เด็กทั้งสามคนขึ้นรถเมล์กลับบ้านด้วยความตื่นเต้น พวกเขายังคุยกันถึงเรื่องผลสอบมาตลอดทางจนรถเมล์หยุดลงหน้าบ้านฝั่งของครีม
ครีมเป็นคนแรกที่กระโดดลงจากรถ ก่อนจะหันกลับไปมองฟ้าใสกับม่านเมฆที่เดินตามลงมา
“แกว่าป๊าฉันจะดีใจจนให้รางวัลเพิ่มไหม”
ฟ้าใสหัวเราะ “ป๊าแกก็ฉลองให้แล้วไง ยังจะหวังของขวัญเพิ่มอีกเหรอ?”
ครีมยักไหล่ “เผื่อฟลุ๊กไง เฮ้อ! เฮียครามกลับบ้านรึยังนะ?” เธอพูดพลางชะเง้อมองเข้าไปด้านในบ้าน
ม่านเมฆเองก็มีสีหน้าคิดอะไรบางอย่าง ก่อนจะถามขึ้นมาอีกเพื่อยืนยัน “เฮียครามเล่นดนตรีเก่งมากจริง ๆ เหรอ?”
“แน่นอน!” ครีมตอบทันที “แกไม่เชื่อเหรอ? เดี๋ยวเย็นนี้พอเขากลับมาฉันจะให้เฮียโชว์ให้ดูเลย”
“เอาจริงเหรอ?” ฟ้าใสหัวเราะ “งั้นฉันก็อยากฟังเหมือนกัน”
“แน่นอน! แกต้องได้ฟังอยู่แล้ว” ครีมพูดด้วยน้ำเสียงมั่นใจ “เฮียฉันไม่ใช่เล่น ๆ นะ เขาเคยไปประกวดด้วย แต่เขาแค่ไม่เคยพูดให้ใครฟังหากว่าฉันไม่เห็นรูปก็คงไม่รู้หรอก”
ม่านเมฆเริ่มสนใจขึ้นมาทันที “แล้วถ้าผมอยากลองเรียนบ้างล่ะเฮียครามของเจ้จะสอนผมไหม”
ครีมยิ้มกว้าง “ก็บอกเฮียไปตามตรงสิ เฮียครามน่ะ แม้ว่าจะดูนิ่ง ๆ แต่ความจริงแล้วเป็นคนใจดีมาก”
“อือ” ม่านเมฆพยักหน้ารับอย่างครุ่นคิด
หลังจากนั้นทั้งสามคนเดินแยกย้ายกัน ครีมเข้าบ้านไปก่อน ส่วนฟ้าใสกับม่านเมฆเดินข้ามถนนกลับไปบ้านของตัวเอง
ทันทีที่ทั้งสองเปิดประตูเข้ามา แม่ของพวกเขาก็เดินออกมาจากครัวพร้อมรอยยิ้ม
“กลับมาแล้วเหรอลูก?”
“ค่ะ/ครับ” พวกเขาตอบพร้อมกัน
แม่เดินเข้ามาลูบศีรษะทั้งสองคน “เหนื่อยไหมลูก วันนี้เป็นยังไงบ้าง?”
ฟ้าใสรีบเล่าด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น “แม่คะ! หนูติดอันดับสาม ม่านเมฆติดอันดับหกค่ะ!”
“จริงเหรอ!?” แม่ของเธอเบิกตากว้างอย่างดีใจ ก่อนจะหันไปบอกพ่อที่นั่งอ่านหนังสือพิมพ์อยู่
“ป๊าฟังสิ ลูกเราสอบได้อันดับดีมากเลยนะ!”
พ่อเงยหน้าขึ้นจากหนังสือพิมพ์ทันที สีหน้าของเขาเต็มไปด้วยความภูมิใจ
“เก่งมากลูก ป๊าภูมิใจในตัวลูกสองคนมากเลย”
ม่านเมฆเผยรอยยิ้มบางออกมา “ขอบคุณครับ”
“ดีแล้วลูก” แม่ยิ้มให้ก่อนจะถามต่อ “แล้วพวกหนูอยากฉลองกันไหม?”
ฟ้าใสรีบพยักหน้า “ค่ะ! วันนี้ทางบ้านครีมเขาจะไปฉลองกัน แล้วเชิญพวกเราไปด้วย”
พ่อกับแม่หันมามองหน้ากันก่อนที่พ่อจะพยักหน้า “ถ้าอย่างนั้นพวกเราก็ไปด้วยกันเถอะ”
“เยี่ยมเลยค่ะ”
ม่านเมฆที่ยืนเงียบอยู่นานเอ่ยขึ้นหลังจากตัดสินใจบางอย่าง “แม่ครับ... ผมมีอีกเรื่องอยากบอก”
แม่หันไปมองลูกชาย “ว่าไงจ๊ะ?”
ม่านเมฆสูดหายใจเข้าปอดลึกก่อนจะพูดออกมา “ผมอยากลองเรียนกีตาร์ครับ”
แม่กะพริบตาอย่างแปลกใจ “กีตาร์เหรอลูก?”
พ่อเองก็วางหนังสือพิมพ์ลง “ทำไมถึงอยากเรียนล่ะ?”
