ โม่เสวี่ยงัวเงียอยู่ในอ้อมแขนนางพลางหาวหวาดแม้แต่ตายังไม่ลืม “นั่นสัตว์สัญญาของเจ้าหรือ สายเลือดไม่เลวเลย แต่เจ้าต้องระวังการทดสอบไม่อนุญาติให้ใช้สัตว์ปราณช่วยเหลือเจ้าสามารฝากไว้ที่โถงสำนักระหว่างการสอบได้” ศิษย์หญิงที่เป็นผู้นำขบวนมากล่าวกับนางเล็กน้อยด้วยใบหน้าเรียบเฉยผู้ไม่สนิทย่อมฟังไม่ออกถึงความอบอุ่นที่ซ่อนอยู่ภายใน แต่ชาติที่แล้วนางคบหากับศิษย์พี่หญิงจางผิงจูมาหลายปีไหนเลยจะไม่ออก เหมยลี่อิงคลี่ยิ้มจนตาปิด เด็กหญิงนัยน์ตาดอกท้อใสกระจ่าง เรื่องหน้าจิ้มลิ้มม
เสียงกระบี่ฟาดฟันไล่ล่า คลื่นพลังปราณประทุเดือดพล่านทำลายป่าไม้ล้มระเนระนาด เหมยลี่อิงกับจิงซิงเฉินเห็นผู้ถูกไล่ล่าก็ม่านตาหดแคบ เป็นหลงเทียนสือผู้นั้นที่เคยมีปากเสียงกันที่โรงเตี๊ยมตงฟู ยามนี้ที่เด็กชายที่จมูกชี้ฟ้าสง่างามยิ่งผยองกลับไม่หลงเหลือความหยิ่งยโสเลยแม้แต่น้อย เสื้อผ้าอาภรณ์ชั้นดีของเขาในยามนี้ล้วนขาดวิ่นเนื้อตัวเต็มไปตัวบาดแผลฉกรร บางตำแหน่งลึกแทบเห็นกระดูก หากไม่ได้ผู้คุ้มกันทั้งสองสละชีวิตรั้งศัตรูไว้ตัวเขาก็แทบเอาชีวิตไม่รอด เด็กผู้นั้นเห็นได้ชัดว่าหนีการไล่ล่ามา เมื่อพวกจิงซิงเฉินในแววตาก็ปรากฎแววโล่งใจ แคว้นหลงกับแคว้นจินอยู่ข้างเคียงกัน ราชวงศ์ของพวกเขาล้วนมีความสัมพันธ์อันดี ถึงขึ้นมีการแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์กันมาหลายรุ่น ไม่ว่าด้วยเหตุผลใด จิงซิงเฉินไม่อาจปล่อยให้เขาตายโดยไม่ช่วยเหลือ หลงเทียนสือแม้หยิ่งผยองแต่ไม่ใช่ตัวโง่งม เพียงประสานมือคาราวะพวกเขานัยต์ทอแววอับอายอยู่บ้าง “บุญคุณครั้งนี้ข้าจะทดแทนภายหลังอย่างแน่นอน” จิงซิงเฉินลังเลเล็กน้อยหากมีเพียงเขาคนเดียวย่อมลงมือช่วยเหลืออีกฝ่ายโดยไม่คิดอะไร แต่ยามนี้เพื่อนร่วม
