ログイン3
ต้องเชื่อเท่านั้น
“พี่มีน ช่วยลิสต์รายการสัมภาระให้จันทร์หน่อยได้มั้ย จันทร์จะไปร่างสัญญาจ้างงานของคีรี”
“ได้สิ เดี๋ยวพี่ไปปรึกษาลุงเฉิน อย่างไงซะคนเตรียมของก็คือพี่ ไม่รู้ลุงเฉินหาคนไว้กี่คนจะได้เตรียมของให้พอกับจำนวนคน” คนสวยของผมใจดีเสมอจริง ๆ ไหว้วานอะไรไม่เคยขัด จัดให้ตลอด ผมคิดว่าหลังจัดการหนังสือจ้างงานชั่วคราวนี่เสร็จจะไปคุยกับพรานพงสักหน่อย ไม่รู้ว่าการเดินทางนี้ใช้เวลากี่วันเราจะได้จัดเตรียมอาหารเครื่องดื่มยารักษาโรคไปให้พอดี
นอกจากคุยกับพรานพงแล้วผมยังต้องไปรายงานนายท่านคีรีที่บ้านของเขาอีก ช่างเป็นช่วงฉุกละหุกจริง ๆ เหมือนทุกอย่างอยู่ในช่วงเวลารีบเร่ง
“นายท่านรอคุณอยู่ข้างใน เชิญ” ผู้ชายคนเมื่อคราวก่อนเปิดประตูรั้วรอตั้งแต่ผมยังไม่ทันได้จอดดีเสียด้วยซ้ำ เหมือนเขารู้ว่าผมจะมา พอปิดประตูรถเสร็จก็เดินตามเขาเข้าไปในบ้าน
พันคีรีนั่งรอผมอยู่กลางห้องนั่งเล่น ไม่ใช่ห้องคราวก่อนที่ผมเข้าไป ห้องนั่งเล่นเป็นกระจกทุกด้าน ถึงจะมีแดดส่องแต่ก็ถูกต้นไม้บดบังไม่มีแสงแดดพาดผ่านตัวบ้านเลย ทั้งยังเย็นสบายจนน่าแปลกอีกต่างหาก
ต้องเป็นเพราะในบ้านทาสีกันความร้อนแน่
“ไหน รายการสัมภาระ” เขาว่าด้วยท่าทีสบาย ๆ พลางยื่นมือมาตรงหน้า ผมล้วงกระดาษลิสต์รายการสัมภาระเล็กใหญ่ออกมาให้ คีรีไม่พูดอะไรหยิบมันไปอ่านอยู่พักหนึ่ง
“ครบดี ถือว่ารอบครอบ”
“แน่นอนครับ ยังไงซะตระกูลผมก็เคยเข้าป่ามาก่อน”
“ถ้างั้นจะต้องการผมไปทำไม” นั่นสิถ้าผมจะมั่นหน้าขนาดนี้จะอยากได้เขาไปทำไม พอผมเงียบอึกอักเขาก็หัวเราะหึ ๆ ขึ้นมาอย่างไม่มีสาเหตุ ดูท่าทางต่างจากคนเมื่อสองวันก่อนมากหรือเขาเป็นไบโพลาร์หรือโรคหลายบุคลิกอะไรประเภทนั้น
“ชื่อณจันทร์สินะ”
“ครับ ชื่อณจันทร์ คนสนิทเรียกหนูจันทร์ ลูกน้องเรียกคุณหนูจันทร์ คีรีสะดวกเรียกแบบไหนก็ตามสบาย”
“ณจันทร์”
“ครับ”
“อีกหกวันเดินทางได้ มีปัญหาหรือเปล่า” จู่ ๆ เขาก็นัดวันออกเดินทางเองเสร็จสรรพทั้งที่ควรถามคนที่เป็นนายจ้างอย่างผมมากกว่า กล้ามเนื้อเหนือดวงตาขมวดเข้าหากันเล็กน้อย
ที่จริงมันก็ไม่มีปัญหา แต่ปัญหาคือทำไมเขาต้องจัดแจ้งนัดวันเวลาออกเดินทางเองแบบนี้