ม่านเมฆอธิบายเสียงหนัก “ผมคิดว่าดนตรีเป็นสิ่งที่ดี แล้วเจ้ครีมก็บอกว่าเฮียครามเล่นเก่งมาก ผมอยากลองดูบ้างก็เลยจะลองไปขอร้องให้เฮียครามสอน”
แม่ยิ้มออกมา “ดีแล้วลูก ถ้าเป็นสิ่งที่ม่านเมฆสนใจจริง ๆ แม่สนับสนุนนะ”
“ป๊าก็เห็นด้วย” พ่อพูดเสริม “แต่อย่าลืมว่าเรื่องเรียนก็ต้องตั้งใจเหมือนกัน”
ม่านเมฆพยักหน้ายิ้มกว้างออกมา “ครับ ผมจะตั้งใจ”
ฟ้าใสยิ้มให้กับน้องชาย เธอรู้ดีว่าม่านเมฆเป็นคนที่มีความตั้งใจจริงและถ้าเขาอยากทำอะไรเขาจะทำมันให้ดีที่สุด
และนี่ก็คือจุดเริ่มต้นของการเดินตามความฝันของม่านเมฆ และการฉลองที่เต็มไปด้วยความสุขของทุกคน
บรรยากาศของการฉลองเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะและความสุข ทุกคนในครอบครัวของฟ้าใสและครีมต่างพากันมานั่งร่วมโต๊ะกันที่ร้านอาหารจีนชื่อดังในละแวกบ้าน
โต๊ะไม้ตัวยาวถูกจัดเตรียมไว้เต็มไปด้วยอาหารหลากหลายเมนู กลิ่นหอมของเป็ดปักกิ่ง ข้าวผัดกุนเชียง และต้มยำทะเลลอยอบอวลไปทั่ว
ครีมเป็นคนแรกที่ยกแก้วน้ำขึ้นมา “เอ้า! ฉลองให้พวกเราสามคนหน่อย!”
ฟ้าใสกับม่านเมฆหัวเราะก่อนจะยกแก้วขึ้นชนกันเบา ๆ พ่อแม่ของพวกเขาต่างยิ้มมองลูกด้วยความภูมิใจ
“เฮียคราม ไม่พูดอะไรหน่อยเหรอ?” ครีมหันไปแซวพี่ชายที่นั่งเงียบอยู่ข้างตน
ครามที่กำลังตักอาหารเข้าปากหยุดชะงัก เขาเหลือบตามองครีมก่อนจะถอนหายใจ
“ฉันก็ยินดีด้วย”
“โหย เฮียพูดแค่นี้เองเหรอ?” ครีมทำหน้าบึ้ง
ฟ้าใสกับม่านเมฆแอบหัวเราะ ขณะที่พ่อของครีมตบบ่าลูกชายเบา ๆ “เอาน่า น้อง ๆ เขาดีใจแค่ไหนที่เฮียอยู่ฉลองด้วย”
ครามพยักหน้าเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยเสียงเรียบแต่จริงใจ “ยินดีด้วยที่พวกเธอทำได้ดี ฉันรู้ว่าพวกเธอพยายามกันมาก”
ครีมหัวเราะเสียงใส “ต้องแบบนี้สิ”
หลังจากทานอาหารเสร็จทุกคนยังคงนั่งพูดคุยกันด้วยท่าทางสบาย เฮียครามที่เพิ่งรู้ว่าม่านเมฆสนใจเรียนกีตาร์ก็หันมามองเด็กชายวัยสิบหกก่อนจะถามออกมา
“นายสนใจดนตรีจริงเหรอ?”
ม่านเมฆพยักหน้า “ครับ ผมคิดว่ามันน่าสนใจ”
ครามเอนตัวพิงพนักเก้าอี้ “ถ้างั้น ไว้ฉันจะสอนพื้นฐานให้นายก่อน แล้วถ้านายสนใจจริง ๆ ก็ลองไปลงเรียนที่สถาบันดนตรีดู”
ม่านเมฆตาเป็นประกาย “จริงเหรอครับ!?”
“อืม แต่ฉันขอบอกเอาไว้ก่อนนะว่ามันไม่ง่าย”
ม่านเมฆยิ้มกว้าง “ผมรู้ครับ แต่ผมจะตั้งใจ”
แม่ของฟ้าใสพูดพลางหัวเราะ “ครามก็คงต้องช่วยดูแลน้องด้วยนะ”
ครามพยักหน้า “ครับ”
คืนนั้นหลังจากกลับถึงบ้าน ม่านเมฆเริ่มวางแผนเกี่ยวกับการเรียนกีตาร์ของตัวเอง เขาตั้งใจจะฝึกให้จริงจัง ส่วนฟ้าใสเองก็ตัดสินใจจะลองวาดภาพขายดู แม้จะยังไม่มั่นใจนักแต่เธอก็อยากลองทำตามสิ่งที่ตัวเองรัก
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว ในที่สุดวันเปิดเรียนเทอมแรกก็มาถึง บรรยากาศในโรงเรียนเต็มไปด้วยความคึกคักหลังจากผ่านช่วงสอบมาได้ นักเรียนหลายคนต่างพากันพูดคุยถึงแผนการในปีนี้และกิจกรรมที่รออยู่ข้างหน้า
ฟ้าใส ครีม และม่านเมฆเดินไปตามระเบียงโรงเรียนด้วยความรู้สึกผ่อนคลายหลังจากที่พวกเขาทุ่มเทกับการสอบจนผ่านพ้นมาได้
หลังจากทุกคนเข้าห้องได้สิ่งที่รออยู่ก็คือเพื่อนใหม่แปลกหน้าหลายคน ซึ่งอาจจะมีบางคนที่มาจากโรงเรียนเดียวกันหรือบางคนที่เคยเรียนอยู่ในโรงเรียนนี้มาก่อนเมื่อตอน ม.ต้น แต่ทว่าหลังจากวันนี้ไปพวกเขาจะต้องทำความรู้จักกันใหม่