ปัง ! กระแทกผนังจนแตกกระจาย ผนังไม่กลับเป็นเพียงรอยขีดข่วน ผู้คุ้มกันทั้งลายออกมาคุ้มกันคุณหนูคุณชายของพวกเขาไว้ตรงกลางป้องกันการโดนลูกหลง เหมยลี่อิงอดพำพึมไม่ได้ “ช่างเป็นพนังไม้ที่แข็งแกร่งสมคำโอ่จริงๆ” “อาศัยสวะเช่นเจ้ากล้าเหิมเกริมกับข้า ช่างไม่รู้จักคำว่า ‘ตาย’สะกดอย่างไร” ดรุณีนางหนึ่งหน้าตาสระสวยสะพายกระบี่เล่มใหญ่ ระเบิดพลังสวะของหนิงม่ายออกมาเต็มที่ พวกเหมยลี่อิงมีผู้คุ้มกัยปิดป้องย่อมไม่เป็นไร เหล่าเสี่ยวเอ้อร์ล้วนหลับไปยังค่ายกลหลังร้านอย่างรู้หน้าที่ มีเพียงรู้ค้าบ้างคนพลังฝีมือต่ำอยู่บ้างทุกลูกหลงกันไปหอมปากหอมคอ ไม่มีใครเข้าไปห้าม ประการแรกเพราะยอกข้าวของในร้านแล้วไม่มีผู้ใดได้รับความเสียหาย นับว่าหญิงสาวนางนั้นควบคุมตนเองได้ดีอยู่บ้าง ประการที่สองผู้ใดจะอยากหาเรื่องใส่ตัวด้วยการแส่เรื่องของผู้อื่น หญิงสาวนางนั้นร่างกายไม่กำยำแต่สังขารแข็งแกร่งยิ่ง ปราบอันธพาลรานถิ่นที่กล่าววาจาแทะโลมนางด้วยหมัดหลุนๆ อีกหมัดตามด้วยอีกหมัด เสียงถูกชกอย่างรุนแรงปานนี้ อันธพาลผู้นั้นโดนอัดไม่กี่ทีก็หลงเหลือเพียงลมหายใจรวยริน ถู
“ข้าจ่ายไปสองจิงสือระดับสามเมื่อท่านเสนอเพิ่มราคาให้ เช่นนั้นมิสู้ให้ข้าสี่จิงสือระดับสามเถอะ”หลงเทียนสือแม้มาจากแคว้นไหนแต่ไม่ใช่ตระกูลยอดยุทธไม่มีเหมืองหินผลึกปราณ เขาไหนเลยจะมีจิงสือมากมายปานนั้น ขณะกำลังจะทักท้วงมองเห็นรูปโฉมของคนที่ออกมาจากประตูเสียงก็พลันขากห้วงไป“นี่เจ้ากะจะปล้นชิงกันหร--”“ข้าจ่ายให้เขาราคานี่จริงๆ เมื่อท่านเสนอเพิ่มราคาก็สมควรใจกว้างกว่านี้สักหน่อย”เหมยลี่อิงงามยามนี้สวมผ้าคลุมเพียงครึ่งหน้า เห็นคิวโก่งเรียวดุจใบหลิว แพขนตาเงาหนาดุจม่านฝน นัยต์ตาดอกท้อสวยหวานราวลูกกวางทั้งเย้ายวนทั้งดูไร้เดียงสา เพียงเท่านี้ก็เผยรูปลักษณ์ปานหยาดฟ้ามาดินของนางจนผู้มองอดไม่ได้จะสูดลมหายใจลึกกับการงานห้องนั้นนางหาได้มีปัญหาอันใด เพียงเหมยลี่อิงไม่ชมชอบพฤติการณ์ของคนผู้นี้ฝ่ายหลงเทียนสือผู้ถูกสบประมาท ตัวเขามาจากราชวงศ์แคว้นใหญ่แคว้นหนึ่ง แต่ไหนแต่ไหนก็ไม่เคยไม่ได้สิ่งที่ต้องการ เด็กหญิงนางนี้กลับกล้าขัดใจเขา แม้เด็กหญิงผู้นั้นจะเป็นสาวงาม แต่ตัวเขาเป็นลูกผู้ชายกลับถูกผู้อื่นหยามว่าใจไม่กว้างพอ เรื่องนี้ยอมไม่ได้เด็กทั้งสองรวามถึงผู้คุ้มกันฝ่ายพวกเขาจ้องมองกันด้วยความเป็นป