“พรุ่งนี้ฝนจะตกและตกสองวันติดเดินทางไม่ได้” เหมือนเขาจะรู้ว่าผมกำลังสงสัยอะไรอยู่จึงบอกออกมา ไม่เพียงน่าเกรงขามผมว่าตอนนี้เขาชักน่ากลัวหน่อย ๆ แล้วล่ะ หรือเขาอ่านใจคนได้
“ถ้างั้นจะให้ผมมารับที่นี่แล้วออกเดินทางหรือคุณอยากออกไปเอง”
“เจอกันที่บ้าน ณจันทร์” ทำไมเขาถึงชอบพูดคลุมเครือแบบนั้นกันนะ ถึงมันจะเข้าใจได้แต่มันก็สามารถเข้าใจคลาดเคลื่อนได้นี่นา ผมมีความสงสัยเกี่ยวกับตัวเขามากมายทำได้เพียงบอกตนเองว่าอย่าสาระแน นี่ไม่ใช่เรื่องที่ผมควรสนใจ
“คีรี อยากให้พวกเราเตรียมของให้คุณด้วยหรือเปล่า”
“ไม่ต้องเตรียมให้ผม แค่เตรียมให้หมอนั่นก็พอ” เขาว่าพลางเหล่ตามองลูกกระจ๊อกตนเองที่รออยู่นอกห้องนั่งเล่น
“ผมเอาหนังสือสัญญาว่าจ้างมาให้คุณอ่านรายละเอียดด้วย”
“ไม่จำเป็น ครั้งนี้ผมไม่รับเงินถ้าอยากจะให้ก็ให้หมอนั่นแทน” ผมงงกว่าเดิมเสียอีก คนทั้งวงการบอกว่าพันคีรีค่าตัวแพงมากและไม่ใช่ว่าใครก็สามารถเชิญเขามาได้ ครั้งแรกเรายังคิดว่าเขาไม่ยอมไปเพราะเงินน้อย แต่นี่กลับไม่รับเงินไม่แปลกหน่อยแล้ว แปลกเกินไป
ถ้ายังงั้น”
“ผมมีเหตุผลของผม พวกคุณแค่เตรียมตัวให้พร้อมก็พอ ผมรับรองด้วยชีวิตว่าคุณจะปลอดภัย” เขาพูดแค่นั้นก็นั่งไขว้ห้างจิบกาแฟอย่างสบายใจ หมายถึงหมดเรื่องจะพูดและกำลังไล่ผมอยู่สินะไอ้ท่าทางแบบนี้
“หนูจันทร์จะเดินทางตอนไหน”
“คีรีบอกว่าให้เดินทางอีกหกวันข้างหน้า ฝนจะตกสองวันเดินทางลำบาก”
“ถ้าคีรีบอกแบบนั้นก็รออีกสักหน่อยเถอะ” ลุงเฉินบอกผมพร้อมกับแตะไหล่เบา ๆ ผมไม่ได้คิดจะไปก่อนเวลาหรอก ในเมื่อเชิญมาแล้วก็ต้องยอมเชื่อแหละ จะมีเวลาเตรียมกันอีกหลายวัน
พี่มีนเดินเข้ามายังโถงนั่งเล่นหลังจากไปจัดการเตรียมสัมภาระให้พร้อมสำหรับการเดินทาง พรานพงบอกว่าการเดินทางเข้าออกคงใช้เวลาเกือบสี่สัปดาห์ ลุงเฉินเลยสั่งให้พี่มีนเตรียมของเผื่อไปถึงหกสัปดาห์ เราต้องนั่งรถหนึ่งคืนไปถึงภาคเหนือ เกือบสุดเขตประเทศเพื่อเข้าสู่ป่าดิบเขาซึ่งเป็นจุดเริ่มเป้าหมายในครั้งนี้
“เป็นไงบ้างพี่มีน เหนื่อยหรือเปล่า”
“แค่นี้เอง พอดีต้องไปเตรียมพวกยารักษาโรคน่ะเลยนานหน่อย แล้วทางหนูจันทร์ล่ะราบรื่นหรือเปล่า” หน้าผมคงบอกว่าเซ็ง พี่มีนถึงยื่นมือมาลูบหัวเบา ๆ นั่งลงข้างตัวผม
ลุงเฉินแฟ้มประวัติผู้ร่วมทางที่เตรียมไว้ให้ผมกับพี่มีนได้รู้จักก่อนจะเริ่มงานกัน แม้ทุกคนจะรู้จักผมกับพี่มีนอยู่แล้วก็ตาม