เสียงกริ่งแรกของวันเปิดเรียนดังขึ้น ก่อนที่จะมีครูประจำชั้นเดินเข้ามา ครูของห้องม.4/1 เป็นครูผู้หญิงอายุประมาณ 30 ปี
“สวัสดีนักเรียนทุกคน ครูชื่อวารี อมรกุล ต่อไปนี้จะเป็นครูที่ปรึกษาของพวกเธอตลอดระยะเวลาสามปีนี้ หวังว่าทุกคนจะตั้งใจเรียนและอยู่ในระเบียบของโรงเรียนกันนะ” ผู้พูดเว้นจังหวะกวาดตามองนักเรียนในห้องศิลป์-ภาษาทีละคนราวกับพิจารณาเด็กที่อยู่ในความปกครองอย่างละเอียด
ก่อนที่เธอจะพูดต่อด้วยรอยยิ้ม “เอาละ ก่อนที่เราทุกคนจะเริ่มเรียนครูขอเรียกชื่อนักเรียนสามคนในนี้หน่อยนะคะ ชาลิตา ปาลิตา วชิรนัย ปาลิตา และคนสุดท้าย รินรดา เทวากร ทั้งสามคนนี้ยืนขึ้นหน่อยจ้ะ เธอทั้งสามเป็นนักเรียนที่สอบเข้าได้คะแนนดีมากอยู่ในสิบอันดับแรกหวังว่าทุกคนในห้องจะตั้งใจเรียนอย่างทั้งสามคนนะ”
จบคำพูดของครูที่ปรึกษา เสียงฮือฮาก็ดังขึ้นจากทุกคนในห้องเรียนเนื่องจากพวกเขาแทบไม่อยากเชื่อว่านักเรียนที่ติดอยู่ในสิบอันดับแรกจะเลือกเรียนสายศิลป์แทนการเรียนสายวิทย์
เสียงฮือฮาจากทุกคนทำให้ฟ้าใส ครีม และม่านเมฆรู้สึกเขินเล็กน้อยแต่ก็ไม่สามารถหลบสายตาได้ พวกเขารู้สึกดีใจที่ได้รับการชมเชยจากครูประจำชั้น แต่ก็ไม่ค่อยชินกับการถูกพูดถึงต่อหน้าคนเยอะ ๆ แบบนี้
ครูวารียิ้มให้เด็กทั้งสามแล้วพูดต่อ “ไม่ต้องเขินไปหรอกจ้ะ พวกเธอทั้งสามทำได้ดีมาก แล้วครูก็ต้องการให้พวกเธอเป็นตัวอย่างที่ดี ครูมั่นใจว่าทุกคนในห้องนี้มีความสามารถ พวกเธอต้องตั้งใจเรียนเพื่ออนาคตของตัวเอง”ฟ้าใส ครีม และม่านเมฆพยักหน้าให้กับคำพูดของครู แต่ก็ยังรู้สึกประหม่าอยู่บ้าง หลังจากนั้นครูวารีจึงเริ่มพูดถึงตารางเรียนและกิจกรรมต่าง ๆ ที่จะเกิดขึ้นในปีนี้“ตอนนี้ทุกคนก็รู้แล้วว่าเราจะมีการเรียนที่เข้มข้นมากขึ้น รวมถึงกิจกรรมที่จะทำร่วมกัน เช่น งานสัปดาห์วิทยาศาสตร์ งานกีฬา และกิจกรรมต่าง ๆ ของโรงเรียนที่รอเราอยู่ ดังนั้นเรามาพยายามด้วยกันนะ และครูก็หวังว่าทุกคนจะสนุกกับการเรียนรวมถึงให้ความร่วมมือในเรื่องของกิจกรรม” ครูวารีพูดต่อ ก่อนที่จะหันมามองนักเรียนที่นั่งอยู่แถวหน้าซึ่งก็คือฟ้าใส ม่านเมฆ และก็ครีมนั่นเอง“ว่าแต่พวกเธอเลือกเรียนสายศิลป์-ภาษาเพราะอะไรกัน ครูอยากฟังเหตุผลจากพวกเธอสักหน่อยได้ไหมจ๊ะ”ฟ้าใสยิ้มเล็กน้อยก่อนจะลุกขึ้นพูด “หนูชอบการเขียนค่ะคร
17 มีนาคม 2551(ความรักก็เหมือนช็อกโกแลต... บางครั้งขม บางครั้งหวาน แต่สุดท้ายก็ละลายในใจเรา)ฉันไม่เคยคิดจะจดบันทึกเรื่องของตัวเองมาก่อน แต่วันนี้ อยู่ดี ๆ ก็อยากกลับไปนึกถึงวันแรกที่เจอกับเขา ตอนนั้นฉันอายุ 15 ส่วนเฮียครามอายุ 17 ปี มันเป็นช่วงเวลาที่เราทั้งคู่ไม่ได้รู้เลยว่าความสัมพันธ์ของเราจะดำเนินไปในทิศทางไหน แต่ถึงจะเป็นอย่างนั้น ทว่าฉันก็ยังจำเรื่องของเราได้ดี...15 กุมภาพันธ์ 2538 หลังวันวาเลน์ไทน์มาหนึ่งวันท่ามกลางความเงียบสงบภายในห้องสมุดของมหาวิทยาลัย ศรีปฐม เสียงพลิกหน้ากระดาษดังเป็นจังหวะฉันก้มหน้าก้มตาอ่านโจทย์เลขตรงหน้าอย่างตั้งใจ หรืออย่างน้อยฉันก็บอกตัวเองแบบนั้น แม้ว่าตัวเลขพวกนี้จะเริ่มเบลอไปหมดแล้วก็ตาม“แก ฉันบอกให้เฮียมารับแหละ”เสียงของครีมดังขึ้นขัดจังหวะ ฉันละสายตาจากสมุดคณิตศาสตร์แล้วเงยหน้ามอง“เฮีย?”“เฮียครามพี่ชายของฉันไง”“หา?” ฉันกะพริบตาก่อนเสียงของม่านเมฆ น้องชายฝาแฝดของฉันจะดังขึ้นจากอีกฝั่งของโต๊ะ“ทำไมผมไม่เคยได้ยินเรื่องนี้เลยล่ะ เจ้ฟ้าก็ไม่เคยเล่าให้ฟัง” สีหน้าของม่านเมฆไม่ได้ต่างไปจากฉันหลังได้ยินคำพูดของครีม“ฉันก็ไม่เคยเจอเขาเหมือน
ครีมรีบก้าวเท้าออกจากอาคารห้องสมุดอย่างรวดเร็ว มือข้างหนึ่งกุมสายสะพายกระเป๋า ส่วนอีกข้างยกขึ้นแตะหน้าผากตัวเองพลางบ่นอุบ“ฉันลืมไปเลย ถ้าเฮียรอนานเดี๋ยวโดนบ่นอีกแน่!”ฉันกับม่านเมฆมองหน้ากันก่อนจะรีบเดินตามเธอออกไป พอพวกเราออกมาถึงลานกว้างหน้าห้องสมุด แสงแดดอ่อนของช่วงเย็นทอดเงาบนพื้นถนนคอนกรีตเสียงรถรารวมถึงจักรยานจำนวนมากเริ่มขวักไขว่เพราะเป็นเวลาเลิกเรียนของมหาวิทยาลัย นักศึกษาหลายคนเดินกันอย่างเร่งรีบบ้าง เอื่อยเฉื่อยบ้าง และมีบางกลุ่มกำลังคุยกันเรื่องงานที่ต้องส่ง บางคนก็หาที่นั่งเล่นรอเพื่อนที่ยังไม่ออกมา“เจอเฮียไหม?” ฉันถามครีมพลางช่วยมองไปรอบ ๆ“น่าจะรอตรงที่จอดรถมอไซค์ ครีมพึมพำก่อนจะเร่งฝีเท้าพวกเราเดินผ่านผู้คนท่ามกลางบรรยากาศของมหาวิทยาลัยศรีปฐมที่กำลังคึกคักไปด้วยนักศึกษาหนุ่มสาวที่ยังสวมชุดนักศึกษาเรียบร้อยบ้าง ไม่เรียบร้อยบ้าง บางคนสะพายกระเป๋าเดินคุยกันอย่างออกรสทันใดนั้น ฉันก็ได้ยินเสียงเพลงดังแว่วมาจากลำโพงขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่ใกล้กับโรงอาหารของมหาวิทยาลัยถ้าหากครั้งนี้ ไม่มีเธอลวงหลอกไว้ฉันนี้คงงมงาย เห็นรักดีเกิน ไม่มีวันจะรู้ฉันเจ็บครั้งนี้ ฉันมีเธอเป็นดั่ง
ตั้งแต่วันที่เราสามคนไปอ่านหนังสือด้วยกัน วันเวลาก็ผ่านไปรวดเร็วอย่างไม่รู้ตัว พริบตาเดียวก็จะหมดเดือนกุมภาพันธ์ ปีนี้เป็นปีอธิกสุรทิน วันที่ 29 กุมภาพันธ์มีเพียงสี่ปีครั้ง ฉันตื่นมาด้วยความรู้สึกตื่นเต้นและรู้สึกแปลกไปพร้อมกันสาเหตุที่เป็นอย่างนี้ก็เพราะวันนี้คือวันเกิดของฉันและทุกครั้งที่ฉันนึกถึงวันเกิด คนอื่นจะอวยพรฉันในวันที่ 28 กุมภาพันธ์ หรือเลื่อนไปฉลองวันที่ 1 มีนาคมพร้อมกับม่านเมฆแทนแม้ว่าเราสองคนจะเป็นแฝดกันแต่พวกเราเกิดกันคนละวัน แต่ปีนี้...เป็นครั้งแรกในรอบสี่ปีที่ฉันได้ฉลองวันเกิดตรงวันจริงเมื่อเดินลงมาจากห้องนอน ฉันพบแม่กำลังยืนจัดจานขนมปังปิ้งอยู่ที่โต๊ะอาหาร กลิ่นหอมของเนยละลายลอยมาแตะจมูก “สุขสันต์วันเกิดนะลูก” แม่ยิ้มหวานก่อนจะยื่นแก้วโกโก้ร้อนให้ฉันฉันยิ้มกว้าง “ขอบคุณค่ะแม่”ป๊าวางหนังสือพิมพ์ลงแล้วเดินมาลูบหัวฉันเบา ๆ พร้อมกับกล่าวอวยพร“มีความสุขมาก ๆ นะลูก โตขึ้นอีกปีแล้ว”“ขอบคุณค่ะป๊า”ม่านเมฆเดินเข้ามาพร้อมกล่องยาวในมือขนาดเล็ก เขายื่นให้ฉันแบบขอไปที“สุขสันต์วันเกิด”“อะไรเนี่ย?” ฉันรับกล่องมาเปิดดู แล้วพบกับดินสอกด Rotring สีดำด้าน“ว้าว! นี่ข
ก่อนถึงวันสอบปลายภาคไม่กี่วัน นักเรียนชั้นสุดท้ายมักจะมีการแลกสมุดเฟรนด์ชิพกัน ซึ่งฉันเองก็เป็นหนึ่งในคนที่ได้รับสมุดเฟรนด์ชิพจากเพื่อนหลายคนพวกเราต่างเขียนข้อความให้กันด้วยลายมือของตัวเอง พร้อมกับวาดการ์ตูนตัวเล็กบ้างใหญ่บ้างแล้วแต่ใครจะสามารถทำได้ มีการแปะสติ๊กเกอร์รวมถึงการเขียนคำคมที่ได้รับความนิยมในยุคนั้นฉันเปิดสมุดเฟรนด์ชิพของครีมที่เธอยื่นมาให้ มันเป็นสมุดปกแข็งสีชมพูมีลายหมีน่ารักอยู่หน้าปก ฉันใช้ดินสอกด Rotring ที่ม่านเมฆให้มาเป็นของขวัญวันเกิดค่อย ๆ บรรจงเขียนข้อความลงไป"ถึงครีม เพื่อนสุดที่รักของฉัน"พวกเราเป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่ประถม จำได้ไหมว่าเราช่วยกันติวข้อสอบวิชาสังคมตอนป.6 จนเกือบหลับคาหนังสือ?ขอบคุณที่เป็นเพื่อนที่ดีเสมอมา ไม่ว่าจะเจอเรื่องอะไร ฉันรู้ว่าเราจะยังอยู่ข้างกันเสมอ ขอให้เธอมีความสุขมาก ๆ นะ แล้วพวกเราจะไปลุยโรงเรียนใหม่ด้วยกัน!ฉันตบท้ายด้วยการวาดรูปกระต่ายตัวเล็กลงในมุมสมุด พร้อมแปะสติกเกอร์รูปหัวใจลงไปหนึ่งดวง“แกใช้เวลากับสมุดของฉันนานมากเลยนะ เขียนอะไรยาวขนาด