“ครั้งนี้ลุงเตรียมคนนอกบริษัทให้อีกหกคน คนของเราคุ้นกับการเดินป่า แต่ไม่คุ้นเคยกับการผจญอันตรายนอกเหนือจากป่า” ผมกับพี่มีนพยักหน้าให้ลุงเฉิน มือก็เปิดแป้มประวัติอ่านไปเรื่อย คนร่วมทางทั้งหมดรวมผม พี่มีนและคีรีก็สิบเจ็ดคนพอดี
ถ้าไม่มีอะไรเพิ่มเติมก็มีกันเท่านี้อีกหกวันเดินทางได้ ผมอยากรู้เต็มที่ว่าไอ้อาการบ้าบอนี่ของผมมันเกิดจากอะไรเหมือนกัน
วางแผนการเดินทางเสร็จทุกคนก็แยกย้ายกันขึ้นห้องไปพักผ่อน จัดการธุระส่วนตัวให้เรียบร้อย ผมนอนดูซีรีส์ในไอแพดกลิ้งไปกลิ้งมาบนเตียงไม่รู้ว่าจะทำอะไร ระหว่างที่รอปริมตอบกลับมา ครั้งก่อนปริมบอกว่าจะไปด้วยพอถึงเวลาต้องไปผมก็เลยอยากคุยกับปริมให้รู้เรื่องเสียก่อน
ปริม: หลับยัง
จันจันทร์: ยังเลย ดูซีรีส์อยู่
ปริม: จะไปวันไหน
จันจันทร์: อีกหกวัน มันอันตรายมากๆ เราไม่อยากให้ปริมไปเสี่ยงอันตรายเพราะเรา ไว้เรากลับมาจะเลี้ยงข้าว อย่าไปเลย
ปริม: ไม่ เราจะไปด้วย เราเป็นห่วง
ผมอ่านแต่ไม่ได้ตอบกลับเพราะอยู่ ๆ ตาก็พร่า เปลือกตาหนักมาก หนักจนผมฝืนไม่ไหวหลับคาไอแพดและมือถือในที่สุด รู้ตัวอีกทีก็เช้ามือวันต่อมา
พอดีกับผมไม่รู้จะห้ามปริมไหวหรือเปล่าเลยเลือกไม่ตอบดีกว่า ปริมส่งข้อความมาอีกหลายครั้ง ผมเลือกไม่ตอบและเตรียมตัวเก็บข้าวของ เสื้อผ้าอีกสักสองสามชุดเผื่อต้องเปลี่ยนระหว่างเดินทาง
หวังว่าในป่าจะมีโอกาสได้ซักผ้าสักครั้ง ไอ้เรามันคนรักสะอาดด้วย ใส่เสื้อซ้ำกันหลายวันพาลจะเป็นภูมิแพ้ไปซะ ถึงรู้ว่าที่จะไปคือป่า ก็ไม่วายเลือกเสื้อผ้าสีสว่างอย่างขาวชมพูครีมแบบที่ชอบไปแทนที่จะสีเข้มอย่างพวกน้ำเงิน ดำเทา
ผมทำใจใส่เสื้อผ้าสีโทนเข้มไม่ได้จริง ๆ มันทำให้ผมหดหู่ไม่มีแรง
5ป่าดิบออกจากหมู่บ้านพรานพงมาแค่ห้านาทีท้องฟ้าพากันครึ้มโดยไม่ได้นัดหมาย ฟ้าแบบนี้ไม่มีทางที่ฝนจะไม่ตกอย่างแน่นอน ทุกคนต่างหันหน้ามองกัน จากนั้นจึงหันไปมองคีรีที่อยู่ในรถคันหลังสุด ระยะทางสี่สิบกิโลเมตรแต่ใช้เวลาเกือบสองชั่วโมงเพราะทางขรุขระเกินจะบรรยายได้ ผมนึกว่าไส้จะออกมากองกันข้างนอกซะแล้วจากที่ผมตามอยู่รองสุดท้าย พอออกจากหมู่บ้านต้องขึ้นมาเป็นคันแรก เพราะคนรู้ทางมีแค่พรานพง ในที่สุดพรานพงก็พูดคำพูดที่ผมรอคอยมานาน “ถึงแล้ว”“โอ้โห พื้นผิวพระจันทร์หรือไงเนี่ย” ปริมร้องออกมา เมื่อรถหยุดลงตรงสุดเขตถนนที่รถจะสามารถแล่นไปได้“พี่มีนไหวมั้ย” ผมถามพี่มีนที่ลงมายืนบิดตัวเบา ๆ อยู่ตรงประตูรถ ส่วนตัวผมบิดตัวครั้งใหญ่เมื่อยจนไม่รู้จะเมื่อยอย่างไร ปกติไปไหนมาไหนใช้เครื่องบินพอต้องนั่งรถไกลแบบนี้ ผมรู้สึกเพลียล้า เหมือนจะไข้ขึ้น“สบายมาก พรานพง เราจะเอายังไงต่อ”“เดี๋ยวให้ทุกคนยืดเส้นยืดสายสักสิบนาที ช่วยกันขนสัมภาระแบ่งหน้าที่แล้วค่อยเดินเท้าต่อ” เธอพยักหน้าให้พรานพง จากนั้นเดินไปสั่งงานหัวหน้าทีมทั้งสองทีมต่อ แม้จะเป็นผู้หญิงเพียงคนเดียวในคณะ แต่ด้วยความสามารถของเธอจึงไม่มีใครกังขาพี่เก็
4ออกเดินทางฝนตกตามที่คีรีบอกสองวันติด สงสัยเขาจะดูพยากรณ์อากาศมา อีกสี่วันถัดมาจึงเป็นวันออกเดินทาง พวกเราเริ่มออกเดินทางจากเมืองหลวงช่วงเย็นของวัน กะไว้ว่าคงถึงจุดหมายช่วงเช้ามืดวันพรุ่งนี้ขณะยกกระเป๋าขึ้นรถ ก็มีรถสองคันขับเข้ามาในบริเวณบ้าน คันหนึ่งผมจำได้แม่นเลย ปริมมาจริง ๆ ผมอุตส่าห์ไม่บอกวันเดินทางหมอนี่รู้ได้ไงว่าเราเดินทางกันตอนเย็น ส่วนรถเล็กขับเคลื่อนสี่ล้อหรือที่คนชอบเรียกว่าออฟโรดคันนั้น ไม่แน่ใจเลยว่าเป็นรถของใคร แต่ถ้าให้เดาก็ไม่ยากเท่าไร น่าจะเป็นคนที่เรียกตนเองว่าอารักษ์ขาคนนั้น“ปริม มาทำไม”“ก็บอกแล้วไงว่าปริมจะไปด้วย” ปริมยักคิ้วแล้วยกกระเป๋าเป้ใบใหญ่ลงจากรถสปอร์ตคันโปรด แบกเป้เดินไปหาพี่มีนตรงออฟโรดคันสีขาวเงา พี่มีนหันมามองผมเหมือนกำลังจะถามว่าจะให้จัดการอย่างไรถึงไล่ปริมก็ไม่ไปผมยักไหล่สองข้างอย่างจนใจ เธอเลยเปิดประตูรถให้เขาเก็บเป้เดินทางไว้ในรถ ครู่เดียวคีรีเดินลงจากรถฝั่งข้างคนขับ สองเท้าก้าวออกไปอัตโนมัติ เดินมาครึ่งทางก็เจอคีรียืนอยู่ตรงหน้า“พร้อมหรือยัง”“ครับ คนของผมก็เตรียมพร้อมแล้ว รอคีรีคนเดียว”“งั้นก็ไปเถอะ ผมจะตามอยู่หลังสุด” คุยกับนายท่านอารักษ
3ต้องเชื่อเท่านั้น“พี่มีน ช่วยลิสต์รายการสัมภาระให้จันทร์หน่อยได้มั้ย จันทร์จะไปร่างสัญญาจ้างงานของคีรี”“ได้สิ เดี๋ยวพี่ไปปรึกษาลุงเฉิน อย่างไงซะคนเตรียมของก็คือพี่ ไม่รู้ลุงเฉินหาคนไว้กี่คนจะได้เตรียมของให้พอกับจำนวนคน” คนสวยของผมใจดีเสมอจริง ๆ ไหว้วานอะไรไม่เคยขัด จัดให้ตลอด