“นี่อะไรเหรอ?” ฉันถามเสียงเบาพยายามไม่ให้น้ำเสียงของตัวเองสั่น ต้นเม้มปากแน่นเหมือนกำลังรวบรวมความกล้า ก่อนจะพูดออกมารัวเร็ว“เอ่อ… จดหมาย… ฉันเขียนให้เธอ… อยากให้เธออ่านตอนถึงบ้าน”ฉันกะพริบตามองเขาอย่างเหลือเชื่อ ม่านเมฆที่ยืนอยู่ด้านข้างจ้องมองเหตุการณ์ด้วยสายตาสนอกสนใจ ส่วนครีมที่เดินออกจากโรงเรียนทีหลังถึงกับอ้าปากค้าง ดวงตาลุกวาวราวกับเห็นอะไรน่าสนุก“โอ้โห… โรแมนติกสุด ๆ” ครีมกระซิบข้างหูฉันฉันหันไปถลึงตาใส่เธอ “อ่านการ์ตูนตาหวานมากไปหรือไงแก เงียบก่อน” ฉันกระซิบก่อนจะรับจดหมายจากมือของต้นมาถือไว้“ขอบคุณนะ ฉันจะอ่านตอนถึงบ้าน”ต้นพยักหน้าก่อนจะก้มหน้าก้มตาแล้วรีบหมุนตัวเดินจากไปอย่างรวดเร็วราวกับว่ามีบางสิ่งที่น่ากลัวกำลังวิ่งตามครีมหันมาหัวเราะและก็ส่งเสียงกรี๊ดกร๊าดออกมา “กรี๊ดดด! แกได้จดหมายรัก! ฉันนึกว่าจะมีแต่ในการ์ตูนซะอีก”“เงียบไปเลย!” ฉันรีบเก็บจดหมายลงในกระเป๋า &
การสอบใช้เวลาหลายชั่วโมง ฉันพยายามทำให้ดีที่สุด แม้ว่าบางข้อจะยากจนต้องใช้เวลาไตร่ตรองนาน แต่ในที่สุดทุกอย่างก็ผ่านไปจนได้เมื่อเสียงออดดังขึ้นเป็นสัญญาณว่าสอบเสร็จ ฉันปล่อยลมหายใจออกมายาว ๆ พลางเก็บอุปกรณ์การเขียนลงกระเป๋า ก่อนจะเดินออกมาพบกับม่านเมฆและครีมที่รออยู่“เป็นยังไงบ้าง?” ครีมถามอย่างตื่นเต้น“ก็โอเคนะ มีบางข้อที่ไม่แน่ใจ แต่ก็ทำสุดความสามารถแล้ว” ฉันตอบตามตรงม่านเมฆพยักหน้า “ผมก็เหมือนกัน”พวกเราสามคนยืนพูดคุยกันอยู่พักหนึ่งก่อนที่ครีมจะแยกตัวออกไปรอเฮียคราม ส่วนฉันเดินออกจากโรงเรียนพร้อมกับม่านเมฆด้วยความรู้สึกเหมือนยกภูเขาออกจากอก“อีกไม่กี่วันก็จะรู้ผลแล้ว” ฉันพึมพำ“ก็ต้องรอลุ้นกันไป” ม่านเมฆตอบฉันเงยหน้ามองไปบนท้องฟ้า แสงแดดอ่อน ๆ ยามบ่ายทำให้ทุกอย่างดูอบอุ่นอย่างประหลาด ฉันไม่รู้หรอกว่าผลสอบจะออกมาเป็นยังไงแต่ไม่ว่าจะเป็นแบบไหนอย่างน้อยฉันก็ทำเต็มที่แล้วเมื่อกลับถึงบ้าน ฉันกับม่านเมฆเดินเข้าไปในบ้านด้วยความรู้สึกโล่งอกจากการสอบที่เพิ่งผ่านพ
ครามที่เดิมทีตั้งใจจะนอนพักผ่อนอยู่ในห้อง พอได้ยินเสียงสนทนาเจื้อยแจ้วของแม่ตัวเองกับเพื่อนบ้านคนใหม่ที่ดูจะเข้ากันได้ดีเหลือเกินก็ตัดสินใจถอนหายใจออกมาเล็กน้อยก่อนจะเดินออกมาดูหน้าบ้านเขาปรากฏตัวพร้อมกับเสื้อกล้ามสีขาวแบบเรียบ กางเกงขาสั้นธรรมดา ท่าทางไม่ได้ตั้งใจให้เป็นทางการนักแต่ก็ไม่ได้ดูมอมแมมอะไรแต่ทันทีที่สายตาของเขาปะทะเข้ากับหญิงวัยกลางคนที่ยืนอยู่ข้างแม่ของตน ร่างสูงก็ผงะไปเล็กน้อยโดยไม่รู้ตัว“อะ...” เด็กหนุ่มกลืนน้ำลายก่อนจะปรับสีหน้าตัวเองให้เป็นปกติ ทว่าเจ้าตัวก็อดไม่ได้ที่จะชำเลืองมองอีกฝ่ายซ้ำเขาไม่เคยคิดว่าตัวเองจะตกใจอะไรได้ง่ายแต่การที่หญิงตรงหน้ามีเค้าโครงใบหน้าละม้ายคล้ายกับฟ้าใสเสียเหลือเกิน ทำให้เขารู้สึกประหลาดใจอย่างบอกไม่ถูกแม่ของเขาที่เห็นอาการนิ่งอึ้งของลูกชายก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมาอย่างขบขันก่อนจะเอ่ยขึ้นมาเสียงใส“อ้าวคราม ออกมาพอดีเลย มา ๆ เดี๋ยวแม่แนะนำให้รู้จัก นี่น้าลิตาแม่ของฟ้าใสกับม่านเมฆ บ้านที่ย้ายมาอยู่ตรงข้ามเรานี่เอง”ลลิตาส่งยิ้มให้เขาอย่างเป็นมิตร
ครูวารียิ้มให้เด็กทั้งสามแล้วพูดต่อ “ไม่ต้องเขินไปหรอกจ้ะ พวกเธอทั้งสามทำได้ดีมาก แล้วครูก็ต้องการให้พวกเธอเป็นตัวอย่างที่ดี ครูมั่นใจว่าทุกคนในห้องนี้มีความสามารถ พวกเธอต้องตั้งใจเรียนเพื่ออนาคตของตัวเอง”ฟ้าใส ครีม และม่านเมฆพยักหน้าให้กับคำพูดของครู แต่ก็ยังรู้สึกประหม่าอยู่บ้าง หลังจากนั้นครูวารีจึงเริ่มพูดถึงตารางเรียนและกิจกรรมต่าง ๆ ที่จะเกิดขึ้นในปีนี้“ตอนนี้ทุกคนก็รู้แล้วว่าเราจะมีการเรียนที่เข้มข้นมากขึ้น รวมถึงกิจกรรมที่จะทำร่วมกัน เช่น งานสัปดาห์วิทยาศาสตร์ งานกีฬา และกิจกรรมต่าง ๆ ของโรงเรียนที่รอเราอยู่ ดังนั้นเรามาพยายามด้วยกันนะ และครูก็หวังว่าทุกคนจะสนุกกับการเรียนรวมถึงให้ความร่วมมือในเรื่องของกิจกรรม” ครูวารีพูดต่อ ก่อนที่จะหันมามองนักเรียนที่นั่งอยู่แถวหน้าซึ่งก็คือฟ้าใส ม่านเมฆ และก็ครีมนั่นเอง“ว่าแต่พวกเธอเลือกเรียนสายศิลป์-ภาษาเพราะอะไรกัน ครูอยากฟังเหตุผลจากพวกเธอสักหน่อยได้ไหมจ๊ะ”ฟ้าใสยิ้มเล็กน้อยก่อนจะลุกขึ้นพูด “หนูชอบการเขียนค่ะคร
เด็กทั้งสามคนขึ้นรถเมล์กลับบ้านด้วยความตื่นเต้น พวกเขายังคุยกันถึงเรื่องผลสอบมาตลอดทางจนรถเมล์หยุดลงหน้าบ้านฝั่งของครีมครีมเป็นคนแรกที่กระโดดลงจากรถ ก่อนจะหันกลับไปมองฟ้าใสกับม่านเมฆที่เดินตามลงมา“แกว่าป๊าฉันจะดีใจจนให้รางวัลเพิ่มไหม”ฟ้าใสหัวเราะ “ป๊าแกก็ฉลองให้แล้วไง ยังจะหวังของขวัญเพิ่มอีกเหรอ?”ครีมยักไหล่ “เผื่อฟลุ๊กไง เฮ้อ! เฮียครามกลับบ้านรึยังนะ?” เธอพูดพลางชะเง้อมองเข้าไปด้านในบ้านม่านเมฆเองก็มีสีหน้าคิดอะไรบางอย่าง ก่อนจะถามขึ้นมาอีกเพื่อยืนยัน “เฮียครามเล่นดนตรีเก่งมากจริง ๆ เหรอ?”“แน่นอน!” ครีมตอบทันที “แกไม่เชื่อเหรอ? เดี๋ยวเย็นนี้พอเขากลับมาฉันจะให้เฮียโชว์ให้ดูเลย”“เอาจริงเหรอ?” ฟ้าใสหัวเราะ “งั้นฉันก็อยากฟังเหมือนกัน”“แน่นอน! แกต้องได้ฟังอยู่แล้ว” ครีมพูดด้วยน้ำเสียงมั่นใจ “เฮียฉันไม่ใช่เล่น ๆ นะ เขาเคยไปประกวดด้วย แต่เขาแค่ไม่เคยพูดให้ใครฟังหากว่าฉันไ
ครามที่เดิมทีตั้งใจจะนอนพักผ่อนอยู่ในห้อง พอได้ยินเสียงสนทนาเจื้อยแจ้วของแม่ตัวเองกับเพื่อนบ้านคนใหม่ที่ดูจะเข้ากันได้ดีเหลือเกินก็ตัดสินใจถอนหายใจออกมาเล็กน้อยก่อนจะเดินออกมาดูหน้าบ้านเขาปรากฏตัวพร้อมกับเสื้อกล้ามสีขาวแบบเรียบ กางเกงขาสั้นธรรมดา ท่าทางไม่ได้ตั้งใจให้เป็นทางการนักแต่ก็ไม่ได้ดูมอมแมมอะไรแต่ทันทีที่สายตาของเขาปะทะเข้ากับหญิงวัยกลางคนที่ยืนอยู่ข้างแม่ของตน ร่างสูงก็ผงะไปเล็กน้อยโดยไม่รู้ตัว“อะ...” เด็กหนุ่มกลืนน้ำลายก่อนจะปรับสีหน้าตัวเองให้เป็นปกติ ทว่าเจ้าตัวก็อดไม่ได้ที่จะชำเลืองมองอีกฝ่ายซ้ำเขาไม่เคยคิดว่าตัวเองจะตกใจอะไรได้ง่ายแต่การที่หญิงตรงหน้ามีเค้าโครงใบหน้าละม้ายคล้ายกับฟ้าใสเสียเหลือเกิน ทำให้เขารู้สึกประหลาดใจอย่างบอกไม่ถูกแม่ของเขาที่เห็นอาการนิ่งอึ้งของลูกชายก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมาอย่างขบขันก่อนจะเอ่ยขึ้นมาเสียงใส“อ้าวคราม ออกมาพอดีเลย มา ๆ เดี๋ยวแม่แนะนำให้รู้จัก นี่น้าลิตาแม่ของฟ้าใสกับม่านเมฆ บ้านที่ย้ายมาอยู่ตรงข้ามเรานี่เอง”ลลิตาส่งยิ้มให้เขาอย่างเป็นมิตร