ผมคิดว่าหลังจัดการหนังสือจ้างงานชั่วคราวนี่เสร็จจะไปคุยกับพรานพงสักหน่อย ไม่รู้ว่าการเดินทางนี้ใช้เวลากี่วันเราจะได้จัดเตรียมอาหารเครื่องดื่มยารักษาโรคไปให้พอดีนอกจากคุยกับพรานพงแล้วผมยังต้องไปรายงานนายท่านคีรีที่บ้านของเขาอีก ช่างเป็นช่วงฉุกละหุกจริง ๆ เหมือนทุกอย่างอยู่ในช่วงเวลารีบเร่ง“นายท่านรอคุณอยู่ข้างใน เชิญ” ผู้ชายคนเมื่อคราวก่อนเปิดประตูรั้วรอตั้งแต่ผมยังไม่ทันได้จอดดีเสียด้วยซ้ำ เหมือนเขารู้ว่าผมจะมา พอปิดประตูรถเสร็จก็เดินตามเขาเข้าไปในบ้านพันคีรีนั่งรอผมอยู่กลางห้องนั่งเล่น ไม่ใช่ห้องคราวก่อนที่ผมเข้าไป ห้องนั่งเล่นเป็นกระจกทุกด้าน ถึงจะมีแดดส่องแต่ก็ถูกต้นไม้บดบังไม่มีแสงแดดพาดผ่านตัวบ้านเลย ทั้งยังเย็นสบายจนน่าแปลกอีกต่างหากต้องเป็นเพราะในบ้านทาสีกันความร้อนแน่“ไหน รายการสัมภาระ” เขาว่าด้ว
2พันคีรีลุงเฉินใช้เวลาแค่ครึ่งวันก็หาพรานไพลจนเจอ แต่พรานไพลนั่นตายไปเมื่อหกปีก่อนเหลือแต่ลูกชายที่พอจะรู้ทางอยู่บ้าง ตกลงกันอยู่นานพรานพงลูกชายพรานไพลก็ยอมตกลงนำทางให้พวกเรา นอกจากตกลงนำทางพรานพงยังมีข้อเสนอให้อีกอย่างว่าถ้าอยากเข้าป่าอย่างปลอดภัยให้ไปเชิญคนที่ชื่อพันคีรีร่วมทางด้วยในวงการหาของโบราณจากเทวาลัย วัง ปราสาทเก่า เมืองเก่า ชื่อพันคีรีนี้โด่งดังมาก ขึ้นชื่อเรื่องมากฝีมือ หน้าที่อย่างเดียวของเขาในการร่วมทางคือเฝ้าระวังคณะเดินทางเท่านั้น ผู้คนเรียกหน้าที่นี้ว่า ‘อารักษ์ขา’ ค่าตัวแพงหูฉี่ แต่เปอร์เซ็นต์การไปและกลับสูงกว่าการไปกันเอง พันคีรีคนนี้เลยมีคนไปเชิญวันละสามเวลานอกจากจะไม่มีใครรู้ประวัติความเป็นมาของเขาแล้ว ตัวตนก็เป็นความลับเหมือนกัน ไม่ว่าจะสืบหากันเท่าไรก็ไม่พบเจออะไร อายุ วันเดือนปีเกิด ไม่มีใครรู้เลย มีแค่ฝีมือเขาเท่านั้นที่เป็นที่ประจักษ์คนเล่าลือกันขนาดนี้ผมก็ต้องมีหวั่นไหวเพราะฉะนั้นเลยส่งคนไปทาบทามเขามาร่วมคณะแล้วถึงสองรอบ แต่เขาไม่แม้จะออกมาพูดคุยด้วยตนเอง ส่งลูกกระจ๊อกออกมาไล่คนของผมทั้งสองครั้ง ผมมันคนไม่ย่อท้อยิ่งไล่ผมยิ่งต้องการ ฮ่า ๆวันนี้ผมเลยมาเอ