การสอบใช้เวลาหลายชั่วโมง ฉันพยายามทำให้ดีที่สุด แม้ว่าบางข้อจะยากจนต้องใช้เวลาไตร่ตรองนาน แต่ในที่สุดทุกอย่างก็ผ่านไปจนได้เมื่อเสียงออดดังขึ้นเป็นสัญญาณว่าสอบเสร็จ ฉันปล่อยลมหายใจออกมายาว ๆ พลางเก็บอุปกรณ์การเขียนลงกระเป๋า ก่อนจะเดินออกมาพบกับม่านเมฆและครีมที่รออยู่“เป็นยังไงบ้าง?” ครีมถามอย่างตื่นเต้น“ก็โอเคนะ มีบางข้อที่ไม่แน่ใจ แต่ก็ทำสุดความสามารถแล้ว” ฉันตอบตามตรงม่านเมฆพยักหน้า “ผมก็เหมือนกัน”พวกเราสามคนยืนพูดคุยกันอยู่พักหนึ่งก่อนที่ครีมจะแยกตัวออกไปรอเฮียคราม ส่วนฉันเดินออกจากโรงเรียนพร้อมกับม่านเมฆด้วยความรู้สึกเหมือนยกภูเขาออกจากอก“อีกไม่กี่วันก็จะรู้ผลแล้ว” ฉันพึมพำ“ก็ต้องรอลุ้นกันไป” ม่านเมฆตอบฉันเงยหน้ามองไปบนท้องฟ้า แสงแดดอ่อน ๆ ยามบ่ายทำให้ทุกอย่างดูอบอุ่นอย่างประหลาด ฉันไม่รู้หรอกว่าผลสอบจะออกมาเป็นยังไงแต่ไม่ว่าจะเป็นแบบไหนอย่างน้อยฉันก็ทำเต็มที่แล้วเมื่อกลับถึงบ้าน ฉันกับม่านเมฆเดินเข้าไปในบ้านด้วยความรู้สึกโล่งอกจากการสอบที่เพิ่งผ่านพ
“นี่อะไรเหรอ?” ฉันถามเสียงเบาพยายามไม่ให้น้ำเสียงของตัวเองสั่น ต้นเม้มปากแน่นเหมือนกำลังรวบรวมความกล้า ก่อนจะพูดออกมารัวเร็ว“เอ่อ… จดหมาย… ฉันเขียนให้เธอ… อยากให้เธออ่านตอนถึงบ้าน”ฉันกะพริบตามองเขาอย่างเหลือเชื่อ ม่านเมฆที่ยืนอยู่ด้านข้างจ้องมองเหตุการณ์ด้วยสายตาสนอกสนใจ ส่วนครีมที่เดินออกจากโรงเรียนทีหลังถึงกับอ้าปากค้าง ดวงตาลุกวาวราวกับเห็นอะไรน่าสนุก“โอ้โห… โรแมนติกสุด ๆ” ครีมกระซิบข้างหูฉันฉันหันไปถลึงตาใส่เธอ “อ่านการ์ตูนตาหวานมากไปหรือไงแก เงียบก่อน” ฉันกระซิบก่อนจะรับจดหมายจากมือของต้นมาถือไว้“ขอบคุณนะ ฉันจะอ่านตอนถึงบ้าน”ต้นพยักหน้าก่อนจะก้มหน้าก้มตาแล้วรีบหมุนตัวเดินจากไปอย่างรวดเร็วราวกับว่ามีบางสิ่งที่น่ากลัวกำลังวิ่งตามครีมหันมาหัวเราะและก็ส่งเสียงกรี๊ดกร๊าดออกมา “กรี๊ดดด! แกได้จดหมายรัก! ฉันนึกว่าจะมีแต่ในการ์ตูนซะอีก”“เงียบไปเลย!” ฉันรีบเก็บจดหมายลงในกระเป๋า &
ก่อนถึงวันสอบปลายภาคไม่กี่วัน นักเรียนชั้นสุดท้ายมักจะมีการแลกสมุดเฟรนด์ชิพกัน ซึ่งฉันเองก็เป็นหนึ่งในคนที่ได้รับสมุดเฟรนด์ชิพจากเพื่อนหลายคนพวกเราต่างเขียนข้อความให้กันด้วยลายมือของตัวเอง พร้อมกับวาดการ์ตูนตัวเล็กบ้างใหญ่บ้างแล้วแต่ใครจะสามารถทำได้ มีการแปะสติ๊กเกอร์รวมถึงการเขียนคำคมที่ได้รับความนิยมในยุคนั้นฉันเปิดสมุดเฟรนด์ชิพของครีมที่เธอยื่นมาให้ มันเป็นสมุดปกแข็งสีชมพูมีลายหมีน่ารักอยู่หน้าปก ฉันใช้ดินสอกด Rotring ที่ม่านเมฆให้มาเป็นของขวัญวันเกิดค่อย ๆ บรรจงเขียนข้อความลงไป"ถึงครีม เพื่อนสุดที่รักของฉัน"พวกเราเป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่ประถม จำได้ไหมว่าเราช่วยกันติวข้อสอบวิชาสังคมตอนป.6 จนเกือบหลับคาหนังสือ?ขอบคุณที่เป็นเพื่อนที่ดีเสมอมา ไม่ว่าจะเจอเรื่องอะไร ฉันรู้ว่าเราจะยังอยู่ข้างกันเสมอ ขอให้เธอมีความสุขมาก ๆ นะ แล้วพวกเราจะไปลุยโรงเรียนใหม่ด้วยกัน!ฉันตบท้ายด้วยการวาดรูปกระต่ายตัวเล็กลงในมุมสมุด พร้อมแปะสติกเกอร์รูปหัวใจลงไปหนึ่งดวง“แกใช้เวลากับสมุดของฉันนานมากเลยนะ เขียนอะไรยาวขนาด
ตั้งแต่วันที่เราสามคนไปอ่านหนังสือด้วยกัน วันเวลาก็ผ่านไปรวดเร็วอย่างไม่รู้ตัว พริบตาเดียวก็จะหมดเดือนกุมภาพันธ์ ปีนี้เป็นปีอธิกสุรทิน วันที่ 29 กุมภาพันธ์มีเพียงสี่ปีครั้ง ฉันตื่นมาด้วยความรู้สึกตื่นเต้นและรู้สึกแปลกไปพร้อมกันสาเหตุที่เป็นอย่างนี้ก็เพราะวันนี้คือวันเกิดของฉันและทุกครั้งที่ฉันนึกถึงวันเกิด คนอื่นจะอวยพรฉันในวันที่ 28 กุมภาพันธ์ หรือเลื่อนไปฉลองวันที่ 1 มีนาคมพร้อมกับม่านเมฆแทนแม้ว่าเราสองคนจะเป็นแฝดกันแต่พวกเราเกิดกันคนละวัน แต่ปีนี้...เป็นครั้งแรกในรอบสี่ปีที่ฉันได้ฉลองวันเกิดตรงวันจริงเมื่อเดินลงมาจากห้องนอน ฉันพบแม่กำลังยืนจัดจานขนมปังปิ้งอยู่ที่โต๊ะอาหาร กลิ่นหอมของเนยละลายลอยมาแตะจมูก “สุขสันต์วันเกิดนะลูก” แม่ยิ้มหวานก่อนจะยื่นแก้วโกโก้ร้อนให้ฉันฉันยิ้มกว้าง “ขอบคุณค่ะแม่”ป๊าวางหนังสือพิมพ์ลงแล้วเดินมาลูบหัวฉันเบา ๆ พร้อมกับกล่าวอวยพร“มีความสุขมาก ๆ นะลูก โตขึ้นอีกปีแล้ว”“ขอบคุณค่ะป๊า”ม่านเมฆเดินเข้ามาพร้อมกล่องยาวในมือขนาดเล็ก เขายื่นให้ฉันแบบขอไปที“สุขสันต์วันเกิด”“อะไรเนี่ย?” ฉันรับกล่องมาเปิดดู แล้วพบกับดินสอกด Rotring สีดำด้าน“ว้าว! นี่ข
ครีมรีบก้าวเท้าออกจากอาคารห้องสมุดอย่างรวดเร็ว มือข้างหนึ่งกุมสายสะพายกระเป๋า ส่วนอีกข้างยกขึ้นแตะหน้าผากตัวเองพลางบ่นอุบ“ฉันลืมไปเลย ถ้าเฮียรอนานเดี๋ยวโดนบ่นอีกแน่!”ฉันกับม่านเมฆมองหน้ากันก่อนจะรีบเดินตามเธอออกไป พอพวกเราออกมาถึงลานกว้างหน้าห้องสมุด แสงแดดอ่อนของช่วงเย็นทอดเงาบนพื้นถนนคอนกรีตเสียงรถรารวมถึงจักรยานจำนวนมากเริ่มขวักไขว่เพราะเป็นเวลาเลิกเรียนของมหาวิทยาลัย นักศึกษาหลายคนเดินกันอย่างเร่งรีบบ้าง เอื่อยเฉื่อยบ้าง และมีบางกลุ่มกำลังคุยกันเรื่องงานที่ต้องส่ง บางคนก็หาที่นั่งเล่นรอเพื่อนที่ยังไม่ออกมา“เจอเฮียไหม?” ฉันถามครีมพลางช่วยมองไปรอบ ๆ“น่าจะรอตรงที่จอดรถมอไซค์ ครีมพึมพำก่อนจะเร่งฝีเท้าพวกเราเดินผ่านผู้คนท่ามกลางบรรยากาศของมหาวิทยาลัยศรีปฐมที่กำลังคึกคักไปด้วยนักศึกษาหนุ่มสาวที่ยังสวมชุดนักศึกษาเรียบร้อยบ้าง ไม่เรียบร้อยบ้าง บางคนสะพายกระเป๋าเดินคุยกันอย่างออกรสทันใดนั้น ฉันก็ได้ยินเสียงเพลงดังแว่วมาจากลำโพงขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่ใกล้กับโรงอาหารของมหาวิทยาลัยถ้าหากครั้งนี้ ไม่มีเธอลวงหลอกไว้ฉันนี้คงงมงาย เห็นรักดีเกิน ไม่มีวันจะรู้ฉันเจ็บครั้งนี้ ฉันมีเธอเป็นดั่ง
17 มีนาคม 2551(ความรักก็เหมือนช็อกโกแลต... บางครั้งขม บางครั้งหวาน แต่สุดท้ายก็ละลายในใจเรา)ฉันไม่เคยคิดจะจดบันทึกเรื่องของตัวเองมาก่อน แต่วันนี้ อยู่ดี ๆ ก็อยากกลับไปนึกถึงวันแรกที่เจอกับเขา ตอนนั้นฉันอายุ 15 ส่วนเฮียครามอายุ 17 ปี มันเป็นช่วงเวลาที่เราทั้งคู่ไม่ได้รู้เลยว่าความสัมพันธ์ของเราจะดำเนินไปในทิศทางไหน แต่ถึงจะเป็นอย่างนั้น ทว่าฉันก็ยังจำเรื่องของเราได้ดี...15 กุมภาพันธ์ 2538 หลังวันวาเลน์ไทน์มาหนึ่งวันท่ามกลางความเงียบสงบภายในห้องสมุดของมหาวิทยาลัย ศรีปฐม เสียงพลิกหน้ากระดาษดังเป็นจังหวะฉันก้มหน้าก้มตาอ่านโจทย์เลขตรงหน้าอย่างตั้งใจ หรืออย่างน้อยฉันก็บอกตัวเองแบบนั้น แม้ว่าตัวเลขพวกนี้จะเริ่มเบลอไปหมดแล้วก็ตาม“แก ฉันบอกให้เฮียมารับแหละ”เสียงของครีมดังขึ้นขัดจังหวะ ฉันละสายตาจากสมุดคณิตศาสตร์แล้วเงยหน้ามอง“เฮีย?”“เฮียครามพี่ชายของฉันไง”“หา?” ฉันกะพริบตาก่อนเสียงของม่านเมฆ น้องชายฝาแฝดของฉันจะดังขึ้นจากอีกฝั่งของโต๊ะ“ทำไมผมไม่เคยได้ยินเรื่องนี้เลยล่ะ เจ้ฟ้าก็ไม่เคยเล่าให้ฟัง” สีหน้าของม่านเมฆไม่ได้ต่างไปจากฉันหลังได้ยินคำพูดของครีม“ฉันก็ไม่เคยเจอเขาเหมือน