1เทวาลัยกุสุมาลย์“เป็นไงบ้างครับลุงเฉิน” ผ่านไปคืนเดียวลุงเฉินก็กลับมาพร้อมกับคำตอบที่ผมต้องการ ในมือถือรูปวาด บนรูปวาดมีดอกไม้นานาชนิดหลากสีสัน ตรงกลางมีทางเดินไปยังบัลลังก์แก้ว หลังบัลลังก์มีกำแพงแก้วสวย และลึกลับไปพร้อมกัน ผมเดาว่ากำแพงน่าจะเปิดได้“คิดว่ามันน่าจะเป็นเทวาลัยกุสุมาลย์ แต่ลุงคิดว่าไม่น่าจะมีใครเคยไป พรานคนหนึ่งบอกว่ามันคือตำนาน เป็นเทวาลัยในป่าลึกทางเหนือของประเทศ ไม่รู้ตอนนี้จะยังมีคนรู้ทางไปอยู่หรือเปล่า” ลุงเฉินเล่าข่าวที่ได้มาให้ฟัง ผมพยักหน้าให้ระหว่างฟังไม่คิดเลยว่ามันจะดูลึกลับแบบนี้ ชื่อนี้เหมือนผมเคยได้ยินที่ไหนมาก่อน แต่รู้สึกจำไม่ได้อยู่ดีว่ามันคือที่ไหน ช่างมีประโยชน์จริง ๆ ความจำของผม“หนูจันทร์ยังจะไปอยู่เหรอ ไม่มีใครเคยไปเลยนะ” พี่มีนถามแล้วลุกเดินมานั่งโซฟาตัวเดียวกับผม หยิบรูปที่ลุงเฉินวางไว้บนโต๊ะมาดู จะว่าไปจี้นี่ก็ได้มาจากพ่อแม่ ท่านสองคนน่าจะเคยไปมาก่อน ผมควรลองไปแอบอ่านไดอารี่ของแม่หน่อยจะดีกว่าเผื่อจะมีข้อมูลอะไร“จันทร์ต้องไปครับพี่มีน จำเป็นต้องไป”“งั้นพี่ไปด้วย พี่จะไม่ปล่อยให้หนูจันทร์ไปคนเดียวแน่ ๆ พี่เองก็จะลองช่วยหาดูว่ามีใครพอจะรู้เร
บทนำโลกของคุณหนูณจันทร์“ฮืออ…ร้อน จันทร์เจ็บ ๆ” วันนี้ของทุกเดือนผมมักจะรู้สึกปวดแสบปวดร้อนทั่วตัวเหมือนตัวเองถูกต้มอยู่ในหม้อน้ำเดือด ไม่รู้ตั้งแต่ตอนไหนพอจำได้ก็เป็นแบบนี้มาตลอด น่าจะอายุสักสิบสี่หรือเปล่านะ กลางฤดูหนาวของเดือนพฤศจิกาที่เป็นหน้าหนาวแต่ผมกลับรู้สึกร้อนรุ่มปวดแสบปวดร้อนจนแทบจะขาดใจตายผมเลยต้องนั่งแช่น้ำเย็นจัดอยู่ในอ่างจากุซซีแบบนี้มาตลอด ถึงจะไม่หายแต่ยังพอบรรเทาได้บ้าง ผมหาหมอทุกคนที่มีชื่อเสียงทั้งในและนอกประเทศ สำคัญคือมันไม่ดีขึ้นเลยแม้แต่นิดเดียว ไม่มีใครรู้ว่ามันเกิดขึ้นเพราะอะไร ผมก็เช่นกัน…“หนูจันทร์เป็นยังไงบ้าง” พี่มีนตราเป็นเด็กที่พ่อแม่ผมอุปการะไว้ตั้งแต่ตอนผมอายุสิบขวบ เราโตมาด้วยกันตั้งแต่เด็กทำให้เธอรู้ใจ รู้ทุกอย่างในชีวิตของผมรวมถึงอาการนี้ด้วยพี่มีนมักจะมานั่งเฝ้าผมอยู่ตรงนี้ทุกเดือนไม่เคยขาด มันไม่ช่วยอะไรแต่เธอทำให้ผมรู้ว่าผมจะมีเธออยู่ข้าง ๆ ตลอด“พี่มีน จันทร์เจ็บจัง ฮึก…” ผมตอบพี่มีนไปพร้อมกับใช้น้ำแข็งที่พี่มีนหอบมาถูไปตามแขนแรง ๆ มันน่าแปลกผมปวดแสบปวดร้อนจนเหมือนถูกต้มในน้ำเดือดแต่ร่างกายภายนอกของผมไม่มีร่องรอยอะไรเลยนอกจากจะปวดแสบปวดร้







